บทที่ 6 เสี่ยวเฮยก็ตามมาด้วย!!!
..."เหมียวววววววว!"...
เสียงร้องแหลมดังขึ้นกะทันหัน ทำให้หยางชิงโม่สะดุ้ง เธอหันไปตามเสียงด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัว "เสี่ยวเฮย!! เจ้าเสี่ยวเฮยหรือเปล่า?" เธอรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง เรียกมันเสียงดังด้วยความหวัง
ท่ามกลางแสงสลัวของสถานที่แปลกประหลาด เจ้าแมวสีดำตัวอ้วนกลมปรากฏตัวขึ้น มันชำเลืองมองหยางชิงโม่ด้วยสายตาที่ไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันหลังนั่งเลียขนของมันต่อ ด้านหลังที่อ้วนกลมเหมือนถังแก๊สเล็ก ๆ ทำให้เธอมั่นใจว่านั่นคือเจ้าเสี่ยวเฮยของเธอแน่นอน แมวตัวไหนจะอ้วนกลมขนาดนี้ได้ถ้าไม่ใช่มัน?
ครู่หนึ่ง มันแอบชำเลืองมองเธออีกครั้ง สายตาที่ส่งมาเหมือนจะบอกว่า "จะเสียงดังทำไม?" แต่หยางชิงโม่ไม่ถือสา เธอยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยความดีใจ เธอรีบวิ่งเข้าไปหาเจ้าแมวตัวน้อย อุ้มมันมากอดแน่น ๆ
ขนปุยสีดำสนิทมันวาวของมันบ่งบอกว่ามันกินดีอยู่ดีและอุดมสมบูรณ์มาก แม้แต่เด็ก ๆ ในแถวนี้ยังผอมแห้ง แต่เสี่ยวเฮยกลับอ้วนกลมเป็นถังแก๊สน้อย ๆ ขนของมันนุ่มนิ่ม เมื่อเธอยกมันสัมผัสกับแก้มของเธอ เสียง "เพอร์" เบา ๆ ดังก้องอยู่ในหู ราวกับกลัวว่ามันจะหายไปอีกครั้ง เธอกอดมันแน่นขึ้น
เสียงหัวเราะคิกคักของเธอดังก้องไปทั่วบริเวณ สะท้อนถึงความสุขที่เปี่ยมล้นในใจ หยางชิงโม่รู้สึกว่าโลกทั้งใบสว่างไสวขึ้นเมื่อได้พบกับเจ้าเสี่ยวเฮยอีกครั้ง ความกังวลและความเหงาทั้งหมดหายไป เธอกระซิบกับมันเบา ๆ "ข้าคิดถึงเจ้ามากเลย เจ้าแมวขี้เกียจของข้า"
เสี่ยวเฮยเพียงหรี่ตามองเล็กน้อย ก่อนจะพ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วซุกตัวเข้าหาอ้อมแขนของเธอ ทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้งในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย แต่ความผูกพันระหว่างพวกเขายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หยางชิงโม่ก้มมองเจ้าเสี่ยวเฮย ดวงตาสีฟ้าใสของมันจ้องมองเธอ จมูกเล็กๆ สีชมพูยื่นมาดมของหน้าของเธออย่างสนใจ และเหมือนมันก็ต้องการจะให้แน่ใจว่า หญิงคนนี้คือคนที่มันคิดว่าใช่คนๆ แน่นอน เมื่อมันพิสูจน์กลิ่นแล้ว เห็นว่าเป็นคนๆ เดียวกันจากนั้น พวงหางยาวสีดำของมันก็พันรอบแขนของเธอ ราวกับต้องการกอดเธอไว้เช่นกัน ในปี 1978 ที่หยางชิงโม่ย้อนเวลามานั้นเธอไม่รู้จักใครเลยจริงๆ แต่อย่างน้อยมีเจ้าเสี่ยวเฮยอยู่ด้วยเธอก็รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยเธอยังมีเพื่อนที่มาจากที่ที่เธอจากมาด้วยนั้นเอง
“เสี่ยวเฮย!!...เสี่ยวเฮย...แกตามฉันมาจริงๆ เหรอ..โอยดีใจจังเลย.”
เธอยกมันขึ้นมาสบตาหนึ่งทีจากนั้นก็เอาหน้าซุกลงไปที่พุงอันใหญ่โตของมันหนึ่งที แล้วพามันเข้ามาในบ้านทันที...เจ้าหัวผักกาดทั้ง3คนที่กำลังนั่งกินโจ๊กอยู่ใกล้จะหมดชามแล้ว เมื่อเห็นว่าแม่อุ้มบางอย่างเป็นก้อนอ้วนๆ สีดำอยู่ในอ้อมแขนเดินเข้ามาในบ้านพวกเขาทั้งสามก็ถึงกับวางช้อนที่กำลังตักกินโจ๊ก แล้วจ้องเจ้าสี่ยวเฮยดวงตาเป็นประกาย.....
เด็กน้อยเสี่ยวเป่ารีบกระโดดลงจากเก้าอี้เล็กของเขา แล้ววิ่งปรี่มาหาแม่ของเขา สายตาจดจ้องไปที่เจ้าเหมียวสีดำสนิทที่แม่อุ้มอยู่ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของเขา มือเล็กๆ ยื่นออกไปลูบขนนุ่มนิ่มเบาๆ
"แมว แมว. ขนนุ่มนิ่มจังเลยครับแม่" เสียงเรียกนั้นเต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดูจากนั้นก็ทั้งลูบขนและจกพุงเจ้าเสี่ยวเฮย และหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
“มันชื่อเจ้าเสี่ยวเฮยจ๊ะ” หยางชิงโม่บอก
เจ้าหนูน้อยยิ้มกว้างขึ้น ก่อนจะหันไปมองเจ้าเหมียวอีกครั้ง ดวงตากลมโตเปล่งประกายด้วยความซุกซน
"อืม... เสี่ยวเฮยอยากกินโจ้กไหม?" เด็กน้อยเอ่ยถาม
ทันใดนั้น เจ้าเหมียวสีดำก็พยายามสะบัดออกจากอ้อมแขนของหยางชิงโม่และกระโดดไปที่โต๊ะตัวเล็กและแสนจะเก่าตัวนั้นที่ครอบครัวของเธอกำลังนั่งกินโจ๊กกันอยู่ มันเดินหางฟูๆ ตั้งตรง ไปที่ชามโจ๊กและดมๆ ไปทั้ง 4 ชาม จากนั้นก็ชะแง้หน้าไปหาเด็กน้อย ร้องเหมียวๆ ราวกับตอบรับว่ามันก็จะกินเหมือนกันนั้นเอง
"แม่ครับเอาเสี่ยวเฮยไปกินโจ๊กได้มั้ยครับ ผมจะแบ่งหมูในชามให้มันกิน!"
เสี่ยวเป่าถึงกับจะยอมเสียสละหมูในชามโจ๊กให้เจ้าเสี่ยวเฮยเลยทีเดียว เมื่อเธอพยักหน้าเขาก็ร้องด้วยความดีใจเด็กน้อยรีบวิ่งไปในครัวและ หยิบชามเปล่าออกมา จากนั้นก็ตักหมูที่เขาอุตส่าห์เก็บไว้กินคำสุดท้ายออกมาใส่ชามและเลื่อนไปให้เจ้าเหมียวเสี่ยวเฮย จากนั้นเด็กๆ ทั้งสามต่างก็ตักหมูที่เหลือกันคนละชิ้นสองชิ้นมาใส่ชามให้มันทุกคน จนหยางชิงโม่ต้องยิ้มออกมา และเธอก็ตักหมูออกมา 1 ชิ้นแล้ววางให้มันเช่นนั้น เจ้าเสี่ยวเฮยเหลือบตามองเธอแว๊บหนึ่งก็จะก้มหน้าและกินหมูทั้งสี่ชิ้นนั้นทันที
"อ้า... อ้า..."
เสี่ยวเป่าร้องเมื่อเห็นเสี่ยวเฮยกินหมูที่เขาให้หมดและหันไปมองในชามอีก หยางชิงโม่เห็นเช่นนั้นก็เข้าไปในครัวและเอาหมูออกมาอีกหลายชิ้น เธอแบ่งหมูใส่ชามให้เด็กๆ ทั้งสามอีกคนละ 2-3 ชิ้นจากนั้นก็เอาไปใส่ชามของเจ้าเสี่ยวเฮยด้วย เจ้าเหมียวอ้าปากกว้างและกินหมูจนหมดชามอีกครั้ง และดูเหมือนว่ามันจะอิ่มแล้ว มันเดินไปที่โต๊ะอีกด้านจากนั้นก็ทำความสะอาดขนของตัวเองอย่างขะมักเขม้นทีเดียว เมื่อเด็กๆ เห็นรอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสาม พวกเขาต่างก็เขามองเจ้าเหมียวด้วยความรักและเอ็นดูจากนั้นก็หันมองแม่ของพวกเขาพร้อมกันทันทีและเอ่ยขึ้นมาว่า
“แม่ครับพวกเราเลี้ยงมันได้ใช่ไหมครับ?” เด็กน้อยพูดพร้อมกัน หยางชิงโม่ได้แต่ไปที่เด็กแต่ละคนก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าเบา ๆ
“เฮ้!!!!”
เสียงร้องของเด็กๆ ดังลั่นขึ้นมาพร้อมกันทันที
บทที่ 7 มาเปลี่ยนบ้านหลังน้อยให้ดูอบอุ่น Cozy cozy กันเถอะ. หยางชิงโม่ทิ้งเจ้าเสี่ยวเฮยเอาไว้กับเด็กๆ เธอลุกเก็บถ้วย จาน แก้วไปล้างที่ด้านหลังบ้าน..และได้เวลาสำรวจบ้านช่องกันแล้ว...เธอหันมองไปรอบตัวของเธออย่างช้า ๆ บ้านอิฐคับแคบและมืดมน เตียงไม้เก่า ๆ ตู้เก็บของที่อับชื้น มีโต๊ะกลมเล็ก ๆ ที่สีถลอก และเก้าอี้โทรม ๆ สาม สี่ตัวตรงมุมห้อง แต่สิ่งที่เตะตาเธอที่สุดคือปฏิทินติดผนังเมื่อเข้าไปมองใกล้ ๆ เธอก็รู้ว่าตอนนี้เป็นกลางเดือน 7 ปี 1978 ใกล้จะเข้าหน้าหนาวเข้าไปทุกทีแล้ว อากาศเริ่มลดมา เธอต้องเตรียมความพร้อมให้กับลูกๆ ของเธอก่อน สภาพของบ้านเธอแบบนี้หน้าหนาวจะต้องทรมานมากแน่ๆ เธออยากทำบ้านใหม่ให้ทันหน้าหนาวที่จะมาถึงในอีกไม่ถึง 2 เดือนนี้ แต่กลัวว่าการสร้างบ้านต้องใช้เวลานานกว่านั้น ดังนั้นในตอนนี้ที่ทำได้น่าจะแค่ซ่อมแซมหลังคาและตัวให้แน่นหนาก่อนและดูว่าถ้าเธอจะให้ทำเตาผิงในโถงบ้านจะทำได้หรือไม่ อย่างน้อยถ้าในบ้านมีเตาผิงพวกเธอ 4 แม่ลูกยังมานอนในห้องโถงได้ถ้าอากาศหนาวจัดหยายชิงโม่เดินดูรอบ ๆ บ้านว่าจะต้องซ่อมแซมอะไรบ้าง หลังจากหมดหน้าหนาวค่อยหาทางสร้างบ้านใหม่หรือขยับขยายออกไป.เมื่อเดิ
บทที่ 8 เริ่มต้นชีวิตใหม่พร้อมมิติที่ตามมาเช้าวันต่อมา หยางชิงโม่ที่ตั้งใจจะซ่อมแซมและจัดบ้านของเธอได้ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเธอเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าสำหรับเด็กๆ วันนี้เธอจะเอาข้าวต้มกุ้งจากมิติที่เธอสั่งจากร้านชื่อดังออกมาทาน เธอสั่งมาถึงอย่างละ 500 ชุดเลยทีเดียวเอาเป็นว่าไม่ต้องทำอาหารประเภทข้าวต้มกันไปอีกนานเลย เพราะมันมีทั้งข้าวต้มกุ้ง ข้าวต้มปลา ข้าวหมู ข้าวต้มทะเล รู้สึกอยากทานแบบไหนก็เอาออกมาเลย เธอดีใจที่มีมิติติดมาในยุคนี้ด้วย เพราะไม่เช่นนั้นเธอจะต้องปวดหัวกับการที่จะต้องหาอาหารมาทานแน่นอนถึงแม้ว่าช่วงนี้จะไม่อดอยากเหมือนหลายปีก่อน แต่การจะได้ทานเนื้อสัตว์ก็ไม่ได้บ่อยนัก นอกจากนำข้าวต้มออกมาเธอยังเอาปาท่องโก๋และนมสดออกมาด้วย ลูกๆ ของเธอต้องเริ่มดื่มนมตั้งแต่ตอนนี้ ส่วนเจ้าเสี่ยวเฮยเธอได้เอาเนื้อปลาที่ใส่ในข้าวต้มปลา แยกออกมาให้มันต่างหากด้วย 1 ถ้วยใหญ่เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยเธอเดินไปปลุกเด็กๆ ให้ตื่นมาล้างหน้า แปรงฟัน โดยเธอนำแปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ แชมพู ครีมนวดผม ออกมาวางไว้ในห้องน้ำเรียบร้อยและเธอได้สอนเด็ก ๆ ในการแปรงฟัน ล้างหน้า ด้วยสบู่ ยาสีฟันที่เธอนำมาด
บทที่ 9 ครัวครอบสามีดีเกินไปนะผิดกับธรรมเนียมนิยม นิยายย้อนอดีตส่วนใหญ่หลังจากหยางชิงโม่เดินดูรอบบ้านและจัดแต่งบางส่วนของบ้านเพื่อให้อยู่ได้ก่อนในช่วงนี้ และเธอได้ค้นดูในตู้ใบเก่าพบว่า หยางชิงโม่คนเก่ามีเงินเก็บเอาไว้ถึง 180 หยวนเลยที่เดียว ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ถือว่ามีเงินมากพอสมควร นี้หยางชิงโม่คนเก่าคนไม่เคยใช้เงินเลยแน่ๆ ถึงมีเงินเก็บมาขนาดนี้ และคงจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอป่วยและเสียชีวิตเพราะประหยัดเกินไปไม่ยอมซื้อของมาบำรุงตัวเอง แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ ตัวเองอดแล้วยังให้ลูกอดด้วย จะเก็บเงินเอาไว้ทำไมหากว่าลำบากมาก เอาออกมาใช้สิ ..หยางชิงโม่คิดบ่นเจ้าของร่างเดิม จากนั้นเธอก็เก็บเงินเอาไว้ในมิติ เช้าวันต่อมาหลังเธอได้ไปหาพ่อสามีและพี่ชายสามีและน้องสามี และได้บอกให้พวกเขามาช่วยเปลี่ยนหลังคาที่ชำรุด 2-3 แห่ง ทำห้องอาบน้ำ และห้องน้ำให้เธอใหม่ โดยเธอนำชักโครกออกมาและบอกวิธีการติดตั้งให้พวกเขาซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็สามารถทำได้แล้ว โดยเธอได้ให้ค่าจ้างไปคนละ 20 หยวน ซึ่งพ่อสามีและพี่ชายสามีไม่อยากจะรับมาแต่เธอไม่ยอมและให้เหตุผลว่า ตอนนี้พี่สะใภ้เฉินเจียวกำลังตั้งครรภ์จำเป็นต้องใช้เงิน
บทที่ 10 อยากทำการค้าพอเรื่องบ้านเรียบร้อยน่าอยู่ขึ้น หยางชิงโม่จึงได้มีเวลามานั่งดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังจะขึ้นในช่วงปลายปี 1978- 1980 ซึ่งเธอได้ปริ้นออกมาหลายแผ่นด้วยกัน เธอต้องการที่จะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น ในเมื่อให้เธอย้อนอดีตมาแล้ว แถมยังให้มิติใส่ของมากมายมาด้วย ดังนั้นเธอจะต้องนำมาสร้างประโยชน์ด้วยสิเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดภายใน 2 ปีข้างหน้าคือการก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองเซินเจิ้น ในมณฑลกวางตุ้ง ทางภาคใต้ของจีนเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรก ต่อมา ก็ขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นที่เมืองจูไห่, เซี่ยเหมิน และซ่านโถว (ซัวเถา) ระหว่างนั้น เซินเจิ้นเป็นจุดสาธิตทดลองนโยบายปฏิรูปของเติ้ง และดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาในประเทศ ซึ่งประจวบเหมาะที่เมืองจูไห่เป็นเมืองที่พวกเธออาศัยอยู่พอดี หยางชิงโม่ อ่านดูบริเวณที่จะทำเป็นเขตเศรษจกิจพิเศษ ซึ่งเป็นบริเวณทิศตะวันออกของเมือง ปัจจุบันเป็นที่อยู่อาศัยที่เก่าแก่มานานของชาวเมืองจะเรียกว่า สลัมก็ได้ ซึ่งบริเวณนั้นมีพื้นที่ประมาณ 10 กิโลเมตร อาคารเก่าปลูกติดกันเป็นห้องๆ แต่ด้านหลังนั้นกว้างมากสามารถที่จะขยายพื้นที่ออกไปได้อีก
บทที่ 11 กำลังง่วงนอนก็มีคนส่งหมอนให้ทันทีเมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองแล้วตอนนี้เธอไม่รู้จักใครที่นี้เลย ที่จะนำสินค้าของเธอไปขายได้ ดังนั้นเธอต้องวางแผนที่จะทำให้สินค้าของเธอเป็นสินค้าที่ขายส่งให้กับห้างร้านขนาดเล็กใหญ่และหาตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงได้ทำรายชื่อห้างร้านรวมถึงตลาดสดที่เธอต้องการที่จะส่งสินค้าให้พวกเขา โดยเท่าที่เธอหาข้อมูลมานั้น สินค้า ประเภท สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน เสื้อผ้า ของเล่น รวมถึงอาหารสดประเภทต่างๆ ยังคงเป็นสินค้าที่หายากในยุคนี้ แต่ด้วยความที่เธอตัวคนเดียวสินค้าที่เป็นประเภทอาหารสดเธอจะยังไม่นำออกมาขาย แต่จะเสนอขายสินค้าประเภทของใช้ในชีวิตประจำวันให้กับทางห้างและตลาดสดดูก่อน โดยเธอได้นำตัวอย่างสินค้าที่จะเสนอขายไปด้วย อย่างละ 10 ชิ้นเมื่อออกจากบ้านใหญ่เธอกลับมาที่บ้านตัวเองแล้วเตรียมอาหารเที่ยงสำหรับเด็กๆ และได้เตรียมเผื่อบ้านใหญ่ด้วยเลย โดยเธอได้เอาขาหมูพะโล้หม้อใหญ่ออกมาและอกไก่ชุบแป้งทอดออกมาใส่ตะกร้าแล้วเดินออกไปที่บ้านใหญ่พร้อมพวกเด็กๆ อีกครั้งซึ่งเธอได้คุยกับเด็กๆ แล้วว่าวันนี้จะไปรับของที่คุณยายคุณตาส่งมาให้ ดังนั้นจึงให้พวกเขาไป
บทที่ 12 ไม่มีใครสามารถโกงแก๊งมังกรดำได้ ขณะที่รถค่อยเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมืองหยางชิงโม่สังเกตสภาพความเป็นอยู่มากมายระหว่างทาง ถนนหนทางในยุค 80 ยังเป็นถนนดินแดงสลับกับถนนลูกรังเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้จักรยานเป็นพาหนะ มีรถยนต์ผ่านไปมาน้อยมาก"ถ้าเทียบกับปี 2024 แล้ว ที่นี่เหมือนคนละโลกเลย" หยางชิงโม่พึมพำกับตัวเอง ขณะมองดูอาคารเก่าๆ ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา บริเวณที่ในอนาคตจะกลายเป็นตึกระฟ้าและศูนย์การค้าหรูหราเมื่อรถแทรกเตอร์ของหมู่บ้านเดินทางมาถึงตัวเมืองจู่ไห่ก็เป็นเวลา 9 โมงเช้าพอดี หลีอันเล่อบอกทุกคนว่าจะรอที่ทางเข้าหน้าตลาดสด และจะจอดรอจนถึงเวลา 12 นาฬิกาเท่านั้นถ้าใครอยากจะกลับด้วยก็ให้มาให้ตรงเวลาเมื่อทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำธุระของแต่ละคน หยางชิงโม่ก็เดินตรงไปที่ตลาดสดเพื่อดูว่าในร้านแต่ละร้านมีสินค้าแบบไหนบ้าง เธอเดินเข้าไปในตลาดกลางเมือง สังเกตราคาสินค้าต่างๆ อย่างละเอียด เห็นผู้คนกำลังต่อคิวซื้อของใช้จำเป็น บางร้านมีป้าย "ต้องใช้คูปองแลกซื้อเท่านั้น" ติดอยู่ เธอจดบันทึกราคาสินค้าพื้นฐานไว้ในใจ:ข้าวสาร 1 กิโลกรัม ราคา 2.14 หยวนเนื้อหมู 1 กิโลกรัม ราคา 2.20 หยวนน้ำตาลทร
บทที่ 13 แก๊งมังกรดำณ แก๊งมังกรดำ ฉีฮ้าว พี่ใหญ่ของแก๊งกำลังนั่งหน้าโต๊ะ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แก๊งมังกรดำของเขานั้นก่อตั้งขึ้นมาได้เกือบ 8 ปีแล้ว เขาและท่านนายพลเซี่ย ได้ก่อตั้งตลาดมืดขึ้นเพราะจะได้เป็นทางเลือกให้กับประชาชนที่ต้องการจะซื้อสินค้า อาหาร ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น ท่านนายพลเซี่ยเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของเขามาก่อน และเมื่อ10 ปีก่อนนั้นเขาถือเป็นนายทหารหนุ่มที่มีฝีมือดีที่สุด และยังเป็นทหารคนสนิทของท่านนายพลเซี่ยแต่แล้วก็มีเหตุการณ์ลอบสังหารขึ้นในระหว่างทางที่ท่านนายพลกำลังจะกลับกองทัพที่ปักกิ่ง ในตอนนั้นเขาซึ่งอยู่ใกล้ได้เอาตัวเข้าขวางวิถีกระสุน ทำให้ท่านนายพลรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ตัวเขานั้นบาดเจ็บสาหัส ขา แขน ปอดเสียหายอย่างหนัก ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า ขาของเขาไม่สามารถจะกลับมาเดินได้เหมือนปรกติอีกต่อไปเขาสลบไปถึง 2 สัปดาห์เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาขอย้ายมาอยู่ที่เมืองจู่ไห่ที่เป็นบ้านเกิดของเขาและตั้งใจจะลาออกเพื่อกลับมาทำนาที่บ้าน ซึ่งท่านนายพลก็อนุญาตให้เขาลาออก ระหว่างนั้นคุณหนูเซี่ยจางหยุนลูกสาวคนสุดท้องของท่านนายพลเซี่ยซึ่งกำลังคบกันกับเขาอยู่และทั้งสองว่างแผนจะแต่งงานกันใ
บทที่ 14 สินค้าจากเซียงไฮ้หายากและราคาแพงทั้งนั้น นาฬิกา จักรยาน ผ้า จักรเย็บผ้าหยางชิงโม่เดินออกจากตลาดสดด้วยรอยยิ้มบางๆ การเจรจากับเจียงไห่เป็นไปอย่างราบรื่น เธอไม่เคยคิดว่าการทำธุรกิจในยุค 80 จะง่ายขนาดนี้ แต่นั่นก็เพราะเธอมีความได้เปรียบ สินค้าในมิติของเธอล้วนเป็นของที่หายากในยุคนี้เธอเดินมาถึงโกดังที่เช่าไว้ เธอล้วงกุญแจออกมาไขประตูเหล็กบานใหญ่ที่มีสนิมเกาะ เสียงเหล็กเสียดสีดังเอี๊ยดอ๊าด กลิ่นอับชื้นโชยออกมา"เอาละ ได้เวลาจัดการสินค้ากันแล้ว"เธอเริ่มนำจักรยานใหม่เอี่ยมออกมาเรียง แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างสะท้อนกับโครเมียมวาววับ ถัดมาคือจักรเย็บผ้าที่ในยุคนี้หาซื้อได้ยาก นาฬิกาข้อมือรุ่นคลาสสิกที่อีก 40 ปีจะกลายเป็นของสะสมราคาแพง และวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ยังใหม่กริบ จากนั้นก็เป็นพวกผ้าม้วนหลากสีสันที่เธอเตรียมมาสำหรับขาย และจัดทุกอย่างให้เป็นหมวดหมู่เมื่อเธอพาคนมารับสินค้าจะได้สะดวกไม่ต้องเสียเวลาเอาเข้าเอาออกบ่อยๆ เสร็จแล้วก็เอาแม่กุญแจขนาดใหญ่ 2 ตัวมาล็อคประตูและเดินออกมา ...โดยเธอไม่รู้ตัวเลยว่า ได้ทำธุรกิจกับเจ้าพ่อตัวจริงของเมืองจู่ไห่เรียบร้อยแล้วตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 11 โมงแล
บทที่ 19 เฉินหวังตงคือใครกันแน่ (พระเอกออกมาช้าต้องมีเงื่อนงำแน่นอน)หยางชิงโม่ค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับกระดาษสีทองจากเจ้าเสี่ยวเฮย ข้อความสีทองบนนั้นส่องประกายระยิบระยับ สะท้อนให้เห็นถึงความลึกลับและอำนาจบางอย่างที่แฝงอยู่"ช่วยเฉินหวังตงให้ได้ แล้วคุณจะมีสิทธิที่จะเลือกว่าจะอยู่ในยุคนี้ต่อไปหรือกลับไปในยุคที่คุณจากมา"...ชิงโม่อ่านข้อความซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามวิเคราะห์และแยกแยะถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในข้อความนั้น แต่ทุกครั้งที่เธอคิด เธอกลับพบว่าคำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของเธอเฉินหวังตงคนนั้นเป็นใครกันแน่?เขาไม่ใช่แค่นายทหารธรรมดาคนหนึ่งหรอกหรือ?เขามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับเธอและเจ้าเสี่ยวเฮย?ทำไมเธอถึงถูกเลือกให้ย้อนเวลากลับมาช่วยเขา?โลกนี้มีผู้คนมากมายเป็นล้านๆ คน ทำไมเธอถึงเป็นผู้ถูกเลือก?ทันใดนั้น ภาพความฝันซ้ำๆ ที่เธอเคยเห็นก่อนจะข้ามเวลาก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ ผู้หญิงคนนั้นที่หน้าตาคล้ายเธอ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเธอถึงได้มาเข้าฝันของเธอ? พวกเขาเกี่ยวพันกันอย่างไร?คำถามมากมายถาโถมเข้ามาในหัวของเธอ จนเธอรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ หยางชิงโม่เพียงคิดว่
บทที่ 18 เฉินหวังตงกลับบ้าน... บาดเจ็บถูกส่งตัวกลับบ้านถึงจะถูก หลีอันเล่อกำลังเลี้ยวรถเข้าหมู่บ้านจากหน้าหมู่บ้าน ระหว่างทางนั้นหยางชิงโม่มองเห็นความวุ่นวายสับสนบางอย่างและมันก็เริ่มใกล้บ้านเธอขึ้นเรื่อย ๆที่หน้าบ้านของเธอ มีรถทหารจอดอยู่หน้าบ้าน คุณพ่อคุณแม่เฉินและพี่น้องของสามีทุกคนยืนกันเต็มหน้าบ้านเธอ สีหน้าของแต่ละคนนั้นซีดเซียวมาก คุณแม่เฉินและน้องห้าเฉินหรงหรง ร้องไห้จนตาบวม โดยคุณแม่นั้นมีสะใภ้ใหญ่ยืนประคองอยู่ท่าทางเหมือนจะล้มได้ตลอด และเธอยังได้ยินเสียงร้องไห้หลายเสียงประสานกันด้วย แน่นอนว่านั้นจะต้องเป็นเสียงของพวกเจ้าเด็กแฝดของเธอแน่ คงจะตกใจที่มีคนมาที่บ้านเยอะแยะไปหมดและอาจจะมีบางสิงบางอย่างเกิดขึ้นด้วย...หยางชิงโม่ใช้มือตบหน้าผากเบาๆ ....มันคงไม่ใช่อยากที่คิดใช่มั้ย?? พล็อตนิยายย้อนเวลาลอยขึ้นมาทันที..…แน่นอน….เฉินหวังตงต้องบาดเจ็บและถูกส่งกลับมาบ้าน….เมื่อรถจอดเธอกระโดดลงจากรถแล้วรีบเดินอย่างรวดเร็วเข้าบ้านไปทันที ลืมแม้กระทั้งของที่เอามาจากกองขยะวันนี้ สะใภ้ใหญ่อู่ชิงชิงรีบเก็บของทุกอย่างแล้วรีบเดินตามเธอเข้าไปในบ้านทันที..ภายในบ้านมีแต่ความสับสนวุ่นวายมาก มีนา
บทที่ 17 แจกันเก่าๆ แตกๆ กับภาพวาดเก่าๆพวกนี้จะเอาไปทำไม? เย็นวันนั้น ทั้งบ้านใหญ่และบ้านรองบ้านสะใภ้ใหญ่อู่ชิงชิงรวมทั้งบ้านป้าหวังได้ทดลองใช้สบู่ แชมพู่ ครีมนวดผม ที่หยางชิงโม่ให้ไป ทุกคนต่างชื่นชอบมาก ดมผม ดมแขนตัวเองอยู่ตลอด โดยเฉพาะป้าหวังนั้น ตอนนี้พ่อเฒ่าหวังซึ่งวนเวียนมาขอดมกลิ่นสบู่ในซอกคอของเธออยู่ร่ำไป รู้สึกว่าพ่อเฒ่าจะชอบกลิ่นกุหลาบสีแดงมากเป็นพิเศษเช้าวันรุ่งขึ้น หยางชิงโม่ก็พาเด็กๆ ไปหาแม่สามีอีกครั้งและยังได้บอกเผื่อไว้เลยว่าช่วงนี้ เธออาจจะยุ่งนิดหน่อยเพราะต้องรับของที่ญาติฝากมาและหาสถานที่ขายและจัดการธุระต่างๆ ด้วย ซึ่งแม่สามีนั้นเข้าใจและดีใจที่อย่างน้อยสะใภ้ของเธอจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้นมาบ้าง ลำพังเงินเดือนจากหวังตงนั้นก็ไม่ได้มากอะไรสำหรับแม่ลูกสาม ถ้าได้มาเพิ่มจะได้อยู่สบายขึ้นหน่อย เธอยินดีดูแลเด็กๆ ให้ในช่วงนี้(เอะรู้สึกบางสิ่งบางอย่างหายไปนะ ...อะไรนะ..ต้องมีพระเอกด้วยรึ...เอ้า ลืมบทพระเอกซะงั้น 5555 เอาเป็นตอนหน้าพระเอกมาแน่...)หยางชิงโม่นัดหมายเวลากับสะใภ้ใหญ่อู่ชิงชิงที่จะไปที่กองขยะของราชวงค์เก่ากันตอน 9 นาฬิกา เธอเดินออกมารอที่ถนนหน้าแล้ว วันนี้หยางชิง
บทที่ 16 ลิปสติกสีแดง super red ของ CHANEL ก็ได้มาเยือนยุค 80’ s ด้วยเช่นกันเมื่อตกลงกันได้แล้ว ป้าหวังจะขอทำความสะอาดโต๊ะก่อน แล้วจะให้พ่อเฒ่าหวังยกไปให้ตอนเย็น ซึ่งตอนเย็นนี้นางได้บอกให้ลูกเขยกับลูกชายมาหาที่บ้านเพื่อปรึกษาเรื่องการเป็นตัวแทนขายสินค้าให้กับหยางชิงโม่เมื่อมีขนมเปี๊ยะหล่นจากฟ้าลงมา จะไม่ให้รีบร้อนจัดการได้อย่างไร ...ส่วนสะใภ้ใหญ่อู่ชิงชิง จะให้สามีมาปรึกษาในอีก 2 วันข้างหน้าเพราะสามีเธอลางานได้วันนั้น ซึ่งหยางชิงโม่ก็ตกลง และพวกเธอสองคนยังนัดหมายกันที่จะไปดูกองขยะของราชวงค์ ในวันพรุ่งนี้ซึ่งห่างจากหมู่บ้านหลี่ฮวาเพียง 10 กิโมเมตรเท่านั้นป้าหวังอยากไปด้วยแต่พรุ่งนี้บ้านดองของลูกสาวจะมาเยี่ยมจึงจำเป็นต้องอยู่รอต้อนรับ เมื่อตกลงกันเรียบร้อยทั้งสามคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านทันที .ด้านป้าหวังนั้นเอาของที่หยางชิงโมให้มา เข้ามาเก็บที่ห้องนอนนางเปิดดูสบู่ที่ได้มา มันทั้งก้อนใหญ่และกลิ่นหอมมากนางยกขึ้นมาดมแล้วยิ้มกว้าง หอมเหมือนกลิ่นเงินหยวนเลย.นอกจากนี้ยังหยิบกล่องขนาดเล็กๆ ขึ้นมาอีก 1 กล่อง อันนี้หยางชิงโม่เพิ่งจะแอบยื่นให้เธอตอนจะกลับไป บอกว่าเป็นลิปสติกสีสวยที่กำลังเป็น
บทที่ 15 ขยะราชวงค์ยังมีอยู่หรือเปล่านะ เมื่อกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบบ่ายโมง หยางชิงโม่รีบเดินไปที่บ้านใหญ่เพื่อรับเด็กๆ กลับบ้านทันที เมื่อเธอไปถึงเห็นเจ้าเสี่ยวเป่าเอาเก้าอี้เล็กมานั่งรอเธอที่หน้าประตูบ้าน โดยมีพี่ๆ ยืนและนั่งอยู่ใกล้ๆ“แม่!!!!!! แม่กลับมาแล้ว” เสี่ยวเป่าลุกจากเก้าอี้และรีบวิ่งไปหาเธอที่กำลังเดินเข้ามาทันทีเธออุ้มเขาขึ้นมาแล้วหอมแก้มทั้งสองข้างทันที เด็กน้อยแก้มแดงก่ำด้วยความอายแล้วซุกหน้าลงบนไหล่ของเธอ...กระซิบบอกเธอเบาๆ ว่า...“เสี่ยวเป่าคิดถึงคุณแม่มากเลย คุณแม่ไปนานจัง เสี่ยวเป่าร้องไห้ด้วย แต่ว่าพี่ใหญ่บอกว่าหากร้องไห้คุณแม่จะไม่กลับมาเสี่ยงเป่าก็เลยหยุดร้อง แล้วคุณแม่ก็กลับมาจริงๆ ”เด็กน้อยเอ่ยแล้วกอดคอเธอแน่นพลางเล่าเรื่องไปด้วย หยางชิงโม่ยิ้มเล็กน้อยกับเรื่องราวที่เจ้าต้องเล็กกระซิบข้างหูของเธอก่อนจะตอบว่า“แม่ก็คิดถึงเสี่ยวเป่าจ๊ะ แม่มีของเล่นกับขนมมาฝากเยอะเลย ต่อไปเสี่ยวเป่าไม่ต้องร้องไห้นะลูก แม่ไปไม่นาน และทุกครั้งจะกลับมาหาพวกลูกๆ แน่นอน” หยางชิงโม่อุ้มเด็กน้อยพลางบอกเขาให้มั่นใจไปด้วย พวกเด็กเมื่อได้ยินที่คุณแม่ของเขาสัญญาแบบนั้นพวกเขาก็พยักหน้า
บทที่ 14 สินค้าจากเซียงไฮ้หายากและราคาแพงทั้งนั้น นาฬิกา จักรยาน ผ้า จักรเย็บผ้าหยางชิงโม่เดินออกจากตลาดสดด้วยรอยยิ้มบางๆ การเจรจากับเจียงไห่เป็นไปอย่างราบรื่น เธอไม่เคยคิดว่าการทำธุรกิจในยุค 80 จะง่ายขนาดนี้ แต่นั่นก็เพราะเธอมีความได้เปรียบ สินค้าในมิติของเธอล้วนเป็นของที่หายากในยุคนี้เธอเดินมาถึงโกดังที่เช่าไว้ เธอล้วงกุญแจออกมาไขประตูเหล็กบานใหญ่ที่มีสนิมเกาะ เสียงเหล็กเสียดสีดังเอี๊ยดอ๊าด กลิ่นอับชื้นโชยออกมา"เอาละ ได้เวลาจัดการสินค้ากันแล้ว"เธอเริ่มนำจักรยานใหม่เอี่ยมออกมาเรียง แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างสะท้อนกับโครเมียมวาววับ ถัดมาคือจักรเย็บผ้าที่ในยุคนี้หาซื้อได้ยาก นาฬิกาข้อมือรุ่นคลาสสิกที่อีก 40 ปีจะกลายเป็นของสะสมราคาแพง และวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ยังใหม่กริบ จากนั้นก็เป็นพวกผ้าม้วนหลากสีสันที่เธอเตรียมมาสำหรับขาย และจัดทุกอย่างให้เป็นหมวดหมู่เมื่อเธอพาคนมารับสินค้าจะได้สะดวกไม่ต้องเสียเวลาเอาเข้าเอาออกบ่อยๆ เสร็จแล้วก็เอาแม่กุญแจขนาดใหญ่ 2 ตัวมาล็อคประตูและเดินออกมา ...โดยเธอไม่รู้ตัวเลยว่า ได้ทำธุรกิจกับเจ้าพ่อตัวจริงของเมืองจู่ไห่เรียบร้อยแล้วตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 11 โมงแล
บทที่ 13 แก๊งมังกรดำณ แก๊งมังกรดำ ฉีฮ้าว พี่ใหญ่ของแก๊งกำลังนั่งหน้าโต๊ะ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แก๊งมังกรดำของเขานั้นก่อตั้งขึ้นมาได้เกือบ 8 ปีแล้ว เขาและท่านนายพลเซี่ย ได้ก่อตั้งตลาดมืดขึ้นเพราะจะได้เป็นทางเลือกให้กับประชาชนที่ต้องการจะซื้อสินค้า อาหาร ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น ท่านนายพลเซี่ยเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของเขามาก่อน และเมื่อ10 ปีก่อนนั้นเขาถือเป็นนายทหารหนุ่มที่มีฝีมือดีที่สุด และยังเป็นทหารคนสนิทของท่านนายพลเซี่ยแต่แล้วก็มีเหตุการณ์ลอบสังหารขึ้นในระหว่างทางที่ท่านนายพลกำลังจะกลับกองทัพที่ปักกิ่ง ในตอนนั้นเขาซึ่งอยู่ใกล้ได้เอาตัวเข้าขวางวิถีกระสุน ทำให้ท่านนายพลรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ตัวเขานั้นบาดเจ็บสาหัส ขา แขน ปอดเสียหายอย่างหนัก ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า ขาของเขาไม่สามารถจะกลับมาเดินได้เหมือนปรกติอีกต่อไปเขาสลบไปถึง 2 สัปดาห์เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาขอย้ายมาอยู่ที่เมืองจู่ไห่ที่เป็นบ้านเกิดของเขาและตั้งใจจะลาออกเพื่อกลับมาทำนาที่บ้าน ซึ่งท่านนายพลก็อนุญาตให้เขาลาออก ระหว่างนั้นคุณหนูเซี่ยจางหยุนลูกสาวคนสุดท้องของท่านนายพลเซี่ยซึ่งกำลังคบกันกับเขาอยู่และทั้งสองว่างแผนจะแต่งงานกันใ
บทที่ 12 ไม่มีใครสามารถโกงแก๊งมังกรดำได้ ขณะที่รถค่อยเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมืองหยางชิงโม่สังเกตสภาพความเป็นอยู่มากมายระหว่างทาง ถนนหนทางในยุค 80 ยังเป็นถนนดินแดงสลับกับถนนลูกรังเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้จักรยานเป็นพาหนะ มีรถยนต์ผ่านไปมาน้อยมาก"ถ้าเทียบกับปี 2024 แล้ว ที่นี่เหมือนคนละโลกเลย" หยางชิงโม่พึมพำกับตัวเอง ขณะมองดูอาคารเก่าๆ ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา บริเวณที่ในอนาคตจะกลายเป็นตึกระฟ้าและศูนย์การค้าหรูหราเมื่อรถแทรกเตอร์ของหมู่บ้านเดินทางมาถึงตัวเมืองจู่ไห่ก็เป็นเวลา 9 โมงเช้าพอดี หลีอันเล่อบอกทุกคนว่าจะรอที่ทางเข้าหน้าตลาดสด และจะจอดรอจนถึงเวลา 12 นาฬิกาเท่านั้นถ้าใครอยากจะกลับด้วยก็ให้มาให้ตรงเวลาเมื่อทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำธุระของแต่ละคน หยางชิงโม่ก็เดินตรงไปที่ตลาดสดเพื่อดูว่าในร้านแต่ละร้านมีสินค้าแบบไหนบ้าง เธอเดินเข้าไปในตลาดกลางเมือง สังเกตราคาสินค้าต่างๆ อย่างละเอียด เห็นผู้คนกำลังต่อคิวซื้อของใช้จำเป็น บางร้านมีป้าย "ต้องใช้คูปองแลกซื้อเท่านั้น" ติดอยู่ เธอจดบันทึกราคาสินค้าพื้นฐานไว้ในใจ:ข้าวสาร 1 กิโลกรัม ราคา 2.14 หยวนเนื้อหมู 1 กิโลกรัม ราคา 2.20 หยวนน้ำตาลทร
บทที่ 11 กำลังง่วงนอนก็มีคนส่งหมอนให้ทันทีเมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองแล้วตอนนี้เธอไม่รู้จักใครที่นี้เลย ที่จะนำสินค้าของเธอไปขายได้ ดังนั้นเธอต้องวางแผนที่จะทำให้สินค้าของเธอเป็นสินค้าที่ขายส่งให้กับห้างร้านขนาดเล็กใหญ่และหาตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงได้ทำรายชื่อห้างร้านรวมถึงตลาดสดที่เธอต้องการที่จะส่งสินค้าให้พวกเขา โดยเท่าที่เธอหาข้อมูลมานั้น สินค้า ประเภท สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน เสื้อผ้า ของเล่น รวมถึงอาหารสดประเภทต่างๆ ยังคงเป็นสินค้าที่หายากในยุคนี้ แต่ด้วยความที่เธอตัวคนเดียวสินค้าที่เป็นประเภทอาหารสดเธอจะยังไม่นำออกมาขาย แต่จะเสนอขายสินค้าประเภทของใช้ในชีวิตประจำวันให้กับทางห้างและตลาดสดดูก่อน โดยเธอได้นำตัวอย่างสินค้าที่จะเสนอขายไปด้วย อย่างละ 10 ชิ้นเมื่อออกจากบ้านใหญ่เธอกลับมาที่บ้านตัวเองแล้วเตรียมอาหารเที่ยงสำหรับเด็กๆ และได้เตรียมเผื่อบ้านใหญ่ด้วยเลย โดยเธอได้เอาขาหมูพะโล้หม้อใหญ่ออกมาและอกไก่ชุบแป้งทอดออกมาใส่ตะกร้าแล้วเดินออกไปที่บ้านใหญ่พร้อมพวกเด็กๆ อีกครั้งซึ่งเธอได้คุยกับเด็กๆ แล้วว่าวันนี้จะไปรับของที่คุณยายคุณตาส่งมาให้ ดังนั้นจึงให้พวกเขาไป