ย้อนไปในเวลาเดียวกัน...
[พาร์ท : ฉลามดุ]
ผมแทบตาสว่างเมื่อนิ้งโทรมา และตาสว่างเข้าไปอีกเมื่อเธอพูดประโยคนี้
[นิ้งรอฉลามนานแล้วนะ] ผมเหมือนหูฝาด ก็เลยหรี่ตาฟังเธอเงียบๆ โดยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาแทน
“...”
[นึกว่าจะตื่นแล้ว รีบมาหาได้มั้ยคะ]
ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันที หัวใจเต้นโครมครามไปหมดเมื่อเพิ่งรู้ว่าตัวเองหูไม่ฝาด นิ้งเป็นคนพูดจริงๆ ว่ะ เธอแทนตัวเองว่านิ้ง แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแบบเด็กๆ ด้วย
วันนี้มันวันดีอะไรวะ กูตายแล้วเหรอ แต่ทำไมเห็นสวรรค์ชัดจังเลย
“... ได้ดิ” ผมสะกดอารมณ์แล้วพยายามควบคุมเสียงให้นิ่งที่สุด ไม่อยากตื่นตูมไปเอง เธออาจจะแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรก็ได้ “เดี๋ยวจะรีบออกไป”
[อะ... อื้อ]
“ห้ามหนีไปไหนนะ” แต่พอเห็นว่าเธอครางรับสั้นๆ ผมก็รู้สึกโลภขึ้นมา ก็เลยมีข้อต่อรองนิดหน่อย
[อื้อ]
“ถ้าหนีเราจะไปตามถึงหน้ามหาลัยเลย”
[อะ... อื้อ! รีบมาเลยนะ] เสียงเธอแกว่งไปนิดๆ ด้วยว่ะ [ถ้าไม่รีบมานิ้งก็จะไม่รอแล้ว]
“...”
[จะไม่รอจริงๆ นะ]
“รู้แล้วครับผม! จะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ เลิกทำเสียงแบบนั้น” ผมแทบจะสบถออกมา ใจสั่นไปหมดแล้วตอนนี้ โคตรชอบเสียงแบบนี้ของเธอ แต่ในขณะเดียวกันพอคิดว่าเธอจะไปทำเสียงหวานแบบนี้กับคนอื่นก็หงุดหงิดลึกๆ
[ทะ... ทำไมอ่ะ ไม่ชอบเหรอ] แต่เพราะเสียงผมมันดูหัวเสียไปหน่อยมั้ง เธอก็เลยถามกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แถมยังติดอ่างเหมือนจะผิดหวังหรืออะไรสักอย่าง แต่ผมแม่งโคตรอยากจะบอกเลยว่ามันตรงกันข้าม
ผมจะบ้า
“ชอบดิ”
[...]
“แล้วก็อยากให้เธอพูดแบบนี้แค่กับเราคนเดียวด้วย” ผมพูดไปตามตรง ไม่รู้หรอกว่าเธอจะไปไม่เป็นหรืออะไรยังไง ผมก็แค่ไม่อยากโกหกว่าตัวเองรู้สึกยังไงก็แค่นั้น “แต่ได้ยินแล้วไม่โอเคไง รู้ปะ... เรากลัวว่าเราจะไม่ทำแค่ไปส่งเธอเฉยๆ”
[หะ... หา?]
“เรากลัวจะเผลอหน้ามืด ก็แบบว่า... ฮะๆ” ผมพยายามเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วนะ แล้วปลายสายก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่นิ้งจะเลือกที่จะตัดบทผมเสียงแกว่งๆ เหมือนเธอจะเขินมากจนพูดกับผมต่อไม่ได้ อันนี้ผมคิดเอาเอง
[วะ... วางแล้วนะ รีบมานะ]
“ได้ เจอกัน” ผมไม่ซีเรียสหรอกถ้าเธอจะวางสายตอนนี้ เพราะอีกเดี๋ยวก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี ผมรอจนเธอกดวางสายไป ก่อนที่จะเอามือมาปิดหน้าตัวเองแล้วทึ้งหัวอย่างแรง
รุนแรงชิบหาย... นิ้งนี่เป็นบุคคลอันตรายต่อหัวใจผมจริงๆ ว่ะ
“ตาสว่างเลยกู” ผมผุดลุกออกไปจากเตียง แต่พอนึกถึงหน้าเธอที่มองหน้าผมเมื่อวาน ผมก็เซจนไปชนกับผนัง เอาหัวโขกมันแรงๆ เมื่อรู้สึกว่าหน้าชาเพราะคิดเองเขินเองซะงั้น ตอนแรกก็คิดว่าป่วย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเป็นภูมิแพ้
ภูมิแพ้นิ้ง
เน่ามั้ย? เออ เน่าดี
ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จ
ตอนเดินออกมาก็ก้มลงมองนาฬิกาในโทรศัพท์นิดหน่อย เห็นว่ายังไม่สายมากผมก็เลยคว้ากุญแจรถบนหลังตู้เย็น แล้วรีบเดินเร็วๆ สับเท้าลงบันไดหนีไฟลงมาด้านล่าง
ผมมองเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองทันทีพอเดินเข้ามาในลานจอดรถ แต่พอดีวันนี้ผมมารับนิ้งด้วยอะไรที่ใหญ่กว่านั้น ก็เลยเดินเลยไปที่รถออดี้ของไอ้พัสที่ยืมมาพร้อมกับเข้าไปสตาร์ทรถ ซึ่งปกติผมเป็นคนขับรถเร็วทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ แต่ดูท่าวันนี้คงต้องลดความเร็วลงหน่อย
จะเพราะใคร? ก็น้องนิ้งของผมไง
ขับออกไปก็เปิดเพลงในรถไปด้วย ซึ่งปกติผมชอบฟังร็อค เมทัลลิก้า หรือเพื่อชีวิตอะไรทำนองนี้ แต่วันนี้สงสัยต้องเปิดเพลงสบายๆ ฟังซะแล้ว ก็เพราะอีกฝ่ายน่าจะชอบฟังอะไรนุ่มๆ มากกว่าล่ะนะ
ผมฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ขับปาดคันนู้นคันนี้ไปตามความเคยชิน เอาน่า... ไหนๆ ตอนนี้นิ้งก็ไม่อยู่ ก็ทำสันดานปกติไปก่อน รอให้นิ้งมาปราบผมอีกทีตอนเข้ามานั่งในรถก็ได้
แต่เออว่ะ เพื่อนเธอก็เข้ามานั่งด้วย ไม่ได้มีแค่เธอกับผมนี่
แต่แล้วไงวะ ผมไม่ได้แคร์นักหรอก
ผมฮัมเพลงแล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปจนกระทั่งเห็นตัวหอพัก เอาจริงๆ มันก็ใกล้กับคอนโดของผมอยู่ไง แต่หอพักของเธอมันดูเป็นสไตล์โมเดิร์นหน่อยๆ แล้วติดกับถนนใหญ่เลย ซึ่งต่างกับคอนโดผมที่ค่อนข้างเก่า ที่ดูก็รู้เลยว่าครอบครัวเธอน่าจะมีฐานะ
แต่เธอก็ยังยอมคุยกับผู้ชายปอนๆ อย่างผม ยอมให้โอบ ยอมให้กอด เหมือนนิ้งไม่ได้รังเกียจผู้ชายอย่างผมเลย
ผมอยากเป็นแฟนเธอ อยากให้เธอเป็นของผมไวๆ จังวะ
แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะอดทนไปได้นานแค่ไหน ถ้าเกิดนิ้งยังน่ารักขึ้นทุกวันแบบนี้
ผมขับตรงเข้ามาจนมาถึงหน้าหอพัก แล้วเปิดกระจกรถเมื่อเห็นคนตัวเล็กๆ ในชุดนักศึกษาที่หน้าเหวอขึ้นมาพอเห็นผมโผล่หน้าออกมาแล้วฉีกยิ้มให้เธอ เพื่อนที่ชื่อส้มหวานก็โบกมือให้ผมเหมือนกัน เธอมองรถผมแล้วดูตื่นเต้น
“นิ้ง! ขึ้นรถเร็วๆ” เพื่อนเธอพูดแล้วเดินไปลากนิ้งที่ไม่กล้ามองหน้าผมขึ้นมา เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เพราะเธอเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับออกมาแล้วผลักคะนิ้งที่ยืนทำหน้ามึนงงเข้ามาข้างใน แล้วปิดประตู
ระหว่างที่ส้มเปิดประตูมานั่งข้างหลังผม ผมก็กดเปลี่ยนเพลงแล้วฉีกยิ้มให้คะนิ้งที่นั่งมองหน้าผมเอ๋อๆ แต่โคตรน่ารักเลย ละลายไปหมดแล้วครับ
“ไม่คาดเข็มขัดเหรอ?” ผมถาม พยายามสะกดใจไว้ไม่ดี๊ด๊ามากจนเกินเหตุ แล้วเธอก็เบิกตาโตแล้วหันไปหาเข็มขัดอย่างลนลาน แต่เพราะมันไม่ทันใจผมก็เลยขยับตัวเข้าไปใกล้คะนิ้งจนได้กลิ่นหอมๆ เหมือนมันเป็นกลิ่นแชมพู สบู่ แป้งเด็ก อะไรทำนองนี้ ผมหรี่ตาลงมองคอเสื้อของเธอในขณะที่ติดเข็มขัดนิรภัยให้ แล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
เพราะเธอตัวเล็ก คอเสื้อมันเลยกว้าง กว้างจนผมเห็น...
“แม่ง” ผมสบถออกมาแล้วก็หน้าร้อนอยู่คนเดียว คะนิ้งมองหน้าผมอย่างหวาดๆ เล็กน้อย เธอหันไปมองด้านหลัง แล้วผมก็ไม่รู้หรอกว่าเธอมองอะไร เพราะส้มหลับอยู่ ผมก็เลยพูดออกมาในขณะที่ขับรถออกไปจากบริเวณหอพักของเธอ “เสื้อเธออ่ะ... มันเปิด”
“อะ... เหรอ จริงเหรอ” เธอทำตาโตแล้วก็ลนลานเอามือปิดคอเสื้อของตัวเอง ผมเหลือบมองแล้วกลืนน้ำลายลงคอ แล้วก็แทบจะทุบพวงมาลัยรถเมื่อรู้สึกว่าจะกลืนน้ำลายทำไมวะ คิดอะไรของมึงอยู่ มาคิดอะไรตอนนี้! “ขอบคุณนะ”
“อ่า... ไม่เป็นไร”
“...”
“เราแค่หวงเธอเฉยๆ” พอพูดจบหน้าของคะนิ้งก็แดงเถือกไปจนถึงลำคอ ผมเหลือบมองแล้วก็อยู่ดีๆ ก็เกิดเขินตามเธอไปด้วย ก็ผมเผลอมองคอเธอแล้วมัน...
“ถ้าเธอไม่เปลี่ยนเสื้อให้เป็นไซส์ดีๆ ล่ะก็เราจะโกรธแน่คอยดู...” ผมพึมพำอยู่คนเดียว แล้วก็เห็นว่าคะนิ้งมองไปข้างหลังอีก แล้วจู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองผมนิ่งเหมือนไม่ได้ยินคำที่ผมพูดไปเมื่อกี้เลยสักคำ
ซึ่งมันไม่ใช่นิสัยปกติของคะนิ้งไง ผมก็เลยหันกลับมาสบตาเธอบ้าง “มีอะไรนิ้ง?”
“คะ... คือนิ้ง” คะนิ้งอึกอัก ตาเธอก็ล่อกแล่กมองซ้ายมองขวาเหมือนคิดอะไรอยู่ “เย็นนี้... มารับนิ้งด้วยได้มั้ยคะ”
ผมเบิกตากว้าง
แทนตัวว่านิ้งอีกแล้วว่ะ ชอบชะมัด
“ได้” ผมตอบรับไป ทำใจให้นิ่งไว้ไอ้เสือ “แล้วมีอะไรอีกมั้ย?”
ผมไม่มีสมาธิขับรถแล้วว่ะ เพราะเธอเนี่ย
“ก็...” คนตัวเล็กทำสีหน้าครุ่นคิด “ถะ... ถ้าวันไหนฉลามว่าง”
“...”
“พานิ้งไปซื้อของทำรายงานด้วยนะ” ผมมองหน้าหวานๆ ของเธอไม่ละสายตาแบบแทบจะไม่ได้หันไปดูถนนข้างหน้าเลย แล้วก็โชคดีที่มันติดไฟแดงอยู่ ผมก็เลยเห็นนิ้งที่หน้าแดงขึ้นทีละระดับได้หมด
นิ้งอ้อนผมเหรอ เธอกำลังอ้อนผมอยู่ใช่รึเปล่า
“นิ้ง...” ผมพูดขึ้นมา ไหนๆ ก็ติดไฟแดงแล้วผมก็ “งั้นหลามขอไรอย่างดิ”
“อะ... อะไรเหรอ?” นิ้งมองหน้าผมอย่างสงสัย แล้วจังหวะนั้นผมก็เคลื่อนตัวเข้าไปหาเธอแล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นมาแตะที่แก้มของเธอเบาๆ
เธออยากทำตัวน่ารักเองนะ ช่วยไม่ได้
“ขอหอมทีได้มั้ย”
“อะ... อะไรนะ” คนตัวเล็กแทบผงะแล้วทำตาโตทันที แววตาของเธอสั่นระริกอย่างหวาดกลัว ซึ่งผมก็แทบจะตบปากตัวเองแรงๆ สักทีเมื่อลืมไปว่าตัวเองจะอดทนแล้วคะนิ้งพูดอะไรไว้ก่อนหน้านั้น เธอดูเหมือนคนไม่เคยมีแฟนมาก่อน แล้วก็ดูไม่คุ้นเวลาอยู่กับผู้ชาย
ผมต้องให้เวลาเธอดิวะ ไม่ใช่มาเร่งเธอแบบนี้
“ขอหอมสักที” ผมพูดกับเธอ ไม่สนว่าเพื่อนเธอจะอยู่บนรถหรืออะไร ไฟแดงยังไม่เปลี่ยนสี แล้วเวลาก็ยังเหลืออีกเยอะแยะ และผมคงทนไม่ไหว ผมชอบเธอมาก แล้วผมก็เก็บอารมณ์ไม่เก่งด้วย “นะนิ้ง”
นิ้งเลิกลั่กไปหมด เธอหน้าแดงสุดๆ อย่างคนที่กำลังเขินจัดจนทำตัวไม่ถูก จนผมอยากจะจับเธอหอมแล้วขอเป็นแฟนซะตอนนี้ แต่พอเห็นว่าผมเข้าไปใกล้อีกแล้วเธอก็สะดุ้งอย่างตื่นกลัวสุดๆ ผมก็เลยตัดสินใจที่จะ...
อดทนต่อก็ได้
“เราพูดเล่น” ผมพูดสั้นๆ แล้วกัดฟันลากใบหน้ากลับมาที่เดิม ไฟเขียวมาพอดี ผมก็เลยขับไปด้านหน้าอย่างรีบเร่ง ปาดคันนู้นคันนี้ทีไปตามแรงอารมณ์
ผมสัมผัสได้ถึงสายตาของเธอที่มองผม คนตัวเล็กหน้าแดงเถือกแล้วก็เอามือมากุมคอเสื้อไว้แน่น ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้เธอจะกลัวผมรึเปล่า แต่ที่ผมทำไปไม่ใช่ว่าผมไม่จริงใจแล้วหลอกแต่จะแอ้มเธอนะ
ผู้ชายคนอื่นผมไม่รู้หรอก แต่มันไม่ใช่กับผม
ผมจริงใจกับเธอมาก แล้วที่ผมอยากกอดเธอ อยากจูบเธอก็เพราะผมเป็นคนไม่ชอบเก็บความรู้สึก ผมรู้ว่ามันไม่ดี แต่ผมเก็บอารมณ์ไม่เก่งเอาซะเลย
มันเคยทนได้ แต่พอเป็นนิ้ง เธอก็เหมือนมาทำลายข้อจำกัดทุกอย่างของผม
ผมคงต้องอดทนมากกว่านี้ เพราะเธอเป็นแบบนี้ ผมจะวู่วามจนเผลอไปคุกคามเธอไม่ได้
“ละ... ล้อเล่นเหรอ” เธอทวนเสียงเบาหวิวเหมือนความรู้สึกดีเลย์ ผมเหลือบไปมองนิดหน่อย แล้วก็เห็นว่านิ้งกำลังน้ำตาคลอ
ผมเบิกตากว้าง เธอร้องไห้ทำไม?
“นิ้ง เป็นไร” ผมถามเธออย่างตกใจ แล้วอยู่ดีๆ คนตัวเล็กก็เอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเหมือนเด็กๆ “นิ้ง ร้องไห้ทำไม”
“ทำไม... ถึงชอบเอาความรู้สึกเรามาล้อเล่นล่ะ” เธอพึมพำออกมาแล้วสะอื้นตบท้าย แล้วผมก็หันไปมองด้านหลังเพราะจำได้ว่าพาเพื่อนเธอมาด้วย แล้วก็เห็นว่าส้มนอนหลับไม่รู้เรื่อง
สรุปก็คือผมทำนิ้งร้องไห้เหรอวะ
ผมรีบเคลื่อนตัวรถไปจอดเทียบกับฟุตบาท แล้วเปิดเก๊ะรถดึงทิชชู่ส่งให้นิ้ง เธอไม่ได้รับมันไปแล้วเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นเหมือนขวัญเสีย
ทำไงดีวะ
“นิ้ง ร้องไห้ทำไม เรื่องที่เราบอกว่าเราจะหอมเธอเมื่อกี้เหรอ?” ผมถามอย่างลนลาน แล้คนตัวเล็กก็สะอื้นไม่สนใจผม เหมือนเธอกำลังโกรธอยู่ด้วย “เราแค่ล้อเล่น เราไม่เร่งเธอหรอก”
“อย่าล้อเล่นแบบนั้นอีกนะ” เธอพูดกับผมด้วยตาแดงๆ แล้วผมก็เอื้อมมือไปจะเช็ดน้ำตาให้ แต่เธอก็หันหน้าหนี “ไม่เอา เราเช็ดเองได้”
เฮ้ย นี่คือนิ้งตอนกำลังโกรธเหรอวะ พยศสุดๆ
“เราขอโทษ เรา... จะพูดไงดีวะ” ผมไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดีเลยว่ะ “แต่เราไม่ได้...”
“... ถ้าไม่ได้จริงจังตั้งแต่แรกก็อย่ามาจีบสิ” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินแบบนั้น เธอพูดว่าอะไรนะ “ฮึก ตอนแรกก็คิดว่าจะจริงจังกับหนู แต่จริงๆ แล้วเห็นหนูเป็นของเล่นเหรอ”
“จริงจังดิ นิ้งพูดไรเนี่ย” ผมของขึ้นจริงเลยคราวนี้ เธอพูดมาได้ไงวะว่าผมไม่ได้จริงจัง ผมชอบเธอจะตาย ชอบจนอีกนิดจะหายใจเข้าออกเป็นชื่อคะนิ้งอยู่แล้ว “เราแค่ไม่อยากเร่งเธอ”
“...”
“หรือเธอจะให้เราจหอมเธอจริงๆ อ่ะ ทำได้นะ แค่เราทำไม่ลง” ผมแทบบ้า หน้าผมร้อนไปหมดตอนพูดประโยคนี้ด้วยความโมโห แล้วนิ้งก็สงบลงด้วย “นิ้งอาจจะคิดว่าเราชอบฉวยโอกาส เราชอบคุกคาม หรือเราชอบบังคับใจเธอ เรารู้ว่าที่เราทำมันไม่ใช่วิธีจีบที่ดีมากมายเท่ากับผู้ชายคนอื่นที่มาจีบเธอ”
“...”
“แต่เราพูดได้คำเดียวเลยว่าเราแม่งโคตรชอบเธออ่ะ เราโคตรอดทนเพื่อเธอ ก็เธอบอกเองว่าคุยกันไม่เท่าไหร่ เวลาที่เผลอ เราถึงต้องดึงตัวเองกลับมา แล้วเตือนตัวเองไว้ไง”
“...”
“ถามว่าอยากหอมเธอจริงๆ ตามที่พูดไปมั้ย? อยากดิวะ แต่เธออยากได้เวลาถูกปะ เราก็ให้อยู่”
“...”
“แต่ทำไมต้องพูดอย่างงี้วะ ดูถูกความรักของเราชิบหายเลย” ผมระเบิดอารมณ์ออกมาตรงๆ คนตัวเล็กเงียบไปทันที เธอหยุดร้องไห้ทันที แล้วผมก็ขับรถไปข้างหน้าต่อโดยเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่ออีก
จนถึงมหาลัย ส้มหวานเพิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นตอนนั้น เธอดูเหมือนไม่รู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างผมกับคะนิ้ง ร่างเล็กเหลือบมองผมตอนที่ดันส้มลงมาจากรถ แต่ผมไม่ได้มองเธอกลับ
ผมไม่ได้โกรธเธอหรอก แต่เรื่องอารมณ์น้อยใจมันห้ามกันไม่ได้
ทำไงวะ ก็ชอบไปแล้วอ่ะ ทำใจโกรธไม่ลงหรอก
จนถึงเวลาเลิกเรียนของนิ้ง พอผมเรียนเสร็จก็รีบออกมาเลย ถึงผมจะน้อยใจแต่ก็มารับเธอตามที่เธอขอไว้ก่อนหน้านั้นจริงๆ
คิดดูดิ แล้วมาบอกว่าผมไม่จริงจัง ผมมองเธอเป็นของเล่น ผมยอมทำขนาดนี้ยังคิดว่าไม่จริงจังอีกเหรอ
จนมาจอดรถรอได้ไม่นานนักผมก็เห็นเธอ คะนิ้งยืนอยู่หน้าประตูมหาลัย เธอไม่ได้มากับส้มหวาน แล้วก็ดูเหมือนจะมองรถผมด้วยสีหน้าตื่นกลัวหน่อยๆ ก่อนที่จะเดินมาอย่างระแวดระวัง
แกรก
จนกระทั่งเธอเปิดประตูเข้ามาแล้วจ้องหน้าผมหน้าวีดๆ ผมก็เลยไม่พูดอะไร ไม่มองหน้าเธอด้วย จนเธอมองซ้ายมองขวาอย่างอึดอัด ผมก็เลยถามสั้นๆ
“เพื่อนเธออ่ะ?” คะนิ้งชะงักไป เธอสบตากับผม แล้วก็ตอบเสียงตะกุกตะกัก
“เอ่อ... ส้มมีธุระกับที่คณะน่ะ” เธอพูดกับผมด้วยเสียงที่โคตรเบา ผมก็เลยไม่ถามอะไรต่อ หน้าแม่งร้อนไปหมดเลยกู ผมแม่งน้อยใจจนขึ้นหน้าเลยว่ะ สังเกตได้สักพักแล้วว่านิ้งมองผมนานมาก จนเธอตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง
“ฉลาม” เธอเรียกชื่อผม
“...”
“... คาดเข็มขัดให้นิ้งหน่อยค่ะ” ผมเหลือบมองเมื่อเธอพูดลงท้ายว่าค่ะกับผม แล้วก็เห็นว่าเธอหน้าแดงไปหมดเหมือนเธอจะไม่ชินที่พูดแบบนั้น
นิ้งง้อผมเหรอ? หรืออะไรวะ
แต่สุดท้ายผมก็เอี้ยวตัวไปคาดให้เธออย่างว่าง่าย แต่สีหน้าผมก็ยังตึงๆ อยู่
จนผมหันกลับไป แล้วขับรถออกไปข้างหน้าต่อ นิ้งก็ยังมองผมอยู่จนผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ เธอง้อผมอยู่จริงๆ เหรอวะ แต่เธอก็ไม่ได้ดูมีใจให้ผมขนาดนั้นนะ เธอกลัวผมจะตายไม่ใช่เหรอ
“ฉะ... ฉลาม” เธอเรียกผมอีก ผมก็เลยเหลือบไปมองโดยไม่พูดอะไร
“ว่า?”
“ฉลาม... จะเลิกจีบนิ้งมั้ย?”
“พูดไรวะนิ้ง”ผมงง เอาตรงๆ เลยว่าผมไม่เข้าใจที่เธอถาม ดูนิ้งอึกอักตอนที่ผมถามงั้นกลับไปด้วย หรือเธออยากให้ผมหยุดตามจีบเธอ?“นะ นิ้งถามว่า... ฉลามจะเลิกจีบนิ้งมั้ย?”เฮ้ย หรือเธอจะคิดงั้นจริงๆ วะ ทำไมถามงี้ ผมไม่เข้าใจ“ไม่เลิกดิ ใครจะเลิก” ผมออกตัวแรงไปก่อน ใส่อารมณ์ตอนพูดด้วย คือถ้าเธอบอกให้ผมเลิกจีบผมไม่ยอมแน่นอนอ่ะ ชอบมาก ชอบชิบหายขนาดนี้จะให้ผมเลิกตามตื้อเธอง่ายๆ เหรอ ไม่มีทาง “ถามงี้ทำไม อยากให้เลิกจีบเหรอ”“... เปล่า”อ้าว“คะ... แค่อยากจะบอกว่าอย่าโกรธนิ้งเลยนะ” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดที่คาดไม่ถึงจากปากเธอ เฮ้ย นี่ผมฝันอยู่เหรอ เหมือนเธอกำลังง้อผมอยู่เลย “นิ้งไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น”“เหรอ” ผมคราง แล้วก็ยิ้มอยู่คนเดียวแต่ที่แน่ๆ ผมหายโกรธนิ้งแล้ว ลงทุนกล้าง้อก่อนขนาดนี้ใครจะไปโกรธลงแต่จะให้หายเลยก็ไม่ได้ เดี๋ยวเธอจะได้ใจ ต้องมีข้อต่อรองนิดหน่อย“นิ้งหอมแก้มเราก่อน” ผมพูดสั้นๆ แต่คราวนี้เอาจริง อย่างน้อยถึงจะดูเหี้ย แต่ผมก็อยากได้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่ตามใจเอาใจเธอขนาดนี้ “ถ้าหอมแก้มเรา... เราหายโกรธเลย”“แต่...” คะนิ้งอึกอัก แล้วผมก็แกล้งตีหน้าทะมึน“งั้นก็แค่นี้แหละ เราเข้าใ
“เฮียแม่งงงง เจ๊าะแจ๊ะผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าผมอ่ะ!” ฉันเหวอ รีบผละตัวออกจากคนตัวใหญ่ข้างๆ กายทันที เมื่อยังไม่ทันได้ทำอะไรจู่ๆ ตัวใหญ่ๆ ของเล้งก็โถมทับเข้ามากอดฉลามดุทั้งตัวจนเขาต้องผละออกห่างจากฉันไปด้วย ดูเหมือนเล้งนี่ล่ะจะเมาจริงจังแล้ว เขาถูไถใบหน้าไปมากับท้ายทอยของฉลามดุที่เริ่มมีสีหน้าหงุดหงิดแล้วคร่ำครวญ “พวกมึงดูดิ เฮียแม่งชอบทำร้ายกูอ่ะ เศร้า”“เหี้ยเล้งเมาล่ะ พี่ต้องจัดการมันหน่อย” เสียงพวกเพื่อนๆ ของเขาหัวเราะลั่นขึ้นมา แล้วฉลามดุก็หันมาดึงคอเสื้อของเขาออก “พี่เดี่ยวยังไม่ทันมา กูว่าถ้าพี่แกมาแม่งคงสร่าง”“มาเอามันออกไปจากหลังกูทีดิ๊” ฉลามดุหันไปสั่งลูกน้องของเขาที่พยักหน้ารับทันทีพร้อมกับกันตัวเล้งที่อยู่ๆ ก็ฟูมฟายเสียงดังออกไป แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจะสูบ แต่เขาก็ชะงักแล้วเหลือบมามองฉัน แล้วจู่ๆ เขาก็เก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงไปซะเฉยๆ“ไมวะพี่ ไม่ดูดบุหรี่เหรอ” ลูกน้องที่จับคนที่ชื่อเล้งไว้ทางด้านขวาถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นท่าทีของเขา แล้วฉลามดุก็เหลือบมามองฉันอีกจนฉันต้องเอียงคอสงสัย“ไม่” เสียงของเขาจริงจังมาก “มีคนขอให้เลิก”เดี๋ยวก่อนนะเขาหมายถึงฉันรึเปล่าอ่ะ?“แน่ะเฮีย! ทีไอ้
ผมแม่งกรึ่มๆ ล่ะหลังจากพานิ้งออกมาจากห้องน้ำแล้วก๋วยเตี๋ยวหม้อไฟอะไรนั่นที่เธอสั่งก็มาพอดี คราวนี้ผมกันเธอให้มานั่งข้างในเลย ไม่เป็นไร น้องๆ ผมไว้ใจได้ทุกคน เพราะผมมั่นใจว่าถ้าใครสักคนมันเกิดคิดไม่ซื่อขึ้นมา ผมนี่แหละที่จะเป็นตีนแรกที่กระทืบมัน ถือว่าบอกแล้วว่าคนนี้ผมจองอยู่กลายๆ ในวงเหล้าวันนี้แล้ว ถูกมั้ย?นิ้งเองก็นั่งเกร็งๆ มานานล่ะ จนผมเอามือไปโอบไหล่เธอแล้วดึงเธอมานั่งใกล้ๆ หน่อยเธอถึงได้สงบลง เธอแม่งไม่พูดอะไรเลย นิ้งคงกลัวมากเพราะผมพาเธอมาที่นี่แท้ๆ เลยว่ะ ผมผิดเอง“อยากกลับยัง?” ผมถามเธอแล้วก็รู้สึกร้อนๆ ในคอนิดหน่อย พอกลับมานั่งนี่ผมก็ซัดไปหลายขวดอยู่ ไม่มึนก็ไม่รู้จะว่ายังไง ก็โมโห ก็คนมันหวง เข้าใจมั้ยวะ แต่ไม่มีสิทธิ์เลยต้องแดก แดกแม่งให้เยอะๆ เข้าไป“กะ... ก็อยาก” เธอพูดอ้อมแอ้ม “แต่ขับรถไหวเหรอ หน้าฉลามแดงๆ อ่ะ”“ระดับนี้” ผมพูดอย่างอวดดี แล้วยกขึ้นดื่มอีกแก้ว ว่าแต่หน้าแดงเหรอวะ “สงสัยเขินเธอมั้ง... เธอแม่งน่ารักอ่ะ”คือผมยังมีสติอยู่ไง แต่เวลาเมากรึ่มๆ ปากมันก็พูดไปเรื่อย“อะ... เอ่อ” นิ้งไปไม่เป็นเลยว่ะ ผมหัวเราะ“เออ เดี๋ยวเราไปส่ง” ผมลุกขึ้นแล้วดึงเธอให้ลุกตามมาด
และมันก็ใช่จริงๆ ด้วย สุดท้ายฉันก็ต้องจำใจเดินลงมารับเขาที่ยืนอยู่ข้างล่างหอพักตอนแรกฉันก็คิดว่าเขาล้อเล่น ก็เลยจะปิดไฟแล้วนอนเลย แต่ปรากฏว่าไม่ถึงชั่วโมงต่อมาฉลามดุก็โทรมาหาฉันหลายสายมากจนฉันตาสว่างไปเลย แถมพอไม่รับเขาก็กดโทรหาจนกว่าฉันจะรับอีก แล้วพอฉันรับสายก็บังคับให้ลงมารับเขาทันทีแต่พอลงมาเจอหน้ากัน ฉันก็รู้เลยว่าดูท่าเขาจะเมามากแล้วล่ะ เพราะกลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวเขาแรงมากเลย ฉลามดุจ้องหน้าฉันที่มาหยุดยืนอยู่ข้างหน้าเขา แต่ตาเขามันเหมือนเขากำลังมองเลยไปทางอื่น“มะ... มาทำไมเนี่ย” ฉันแทบจะพูดไม่ออกตอนที่เดินเข้าไปใกล้เขาอย่างระแวดระวัง แล้วร่างสูงก็เดินเซนิดๆ มาโอบไหล่ของฉันไว้“มานอนดิ ถามแปลก”“นอนที่นี่ไม่ได้นะ” ฉันหว่านล้อมพร้อมกับดันเขาออกเบาๆ “กลับบ้านเถอะ”“ไล่ทำไมวะ” เขาทำหน้าบึ้งทันที แถมยังเอาหน้ามาซบกับไหล่ของฉันอีก ฉันเบิกตาโตแล้วพยายามผลักให้เขาออกไป แต่ก็ไม่เป็นผลเลย ตัวใหญ่ๆ นั่นต้านแรงฉันไว้อย่างง่ายดาย “ชอบไล่ตลอด เกลียดขี้หน้าเราเหรอ”“ปะ... เปล่า” ฉันสะดุ้งเฮือกเพราะพอเขาพูด ลมหายใจของร่างสูงก็เป่ารดเข้าที่ท้ายทอยของฉันเบาๆ จนฉันรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่“งั
[พาร์ท : ฉลามดุ]เกือบไปผมนอนอยู่ข้างนอกห้องนิ้ง นอนแม่งอยู่ตรงโซฟาตรงโถงหน้าห้องนอนนี่แหละ ถึงตอนนี้หน้าผมจะดูตายสนิท แต่ในใจนี่แม่งเต้นแรงชิบหาย เต้นจนแม่งจะทะลุออกมานอกอกได้อยู่แล้ว เพราะหลังจากผมปล่อยคะนิ้งเข้าห้องนอนไป ตัวผมก็มานอนกระวนกระวายอยู่ข้างนอกเพราะเมื่อกี้เสือกอารมณ์ปะทุขึ้นมาตอนที่เห็นว่าเธอจะเข้าไปในห้องนอนมันไม่ได้เมาหรอก หรือเมาก็ไม่แน่ แต่แค่รู้สึกว่าไม่อยากปล่อยให้เธอไปเกือบจะทำอะไรนิ้งไปแล้วว่ะ โชคดีที่ห้ามตัวเองไว้ได้ทันตอนที่เห็นว่าตัวเธอสั่นแค่ไหนตอนที่อยู่ในอ้อมแขนของผม“เวรเอ้ย” ผมสบถกับตัวเอง ทำไปได้ไงวะแต่ขึ้นชื่อว่าผู้ชาย ร้อยทั้งร้อยมันก็เสือทั้งนั้น ผมเองมันก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องจะทำอะไร? คงไม่ได้มานอนจับมือกันเฉยๆ หรอกมั้งแต่ตอนที่โทรมาบอกว่าจะนอนกับเธอผมเมา อันนั้นเมาจริงๆ มาสร่างอีกทีตอนกำลังจะเดินขึ้นห้อง คือมันจะมีจังหวะหนึ่งที่วูบ กับจังหวะหนึ่งที่สติกลับมาไง แล้วตอนที่มันกลับมาก็ตอนที่เห็นเธอกำลังจะเข้าไปในห้องนอน วินาทีนั้นผมคิดเลยว่า... ผมจะไม่ปล่อยผู้หญิงคนนี้ไป ผมไม่อยากให้เธอไปเป็นของใครนอกจากผมเลยผมก็เ
“อ่อนด๋อย”“อะไร” ผมหันไปมองมันด้วยท่าทีหงุดหงิด ตอนนี้ผมอยู่บ้านของไอ้เดี่ยว มาถึงก็เห็นมันแชทเฟสกับผู้หญิงด้วยท่าทางมีความสุขน่ารำคาญลูกตาชิบหาย แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ดันไม่ใช่ใครที่ไหน น้องคะน้า ลูกสาวบ้านไอ้เฮียคะนองไงไอ้เล้งก็อยู่ด้วย ไม่รู้ว่าสมานฉันท์มาทำเหี้ยอะไรกันในวันที่อารมณ์ผมไม่คงที่ก็ไม่รู้ จนไอ้เดี่ยวด่าผมออกมาคำนึง ใช่ มันเป็นเพื่อนที่คบกับผมมาหลายปีดีดัก มองตาก็รู้แล้วว่าที่ผมมาบ้านมันเพราะเหตุผลอะไร“มึงไม่ได้แอ้มน้องคะนิ้งอ่ะดิ”“อย่าเรียกน้อง... ของกู” ผมพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี ถึงนิ้งจะอายุน้อยกว่าผมไม่กี่ปีแต่ผมก็ไม่อยากเรียกว่าน้อง แล้วก็ไม่อยากให้ใครเรียกเธอว่าน้องด้วย คนยิ่งของขึ้นอยู่อย่ามากวนส้น “กูหวง”“กับเพื่อนทำมาหวง”“งั้นให้กูเรียกคะน้าของมึงว่าน้องบ้าง?”“อย่าเล่นของสูงดิ” ผมสบถด้วยสีหน้าหงุดหงิดโคตรๆ มันโคตรไม่ยุติธรรมเลยว่ะ เห็นร่างกำยำของไอ้เล้งเดินเข้ามาพร้อมกระป๋องเบียร์ มันส่งให้ผมกับไอ้เดี่ยว แล้วล้มตัวลงมานั่งข้างๆ“เป็นไรกันวะเฮีย มีความรักงั้นดิ?” มาถึงก็ถามคำถามแทงใจผมเลย ผมแม่งความรู้สึกดาวน์ชิบหายตอนนี้ ก็เลยยกกระป๋องเบียร์ขึ้น ดกๆ แล้วกลืนลงค
[พาร์ท : ฉลามดุ]ผมจ้องหน้าผู้ชายที่อยู่ๆ ก็เข้ามาขัดจังหวะ ทำเหมือนรู้จักนิ้งไม่รู้ว่ามันเป็นใคร อยู่ดีๆ ก็เข้ามาพูดกับเธอ ผมเกือบจะได้หอมนิ้งอยู่แล้วถ้ามันไม่มาขวางซะก่อน และผมก็คิดว่าจะได้จ้องมันอยู่แบบนั้นถ้านิ้งไม่โพล่งขึ้นมา“คะเน” ผมทำหน้างงเมื่อเห็นว่าเธอมีสีหน้าดีใจ แถมยังเรียกชื่อเหมือนสนิทสนมกันมานาน “นั่งนี่สิจ้ะ เนกลับมาจากญี่ปุ่นเมื่อไหร่เหรอ?”“เมื่อคืนน่ะ กลับมาพร้อมกับนิน” ผู้ชายที่ดูท่าทางจะเหมือนเด็กเรียนยิ้มให้คะนิ้ง ก่อนที่ต่อมาจะหันมามองหน้าผมพร้อมกับหรี่ตามองเหมือนจะสำรวจอะไรบางอย่างแล้วนั่งลงข้างๆ นิ้งอย่างถือวิสาสะผมมองมันนิ่งอย่างดูเชิง มันหล่ออยู่ แถมยังดูเอาการเอางาน ดูเป็นเด็กเรียนหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่าผม สังเกตจากลุคที่ดูสุภาพ ผู้ชายแบบนี้ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะชอบแต่ไม่รู้ว่านิ้งจะชอบแม่งไปด้วยอีกคนมั้ย“ใครอ่ะนิ้ง สักเต็มตัวเลย” แต่คิดได้ไม่นานก็โดนพูดถึง ผมมองมันสลับกับนิ้ง อยากให้เธอตอบว่าผมอ่ะว่าที่แฟน แต่มันก็แค่ความหวัง“อ๋อ... เพื่อนอ่ะ” นิ้งตอบไปแบบนั้น เธอดูเกร็งมากขึ้น ซึ่งผมพอเข้าใจนะ แต่ถ้าไอ้นี่ก็เป็นเพื่อนเธอเหมือนกัน นี่แม่งโคตรน่าโมโหเลยรู
ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นพราวที่ส่งมา เธอคือคนที่ผมเคยคบเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนี้ก็หลายเดือนแล้วที่ผมไม่สนใจหรือไม่แคร์อะไรที่เกี่ยวกับเธอเลย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในตอนที่คบกันผมก็ให้เธอเต็มที่เกือบพอๆ กับนิ้งเธอบอกเลิกผมเพื่อไปหาคนใหม่ เรื่องสำคัญอยู่ที่ว่าไอ้เวรนั่นมันดันเป็นศัตรูเก่าของผม ถ้ายังจำที่เด็กมัธยมพวกนั้นพูดถึงกลุ่มสมิงดำได้ หัวหน้ากลุ่มนั้นมันชื่อว่า อักระ และหลังจากนั้นกลุ่มของมันก็หมดอิทธิพลไปด้วยฝีมือของผมกับไอ้เดี่ยวมันเป็นคนเดียวกับที่พราวทิ้งผมเพื่อไปหา แล้วก็เป็นคนเดียวกับที่ผมเล่นจนลูกน้องมันต้องไปให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล มันไม่ได้มาทำร้ายผมตรงๆ แต่ส่งลูกน้องมาเล่นสกปรกแทนถึงแขนผมจะเจ็บ แต่ถ้ามันยืนอยู่ตรงนี้ผมก็คงไม่ลังเลที่จะซัดหน้ามันเหมือนกันผมนั่งนิ่ง มองปฏิกิริยาของนิ้งที่นั่งอยู่ข้างหน้า เธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์ในมือผม มองข้อความในนั้น แล้วเริ่มเม้มปากเธอกำลังคิดอะไรอยู่?ผมไม่รู้ ผมทำได้แค่หลบมือที่ถือโทรศัพท์ออกห่างจากใบหน้าเธอมาอยู่ตรงหน้าตัวเองเงียบๆ แล้วตอบข้อความของพราวพี่หลามคนจริง : ได้ วันนี้เลยดิแต่มันไม่จบแค่นั้นพี่หลามคนจริง : เอาไอ้อักระมาด้วยถ้า
[พาร์ท : ฉลามดุ]“ใครต่อยท้องเมียมึง?”“ไอ้เหี้ยโช” ผมพูดชื่อมันตอนที่ขับรถไปรับไอ้เดี่ยวที่อู่เจ๊เพท หน้าผมตอนนี้มันตึงเครียดมากจนไอ้เดี่ยวไม่คิดที่จะกวนส้นอะไร มันเอารถใหญ่มา ผมเป็นคนขับ ในขณะที่ต่อมาเจ๊เพทจะขึ้นมานั่งด้วย“เด็กๆ ของอีอักใช่มั้ยวะ” เจ๊เพทถาม เธอดูแค้นแทนผมมาก “กูเล่นเอง ไอ้เด็กเวรนี่มันไม่คณามือหรอก”“กูเอาค้อนมา” ผมพูดสั้นๆ คิดไว้แล้วว่าจะเล่นมันยังไง“เฮ้ย เดี๋ยวก็ได้เข้าตารางไปเจอพ่อมึงอีกหรอก” ไอ้เดี่ยวปรามผมทันที แน่นอนว่ามันคงกลัวผมถูกจับขังดัดสันดานอีกเพราะมันรู้ว่าผมเวลาเอาจริงเป็นยังไง ผมยิ่งไม่ค่อยดีกับที่บ้าน ถ้าเจอเรื่องนี้อีกคงต่อไม่ติด“เออ อีหลาม ใจเย็นๆ ดีกว่านะ” เจ๊เพทก็คิดแบบนั้น เธอปรามผมเสียงเข้มขึ้นตอนที่ผมสตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้ให้พวกกูจัดการเหอะ”แต่ผมไม่สน เพราะมันกล้าเข้ามาถึงในห้องนิ้ง กล้าต่อยเธอ แปลว่ามันต้องเตรียมใจไว้แล้วไม่พิการมันก็ต้องตาย ผมคิดได้แค่นี้ผมถามสายที่อยู่แถวๆ นั้น มันบอกว่าหลังจากไอ้โชออกไปจากหอพักของคะนิ้ง มันก็ไปนอนค้างบ้านแฟนมันแถวๆ รัชดาพิเษกผมไม่ทำอะไรผู้หญิงหรอก ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้หน้าตัวเมี
[พาร์ท : ฉลามดุ]สมเพชตัวเองดีทำตัวอ่อนแอต่อหน้านิ้งเพื่ออะไร? ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันตอนนี้คนตัวเล็กหลับไปแล้ว เธอกอดผมเอาไว้แน่นจนผมไม่รู้ว่าเธออยากกอดผมจริงๆ หรือแค่ละเมอ ตอนแรกผมเจ็บที่เธอดูกลัวเรื่องที่ผมถาม มันทำให้ผมเคว้ง ผมไม่แน่ใจว่าควรบอกเรื่องนั้นดีมั้ย เพราะขนาดครอบครัวแท้ๆ ยังรับไม่ได้ แล้วคะนิ้งเป็นอะไรเธอไม่ใช่แฟนผมด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่รู้ว่าเธอจะชอบผมรึเปล่าเอาเป็นว่าผมจะไม่คาดหวังอะไร ถ้าถึงวันนั้นอดีตของผมมันแตกแล้วเธอรับมันไม่ไหว เธออยากจะเดินออกไป ผมจะไม่รั้งเธอไว้ผมเข้าใจ ทำใจไว้แล้วผมมองหน้าร่างเล็กตอนที่กำลังหลับสนิท คะนิ้งน่ารัก เธอเป็นผู้หญิงที่ผมอยากดูแล เป็นผู้หญิงที่ผมรักมาก ผมไม่เคยอยากปกป้องผู้หญิงคนไหนมากเท่าเธอมันไม่สำคัญว่าผมรักนิ้งมานานแค่ไหน ผมแค่คิดว่าเธอใช่สำหรับผม นอกนั้นแม่งก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จำเป็นแล้วผมลูบแก้มของเธอเบาๆ แล้วตัดสินใจดึงมือของเธอออกแล้วผุดลุกออกไป ผมคิดว่าตัวเองควรจะจัดการอะไรให้มันจบ ผมไม่อยากมานั่งอึดอัดเพราะไอ้เรื่องบัดซบนี่ แล้วผมจะบอกนิ้งทุกอย่างเองว่าทำไมผมถึงถามคำถามนั้นตอนนั้นก็คงต้องรอดูว่าเธอจะรับได้มั้ยผมกดส่ง
ฉันตัวชาไปหมดเมื่อเขาถามออกมาแบบนั้น ชะงักมือที่จะเช็ดผมของเขาไว้ ฉลามดุไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ฉันก็เลยไม่รู้ว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ไม่รู้ว่าที่เขาพูดมันเรื่องจริงจังหรือแค่หยอกฉันเล่นกันแน่“ละ... ล้อเล่นเหรอ” ฉันพูดเสียงสั่น ผละมือออกในทันที ฉลามดุเงยหน้าขึ้นมองฉันที่มีท่าทีตื่นกลัว เขาชะงักไปนิดหน่อย ก่อนที่ต่อมาจะขบกรามแน่น“เออ ใช่ เราล้อเล่น” เขาพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะ ฉันก็เลยถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่กลับเห็นว่าแววตาของเขาที่มองฉันมันกลับดูเจ็บปวด“อย่าล้อเล่นเรื่องแบบนี้อีกนะ” ฉันเอ็ดเขา ในขณะที่ฉลามจะหัวเราะออกมาอีก แต่มันดูเหมือนเขาฝืนทำซะมากกว่า“โอเค ไม่ทำแล้ว” เขาพูด ในขณะที่ฉันพยักหน้าแล้วทำท่าจะเช็ดผมให้เขา แต่ฉลามดุกลับผละตัวออกมา เขาหันเสี้ยวหน้าด้านข้างให้ฉัน แล้วพูดสั้นๆ “ไม่ต้องเช็ดแล้วนิ้ง เดี๋ยวมันก็แห้งเอง”ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้นทำไม ฉลามดุไม่มองหน้าฉันเลย เขาพิงศีรษะตัวเองลงกับพนักพิงด้านหลัง เงยหน้าขึ้นมองเพดานแล้วพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่นิ่งขึ้น “ไปนอนเหอะ เดี๋ยวเราจะนอนข้างนอก”“เป็นอะไรรึเปล่า” ฉันถามเขา แต่ฉลามดุไม่ตอบ เขาแค่หลับตาลง“แค่ง
ย้อนไปเมื่อไม่กี่วันก่อน“แกก็น่าจะรู้นะฉลาม พ่อไม่ได้มีแกเพื่อให้มาก่อเรื่องซ้ำๆ ซากๆ”“ผมก็บอกแล้วว่าแค่ป้องกันตัว มันหมาหมู่กับผม จะให้ทำไง?” ผมย้อนถามพ่อที่นั่งอยู่ตรงหน้าในชุดตำรวจเต็มยศ ห้องที่เรานั่งเผชิญหน้ากันคือห้องไว้สอบสวนคนร้าย ผมไม่คิดว่าพ่อจะเรียกผมมาคุยที่นี่ มันคือหลักฐานว่าไม่ว่ายังไงพ่อก็ยังคงมองผมเหมือนเดิมหกปีที่ผ่านมาพ่อไม่เคยไว้ใจผม ข้อนี้ผมรู้ดี“แกจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เหรอ ที่แก...”“มันผ่านไปแล้วพ่อ” ผมพูดแทรกขึ้นมาเพราะไม่อยากฟัง “ก็บอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ผมชดใช้ทุกอย่างแล้ว”“แต่แกฆ่าคนตายนะฉลาม แกเป็นลูกของตำรวจแท้ๆ เป็นบุตรสีกากี แต่แกทำตัวแบบนั้น... แกคิดว่ามันจะเป็นแผลในชีวิตพ่อบ้างมั้ย?”พ่อผมค่อนข้างเป็นคนใจเย็นมากกว่าแม่ของผม เขาพยายามแล้วที่จะระงับอารมณ์แล้วคุยกับผมดีๆ แต่ผมก็รู้ว่าสายตาที่พ่อมองผมมันไม่เคยเปลี่ยนไปจากเดิม... พ่อยังเห็นผมเป็นไอ้ลูกไม่รักดี เป็นฆาตกรฆ่าคนตายที่ทำให้ครอบครัวของเราถูกมองเสียๆ หายๆเพราะผมอยากให้พ่อแม่ยอมรับกับเรื่องบัดซบนี่ ผมเลยออกมาใช้ชีวิตคนเดียว เรียนอาชีวะ ซ่อมเครื่องยนต์ หาเงินส่งตัวเองเรียนโดยไม่ขอพ่อแม่สักบ
ผมหงุดหงิดเมื่อเปิดมาก็เห็นข้อความของพราวที่เด้งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืน รวมถึงที่เธอโทรมาหาผมทางไลน์เพราะผมเปลี่ยนเบอร์ใหม่หนีเธออีก ผมไม่ใช่คนใจดำกับผู้หญิง แต่บางครั้งอดีตที่เธอทำมันก็สอนให้ผมรู้ว่าต้องทำตัวยังไงกับพราวตอนที่เธอทิ้งผมไปหาไอ้อักระ ผมไม่แม้แต่จะรั้งทั้งๆ ที่เจ็บแทบตาย แต่พอเธอจะกลับมา ทำแบบนี้มันง่ายเกินไปมั้ยผมไม่ได้สนใจเธอแล้วผมรักนิ้งผมอ่านแต่ไม่ตอบ ถ้าเธอไม่คิดที่จะให้ไอ้อักระออกมาเคลียร์ก็ไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรต้องพูดกันอยู่แล้ว เรื่องมันไว้เดี๋ยวผมจะจัดการเองผมถอนหายใจหนัก ในขณะที่เสียงไลน์ดังขึ้นอีกผมหยิบขึ้นมาดูอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากรู้ว่าพราวจะพิมพ์อะไรส่งมาอีก ถ้าจะขอโทษพร่ำเพรื่อผมจะบล็อกเธอซะแต่ข้อความที่ถูกส่งมาใหม่ของเธอกลับทำให้ผมขมวดคิ้วP’row : อยากเจอกูนักเหรอP’row : ที่ไหนดีล่ะผมแทบจะผุดลุกออกมาจากเตียงที่นอนอยู่ หายปวดหัวทันทีที่เห็นข้อความถูกส่งเข้ามาจากไลน์ของพราว แต่ผมรู้ว่าคนที่พิมพ์มาคือใครไม่ใช่พราวพี่หลามคนจริง : ที่เดิมไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากถ้าเป็นมัน ทันทีที่ผมส่งข้อความกลับไป โทรศัพท์ของผมก็ขึ้นว่ามีสายเรียกเข้าไม
ฉันไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่อยู่ดีๆ น้ำตามันก็เอ่อคลออยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง เพราะจู่ๆ เขาก็ทำให้ฉันคิดถึงตัวเองตอนยังเด็กในชีวิตของฉันมีแต่คนรายล้อมมากมาย มีแต่คนรักฉันไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริงของฉัน ถึงฉันจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ แต่ครอบครัวของพี่คะนองก็ต้อนรับฉันอย่างอบอุ่นเสมอแต่ไม่รู้ทำไม... ทุกครั้งฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ตัวคนเดียวฉันรู้อยู่แก่ใจว่าถึงพวกเขาจะรักฉันยังไง... แต่ครอบครัวนั้นก็เป็นของพวกเขา ไม่ใช่ครอบครัวจริงๆ ของฉันสักหน่อยคุณแม่ทิ้งฉันไปตั้งแต่จำความได้ ในชีวิตของฉันมีแค่คุณพ่อที่แสนดีและอบอุ่น ฉันรักท่านมาก เรามีความทรงจำดีๆ ร่วมกันหลายเรื่อง... จนท่านจากไปฉันก็แค่คิดถึงท่าน ฉันก็แค่อยากกลับไปอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ พร้อมกับคุณพ่อเท่านั้นเอง“ฮึก... ฮือ” ฉลามดุเกลี่ยน้ำตาของฉันออกทันทีที่เห็นว่าฉันร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ฉันเอามือทั้งสองข้างมาปิดหน้าไว้ ฉันไม่อยากให้เขาเห็นเลย“นิ้ง” ฉันได้ยินว่าเขาเรียกชื่อฉัน แต่ฉันกลับหยุดร้องไห้ไม่ได้ ฉันปล่อยโฮออกมาแล้วสะอึกสะอื้นเป็นเด็กๆ เอาหลังมือเช็ดน้ำตาจนแสบหน้าไปหมด ในขณะที่ต่อมาจะถูก
[พาร์ท : ฉลามดุ]“อาการคนแพ้เหล้านะเฮียแบบนี้”ผมถอนหายใจหนักเมื่อหลังจากที่นิ้งหยิบแก้วเหล้าผิดไปเธอก็ฟุบลงกระแทกโต๊ะทันทีจนผมตกใจ คิดว่าเธอเป็นอะไรไป ที่แท้ก็แค่แพ้เหล้าแต่ไม่รุนแรงมาก ผมพอเข้าใจที่เธอบอกว่ากินเหล้าไม่ได้แล้วตอนแรกผมไม่คิดว่าจะเจอเธอตอนที่ผมออกไปเคลียร์กับพราว ผมไม่คิดว่าเธอจะได้ยิน แต่เอาจริงๆ ผมก็รู้สึกดีตั้งแต่เธอเลือกที่จะตามผมมาที่นี่แล้วว่ะ“แล้วจะเป็นไง” ผมถามต่อเพราะไม่เคยเจอ ที่รู้ก็เพราะพวกน้องๆ ของผมมันมีญาติบางคนที่มีอาการแบบนี้ มันรู้ดี เวลามีอะไรผมก็ถามตลอด “จะต้องถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลอะไรมั้ย?”“ไม่หรอก น้องผมเคยเป็นอ่ะเฮีย บางคนก็เหมือนแพ้อาหาร บางคนก็ง่วง อาการไม่เหมือนกัน” ผมหันไปสำรวจนิ้ง เธอไม่มีผื่นขึ้นแต่แค่ทำปากเหมือนพึมพำอะไรอยู่ตลอดเวลา ดูเผินๆ ก็เหมือนคนเมาปกติผมถอนหายใจสั้นๆ“เออ เข้าใจแล้ว”“ให้เค้าไปนอนข้างในมั้ยเฮีย?”“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูดูเอง” มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ผมพูดเพราะไม่อยากให้คนอื่นมากังวลแทน ในขณะที่ไอ้เดี่ยวมองผมสลับกับคะนิ้งที่นอนฟุบอยู่กับโต๊ะแล้วกระตุกยิ้ม“คนคุยๆ มึงน่ารักดีนะ” มันคงรู้ว่าเธอมาที่นี่กับผมเพราะอะไร “
ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นพราวที่ส่งมา เธอคือคนที่ผมเคยคบเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนี้ก็หลายเดือนแล้วที่ผมไม่สนใจหรือไม่แคร์อะไรที่เกี่ยวกับเธอเลย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในตอนที่คบกันผมก็ให้เธอเต็มที่เกือบพอๆ กับนิ้งเธอบอกเลิกผมเพื่อไปหาคนใหม่ เรื่องสำคัญอยู่ที่ว่าไอ้เวรนั่นมันดันเป็นศัตรูเก่าของผม ถ้ายังจำที่เด็กมัธยมพวกนั้นพูดถึงกลุ่มสมิงดำได้ หัวหน้ากลุ่มนั้นมันชื่อว่า อักระ และหลังจากนั้นกลุ่มของมันก็หมดอิทธิพลไปด้วยฝีมือของผมกับไอ้เดี่ยวมันเป็นคนเดียวกับที่พราวทิ้งผมเพื่อไปหา แล้วก็เป็นคนเดียวกับที่ผมเล่นจนลูกน้องมันต้องไปให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล มันไม่ได้มาทำร้ายผมตรงๆ แต่ส่งลูกน้องมาเล่นสกปรกแทนถึงแขนผมจะเจ็บ แต่ถ้ามันยืนอยู่ตรงนี้ผมก็คงไม่ลังเลที่จะซัดหน้ามันเหมือนกันผมนั่งนิ่ง มองปฏิกิริยาของนิ้งที่นั่งอยู่ข้างหน้า เธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์ในมือผม มองข้อความในนั้น แล้วเริ่มเม้มปากเธอกำลังคิดอะไรอยู่?ผมไม่รู้ ผมทำได้แค่หลบมือที่ถือโทรศัพท์ออกห่างจากใบหน้าเธอมาอยู่ตรงหน้าตัวเองเงียบๆ แล้วตอบข้อความของพราวพี่หลามคนจริง : ได้ วันนี้เลยดิแต่มันไม่จบแค่นั้นพี่หลามคนจริง : เอาไอ้อักระมาด้วยถ้า
[พาร์ท : ฉลามดุ]ผมจ้องหน้าผู้ชายที่อยู่ๆ ก็เข้ามาขัดจังหวะ ทำเหมือนรู้จักนิ้งไม่รู้ว่ามันเป็นใคร อยู่ดีๆ ก็เข้ามาพูดกับเธอ ผมเกือบจะได้หอมนิ้งอยู่แล้วถ้ามันไม่มาขวางซะก่อน และผมก็คิดว่าจะได้จ้องมันอยู่แบบนั้นถ้านิ้งไม่โพล่งขึ้นมา“คะเน” ผมทำหน้างงเมื่อเห็นว่าเธอมีสีหน้าดีใจ แถมยังเรียกชื่อเหมือนสนิทสนมกันมานาน “นั่งนี่สิจ้ะ เนกลับมาจากญี่ปุ่นเมื่อไหร่เหรอ?”“เมื่อคืนน่ะ กลับมาพร้อมกับนิน” ผู้ชายที่ดูท่าทางจะเหมือนเด็กเรียนยิ้มให้คะนิ้ง ก่อนที่ต่อมาจะหันมามองหน้าผมพร้อมกับหรี่ตามองเหมือนจะสำรวจอะไรบางอย่างแล้วนั่งลงข้างๆ นิ้งอย่างถือวิสาสะผมมองมันนิ่งอย่างดูเชิง มันหล่ออยู่ แถมยังดูเอาการเอางาน ดูเป็นเด็กเรียนหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่าผม สังเกตจากลุคที่ดูสุภาพ ผู้ชายแบบนี้ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะชอบแต่ไม่รู้ว่านิ้งจะชอบแม่งไปด้วยอีกคนมั้ย“ใครอ่ะนิ้ง สักเต็มตัวเลย” แต่คิดได้ไม่นานก็โดนพูดถึง ผมมองมันสลับกับนิ้ง อยากให้เธอตอบว่าผมอ่ะว่าที่แฟน แต่มันก็แค่ความหวัง“อ๋อ... เพื่อนอ่ะ” นิ้งตอบไปแบบนั้น เธอดูเกร็งมากขึ้น ซึ่งผมพอเข้าใจนะ แต่ถ้าไอ้นี่ก็เป็นเพื่อนเธอเหมือนกัน นี่แม่งโคตรน่าโมโหเลยรู