5 เดือนต่อมา...
5 เดือนต่อมา... รถเก๋งสีขาวมุก แล่นเข้ามาจอดใต้ตึกของคณะวิศวะกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ในย่านเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร เพราะว่าคณะนี้เป็นคณะที่ค่อนข้างใหญ่ จึงมีนักศึกษาจากหลากหลายจังหวัดเลือกที่จะมาเรียนที่นี่ เพราะความใหญ่โต และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ชั้นใต้ดินของคณะนี้จึงมีการสร้างขึ้นมา เพื่อเอาไว้สำหรับจอดรถของอาจารย์และนักศึกษาโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยมีใครเห็นรถยนต์หลากหลายยี่ห้อจอดอยู่บริเวณด้านหน้าของคณะเลยสักคัน ลิลลี่ขับรถเข้ามาจอดยังที่ประจำของเธอ โชคดีที่วันนี้ที่ตรงนี้ยังไม่มีใครมาจอด เธอจึงได้จอดยังที่ประจำที่เคยจอดทุกวันตอนมาเรียน หากแต่ว่าวันนี้เธอไม่ได้มาเรียนเหมือนเช่นเคย เพราะเธอนั้นเรียนจบแล้ว ปีนี้สุดท้าย เหลือแค่เพียงเก็บงานที่ยังค้างส่งกับอาจารย์เพียงเท่านั้น วันนี้เธอจึงต้องเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อมาส่งงานชิ้นสุดท้ายกับอาจารย์ ก่อนที่จะได้รับปริญญา ลิลลี่เป็นหนึ่งในลูกฝาแฝดทั้งสามของบอมพ์กับเฟร์ย่า ที่เป็นศิษย์เก่าของคณะนี้ เธอเดินตามรอยพ่อกับแม่มา แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงก็เถอะ แต่ความดื้อรั้นของเธอนั้นกลับทำให้เธอชอบทำอะไรที่มันสวนทางกับที่พ่อแม่พี่น้องของเธอคิดเอาไว้เสียมากกว่า ร่างบางก้าวลงจากรถด้วยชุดนักศึกษา กระโปรงทรงเอสั้นพอดีตัว เสื้อนักศึกษาที่ไม่ใหญ่จนเกินไป และไม่ได้เล็กจนรัดแน่นไปหมด รูปร่างเล็กอรชรอ้อนแอ้นน่ารัก บวกกับผิวขาวใสอมชมพู ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้ม คิ้วสวยคม ดวงตากลมใส ขนตาแพหนายาวอย่างเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากชมพูระเรื่อจิ้มลิ้ม ใบหน้าที่มีเพียงเครื่องสำอางอ่อนๆ รับกันกับทรงผมลอนคลื่นสีน้ำตาลอ่อนยาวสยายคล้ายกับตุ๊กตาก็ไม่ปาน เธอถอดแบบฉบับแม่ของเธอมาจนแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว และเธอก็ยังมีหน้าตาที่เหมือนกับน้องสาวฝาแฝดของเธอจนหลายคนแทบแยกไม่ออก หากไม่เอาทั้งสองมาเทียบกันตัวต่อตัว ร่างบางอ้อนแอ้นเดินเข้ามาในตัวคณะ อย่างไม่เร่งรีบ ในมือข้างหนึ่งถือกระเป๋าเอกสารและกระเป๋าถือใบหรูคู่ใจของตัวเอง มือบางจับที่เปิดประตูบานเลื่อนหน้าห้องพักอาจารย์ ออกแรงเปิดออกไปเพียงนิดก็สามารถเข้าไปยังด้านในได้แล้ว “มาแล้วเหรอ ยัยตัวแสบ” เสียงของอาจารย์นิภาน้องทัก เมื่อกันมาเห็นว่าคนที่เปิดประตูห้องพักของตัวเองเข้ามานั้นเป็นใคร ลูกศิษย์คนโปรดที่มาส่งงานชิ้นสุดท้ายให้กับเธอ ก่อนจะออกไปโลดแล่นใช้ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัยเต็มตัวสักที “แสบเสิบอะไรกันคะอาจารย์ ลี่ว่าลี่เรียบร้อยสุดในรุ่นแล้วนะ” ลิลลี่ตอบกลับด้วยท่าทางทะเล้นปนเสียงหัวเราะเล็กใส “เรียบร้อยสุดในรุ่นก็เพราะไอ้รุ่นของเธอมันเป็นผู้ชายหมดไง ลองให้มันมีผู้หญิงสิ เธอจะแสบสุดในรุ่นแน่ๆ” อาจารย์เอ่ยแซวกลับ “โห่...อาจารย์ก็พูดเกินไป ขนาดอยู่บ้าน น้องสาวฝาแฝดของลี่ ยังเรียบร้อยไม่เท่าลี่เลยนะ” ลิลลี่บอก “ยัยเลดี้น่ะเหรอ รายนั้นเว้นไว้คนหนึ่ง ดื้อไม่มีใครเกิน จนอาจารย์สุนีย์มาบ่นกับฉันบ่อยๆ พี่น้องบ้านนี้แสบกันทุกคนจริงๆ” นิภาเอ่ยบอกกับลูกศิษย์ตัวน้อยของเธอ ซึ่งสุนีย์เพื่อนอาจารย์ต่างคณะของเธอ เล่าวีรกรรมความแสบของฝาแฝดอีกคนของบ้านนี้ที่เรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ให้เธอฟังบ่อยๆ “มาส่งงานค่ะวันนี้ สุดท้ายแล้วน้า อาจารย์ก็จะเหงาแล้วแหละต่อจากนี้” ลิลลี่บอกกับอาจารย์ พร้อมกับยิ้มหวานสดใสส่งให้ “เงียบหูดีล่ะไม่ว่า...ยังไงฉันก็ขอให้เธอโชคดีในทุกๆ เรื่องนอกรั้วมหาลัยนะ เจอแต่เรื่องดีดีต่อจากนี้” นิภาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รู้สึกใจหายเหมือนกันนะ เพราะเทียบแล้วเธอกับลูกศิษย์คนนี้ค่อนข้างสนิทกันมากเลยทีเดียว “เอ้า! คนสวยร้องไห้เสียแล้ว ยังไม่ทันได้ไปเลย ลี่แค่เรียนจบค่ะ ยังไม่ได้จะไปตาย ร้องทำไม เดี๋ยวมาเยี่ยมเยียนคนแก่บ่อยๆ นะคะ” ลิลลี่พูดพร้อมกับหัวเราะชอบใจ ไม่อยากให้อาจารย์ของเธอร้องไห้ เธอเองก็ไม่ชอบการจากลาเช่นกัน แต่นี่เธอไม่ได้ไปไหนไกล จะแวะมาหาก็ได้ตลอดเวลาที่จะมาหาได้ "ยัยเด็กคนนี้นี่ แอบหลอกด่าว่าฉันแก่เหรอ" อาจาร์ที่ทำน้ำตาซึมๆ ก็หันมาค้อนแบบหยอกล้อกับลูกศิษย์คนโปรด "ล้อเล่นน่า รักหรอกจึงหยอกเล่น ไปแล้วจริงๆ นะคะ เดี๋ยวมาเที่ยวหาใหม่" ลิลลี่บอกกับอาจารย์ของเธอด้วยรอยยิ้มสดใส "เอาไว้มีรับน้องคณะ เราก็มาด้วยนะ เดี๋ยวพวกอาจารย์เขาจะจัดเลี้ยงอำลารุ่นพี่ที่จบทั้งคณะเลย" อาจารย์แจ้งข่าวกับเธอ "โหยยย ถ้าหากว่าเป็นเลี้ยงเล็กของเอกเราอย่างเดียว ลี่ก็จะมาอยู่นะคะ แต่นี่เลี้ยงคณะเลย ไม่รู้จะกล้ามาไหม" ลิลลี่บอกอาจารย์ไปแบบนั้น เพราะเธอนั้นค่อนข้างไม่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะๆ เท่าไรนัก "มาเถอะๆ เดี๋ยวอาจารย์แจ้งอีกที" อาจารย์คะยั้นคะยอ ลิลลี่ทำได้แค่พยักหน้ารับเท่านั้น แต่ไม่ได้รับปากว่าจะไปร่วม เมื่อส่งงานและพูดคุยกับอาจารย์คนสนิทเรียบร้อยแล้ว พักหนึ่งลิลลี่ขอตัวกลับบ้าน เพราะเธอคิดว่าจะแวะเข้าไปหาบรูคลิน พี่ชายฝาแฝดของเธอที่บริษัทของเขาเสียหน่อย ลิลลี่เดินมาถึงชั้นใต้ดิน ที่เป็นลานจอดรถของมหาวิทยาลัยที่เธอจอดรถเอาไว้ ร่างบางกำลังเดินก้าวไปยังรถของเธอ เฟี๊ยวววว เสียงเหมือนมีวัตถุบางอย่างพุ่งฝ่าสายลมอย่างเร็วจนเกิดเสียง ความรู้สึกเย็นๆ ที่วิ่งผ่านใบหน้าหวานจนทำให้ผมที่หยักเป็นลอนยาวสยายปลิวตามแรงลม ตุบ! ตุบ! ตับ! ตับ! ผลั่ก! ผัวะ! เสียงที่ดังอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเสาในโรงจอดรถทางด้านหลังที่อยู่ตรงข้ามกับคนตัวเล็ก เสียงกระตุ้นให้ความอยากรู้ของลิลลี่เริ่มทำงาน มันสั่งให้เธอเดินไปทางต้นเสียงเพื่อไขข้อสงสัยของตัวเองให้กระจ่าง ลิลลี่รีบเดินไปทางต้นเสียงทันที ด้วยความอยากรู้ พอเดินออกไปพ้นเสาของลานจอดรถต้นหนึ่ง ดวงตากลมใสเบิกกว้าง เมื่อเห็นภาพตรงหน้าเป็นกลุ่มวัยรุ่นใส่เสื้อช็อปของคณะเดียวกับเธอ มีทั้งสีแดงเข้ม และสีน้ำเงินกำลังตะลุมบอนทั้งเตะ ต่อยกันจ้าละหวั่น บางคนมีอาวุธปืนอยู่ในมือ และดูเหมือนว่าจะจะเป็นปืนเก็บเสียงเสียด้วย เธอไม่ได้ตกใจที่เห็นคนทำร้ายหรือต่อยตีกัน เพราะเธอชินแล้วกับการอยู่คณะนี้ แต่ที่เธอตกใจคือทั้งหมดมีอาวุธปืนและมีดมากมาย ทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยไม่สามารถเอาอาวุธเข้ามาได้ ร่างบางตัวเล็กน่ารักชะงักกึก เมื่อหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นมองมาทางเธอพอดิบพอดี ลิลลี่ที่เห็นแบบนั้นก็รับรู้ได้ถึงความอันตราย เธอเตรียมหันหลังกลับทันที แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของเธอจะเคลื่อนไหวช้ากว่าชายกลุ่มหนึ่งที่พากันวิ่งตรงมาทางเธอ เธอไม่รู้ว่าพวกนั้นตั้งใจวิ่งเข้าใส่เธอที่มาเห็นเหตุการณ์หรือว่าตั้งใจจะหนีอีกฝ่ายแล้วบังเอิญว่าวิ่งมาทางเธอพอดีกันแน่ คนตัวเล็กรับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเข้ามา เธอรีบหันหลังออกวิ่งทันที แต่ก็ไม่เร็วเท่าวัตถุสีดำในมือของกลุ่มวัยรุ่น เมื่อวัยรุ่นคนหนึ่งที่อยู่อีกฝ่ายยกอาวุธปืนในมือขึ้นแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดใด กดลั่นไกมาทางอีกกลุ่มและเธอทันที ฟรึ่บ! เสียงของกระสุนปืนดังขึ้นจากปลายกระบอกที่เก็บเสียง กำลังพุ่งตรงมายังร่างบางที่หันหลังเตรียมจะหนีออกจากตรงนั้น!!โคย...ฟรึ่บ!เสียงของกระสุนปืนดังขึ้นจากปลายกระบอกที่เก็บเสียงพุ่งตรงมายังร่างบางที่หันหลังเตรียมจะหนีออกจากตรงนั้น!!ผลั่ก!!ยังไม่ทันที่กระสุนมัจจุราชจะได้ทะลุเข้าไปยังร่างกายบาง ร่างเล็กก็ถูกมือหนาของใครบางคน คว้าข้อแขนเรียวเล็ก พร้อมออกแรงกระชากให้ร่างบางไปกระแทกเข้ากับอกแกร่งอย่างเร็วและแรงจนทำให้ร่างทั้งสองล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นพร้อมกันทั้งคู่ โดยที่ร่างบางของลิลลี่ทับอยู่ด้านบนของร่างหนาของเขาคนนั้น“โอ๊ยยย จะ...เจ็บๆ” เสียงหวานร้องดังออกมา เมื่อยันตัวลุกขึ้นนั่งอยู่ที่พื้น พร้อมกับลูบมือบางไปที่ข้อศอกของเธอที่เหมือนจะไปกระแทกลงบนพื้นลานจอดรถ“ไม่ตายหรอกแค่นี้! แต่ที่จะตายคือโดนกระสุนเจาะหัวโน่น คิดยังไงเดินเข้าไปรับลูกกระสุน หิวหรือยังไง?” เสียงทุ้มพูดขัดขึ้น เมื่อลิลลี่ร้องโวยวายจบชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดที่ผู้หญิงคนนี้เป็นห่วงแค่ความเจ็บของตัวเอง โดยไม่ทันนึกถึงอันตรายของตัวเธอเองเลยด้วยซ้ำ ว่าเมื่อกี้เกือบจะโดนลูกหลงตายไปแล้วลิลลี่ละสายตาจากข้อศอกของตัวเอง เงยหน้าขึ้นมองคนที่กระชากแขนของเธอเมื่อกี้ ดวงตากลมใสเบิกกว้างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะตกใจกลัว แต่เป็นการตกใจในค
ต้องกลัว!เคล้ง!!!เสียงท่อนเหล็กที่อยู่ที่พื้นดังลั่นลานจอดรถก้องกังวาน เมื่อถูกเท้าของชายหนุ่มไปเตะโดนเข้า ในขณะที่กำลังถอยหลังจะพาหญิงสาวตัวเล็กในอ้อมกอดหนีออกอีกทางของโรงจอดรถ เสียงเหล็กกระทบพื้นนั้นทำให้กลุ่มวัยรุ่นที่ตามล่าหาตัวเขาอยู่ก็หันมาทางต้นเสียงเป็นจุดเดียว“ไป!! หนีเร็ว!” เสียงของโคเยอร์ตะโกนบอกกับหญิงสาว พร้อมกับออกแรงดึงแขนเรียวเล็กให้วิ่งตามเขาไปหากเป็นเวลานี้ ถ้าเขาอยู่คนเดียว เขาคงไม่เลือกที่จะหนีและคงลุยฝ่าวงล้อมของคู่อริไปแล้ว แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ด้วยเพราะคนตัวเล็กที่เขาต้องปกป้องและจะไม่ให้เธอบาดเจ็บเธออยู่กับเขาด้วยในตอนนี้“พวกมึงตามมันไป!” เสียงตะโกนไล่หลังของพวกเขาและเธอทั้งสองตุบ ตุบ ตุบเสียงฝีเท้าของทั้งคู่วิ่งหลบหลีกตามซอกตามซอยมาได้สักพัก จนมาหยุดข้างตึกหลังมหาวิทยาลัย ที่ตอนนี้ไม่ด้เปิดการใช้งาน ทั้งคู่หยุดหอบหายใจเมื่อคิดว่าน่าหลบคนเหล่านั้นพ้นแล้ว แต่มือหนาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือจากแขนเรียวเล็กเลย“บ้านของเธออยู่ที่ไหน” เสียงทุ้มปนหอบเอ่ยถามขึ้น“ถะ...ถามทำไม” เสียงเล็กหอบไม่ได้ตอบเขาแต่กลับเลือกที่จะถามเขากลับ“จะพาไปส่ง ไม่ได้ยินที่พวกนั้น
อยู่กับผัวก็ได้... “ฮัลโหล...พี่เต็ม ทำอะไรอยู่ ว่างไหมคะ” ลิลลี่ถามขึ้น เมื่อปลายสายกดรับ “รีบบอกเร็วๆ ทำไมต้องถามยืดเยื้อด้วย” เสียงของโคเยอร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่ได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาเป็นเสียงของผู้ชาย ‘แฟนของเธอหรือเปล่านะ’ “เอ๊ะ! นายนี่ คนกำลังคุยอยู่นายเห็นไหม ทำไมต้องพูดแทรกด้วย” ลิลลี่หันไปแว้ดใส่ชายหนุ่มที่พูดแทรกขึ้นมาดังๆ เหมือนตั้งใจจะให้คนในสายได้ยินว่าเธออยู่กับผู้ชาย โคเยอร์เห็นว่าคนตัวเล็กหงุดหงิดและบ่นให้กับเขา แต่เขาก็ไม่สะทกสะท้าน แถมยังทำหน้าทำตาเลื่อนลอยไม่รู้ไม่ชี้ใส่เธออีกด้วย “ก็รีบพูดรีบบอกเร็วๆ สิ มัวแต่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่นั่นแหละ” โคยพูดออกมาด้วยสีหน้าบูดๆ บึ้งๆ ไม่รู้ว่าบูดบึ้งเพราะอะไรด้วยซ้ำ เขารู้แค่ว่าเขารู้สึกหงุดหงิดในใจที่เห็นเธอคุยกับผู้ชายคนอื่น “นายนี่ท่าจะประสาท” ลิลลี่บ่นให้เขา “เออ! ช่างฉันเถอะ รีบบอกมันไปเร็วๆ” โคยรีบบอกปัด แล้วโบ้ยให้ลิลลี่รีบบอกกับคนในสาย “เรียกมันได้ยังไง เขาอายุมากกว่าเราอีกนะ” ลิลลี่ขัดขึ้น เมื่อได้ยินเขาเรียกคนในสายว่า ‘มัน’ “เร็วๆ เถอะน่า” โคยเร่ง “นายนี่...” ลิลลี่หมดคำ
ฉันต้องอยู่คอนโดเธอแล้วแหละ “เดี๋ยว ระวัง!!” เสียงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าพวงมาลัยรถซูเปอร์คาร์สุดหรู มือหนาของชายหนุ่มรีบคว้าเข้าที่ข้อมือเรียวเล็กอย่างเร็ว เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะเปิดประตูรถลงกลับขึ้นไปบนคอนโดของเธอ “ว้าย!!” เสียงเล็กแหลมอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ ก็ถูกกระชากดึงข้อมือให้ร่างเล็กล้มลงกลับเข้าไปในตัวรถคันเดิมอีกครั้ง “ชู่ววว เบาๆ อย่าเสียงดัง” เสียงทุ้มกระซิบแแผ่วเบา พร้อมกับกดศีรษะเล็กให้หมอบลงแนบกับเบาะรถ คล้ายกับว่ากำลังจะหลบอะไรสักอย่าง “อะไรของนายเนี่ย” ลิลลี่ทำน้ำเสียงหงุดหงิดถามเขา ในขณะที่ยังโดนชายหนุ่มใช้มือหนากดศีรษะเอาไว้อยู่ “เธอไม่เห็นหรือยังไงว่ามีคนน่าสงสัยดักรออยู่หน้าคอนโดเธอ ลูกน้องของไอ้พวกนั้นแน่ๆ นี่มันมาเฝ้าถึงหน้าคอนโดเธอเลยเหรอ มันรู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ที่นี่” ชายหนุ่มพูดขึ้น ลิลลี่ดันศีรษะขึ้นมามองแต่ก็ยังโดนชายหนุ่มกดอยู่เล็กน้อย “นี่นายจะกดหัวฉันทำไมเนี่ย” ลิลลี่โวยวายเล็กน้อย “ก็เดี๋ยวไอ้พวกนั้นเห็น” เขาบอก “จะเห็นได้ยังไง? ก็ในเมื่อฟิล์มรถนายมันเป็นแบบทึบ!” ลิลลี่แว้ดใส่เขา ชายหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้นแล้ว
ฉันเอาตาย... (จนได้) “ไม่กลัวตายเลยใช่ไหมวะ?!!” เสียงทุ้มตวาดลั่น พร้อมกับออกแรงกระชากร่างเล็กไปปะทะเข้ากับอกแกร่งอย่างแรง แล้วลากร่างบางกลับขึ้นรถไปอย่างหัวเสีย ปึง!! เสียงปิดประตูรถหรูดังลั่น หลังจากที่คนตัวโตจับร่างเล็กเข้าไปในรถของเขาได้สำเร็จ “โคย...” เสียงเล็กแหลมของหญิงสาวเรียกชื่อเขาแผ่วเบา เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่จับเธอกลับขึ้นมาที่รถด้วยสีหน้าหงุดหงิด หัวเสีย ไม่ใช่เพราะหญิงสาวไม่เชื่อฟังเขา แต่เป็นเพราะเธอไม่ยอมหลงกลแผนการของเขาต่างหาก “อยากตายหรือไง ทำไมไม่เชื่อฉัน!!” เสียงของเขายังคงดังและตวาดลั่นใส่เธอ ก่อนจะออกแรงกระชากเกียร์รถถอยหลังออกจากตรงนั้นอย่างเร็ว เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนพวกนั้นวิ่งมาจะถึงตัวรถของเขาและเธอแล้ว “ก็ฉันไม่คิดนี่นา ว่ามพวกมันจะกล้าทำจริงๆ หรือพวกนั้นแค่จะเข้ามาถามทางฉันหรือเปล่า” ลิลลี่คิดไปในทางที่ดีเอาไว้ก่อน “ถามทางบ้าอะไรพุ่งมาหาซะขนาดนั้น” โคยพูดตอบคนตัวเล็ก ในขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่ถนนหนทางเบื้องหน้า “นี่ฉันจะอยู่คอนโดตัวเองไม่ได้แล้วเหรอ งั้นนาย...ช่วยไปส่งฉันที่คอนโดเลดี้ได้ไหม” ลิลลี่บอกกับเขา “เลดี้ คือใคร”
หนีโคยไม่พ้นหรอก ลิลลี่ เดินตามหลังชายหนุ่มเจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์เข้ามาในลิฟท์อย่างเงียบ ในใจก็ครุ่นคิดหาทางหนีทีไล่ไปต่างๆ นาๆ อยู่ตลอดเวลา “วางแผนอะไรในใจอีก” เสียงทุ้มของโคเยอร์ที่ยืนมองคนตัวเล็กอยู่ในลิฟท์ “แผนอะไร ไม่มีอะไรสักหน่อย นี่นายเห็นฉันเป็นคนชั่วร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ” ลิลลี่เอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดที่เหมือนกับว่าเขากำลังแอบหลอกด่าเธออยู่อย่างนั้น “ก็ไม่รู้สิ สีหน้าเธอมันบอก” โคเยอร์ยังต่อปากต่อคำอีก “ฉันไม่ใช่คนที่มีแผนการร้ายๆ อยู่ในหัวตลอดเวลาแบบนายหรอกนะ แล้วอีกอย่างนะ ฉันอายุมากกว่านาย ช่วยเรียกฉันแบบให้เกียรติด้วย” หญิงสาวพูดขึ้น แต่สีหน้าก็ยังเจือด้วยความหงุดหงิดแบบไม่ลดลงเลย “อยากให้เรียกว่าอะไร พี่สาว? เจ๊? หรือว่าที่รักดี?” โคเยอร์ยียวนกวนโมโหเธอ เพราะรู้ว่าเธอยิ่งโมโหก็ยิ่งน่ารักสำหรับเขา “นี่! อย่ามาลามปาม ฉันอายุเยอะกว่านาย แถมเราก็ไม่ได้สนิทกันจะมาเรียกที่รักได้ยังไง” ลิลลี่บ่นอุบให้กับชายหนุ่มที่ดูจะเป็นเด็กมากว่าเธอหลายปี แต่ดันมาพูดจาตีสนิทกับเธอเหมือนรู้จักกันมาก่อนเสียอย่างนั้น ‘ทำไมจะเรียกแบบนั้นไม่ได้ ก็เคยเอากันมาแล้ว’ โคเย
ไม่ใช่ยาพิษ ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าดังถี่ขึ้น เมื่อฟังจากเสียงที่กระทบกับพื้นปูนข้างตึกก็รู้ว่าเป็นเสียงของรองเท้าผ้าใบของคนที่ตัวไม่ใหญ่มากนัก “จับมันไว้เร็ว!!” เสียงทุ้มดุ ไล่ตามหลังมา พร้อมกับชายวัยรุ่นในชุดช็อปสีแดงเข้มเลือดหมูวิ่งตามมาอีกหลายคน วิ่งมาไม่นานก็สามารถตามถึงตัวคนตัวเล็กได้ทัน “กรี๊ดดดด พวกแกจะมาจับฉันทำไม” เสียงเล็กแหลมร้องกรี๊ดปนหอบ “หยุด! ถ้าไม่หยุด กูจะยิงแม่งตรงนี้เลย” เสียงตวาดกร้าวของชายที่วิ่งตามมาจนทันเข้ากับร่างบางของลิลลี่ จนทำให้ร่างเล็กต้องหยุดชะงักทันทีที่ได้ยิน “ฉันไปทำอะไรให้พวกนาย ถึงได้มาวิ่งไล่ตามฉัน ตั้งแต่เช้าแล้วเนี่ย” ลิลลี่เอ่ยถามเสียงสั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะว่าคนเหล่านี้มาเฝ้าเธอตั้งแต่เช้า ตั้งแต่เธอนั้นเข้ามาที่ร้านคาเฟ่ของเธอข้างมหาลัย และตอนนี้เธอก็เข้ามาในมหาลัย เพราะคิดว่าในมหาลัยคนเยอะ พวกนั้นอาจจะไม่กล้าตามหรือทำอะไรมากไปกว่าตามห่างๆ แต่ที่ไหนได้ พวกนั้นตามติดไม่ลดละจนเธอต้องวิ่งหนีมาทางตึกด้านหลังที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านผ่านไปมาเพื่อจะแอบซ่อน หูตาพวกนั้นกลับไวและมีลูกน้องมากเกินไปจนเธอไม่อาจรอดพ้นสายตาไปได้
นายเป็นใครนะ? (ผัวเธอ!) โคเยอร์เปิดประตูด้านคนขับ ลงมาจากรถ สายตาดุกร้าวจ้องเขม็งพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างคาดโทษ เขต...เปิดประตูรถลงมาจากทางด้านข้างคนขับ พร้อมกับมองไปรอบๆ เช่นเดียวกัน “คุณหนูโคย...เดี๋ยวผมจัดการไอ้พวกนั้นเอง คุณหนูพาเธอคนนั้นกลับไปก่อนเถอะครับ ดูเหมือนเธอจะอาการไม่ค่อยดีเท่าไร” เขตหันไปบอกคุณหนูของตัวเองที่เขาเลี้ยงมากับมือตั้งแต่คลอด เพราะเขาคือลูกน้องคนสนิทของพ่อโคเยอร์ ที่สร้างตำนานมาแล้วตั้งแต่รุ่นของพ่อเขา “ฝากทางนี้ด้วยนะอาเขต แค่สั่งสอนก็พอ เดี๋ยวที่เหลือผมมาจัดการเอง ผมไปจัดการเด็กดื้อก่อน” โคยพูดกับพี่เลี้ยงคนสนิทของตัวเอง ก่อนจะเบนสายตาคมไปทางร่างเล็กที่นั่งกอดตัวเองคุดคู้อยู่หน้ารถของเขาที่เดิม “ได้ครับ...เสร็จแล้วให้ผมกลับไปหานายใหญ่เลยไหม? หรือคุณหนูต้องการให้ผมช่วยอะไรอีก” เขตถามคุณหนูที่เขาเลี้ยงมากับมือกลับ “ไม่เป็นไรครับ อาเขตกลับไปหาพ่อเลยก็ได้ แต่...อย่าเพิ่งบอกพ่อเรื่องนี้นะ เดี๋ยวผมเป็นคนบอกเอง” โคยย้ำกำชับกับพี่เลี้ยงของตัวเอง เขายังไม่อยากให้พ่อที่เป็นมาเฟียรับรู้เรื่องวุ่นๆ ของเด็กๆ อย่างพวกเขา เรื่องคู่อริเดี๋ย
Special คิลเลอร์และเมแกน 3 ปีต่อมา “เห้ย!! โคเยอร์ทางนี้ๆ” เสียงกลุ่มเพื่อนชายที่โบกมือเรียกโคเยอร์อยู่ที่โต๊ะลายหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างตึกเรียนในคณะของเขา “พวกมึงยังไม่กลับบ้านกันอีกเหรอ ไม่มีเรียนแล้วนี่ กูก็ส่งงานเสร็จละ จบละ” โคเยอร์ถามเพื่อน วันนี้เขามาที่คณะ เพื่อมาส่งงานชิ้นสุดท้ายก่อนจบการศึกษา แต่พวกเพื่อนของเขาต้องเข้าเรียนเก็บชั่วโมงอีก หลังจากที่เขาแต่งงานและพักการเรียนไปได้สองปี เขาก็กลับเข้ามาเรียนใหม่จนจบได้ภายในปีเดียว “เพิ่งออกจากห้องเรียนเมื่อกี้ มารอเจอหลานกูก่อน มาๆ ให้กูอุ้มหน่อย” เพื่อนของเขาคนหนึ่งพูดขึ้น พร้อมกับเดินเข้ามาหาโคเยอร์ ที่ในอ้อมแขนนั้นมีเด็กน้อยรูปร่างจ้ำม่ำ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ผิวขาวใส แก้มป่อง ผมสีดำขลับสั้นๆ แต่หยักศกเล็กน้อย ดวงตากลมโตบ้องแบ๊วสร้างความน่าเอ็นดูให้กับผู้ที่พบเห็นไม่น้อย “กูขออุ้มหน่อย” เพื่อนของเขาพูด ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อจะเอาเด็กน้อยมาอุ้ม “มายุ่งกับลูกกูอีกแล้ว อยากอุ้มทำไมไม่มีเป็นของตัวเองกันวะ” โคเยอร์บ่นให้กับเพื่อน ที่รอจะเจอและอุ้มลูกเขา เมื่อรู้ว่าวันนี้เขาเอาลูกมาด้วย วันนี้ลิลลี่ไม่ว่าง
ลิลธิกาแต่งงานกับกฤตินนท์ นะ! (The End) “โคยมีอะไรจะบอกลี่ไหม?” เสียงของลิลลี่ที่นั่งอยู่ข้างคนขับ เอ่ยถามชายคนรักที่กำลังทอดสายตามองไปด้านหน้าท้องถนน “แต่งงานกับโคยนะลี่” โคเยอร์เอ่ยขอคนรักแต่งงานด้วยน้ำเสียงและใบหน้าจริงจัง พวงมาลัยรถถูกหักเข้าข้างทาง สภาพแวดล้อมโดยรอบที่มีแต่ป่าเขา ไร้ผู้คนและบ้านของผู้คนอยู่อาศัย เครื่องยนต์ของรถถูกดับสนิท โคเยอร์หันใบหน้าหล่อเหลาเข้าหาลิลลี่ที่ตอนนี้ก็หันมองเขาอยู่ด้วยเช่นกัน “โคยมั่นใจแล้วใช่ไหมถึงพูดมันออกมา” ลิลลี่ถามย้ำ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นมั่นใจแค่ไหน ถึงขนาดเอาผู้ใหญ่มาคุยกับผู้ใหญ่ฝ่ายเธอถึงที่บ้าน “มั่นใจ 100% เลย โคยรักลี่ รักมาก และก็รักลูกด้วย ตอนนี้โคยมั่นใจแล้วด้วยว่าสามารถดูแลลี่กับลูกได้ตลอดไปแล้ว ไม่อดตายแน่ แค่โคยยังเรียนไม่จบ เลยพักการเรียนไว้ก่อน รอลูกคลอดแล้วค่อยกลับไปเรียน” โคเยอร์บอกกับคนรัก พร้อมกับยกมือหนาขึ้นลูบบริเวณหน้าท้องน้อยของคนรัก “มั่นใจแค่ไหนที่จะดูแลลี่ได้ตลอด” เธอถามกลับอีกรอบ “มั่นใจมาก ลี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลยนะ ถึงโคยจะยังเรียนไม่จบ แต่โคยก็มีบ้าน มีรถ มีธุรกิจเป็นขอ
จุดจบคนไม่สำนึก! “ถ้าเธอไม่รู้จักฉัน ลองถามพ่อของเธอดู!” เสียงทุ้มแค่นเสียงเป็นเชิงเย้ยหยันพูดกับน้ำขิงที่นั่งกอดผู้เป็นพ่ออยู่ที่พื้นเบื้องหน้าของทุกคน “ทำร้ายลูกกับหลานฉันอย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ลูกกับหลานของฉันยังไม่ได้ไปทำอะไรให้แม้แต่นิดเดียว เธอกล้ามากนะ คงยังไม่รู้จักฉันสินะ” บอมพ์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว ทำให้น้ำขิงถึงกับขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว “แล้วแกเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมารุมฉันกับพ่อแบบนี้” น้ำขิงมองพวกเขาด้วยสายตาแค้นเคือง “แล้วแกมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายลูกกับหลานของฉัน!” บอมพ์สวนกลับทันที อารมณ์โมโหเริ่มเก็บเอาไว้ไม่อยู่ จนลิลลี่สังเกตพ่อของตัวเองได้ “พ่อคะ...ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อของโคยเถอะค่ะ ลี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก” ลิลลี่รีบห้ามทัพ เมื่อเห็นว่าพ่อของตัวเองเริ่มโมโห “เดี๋ยวผมจัดการเองครับ” โคเยอร์รีบบอกพ่อของคนรัก แล้วค่อยๆ วางร่างเล็กให้ลงยืนที่พื้นอย่างเบาๆ มือเล็กของลิลลี่คว้าแขนของโคเยอร์เอาไว้ เหมือนเป็นการห้ามเบาๆ แบบไม่ต้องใช้เสียง สายตาคมก้มมองที่แขนของตัวเองก็เข้าใจได้ทันทีว่าคนรักต้องการอะไร “เดี๋ยวป๊าจัดการเอง” ค
ถ้าไม่รู้จักฉัน ลองถามพ่อเธอดู! “อาเขต!” โคเยอร์เอ่ยเรียกคนที่มาห้ามเขาไว้ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของเขานั่นเอง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขตนั้นตามเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร เพราะเขามัวแต่สนใจคนที่อยู่ด้านในโกดัง “อย่าวู่วามครับนายน้อย หากบุ่มบ่ามเข้าไป คุณลิลลี่จะเป็นอันตรายได้” เขตบอกกับนายน้อยของตัวเอง “ผมโมโหจนลืม” โคเยอร์บอก เขาโมโหจนอยากจะจัดการคนทีี่มันทำกับลิลลี่เสียจนลืมนึกไปถึงความปลอดภัยของคนรักด้วย เพราะตอนนี้ลิลลี่อยู่ในมือของพวกมัน “หนะ...น้ำขิง!!” เสียงเล็กแหบของลิลลี่เอ่ยเรียกคนที่อยู่ตรงหน้าเธอ เธอเพิ่งฟื้นมาจากอาการสลบ เพราะลูกน้องของน้ำขิงเอาน้ำมาราดที่ตัวเธอจนรู้สึกตัวขึ้นมา “ฟื้นแล้วเหรอ? สำออยจริงนะ อุบัติเหตุแค่นี้ทำเป็นสลบ ทำไมไม่ตายไปเลยนะ!” เสียงน้ำขิงพูดเหน็บปนแช่งกับคนที่ถูกมัดมือมัดเท้า แต่พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง “เธอ...จับฉันมาทำไม” ลิลลี่ถามคนที่จับเธอมา เธอไม่รู้ถึงสาเหตุที่ตัวเองโดนจับมา และไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้น้ำขิง เพื่อนของโคเยอร์โกรธเธอขนาดนี้ “ก็...จับมาให้เป็นเมียไอ้พวกนี้ไง 5555” น้ำขิงพูด พร้อมกับหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ เมื่อคิดไป
บุกช่วย...ถล่มโกมินทร์ “กะ...โกดัง หลังโกมินทร์ กะ...กรุป...” เสียงของคีรีพึมพำบอกพี่ชาย ก่อนที่เธอจะสลบไม่ได้สติไปในที่สุด “โกมินทร์...!” โคเยอร์พึมพำชื่อบริษัทที่ได้ยินน้องสาวบอก เขารู้ได้ในทันทีเลยว่าคนที่เป็นตัวการทำเรื่องแบบนี้คือใคร “อาเขต! ฝากยัยคีด้วย” โคเยอร์บอกกับเขต ก่อนจะกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว เขตอุ้มร่างคุณหนูที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยเช่นกัน พาไปที่รถเพื่อส่งตัวไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะต่อสายหานายใหญ่ของตัวเองที่ตอนนี้อยู่บ้านของตระกูลอีแวนสัน รายงานเรื่องนี้ให้รู้เรื่องก่อน “นายครับ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ รถคุณหนูคีและคุณลิลลี่ถูกเบียดชนต้นไม้ ผมกำลังพาคุณหนูคีไปโรงพยาบาล ส่วนคุณลิลลี่ถูกจับตัวไปครับ” เขตรายงานเจ้านายแบบรัวๆ “เมื่อกี้แกว่ายังไงนะ?! แล้วลูกสะใภ้ฉันถูกจับไปที่ไหน มันเป็นใคร?!!” คิงส์ตะโกนเข้ามาในสายดังลั่น “โกดังหลังโกมินทร์กรุป ครับ” เขตไม่รอช้ารีบรายงานสถานที่ให้เจ้านายฟังทันที “เดี๋ยวกูไป!!” คิงส์บอกกับเขต “คุณไปดูลูกสาวที่โรงพยาบาลเถอะ ส่วนโกมินทร์กรุป เดี๋ยวผมไปจัดการเอง” บอมพ์กัดฟัน
คำบอกเล่า...และการปองร้าย! “พี่โคยเขารักพี่มากเลยนะคะ ที่สุดในชีวิตเลย” คีรีเอ่ยบอกพี่สะใภ้ตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พี่สะใภ้คนนี้คงไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นมีอิทธิพลต่อพี่ชายของเธอมากแน่ๆ ถึงได้งอนได้ หากรู้ว่าความจริงที่เธอจะบอกก็คงเข้าใจอะไรในตัวพี่ชายของเธอได้มากขึ้น “ไม่ขนาดนั้นมั้ง” ลิลลี่หันมามองเด็กสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองยังเบื้องหน้า “ขนาดนั้นเลยแหละค่ะ” “แล้วเราน่ะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของโคยเหรอ” ลิลลี่เปลี่ยนเรื่อง เธอไม่อยากฟังอะไรจากปากคนอื่น นอกจากเจ้าตัวที่จะหาทางมาอธิบายกับเธอเอง “ใช่ค่ะ คีชื่อเต็มๆ ว่า คีรี เป็นน้องสาวแท้ๆ ของพี่โคย อายุห่างกันประมาณ6-7 ปีเห็นจะได้” คีรีบอก “ถึงว่าพูดเก่งเหมือนโคยเลย” ลิลลี่บอกในขณะขับรถไปเรื่อยๆ “พี่ลี่คะ...พี่โคยไม่ใช่นักศึกษาตัวเปล่านะคะ คีรู้ว่าพี่อยากให้พี่โคยมาบอกเอง แต่คีอยากบอกว่าพี่โคยตั้งใจและรักพี่มากๆ มากจนยอมรับช่วงต่อธุรกิจสายดำของพ่อทั้งหมดเลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนแกจะขอรับแค่ธุรกิจขาวกับเทาบางส่วนเท่านั้น แล้วจะปล่อยให้สายดำเจ๊งหรือเงียบหายไปเอง ตระกูลของพี่ก็เป็นมาเฟียใหญ่เหมือนกัน พี่คงเข้าใจและก็มี
สู่ขอ...รวมสองตระกูล สายลมเย็นเบาๆ พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างกว้างที่มีเพียงผ้าม่านลายลูกไม้สีขาวสะอาดที่ปลิวไสวด้วยลม แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาในห้อง กระทบเข้ากับร่างเล็กที่นอนหลับพริ้มมีความสุขอยู่บนเตียงหนานุ่ม “ตื่นหรือยังลี่ ถ้าตื่นแล้วก็ลงไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วลงมาด้านล่าง โคเยอร์มาแล้ว” เสียงอบอุ่นของเฟร์ย่า หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาบอกกับลูกสาวที่นอนหลับพักผ่อน หลังจากกลับมาจากโมทีธได้สัปดาห์กว่าๆ “ใครมานะคะแม่?” ลิลลี่งัวเงียถามผู้เป็นแม่ เมื่อได้ยินไม่ถนัด “โคเยอร์มา” เฟร์ย่าตอบ “ไม่ลง!” ลิลลี่ปฏิเสธทันทีเมื่อรู้ว่าแขกที่มาหาเธอนั้นเป็นใคร โคเยอร์ที่หายหน้าหายตาไปไม่ติดต่อมาเลยสักครั้งอาทิตย์กว่าๆ หลังจากที่กลับจากโมทีธ “ไม่ได้! มีแขกผู้ใหญ่มาด้วย ทำไมถึงจะไม่ลงไป” เฟร์ย่าดุลูกสาวเบาๆ “ก็...จู่ๆ ก็หายไปเลย ไม่ติดต่อมาแม้แต่ครั้งเดียว” ลิลลี่ตอบ พร้อมกับใบหน้าที่งอด้วยความงอน “จะงอนโคเยอร์ก็งอนไป แต่...ต้องลงไปรับแขกผู้ใหญ่ ส่วนเรื่องงอนเดี๋ยวให้โคเยอร์เป็นคนง้อเอง” เฟร์ย่าบอก จนลิลลี่ต้องลุกขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย และลงไปด้านล่างทั
รักพ่อของโคยน้อย (NC) “เปลี่ยนเป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้ลูก ก่อนกลับไทยยังไงล่ะ!” คำพูดและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กรุ้มกริ่มผุดขึ้นที่ใบหน้าหล่อเหลาของโคเยอร์ “หมะ...หมายความว่ายังไงเหรอ” ลิลลี่ถามด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร “ก็หมายความว่าแบบนี้ไง...” “อ๊ะ...อุ๊บ!” เสียงของลิลลี่เล็ดลอดออกมาได้แต่นั้น เมื่อถูกริมฝีปากหนาได้รูปฉกจูบลงมาประกบที่ริมฝีปากบางสีระเรื่อ ลิ้นอุ่นและนุ่มนวลวนเกี่ยวกระหวัดไปรอบโพรงปากเล็ก เพื่อกวาดหาน้ำหวานอย่างชอบใจ ริมฝีปากหนาบดขยี้จูบอย่างดูดดื่ม หมับ! พรึ่บ! ในขณะที่ริมฝีปากของเขากำลังดูดกลืนน้ำหวาน ตักตวงความหวานจากเธออยู่นั้น โคเยอร์จับแขนเรียวทั้งสองข้าง ก่อนจะค่อยๆ ผลักคนตัวเล็กให้นอนลงบนที่นอนนุ่มอย่างไม่แรงมากนัก “คะ...โคย ตอนนี้เลยเหรอ!” ลิลลี่ถามออกมา เขาจะมาทำเรื่องแบบนี้ที่นี่ ตอนนี้คงไม่สะดวก “อื้อ!!” ริมฝีปากหนาประกบลงบนปากบาง แรงบดขยี้ดุเดือดจากแรงจูบของคนบนร่างที่ตอนนี้คือ ‘พ่อของลูก’ ในท้องของเธอ หัวใจของคนตัวเล็กเต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนจะระเบิดออกมาอยู่นอกอกเลยทีเดียว โคเยอร์บดขยี้จูบปากคนต
โคยน้อยกำลังมา... “ดี้จะแต่งงาน หลังจากที่พี่ลี่แต่งงานแล้วเท่านั้นค่ะ” เลดี้พูดสิ่งที่ตัวเองต้องการเป็นอย่างสุดท้ายออกมา “อะไรนะ?!” เสียงของลิลลี่อุทานพูดออกมาอย่างตกใจ เมื่อได้ยินเสียงของน้องสาวพูดออกมาอย่างนั้น “ดี้บอกว่าดี้จะแต่งงานกับเจ้าชาย หลังจากที่พี่ลี่แต่งแล้วเท่านั้น ก็ดี้เป็นน้องคนสุดท้อง ก็แต่งคนสุดท้าย” เลดี้บอก “แล้วพี่ของเจ้าจะแต่งเมื่อไร ถ้าหากว่าช้า ข้าคงไม่ทน” เจ้าชายฟาฮัซพูดขึ้น “ฉัน...ยังไม่มีความคิดที่จะแต่งเลยนะ” ลิลลี่บอกเป็นเชิงปฏิเสธไปในตัว ก่อนจะปรายตามองไปโคเยอร์เพื่อดูท่าทางท่าทีของเขา “เราสองคนจะแต่งงานกันหลังจากกลับประเทศไทยทันที เดี๋ยวผมจะให้ผู้ใหญ่มาคุยและหาฤกษ์เลยครับ” โคเยอร์พูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีอกดีใจ “แต่โคยยังเรียนอยู่เลยนะ แล้วอีกอย่างพ่อกับแม่ก็ยังไม่ได้ตอบตกลงเลยด้วยซ้ำ” ลิลลี่รีบบอกอย่างละล่ำละลัก “ลี่หมายถึงพ่อของลี่น่ะเหรอ โคยคุยเรียบร้อยแล้ว” โคเยอร์พูดพร้อมกับชี้ไปที่มุมปากที่มีเลือดแห้งติดอยู่ “แต่ลี่ยังไม่อยากแต่ง ยังมีหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำเลย อุก...อ้วก!!!” ในขณะที่ลิลลี่กำลังปฏิเสธและคัดค้านการแ