ฟะ... แฟนเหรอ!
ฉันทำหน้าเหวอทันทีเมื่อได้ยินเขาพูดเธอไปแบบนั้น พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าคนตัวโตก็กำลังสบตาฉันอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเราอยู่ในระยะประชิดเพราะเขากอดฉันไว้แนบไหล่ ฉันเบนสายตาไปที่มือของตัวเองที่ยื้อไหล่ของฉลามดุเอาไว้จากเหตุการณ์กะทันหันเมื่อครู่ แล้วอยู่ดีๆ หน้าก็ร้อนขึ้นมา
แฟนอะไรกัน ไม่ใช่สักหน่อย
“เอ้ะ เราไม่เห็นรู้เลย” ผู้หญิงคนนั้นหน้าเสียไป ก่อนที่เธอจะหันมามองหน้าฉันอย่างงุนงง “แต่เราไม่เห็นได้ข่าวเลยว่าคะนิ้งดาวคณะอักษรจะมีแฟน”
อะ... อะไรน่ะ เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ
“ดาวคณะ?” ฉลามดุทวนเสียงเข้มทันที ก่อนที่เขาจะก้มลงมามองฉันที่ก้มหน้างุด “จริงเหรอนิ้ง”
“อะ... อื้อ” ฉันตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้มอย่างไม่ค่อยอยากจะพูดถึงนัก ฉันไม่ค่อยชอบตำแหน่งนี้มาตั้งแต่แรก พยายามจะขอออกอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จสักที ทั้งๆ ที่ฉันพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่นมากแล้วนะ เธอก็ยังจำได้อีก
“แม่ง...” แต่ที่ผิดคาดกว่าคือฉลามดุดันสบถออกมาเหมือนไม่สบอารมณ์ แล้วกำชับอ้อมแขนแน่นขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน “งี้คนก็จ้องแต่จะแอ้มเธออ่ะดิ ดีกรีดาวคณะไม่มีใครไม่อยากได้หรอก”
ฉันทำหน้างง ส่วนผู้หญิงคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอเลิกคิ้วออกมา
“เราไม่ชอบ ออกเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“...”
“ลาออกจากดาวคณะเดี๋ยวนี้เลย”
มาขอแบบนี้มันได้เหรอ!
“เมื่อกี้เราแค่ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธผู้หญิงคนนั้นว่ายังไง เธอไม่โกรธใช่มั้ย?”
ฉันทำหน้ามุ่ยเล็กๆ หลังจากที่ฉลามดุพูดประโยคนั้นจบ ดาวคณะนิเทศน์คนนั้นก็เลยขอตัวออกไปอย่างหัวเสีย ส่วนฉันก็รีบเด้งตัวออกจากหน้าตักของร่างสูงทันทีเมื่อเขาคลายมือออก แล้วขยับไปนั่งจนสุดขอบของเก้าอี้อย่างรักษาระยะห่าง แม้ว่าฉันจะเข้าใจเรื่องที่เขาไม่อยากให้ผู้หญิงคนอื่นมาจีบ เขาอาจจะอยากแสดงความจริงใจ หรืออะไรก็ตาม
แต่การที่ดึงฉันเข้ามาเกี่ยวด้วยนี่มันใช่แล้วเหรอ
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ” ฉันพูดกับเขาโดยไม่สบตา แล้วก็ได้ยินเสียงขยับตัวของคนข้างๆ
“ผิดเหรอ” และน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะตัดพ้อกลายๆ ของเขาทำให้ฉันชะงักไป “ที่ไม่มีสิทธิ์แต่หวงเธอเนี่ย”
“...”
“ผิดขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันหันกลับไปมองเขาทันที แล้วก็ผงะไปเมื่อเห็นว่าร่างสูงขยับตัวมาใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และพอเขาเห็นฉันสบตาด้วย ฉลามดุก็ท้าวแขนเข้ากับโต๊ะหินอ่อนทางด้านหลัง แล้วเลื่อนใบหน้าเข้ามาอย่างไม่แคร์สายตาของคนอื่นที่มองมาทางนี้เลย
“อะ... ใกล้เกินไปแล้ว” ฉันท้วงเขาแล้วเอากระเป๋ามาบังหน้าเอาไว้ ร่างสูงชะงักไป เขาถอยหลังในทันที แล้วเริ่มหัวเราะ
“ไม่ได้สักที” เขาพึมพำอะไรสักอย่าง แล้วฉันก็เริ่มอยากให้ส้มหวานมาที่นี่เร็วๆ เพราะฉันเริ่มรับมือกับเขาไม่ถูกแล้ว “เธอใจอ่อนเมื่อไหร่... เราจะไม่ปล่อยให้หนีแน่คอยดู”
ฉันเบิกตากว้าง มองเขาที่ยกไฟแช็คมาเปิดปิดเล่น ฉลามดุไม่ยอมลุกไปซะที เอาแต่นั่งข้างๆ ฉันจนกระทั่งฉันเห็นร่างบางของส้มหวานที่เดินบึ่งเข้ามาในประตูมหาลัย
“ส้ม... ส้มมาแล้วล่ะ” ฉันพูดกับเขา แล้วร่างสูงก็ยืดตัวมองตาม
“เห็นแล้ว” เขาตีหน้าเซ็ง ในขณะที่ทันทีที่มาถึงตัวส้มหวานก็เริ่มบ่นอุบ
“พี่หลาม! วันหน้าวันหลังอย่าลากนิ้งไปฉุกละหุกแบบนั้นอีกนะ อย่างน้อยก็บอกกันก่อน” เธอเอ็ดฉลามดุเป็นอย่างแรกยังกะสนิทกันมานาน แล้วเขาก็ทำหน้าตายใส่ “ยังจะมาทำหน้าแบบนั้นอีก รู้มั้ยว่าน้องตกใจแค่ไหนเนี่ย อยู่ดีๆ ก็ลากนิ้งออกไปเลย!”
“ก็พี่แค่อยากอยู่กับนิ้ง” เขาตอบสั้นๆ แต่กลับทำให้ฉันตัวแข็งทื่อได้อย่างไม่น่าเชื่อ “ทำไมทุกคนถึงมองพี่ผิดๆ แบบนั้นกันนักวะ”
“พี่...!” ส้มหวานตั้งท่าจะพูดอะไรสักอย่าง หากแต่ว่าฉลามดุกลับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเสียก่อน เขามองหน้าฉัน แล้วเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพร้อมกับล้วงกระเป๋ากางเกงของตัวเอง
“เลิกเรียนแล้วโทรมาเบอร์ที่พี่โทรไปนะ” เขาตบบ่าของส้มหวานเบาๆ แล้วเดินออกไปโดยไม่หันมามองหน้าฉันเลย แล้วนั่นก็ทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่า...
“ผิดเหรอ... ที่ไม่มีสิทธิ์แต่หวงเธอเนี่ย”
“ทำไมทุกคนถึงมองพี่ผิดๆ แบบนั้นกันนักวะ”
เขาพูดเหมือนกำลังน้อยใจฉันเลย
จบคลาสแล้ว และฉันก็ได้แต่ยืนกระวนกระวายใจอยู่ข้างๆ ส้มหวาน
ให้ตายเถอะ ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักหน่อย เจอกันไม่กี่วันเอง แถมอีกฝ่ายก็เอาแต่จะวู่วามใส่อยู่ท่าเดียว แล้วทำไมฉันจะต้องมากังวลเรื่องที่เขาทำท่าเหมือนน้อยใจฉันด้วยนะ
“ส้มโทรหาพี่หลามแปปนะนิ้ง” ส้มหวานหันมาพูดกับฉันที่บังเอิญหันมามองหน้าเธออย่างขออนุญาตโดยไม่รู้ว่าทำไม ฉันแสร้งทำเป็นไม่สนใจตอนเธอยกโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ก็แอบเงี่ยหูฟังเสียงปลายสายเมื่อเธอเริ่มพูดเมื่อฝั่งนั้นรับสายแล้ว “ฮัลโหล พี่หลาม! เลิกเรียนแล้วนะ”
[เหรอ] ฉันได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา มันชัดมากเพราะส้มหวานเปิดสปีกเกอร์โฟนต่อหน้าฉันเลยหลังจากเห็นว่าฉันเอียงหน้าไปทางโทรศัพท์ของเธอมากเกินไปหน่อย ทำเอาหน้ามานไปเลยเมื่อเห็นว่าเธอจับได้ว่าฉันแอบฟังอยู่
เปล่าสนใจสักหน่อย
“พี่จะพูดแค่นี้เหรอ” เธอถามปลายสายและเหลือบมองฉัน แล้วฉันก็ทำเมินหน้าหนีไปมองทางอื่น
[อ่า... รู้แล้วว่าเลิกเรียน]
“...”
[ฝากบอกนิ้งด้วยว่าวันนี้พี่ไม่ว่าง] ฉลามดุตัดสายไปในทันที ในขณะที่ฉันชะงักไป น้ำเสียงของเขาดูเรียบเฉยมากเลย จนกระทั่งส้มหวานเอาโทรศัพท์ออกแล้วเริ่มบ่น
“อะไรของพี่เค้าเนี่ย เสียมารยาทสุดๆ ตัดสายใส่ได้ยังไง” เธอทำหน้ามุ่ยตอนมองฉันที่นิ่งไป “งั้นเรากลับกันเถอะนิ้ง ดูพี่เค้าจะไม่ว่างนะ”
“อะ... อื้อ” ฉันพยักหน้าอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วต่อมาก็โดนแรงจับจูงของส้มหวานให้เดินไปขึ้นสองแถวอีกฝั่งหนึ่ง ฉันถอนหายใจตอนขึ้นไปนั่ง แล้วก็ถอนหายใจอีกเมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู
เขาน้อยใจฉันเหรอ? หรือว่าเขาจะไม่จริงจังกับฉันกันแน่นะ
... ถ้าจะไม่มารับ ก็น่าจะส่งไลน์มาบอกกันบ้างสิ
“... อะ” ฉันสะดุ้งเมื่อเผลอคิดแบบนั้นออกไป เธอคิดอะไรอยู่นะคะนิ้ง เธอไม่ได้รอเขาสักหน่อย ตอนที่เรียนอยู่เธอแทบไม่นึกถึงเขาด้วยซ้ำ ถึงเขาจะมาหรือไม่มา จะจริงใจหรือไม่จริงใจเธอก็ไม่เห็นต้องไปสนใจเลยนี่
ใช่ ไม่เห็นจะต้องไปสนใจเลย
ฉันพยักหน้ากับตัวเอง เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีก
จนกระทั่ง...
ดึกแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืด แต่ก็ไม่มีเสียงโทรศัพท์สั่นเลยสักนิด
แต่ฉันไม่ได้กระวนกระวายใจเลยนะ ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือของส้มหวานที่เราจะผลัดกันมานั่งทำเวลามีงาน ในขณะที่ส้มเล่นโน้ตบุ๊คอยู่บนเตียง
ฉันเอาโทรศัพท์ไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงเลยล่ะ ถึงใครจะโทรมาฉันก็ไม่ได้ยิน...
“นิ้ง! พี่หลามโทรมา”
ฉันแทบจะหันไปทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ต่อมาก็หันหน้าหนี แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ระ... เหรอจ๊ะ ส้มรับให้หน่อยสิ”
“โอเค” เธอกดรับทันที ถึงแม้ว่าตอนแรกฉันอยากจะทิ้งไว้จนเขากดวางไปเอง แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนี้ “พี่หลามเหรอ! ส้มพูดนะ พอดีนิ้งอ่านหนังสืออยู่”
“...”
“อ้อ นิ้งไม่ว่าหรอก แค่อ่านทวนของวันนี้น่ะ ใกล้จะจบแล้ว ส้มแอบดูอยู่” ฉันตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินแบบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉลามดุคงคิดว่าฉันยุ่งอยู่เรื่องอ่านหนังสือ แต่ทว่า... “ฮะ? พี่อยู่หน้าหอเหรอ ยามไม่ให้เข้า?”
“...”
“โอเคๆ เดี๋ยวส้มบอกนิ้งให้”
ติ๊ด
ฉันได้ยินเสียงเธอวางสาย จนกระทั่งส้มหวานวางโทรศัพท์ฉันลงที่เดิมแล้วพูดขึ้น
“นิ้ง พี่หลามรออยู่หน้าหอเราอ่ะ นิ้งลงไปรับเขาขึ้นมาหน่อยสิ”
อะ... อะไรนะ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้สองเท้าของฉันก็ยืนอยู่หน้าหอพักของตัวเองแล้วไม่รู้ว่าส้มหวานอยากจับคู่ฉันกับฉลามดุอะไรขนาดนั้น เธอพยายามผลักดันฉันให้ลงไปข้างล่างด้วยตัวเองให้ได้เลย ในขณะที่ตัวเองก็นอนเล่นโน๊ตบุ้คอย่างสบายใจให้ตายสิ นี่ส้มไม่รู้เลยรึไงนะว่าฉันโดนเขาโกรธอยู่น่ะเขาอยู่นั่นแล้ว ตรงลานจอดรถข้างหน้าตึกใกล้ป้อมยามนี่เองฉันเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจยืนแอบอยู่ข้างๆ เสาข้างหน้าหออย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อทันทีที่ลงไปก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกับรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคย ฉลามดุสูบบุหรี่อีกแล้ว เขานั่งหันเสี้ยวหน้าด้านข้างมาทางที่ฉันยืนอยู่ ร่างสูงเสยผมขึ้น แล้วเริ่มพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างเงียบเชียบฉันค่อยๆ โผล่หน้าออกไป แล้วก็เป็นจังหวะที่ร่างสูงหันมามองทางนี้พอดีทันทีที่เห็นเขาก็กวักมือเรียกฉันให้เดินเข้ามาหา แล้วทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นในวินาทีนั้นฉันอึกอักนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะยังโกรธหรือน้อยใจฉันอยู่รึเปล่า แต่พอเดินเข้าไปใกล้ตัวร่างสูงที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์แล้ว ข้อมือของฉันก็ถูกคว้าไปใกล้เขาอีกนิดอย่างไม่ทันตั้งตัว“อะ... ปล่อยนะ” ฉันตกใจและดันเขาออกทันที ในขณะที่เงยหน้ามองฉล
[พาร์ท : ฉลามดุ]คืนนี้ผมฝันดีแน่นอน“ยิ้มอะไรของมึง ดูๆ ไปแล้วเหมือนฆาตกรโรคจิต เห็นแล้วคลื่นไส้” ผมหันไปตามต้นเสียง แล้วก็เห็นเจ๊เพทเดินเข้ามาในขณะที่โยนกระป๋องเบียร์ส่งให้ผมหลังจากที่ผมขับจากหอพักของนิ้งและแวะมาที่นี่ “แดกให้หมดนะ กูเลี้ยง”เธอชื่อ ‘เพทาย’ เป็นผู้หญิงคนเดียวในประวัติกาลที่เป็นหัวหน้าเด็กช่างแถวๆ นี้ เธอเป็นเจ๊ใหญ่ของที่นี่ แล้วเผอิญว่าผมรู้จักกับไอ้พัสน้องชายของเจ๊แกด้วยไง ก็เลยแวะมาที่อู่ของมัน อีกอย่างเพราะผมทำงานอยู่ที่นี่เป็นประจำด้วยผมก็แค่อยากรีบมาเอารถไปรับนิ้ง“เออ มีเรื่องดีๆ” ผมตอบแล้วเปิดกระป๋องเบียร์อย่างอารมณ์ดี ส่วนผู้หญิงในชุดหนังแบบโคตรแมนก็เดินมาเคาะรถที่ผมมาเอาสองสามที ก่อนที่เธอจะนั่งลงตรงฝากระโปรงรถ“เรื่องไร ผู้หญิงเหรอ?” ผมฉีกยิ้มกลับไปแทนคำตอบ แล้วเจ๊ก็แค่นหัวเราะ “อยากรู้ว่าครั้งล่าสุดที่มึงยิ้มทุเรศแบบนี้คือตอนไหน ตอนคบกับไอ้พราวปะ?”พราวที่ว่าเป็นแฟนคนก่อนที่ผมเพิ่งเลิกไป เพราะเธอมีคนอื่น แถมคนอื่นที่ว่าก็เป็นคนที่โคตรเหม็นขี้หน้า จำได้ว่าตอนนั้นผมวูบไปหลายอาทิตย์“ก็แค่แฟนเก่า” ผมแค่นหัวเราะตามบ้างแล้วกระดกเบียร์เข้าคอ “เลิกไปจะเป็นชาติ
ย้อนไปในเวลาเดียวกัน...[พาร์ท : ฉลามดุ]ผมแทบตาสว่างเมื่อนิ้งโทรมา และตาสว่างเข้าไปอีกเมื่อเธอพูดประโยคนี้[นิ้งรอฉลามนานแล้วนะ] ผมเหมือนหูฝาด ก็เลยหรี่ตาฟังเธอเงียบๆ โดยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาแทน“...”[นึกว่าจะตื่นแล้ว รีบมาหาได้มั้ยคะ]ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันที หัวใจเต้นโครมครามไปหมดเมื่อเพิ่งรู้ว่าตัวเองหูไม่ฝาด นิ้งเป็นคนพูดจริงๆ ว่ะ เธอแทนตัวเองว่านิ้ง แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแบบเด็กๆ ด้วยวันนี้มันวันดีอะไรวะ กูตายแล้วเหรอ แต่ทำไมเห็นสวรรค์ชัดจังเลย“... ได้ดิ” ผมสะกดอารมณ์แล้วพยายามควบคุมเสียงให้นิ่งที่สุด ไม่อยากตื่นตูมไปเอง เธออาจจะแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรก็ได้ “เดี๋ยวจะรีบออกไป”[อะ... อื้อ]“ห้ามหนีไปไหนนะ” แต่พอเห็นว่าเธอครางรับสั้นๆ ผมก็รู้สึกโลภขึ้นมา ก็เลยมีข้อต่อรองนิดหน่อย[อื้อ]“ถ้าหนีเราจะไปตามถึงหน้ามหาลัยเลย”[อะ... อื้อ! รีบมาเลยนะ] เสียงเธอแกว่งไปนิดๆ ด้วยว่ะ [ถ้าไม่รีบมานิ้งก็จะไม่รอแล้ว]“...”[จะไม่รอจริงๆ นะ]“รู้แล้วครับผม! จะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ เลิกทำเสียงแบบนั้น” ผมแทบจะสบถออกมา ใจสั่นไปหมดแล้วตอนนี้ โคตรชอบเสียงแบบนี้ของเธอ แต่ในขณะเดียวกันพอคิดว
“เค้าว่าช่วงนี้มีเด็กอาชีวะมาตีกันหน้ามหาลัยของเราบ่อยๆ ด้วยล่ะ”“เอ้ะ น่ากลัวอ่ะ” ฉันทำสีหน้าหวาดหวั่นเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมคณะที่มักจะเดินกลับด้วยกันบ่อยๆ โพล่งขึ้นมาในระหว่างที่เก็บกระเป๋าจากม้านั่ง เธอชื่อส้มหวาน เป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ถึงแม้ว่าเธอจะชอบทำตัวเหมือนผู้ชายไม่เข้ากับชื่อหวานๆ นั่นก็ตาม “แต่ปกติเราก็กลับบ้านกันปลอดภัยดีนะ”“แน่ล่ะ เธอเคยสนใจใครที่ไหน มันตีกันอยู่อีกซอยเธอจะเห็นได้ยังไงล่ะนิ้ง” พูดแล้วก็หยิกแก้มฉันแรงๆ อย่างกลั่นแกล้งจนฉันต้องร้องเสียงอ่อยอย่างเจ็บปวดแต่ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องนั้น ฉันจะขอแนะนำตัวเองก่อนสักเล็กน้อยนะคะฉันชื่อ ‘คะนิ้ง’ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 2 คณะอักษรศาสตร์ เป็นคนเรียบร้อยและสดใส แล้วก็มีเพื่อนอยู่ไม่กี่คนในที่นี่ ซึ่งในกลุ่มเพื่อนๆ เหล่านั้นก็มีแค่ส้มหวานเท่านั้นล่ะที่ฉันไว้ใจที่สุดประวัติของฉันไม่มีอะไรน่าสนใจมากหรอกค่ะ ฉันอยู่หอนอกกับส้มหวาน เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ใช้ชีวิตปกติเหมือนนักศึกษาทั่วๆ ไปใช่ค่ะ ฉันคือผู้หญิงปกติแต่... แต่ตอนนี้ชักเริ่มรู้สึกไม่ปกติเท่าไหร่แล้ว“เธอชื่ออะไรวะ”ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อเดินไปไม่กี่ก้าวก็ปะทะเข้ากั
“เราแอดไลน์เธอไปแล้ว รับตอนนี้เลยดิ”ฉันอ้าปากค้าง มองเขาที่นั่งซ้อนหลังอย่างไม่รู้จะทำยังไง เพราะตั้งแต่ที่ เอ่อ... ฉลามดุพูดให้ฉันเรียกชื่อเขาแบบนั้นแล้ว ฉันก็ได้แต่ก้มหน้างุดมองโทรศัพท์ของเขาอย่างไม่กล้าสบตาคนข้างหลังอีกเลย ก็ดูเขาสิ เจอกันยังไม่ถึงชั่วโมง (หรือถึงแล้วนะ) เขาก็เล่นรุกฉันแรงขนาดนี้แล้วและพอเห็นว่าฉันไม่ตอบอีก เขาก็เลยสะกิดไหล่ฉันเบาๆ “เหม่ออะไรนิ้ง”“อะ... เปล่า” อะไรเนี่ย เรียกชื่อเหมือนสนิทสนมกันแบบนั้นอ่ะ “ชื่อไลน์อะไรเหรอคะ”“อะไร หน้าเราก็อยู่นี่ เธอมองหน้าเราดิ ไลน์เราก็หน้าเรานี่แหละ” เขาพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่การที่คว้าคางฉันให้หันไปมองหน้าดุๆ ของเขาตามคำพูดด้วยมันคืออะไรกันอ่ะ! ฉันไม่ได้อยากดูหน้าเขาซะหน่อย ฉันจำหน้าเขาได้นะ ฮือ “เอ้า มองให้พอใจ”“ปล่อยคางนะ” ฉันพูดเสียงสั่นๆ แล้วร่างสูงก็ทำสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ยอมปล่อยอย่างว่าง่าย “คะ คุณก็บอกชื่อไลน์มาก็จบแล้ว”“ชื่อไลน์ ‘พี่หลามคนจริง’ ไง” ฉันหน้าแดงไปหมดเมื่อได้ยินชื่อไลน์ของเขา อะ... อายแทน อายแทนจริงๆ เลย กล้าตั้งชื่อแบบนี้ได้ยังไงเนี่ยฉันหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา ในขณะที่จะปลดล็อกหน้าจอโดยมีสายตาของฉ
สุดท้ายฉันก็จนใจ ไม่กล้าตัดสายด้วย เลยเอาโทรศัพท์มาแนบหู[เฮ้ย รับแล้ว! เฮ้ย เค้ารับโทรศัพท์กูว่ะไอ้เดี่ยว!] ฉันเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูทันทีที่กดรับสายเสียงตะโกนท่าทางดีใจสุดๆ ของฉลามดุก็ดังขึ้นลั่นโทรศัพท์เหมือนเด็กเวลาที่ได้รถบังคับที่ถูกใจ ก่อนที่เหมือนจะเป็นเสียงของเขาที่ตีกันกับใครสักคน มีเสียงปาข้าวของด้วย จนกระทั่งเสียงทุ้มกลับมาทักอีกครั้ง [ไง]“อะ... โทรมามีอะไรเหรอ” เสียงของฉันสั่นและเบามาก ฉันได้ยินเขาหัวเราะ แล้วพอฉลามดุตอบกลับมาเท่านั้นแหละ[คิดถึงจะตาย] ฉันก็... อยู่ดีๆ ก็ตัวชาไปหมดเลย [เราไม่ชอบพิมพ์ข้อความ ชอบคุยต่อหน้ามากกว่าไง]“...”[แต่พอเธอกลับห้องเราก็ไม่รู้จะเจอหน้ายังไง ก็เลยโทรหา] ฉันฟังเสียงเขาเงียบๆ เพราะอายจนไม่กล้าที่จะพูดอะไร จนเสียงทุ้มต่ำดูเท่นิดๆ ของเขาดังขึ้นอีก [ไม่นอนเหรอนิ้ง]“ก็คุณโทรมา...” ฉันพูดเสียงอ่อน แล้วเขาก็หัวเราะในลำคอ[เฮ้ย เราก็แค่จะมากล่อมเธอนอนไง] เขาพูด [เผื่อจะฝันถึงเราไรงี้]“มะ... ไม่ฝันหรอก”[เออก็ได้ ไม่ฝันก็ไม่ฝันวะ] เสียงของเขากลั้วหัวเราะอยู่ตลอดเวลาเหมือนเจ้าตัวมีความสุขมากมาย ก่อนที่เสียงเขาจะห่างออกไปเหมือนกำลังคุยกับเพื่
ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนที่จะต้องเด้งตัวขึ้นมาเพราะลืมไปว่าโทรสายกับฉลามดุค้างไว้ พอกดเปิดโทรศัพท์ดูฉันก็ต้องเบิกตากว้างสายยังไม่ถูกกดวางเลยอ่ะ! นี่ฉันโทรคุยกับเขาทั้งคืนเลยเหรอแต่ฉันจำได้ว่าฉันหลับไปก่อนนะ แล้ว... แล้วเขาก็ไม่ยอมกดวางงั้นเหรอพอคิดได้แบบนั้นฉันก็รีบเอาโทรศัพท์แนบหูว่าเขาจะยังตื่นอยู่มั้ย มองไปที่นาฬิกาเล็กๆ บนโต๊ะข้างหัวเตียงก็เห็นว่านี่มันแปดโมงกว่าๆ แล้ว ส้มหวานยังไม่ตื่นเลย ขี้เซาจริงๆ“ฮะ... ฮัลโหล” ฉันตัดสินใจโพล่งขึ้นมาในสายอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วก็ได้ยินเสียงเขากรน เอ่อ...[... งืม] เขาละเมอด้วยอ่ะ [อยากเจอ...]“...!”[เมื่อไรจะได้เจอ] ฉันหน้าร้อนไปหมด เขาพูดเหมือนเขาตื่นอยู่เลย แต่ฉันว่าเขาละเมอนะ เสียงฉลามดุดูอู้อี้มากเลยอ่ะ [... เช้ายังเนี่ย]ฉันเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรจนกระทั่งได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังโครม ในขณะที่เสียงละเมอของคนในสายจะกลายเป็นเสียงตวาดลั่น[ห่าเดี่ยว! มึงถีบกูอีกแล้วนะ ละเมอทีไรถีบกูตลอด กูไม่ใช่กระสอบทรายนะไอ้เหี้...!!]ติ๊ดฉันรีบกดวางสายทันทีเมื่อรู้ว่าเขาตื่นแล้วแถมสบถเสียงดังด้วย ไม่อยากให้เขารู้ตัวว่าฉันแอบฟังอยู่ แล้วรีบวางโ
มีความรู้สึกว่าคิ้วขวากระตุกอยู่ตลอดเวลาเลยอ่ะไม่รู้ว่านี่เป็นลางร้ายหรืออะไรรึเปล่านะ แต่รู้สึกไม่ดีเลย“นิ้ง จะกลับหอเลยหรือไปหาอะไรกินก่อนดี มีเรียนอีกทีตั้งสี่โมงแน่ะ”ฉันหันไปมองส้มหวานที่เก็บชีทเรียนใส่กระเป๋าสะพายอย่างไม่รีบร้อน หลังจากเรียนคลาสแรกของวันจบฉันกับส้มหวานก็ลงมานั่งคุยเล่นกันที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวประจำ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะแยะกว่าที่จะเรียนคลาสต่อไป ฉันเลยสลัดความคิดเรื่องลางร้ายอะไรนั่นออกไปแล้วเริ่มครุ่นคิดฉันเองก็ยังไม่อยากกลับไปนอนที่หอด้วย เพราะอย่างนั้น“นิ้งอยากกินนมปั่นอ่ะ”“บังเอิญจัง! ส้มก็อยากกิน” ส้มหวานมีสีหน้าเปี่ยมสุขที่เจอคนที่ใจตรงกัน ในขณะที่จะกอดคอฉันแล้วลากให้เดินไปยังหน้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน “แล้วเดี๋ยวแวะร้านเค้กหน้ามหาลัยกันด้วยดีกว่า อยากกินชอตเค้กอ่ะ”“กินเยอะๆ เดี๋ยวอ้วนนะส้ม”“ไม่สนอ่ะ ยังไงก็ยังสวยอยู่ดี” ฉันหัวเราะกับมุขตลกของเธอและยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะส้มเป็นคนสวยและน่ารัก ในขณะที่จะเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนออกนอกประตูมหาลัย แต่ก็ยังไม่วาย...“เอ้ย นิ้ง” ส้มหวานกระตุกแขนฉันให้หันไปมองด้านซ้าย แล้วฉันก็ตกใจเมื่อเห็นคนที่นั่งสูบบุหรี่บนร
ย้อนไปในเวลาเดียวกัน...[พาร์ท : ฉลามดุ]ผมแทบตาสว่างเมื่อนิ้งโทรมา และตาสว่างเข้าไปอีกเมื่อเธอพูดประโยคนี้[นิ้งรอฉลามนานแล้วนะ] ผมเหมือนหูฝาด ก็เลยหรี่ตาฟังเธอเงียบๆ โดยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาแทน“...”[นึกว่าจะตื่นแล้ว รีบมาหาได้มั้ยคะ]ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันที หัวใจเต้นโครมครามไปหมดเมื่อเพิ่งรู้ว่าตัวเองหูไม่ฝาด นิ้งเป็นคนพูดจริงๆ ว่ะ เธอแทนตัวเองว่านิ้ง แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแบบเด็กๆ ด้วยวันนี้มันวันดีอะไรวะ กูตายแล้วเหรอ แต่ทำไมเห็นสวรรค์ชัดจังเลย“... ได้ดิ” ผมสะกดอารมณ์แล้วพยายามควบคุมเสียงให้นิ่งที่สุด ไม่อยากตื่นตูมไปเอง เธออาจจะแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรก็ได้ “เดี๋ยวจะรีบออกไป”[อะ... อื้อ]“ห้ามหนีไปไหนนะ” แต่พอเห็นว่าเธอครางรับสั้นๆ ผมก็รู้สึกโลภขึ้นมา ก็เลยมีข้อต่อรองนิดหน่อย[อื้อ]“ถ้าหนีเราจะไปตามถึงหน้ามหาลัยเลย”[อะ... อื้อ! รีบมาเลยนะ] เสียงเธอแกว่งไปนิดๆ ด้วยว่ะ [ถ้าไม่รีบมานิ้งก็จะไม่รอแล้ว]“...”[จะไม่รอจริงๆ นะ]“รู้แล้วครับผม! จะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ เลิกทำเสียงแบบนั้น” ผมแทบจะสบถออกมา ใจสั่นไปหมดแล้วตอนนี้ โคตรชอบเสียงแบบนี้ของเธอ แต่ในขณะเดียวกันพอคิดว
[พาร์ท : ฉลามดุ]คืนนี้ผมฝันดีแน่นอน“ยิ้มอะไรของมึง ดูๆ ไปแล้วเหมือนฆาตกรโรคจิต เห็นแล้วคลื่นไส้” ผมหันไปตามต้นเสียง แล้วก็เห็นเจ๊เพทเดินเข้ามาในขณะที่โยนกระป๋องเบียร์ส่งให้ผมหลังจากที่ผมขับจากหอพักของนิ้งและแวะมาที่นี่ “แดกให้หมดนะ กูเลี้ยง”เธอชื่อ ‘เพทาย’ เป็นผู้หญิงคนเดียวในประวัติกาลที่เป็นหัวหน้าเด็กช่างแถวๆ นี้ เธอเป็นเจ๊ใหญ่ของที่นี่ แล้วเผอิญว่าผมรู้จักกับไอ้พัสน้องชายของเจ๊แกด้วยไง ก็เลยแวะมาที่อู่ของมัน อีกอย่างเพราะผมทำงานอยู่ที่นี่เป็นประจำด้วยผมก็แค่อยากรีบมาเอารถไปรับนิ้ง“เออ มีเรื่องดีๆ” ผมตอบแล้วเปิดกระป๋องเบียร์อย่างอารมณ์ดี ส่วนผู้หญิงในชุดหนังแบบโคตรแมนก็เดินมาเคาะรถที่ผมมาเอาสองสามที ก่อนที่เธอจะนั่งลงตรงฝากระโปรงรถ“เรื่องไร ผู้หญิงเหรอ?” ผมฉีกยิ้มกลับไปแทนคำตอบ แล้วเจ๊ก็แค่นหัวเราะ “อยากรู้ว่าครั้งล่าสุดที่มึงยิ้มทุเรศแบบนี้คือตอนไหน ตอนคบกับไอ้พราวปะ?”พราวที่ว่าเป็นแฟนคนก่อนที่ผมเพิ่งเลิกไป เพราะเธอมีคนอื่น แถมคนอื่นที่ว่าก็เป็นคนที่โคตรเหม็นขี้หน้า จำได้ว่าตอนนั้นผมวูบไปหลายอาทิตย์“ก็แค่แฟนเก่า” ผมแค่นหัวเราะตามบ้างแล้วกระดกเบียร์เข้าคอ “เลิกไปจะเป็นชาติ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้สองเท้าของฉันก็ยืนอยู่หน้าหอพักของตัวเองแล้วไม่รู้ว่าส้มหวานอยากจับคู่ฉันกับฉลามดุอะไรขนาดนั้น เธอพยายามผลักดันฉันให้ลงไปข้างล่างด้วยตัวเองให้ได้เลย ในขณะที่ตัวเองก็นอนเล่นโน๊ตบุ้คอย่างสบายใจให้ตายสิ นี่ส้มไม่รู้เลยรึไงนะว่าฉันโดนเขาโกรธอยู่น่ะเขาอยู่นั่นแล้ว ตรงลานจอดรถข้างหน้าตึกใกล้ป้อมยามนี่เองฉันเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจยืนแอบอยู่ข้างๆ เสาข้างหน้าหออย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อทันทีที่ลงไปก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกับรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคย ฉลามดุสูบบุหรี่อีกแล้ว เขานั่งหันเสี้ยวหน้าด้านข้างมาทางที่ฉันยืนอยู่ ร่างสูงเสยผมขึ้น แล้วเริ่มพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างเงียบเชียบฉันค่อยๆ โผล่หน้าออกไป แล้วก็เป็นจังหวะที่ร่างสูงหันมามองทางนี้พอดีทันทีที่เห็นเขาก็กวักมือเรียกฉันให้เดินเข้ามาหา แล้วทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นในวินาทีนั้นฉันอึกอักนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะยังโกรธหรือน้อยใจฉันอยู่รึเปล่า แต่พอเดินเข้าไปใกล้ตัวร่างสูงที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์แล้ว ข้อมือของฉันก็ถูกคว้าไปใกล้เขาอีกนิดอย่างไม่ทันตั้งตัว“อะ... ปล่อยนะ” ฉันตกใจและดันเขาออกทันที ในขณะที่เงยหน้ามองฉล
ฟะ... แฟนเหรอ!ฉันทำหน้าเหวอทันทีเมื่อได้ยินเขาพูดเธอไปแบบนั้น พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าคนตัวโตก็กำลังสบตาฉันอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเราอยู่ในระยะประชิดเพราะเขากอดฉันไว้แนบไหล่ ฉันเบนสายตาไปที่มือของตัวเองที่ยื้อไหล่ของฉลามดุเอาไว้จากเหตุการณ์กะทันหันเมื่อครู่ แล้วอยู่ดีๆ หน้าก็ร้อนขึ้นมาแฟนอะไรกัน ไม่ใช่สักหน่อย“เอ้ะ เราไม่เห็นรู้เลย” ผู้หญิงคนนั้นหน้าเสียไป ก่อนที่เธอจะหันมามองหน้าฉันอย่างงุนงง “แต่เราไม่เห็นได้ข่าวเลยว่าคะนิ้งดาวคณะอักษรจะมีแฟน”อะ... อะไรน่ะ เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ“ดาวคณะ?” ฉลามดุทวนเสียงเข้มทันที ก่อนที่เขาจะก้มลงมามองฉันที่ก้มหน้างุด “จริงเหรอนิ้ง”“อะ... อื้อ” ฉันตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้มอย่างไม่ค่อยอยากจะพูดถึงนัก ฉันไม่ค่อยชอบตำแหน่งนี้มาตั้งแต่แรก พยายามจะขอออกอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จสักที ทั้งๆ ที่ฉันพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่นมากแล้วนะ เธอก็ยังจำได้อีก“แม่ง...” แต่ที่ผิดคาดกว่าคือฉลามดุดันสบถออกมาเหมือนไม่สบอารมณ์ แล้วกำชับอ้อมแขนแน่นขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน “งี้คนก็จ้องแต่จะแอ้มเธออ่ะดิ ดีกรีดาวคณะไม่มีใครไม่อยากได้หรอก”ฉันทำหน้างง ส่วนผู้หญิงคนนั้นยังค
ผมโมโหมาก ตั้งแต่เริ่มแดกยันจ่ายเงินจนตอนนี้ผมขับรถมาส่งนิ้งที่หน้ามหาลัยก็ยังหงุดหงิดไม่หาย นี่ถ้าไอ้เด็กเสิร์ฟนั่นมันทำมากกว่านั้นนะผมจะไม่ทำอะไรมันหรอก เชื่อดิ แต่จะพังร้านแม่งเลยคะนิ้งยังมีท่าทางงุนงงไม่หาย ตอนที่เธอลงจากรถแล้วส่งหมวกกันน็อคให้ผม ผมพยายามแล้วที่จะไม่หงุดหงิดใส่เธอ แต่ก็เผลอกระชากหมวกกันน็อคมาอย่างรุนแรงนิดหน่อย นิ้งเซไปนิดๆ แล้วผมก็คว้าเอวเธอไว้อย่างเพิ่งรู้สึกตัว“เฮ้ย ขอโทษ” เธอทำหน้าเหวอ ส่วนผมก็ได้แต่ขยี้หัวแรงๆ ในขณะที่จะผละมือออกเมื่อเธอทรงตัวได้แล้วร่างเล็กก็ดันมือผมออก “เราโทรไปหาส้มหวานอะไรนั่นของเธอแล้วนะ เดี๋ยวเพื่อนเธอจะตามมาทีหลัง”ใช่ เพราะโทรศัพท์ของคะนิ้งแบตหมดผมก็เลยอาสาจะโทรหาเพื่อนเธอให้ ถึงแม้ตอนแรกเธอจะมีท่าทีไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกเลยให้ผมโทรให้อยู่ดีถึงผมจะหงุดหงิด แต่เธอก็คือที่หนึ่งในใจผมนะรู้ตัวไว้ซะด้วย“อะ... โอเค” เธอพยักหน้า “งั้นหนูไปแล้วนะคะ ขอบคุณที่เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวค่ะ”เธอพูดขอบคุณเสร็จก็พร้อมจะหมุนตัวหนีเข้ารั้วมหาลัย แล้ววินาทีนั้นผมก็เห็นว่าผู้ชายที่เดินเข้าออกประตูหน้ามหาลัยเอาแต่มองตัวเล็กๆ ที่สมส่วนของคะนิ้
ฉันเหวอ มองเขาที่ตบที่นั่งที่ยังว่างข้างๆ ด้วยสีหน้าเชิญชวน จะเดินออกจากห้องฉันก็ไม่รู้ทางกลับอยู่ดี และถ้าจะให้ไปนั่งข้างๆ เขาหรือนอนค้างห้องเขาล่ะก็... ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกทำอะไรบ้าง“แต่... เราเพิ่งคุยกันได้แค่สองวันเอง” ฉันยืนนิ่ง แล้วพูดกับเขาด้วยสีหน้าตื่นกลัว “แถมคุณก็เป็นผู้ชายนะคะ หนูนอนค้างที่นี่ไม่ได้หรอก”“...”“หนูอยากกลับบ้าน”“ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอก็ไว้ใจเราดิ” ฉลามดุเลิกคิ้ว ดูเหมือนคำตอบของฉันจะไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากฟังเท่าไหร่ ก็ใช่อยู่แล้วล่ะ “นี่มันก็จะเย็นแล้ว เป็นผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มันอันตรายไม่ใช่เหรอวะ”“แต่... หนูมีเรียนตอนสี่โมง” ฉันก้มหน้างุด ไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม“ไม่เห็นต้องเรียนเลย ขาดสักคาบจะเป็นไรไป”และเมื่อได้ยินฉลามดุพูดแบบนั้นอย่างไม่แยแส ฉันก็นิ่งอึ้งไปในทันที“...”“เงียบ? เป็นไร” เขาถามแล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินเข้ามาหา แล้ววินาทีนั้นจู่ๆ น้ำตาของฉันก็ร่วงเผาะลงมาด้วยความอึดอัดจนเขาแทบผงะถอยหลัง “เฮ้ย ร้องไห้เหรอนิ้ง”จะเพราะใครอีกล่ะ ก็เขานั่นแหละ“ฮือ นิ้งอยากกลับบ้าน... ให้นิ้งกลับบ้านเถอะนะ” ฉันชอบเรียกชื่อแทนตัวเองเวลาที่อยากจะอ้อ
และสุดท้ายมันก็จบลงที่ฉันต้องมานั่งทำแผลให้เขา“แล้วไปทำยังไงให้โดนบาดได้ล่ะ”ฉันถามเขาในขณะที่วางกล่องปฐมพยาบาลอยู่บนหน้าตัก เสียงไม่ค่อยสั่นเท่าไหร่แล้วเพราะตอนนี้ฉันนั่งห่างจากเขามาก เพิ่งเห็นว่าพอเอาแขนเสื้อขึ้นมาต้นแขนของฉลามดุจะเป็นแผลเหมือนโดนมีดบาดเป็นทางยาว เลือดไหลลงมาที่ปากแผลเล็กน้อย แต่ตอนที่เขาพูดกับเด็กพวกนั้นก็ไม่เห็นว่าเขาจะแสดงสีหน้าเจ็บปวดอะไรเลย“ก็...” เขาเว้นวรรค แล้วกุมแผลตัวเองไว้ “ตอนนั้นโมโห”“...”“แล้วก็หวงเธอมากจนเลือดขึ้นหน้าไง” พูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวนไม่พอ ยังช้อนตาขึ้นมองฉันด้วยสายตาออดอ้อนด้วย “เจ็บอ่ะเธอ”“แล้ว...” ฉันหน้าแดง แล้วรีบหลบตาเขาทันที “แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกเด็กพวกนั้นไปล่ะ พวกเขาจะได้รับผิดชอบอะไรบ้าง”“เราไม่อยากตัดอนาคตเด็ก” เขาตอบกลับมาทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วแผลมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก พวกมันคงพกมาป้องกันตัว แต่ใช้ผิดวิธีไปหน่อย”“...”“มันยังเรียนอยู่ เราไม่อยากเอาเรื่อง”ฉันมองเขาแล้วเงียบไป นึกเห็นด้วยในใจเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ แล้วหยิบผ้าก็อซกับพวกอุปกรณ์สำหรับทำแผลสดออกมา แต่ก็นึกได้ว่าเขายังไม่ได้ล้างแผลเลย“ปะ... ไปล้างแผลก่อนส
“พี่ฉลาม? พี่ฉลามใช่มั้ย!” เพื่อนทุกคนของเด็กคนนี้มีสีหน้าตกใจ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ดูท่าทางเป็นหัวโจกด้วย แม้แต่ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน “ผมมองตั้งนานนึกว่าใคร พี่ฉลามนี่เอง วันก่อนผมไปเจอพี่เดี่ยวมาด้วย ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีบุญได้เจอไอดอลตัวเป็นๆ”“ว่าไงนะ” ฉลามดุเบิกตากว้าง เหมือนเขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน“ห่าโอ มึงพูดอะไรวะ”“นี่มึงไม่รู้จักพี่ฉลามดุเหรอวะ!” เด็กที่ชื่อโอตบหัวเพื่อนอีกคนที่ถูกฉลามดุดึงคอเสื้อค้างไว้ ในขณะที่เด็กคนนั้นก็ทำตาโตสุดๆ เหมือนเพิ่งนึกออกเหมือนกัน“พี่ฉลามดุที่เป็นคู่หูกับพี่เดี่ยวบางซิ่ง แล้วก็เคยไปถล่มพวกกลุ่มสมิงดำที่โคตรดังคนนั้นอ่ะนะ!!”“เฮ้ย ใช่เหรอวะ คนดังเลยนี่หว่า”“พี่ฉลามผมนี่ FC พวกพี่เลยนะครับ!”เหมือนทุกอย่างจะพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือหลายตลบ ฉันตาลายและงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กพวกนั้นพูดเลยแม้แต่นิด แต่พอหันไปมองผู้ชายคนที่ถูกพูดถึง เขาเองก็หูแดงแถมเริ่มเกาท้ายทอยนิดๆ ด้วยเอ่อ นี่เขาเขินเหรอ?“... ก็นิดหน่อย” เขินจริงๆ ด้วยอ่ะ “ว่าแต่พวกมึงเป็นใคร ยังเด็กอยู่เลยนี่”“พี่ไม่น่าจะรู้จักหรอกครับ พวกผมเรียน ปวช. ปีหนึ่งกำลังห้าวเป้งเลย แต่ได้ยินชื่
มีความรู้สึกว่าคิ้วขวากระตุกอยู่ตลอดเวลาเลยอ่ะไม่รู้ว่านี่เป็นลางร้ายหรืออะไรรึเปล่านะ แต่รู้สึกไม่ดีเลย“นิ้ง จะกลับหอเลยหรือไปหาอะไรกินก่อนดี มีเรียนอีกทีตั้งสี่โมงแน่ะ”ฉันหันไปมองส้มหวานที่เก็บชีทเรียนใส่กระเป๋าสะพายอย่างไม่รีบร้อน หลังจากเรียนคลาสแรกของวันจบฉันกับส้มหวานก็ลงมานั่งคุยเล่นกันที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวประจำ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะแยะกว่าที่จะเรียนคลาสต่อไป ฉันเลยสลัดความคิดเรื่องลางร้ายอะไรนั่นออกไปแล้วเริ่มครุ่นคิดฉันเองก็ยังไม่อยากกลับไปนอนที่หอด้วย เพราะอย่างนั้น“นิ้งอยากกินนมปั่นอ่ะ”“บังเอิญจัง! ส้มก็อยากกิน” ส้มหวานมีสีหน้าเปี่ยมสุขที่เจอคนที่ใจตรงกัน ในขณะที่จะกอดคอฉันแล้วลากให้เดินไปยังหน้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน “แล้วเดี๋ยวแวะร้านเค้กหน้ามหาลัยกันด้วยดีกว่า อยากกินชอตเค้กอ่ะ”“กินเยอะๆ เดี๋ยวอ้วนนะส้ม”“ไม่สนอ่ะ ยังไงก็ยังสวยอยู่ดี” ฉันหัวเราะกับมุขตลกของเธอและยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะส้มเป็นคนสวยและน่ารัก ในขณะที่จะเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนออกนอกประตูมหาลัย แต่ก็ยังไม่วาย...“เอ้ย นิ้ง” ส้มหวานกระตุกแขนฉันให้หันไปมองด้านซ้าย แล้วฉันก็ตกใจเมื่อเห็นคนที่นั่งสูบบุหรี่บนร