ถึงอย่างไรหลิวอิ๋งก็ยังมีความฉลาดช่ำชอง ต่างจากเจิ้งจีที่เปิดเผยความรู้สึกออกมาทางสีหน้า หลิวอิ๋งจึงวางท่าทีสงบนิ่งนางจ้องมองเฟิ่งจิ่วเหยียน พลางย้อนถามอย่างสงบนิ่งเหมือนปกติ“ฮองเฮา เรื่องระหว่างหม่อมฉันกับท่านพี่ในตอนนั้น ท่านพี่หญิงก็ทราบดี อีกทั้งยังเคยบอกกับท่านว่า นั่นเป็นความผิดพลาดทั้งหมด...เป็นเพราะตอนนั้นหม่อมฉันอายุยังน้อย“ทว่าที่ท่านเอ่ยเมื่อครู่ว่า ‘ทำวิธีเช่นเดียวกัน’ คืออะไร? โปรดอภัยที่หม่อมฉันไม่เข้าใจ เหตุใดท่านถึงเอ่ยเช่นนั้น!“หรือท่านเข้าใจว่า พวกเราต้องการมาร่วมงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ในวัง ก็เพื่อจะใกล้ชิดกับฝ่าบาท? นี่มันเหลวไหลสิ้นดี!“ฮองเฮา ผู้ใดมิรู้บ้างว่า ฝ่าบาททรงโปรดปรานท่านเพียงผู้เดียว ใครจะมาแทนที่ท่านได้เล่า? เจิ้งจีของเราก็เคยแต่งงานมาแล้วที่เจียงโจว น่าเสียดายที่เหมือนหม่อมฉัน ต่างก็โชคร้าย สามีเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ให้กำเนิดบุตรชายสองคน และบุตรสาวหนึ่งคน แต่ถูกครอบครัวสามีแย่งชิงไป ซ้ำยังขับไล่นางออกมา“พวกเรามาที่เมืองหลวง เพียงเพื่อมาหาคนพึ่งพิง!”เจิ้งจีก้มศีรษะลง กลอกตาไปมาด้วยความวิตกเมื่อฟังมารดาเอ่ยจบ เจิ้งจีพลันเปลี่ยนเป็นเยือ
สีหน้าของสองแม่ลูกหลิวอิ๋งต่างซีดเผือดพวกนางไม่เคยรู้เลยว่า โรงพักแรมที่ตัวเองพักอยู่ มีเส้นสายของฮองเฮาอยู่ด้วย!ไม่แปลกใจที่ฮองเฮาจะรู้ทุกเรื่องไม่แปลกใจที่ฮองเฮาไม่ยอมเชื่อพวกนางจบกัน!เจิ้งจีหวนนึกถึงคำพูดที่ตัวเองเคยพูด ลมหายใจพลันเปลี่ยนเป็นหอบถี่ ฝ่ามือร้อนชื้น แผ่นหลังเย็นวาบนางคล้องแขนหลิวอิ๋งเอาไว้“ท่านแม่ พวกเราควรทำอย่างไรดี…”หลิวอิ๋งเองก็อยากรู้ ว่าพวกนางควรทำเช่นไร จึงจะสามารถต้านทานคลื่นลูกใหญ่นั้นได้ผิดที่ตัวเองประมาทเกินไป ไม่คิดเลยว่า ฮองเฮาจะมีคนเก่งอยู่รอบกาย อยากสอดแนมว่าพวกนางสองแม่ลูกพูดอะไรกัน ก็คงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!นางลืมไปได้อย่างไร ว่าที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่เมืองเล็ก ๆ อย่างเจียงโจว?การสู้กันระหว่างหญิงสาวในเจียงโจว เปรียบเทียบกับฝีมือของฮองเฮาแล้ว แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!นางประเมินฮองเฮาไว้น้อยเกินไป ไม่สิ นางประเมินราชวงศ์ไว้น้อยเกินไปต่างหาก!นางร้อนรนมากเกินไป จนไม่คิดให้ละเอียดรอบคอบตอนนี้พูดอะไรก็สายไปแล้วนายท่านเฟิ่งมองสองแม่ลูก แล้วหันไปมองอู๋ไป๋ทันใดนั้น เขาก็จับมืออู๋ไป๋ กล่าวอย่างจริงจัง“เจ้าไปบอกฮองเฮา ว่าทั้งห
เซียวอวี้ไม่คิดเลยว่า สองแม่ลูกคู่นั้น จะกล้าวางแผนจับเขาเช่นนี้!แค่ให้องครักษ์ไล่พวกเขาออกไปนอกวัง นับว่าเมตตาแล้ว!คิดได้เช่นนี้ ก็อดตำหนิเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้“เรื่องสำคัญเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่บอกเราให้เร็วกว่านี้?”เขากลัวว่าสองแม่ลูกคู่นั้นจะลงมือทำร้ายจิ่วเหยียน ไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกลเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่คิดเช่นนั้น “เทียบกับงานราชกิจแล้ว เรื่องนี้ไม่นับว่าสำคัญ”ยิ่งไปกว่านั้น นางสามารถจัดการด้วยตัวเองได้เซียวอวี้นั่งลงข้างกายนาง โอบไหล่ของนางไว้อย่างแผ่วเบา เชิดคางของนางขึ้นเล็กน้อย แล้วจุมพิตลงบนหน้าผาก“จะว่าไป ที่เรายังไม่ถูกพวกนางสองแม่ลูกเล่นงาน ต้องขอบคุณฮองเฮาที่มีปัญญา ปกป้องเราได้”ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนประดับด้วยรอยยิ้มบางเบา “ท่านรู้ก็ดี”“ไม่แปลกใจที่เจ้าแนะนำ ให้พ่อของเจ้าไปเป็นซือหม่าที่เจียงโจว ที่แท้ในตอนนั้น เจ้าก็รู้ว่าสองแม่ลูกคู่นั้นประสงค์ร้ายนี่เอง” เซียวอวี้เข้าใจเรื่องราวในที่สุดเดิมเขาคิดว่า นางเพียงไม่ชอบใจที่นายท่านเฟิ่งจะแต่งงานใหม่ แถมยังแต่งงานกับน้าของนางอีกขณะเดียวกันเขาก็คิดไม่ตก “พ่อของเจ้าคิดอะไรอยู่ เราดูเป็นคนไม่เลือกขนาดนั้นเ
เงินรางวัลบนป้ายนั้น ไม่มากพอทำให้หลิวอิ๋งหวั่นไหวข้อความบนป้าย ไม่ได้บอกว่าเจ้าของปิ่นคือผู้ใดทว่า หลิวอิ๋งมีประสบการณ์ค้าขายมาหลายปี นางย่อมคิดได้อย่างมีไหวพริบ ว่าป้ายนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆด้วยเหตุนี้ นางจึงรีบกลับไปที่โรงพักแรม “เราต้องกลับเจียงโจวเดี๋ยวนี้!”ตั้งแต่ที่ท่านพ่อท่านแม่และน้องชายลาจากโลกไป สิ่งของที่พวกเขาทิ้งไว้ให้ ล้วนถูกส่งมาเก็บไว้ในบ้านของนางที่เจียงโจวนางมาเมืองหลวงในครั้งนี้ พกเงินทองมาเพียงเล็กน้อยดังนั้น อยากหาปิ่นครึ่งท่อนนั้นเจอ ก็ต้องกลับไปที่เจียงโจวเจิ้งจีไม่เข้าใจ นางจึงถามอย่างร้อนใจ“ท่านแม่ เหตุใดต้องกลับเจียงโจวล่ะ? พวกเราเพิ่งออกมาจากเจียงโจวนะ…หรือว่าท่านพ่อ ท่านพ่อไม่ต้องการข้าแล้วงั้นหรือ เขาไล่พวกเราไป ใช่หรือไม่?”หลิวอิ๋งกลัวว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง จึงให้นางออกไปก่อนแล้วค่อยเล่าเจิ้งจีกลับสะอื้นไห้“ท่านพ่อไม่ต้องการท่านไม่ว่า แต่ข้าคือลูกสาวแท้ ๆ ของเขานะ เขาไม่ต้องการแม้กระทั่งข้าเลยหรือ…ต้องเป็นฮองเฮาแน่ ๆ ฮองเฮาต้องบังคับเขาแน่นอน!”เพี้ยะ!หลิวอิ๋งโมโหจนไม่รู้จะโมโหอย่างไร นัยน์ตาเต็มไปด้วยโทสะแห่งความไม่ได้ดั่งใจ
“กลับไปถึงเมืองหลวงเมื่อใด ข้าจะขอราชโองการหย่าทันที! รุ่ยอ๋องตัดสินใจได้แล้วตอนนี้ช่วงนี้ เขาแทบจะอยู่ไม่ได้เลยสักวัน!สีหน้าของหร่วนฝูอวี้เปลี่ยนไปทันที จาก “อ่อนโยนใจกว้าง” ก่อนหน้านี้ เป็นสีหน้าดุร้าย“เจ้าว่าอะไรนะ? หย่า?”นี่เขากล้าคิดจะทำอย่างนี้จริง ๆ หรือ!“ไม่ได้! ข้าไม่ยอม!” แววตาของหร่วนฝูอวี้ก่อเกิดไอเยือกเย็นสำหรับนาง ไม่มีการหย่า ไม่มีการถอดถอนภรรยา มีแต่สามีตายเท่านั้น!หร่วนฝูอวี้เกิดอยากฆ่าขึ้นมา แขนเสื้อพลันมีแมงป่องพิษโผล่ออกมาเมื่อรุ่ยอ๋องเห็นไอสังหารของนาง ก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา“เจ้าคิดจะฆ่าสามีอย่างนั้นหรือ? คิดว่าทหารในปกครองของข้าตาบอดกันหมดหรือไร?”หร่วนฝูอวี้ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอีกครั้งนางจับแมงป่องพิษตัวนั้น แล้วชูขึ้นต่อหน้ารุ่ยอ๋องด้วยรอยยิ้ม“เข้าใจผิดแล้ว ข้าจะฆ่าท่านได้อย่างไรล่ะ? ข้าเป็นห่วงเจ้าเสียยิ่งกว่ากระไรดี“แมงป่องตัวนี้เป็นยาบำรุง ข้าจะเอามันไปตุ๋น มาทำยาให้ท่านอ๋อง”แมงป่องพิษเย็นวาบทั่วหัว: ?รุ่ยอ๋องไม่เชื่อว่านางจะหวังดีขนาดนี้ ทว่า ถึงแม้นางจะลงมือตอนนี้ เขาก็ไม่กลัวนางอยู่ดี“หร่วนฝูอวี้ เจ้าทำ
นายท่านเฟิ่งเดินออกมาจากวังหลวงเหมือนวิญญาณออกจากร่าง สีหน้าซีดเผือด ขาทั้งสองข้างสั่งการแทบไม่ได้เขาอยากขอให้ฮองเฮาเมตตา อย่าส่งเขาไปนอกเมืองทว่า ฮองเฮาไม่ยอมพบเขาเมื่อกลับมาถึงจวน นายท่านเฟิ่งก็ล้มป่วยครั้งใหญ่“ข้าคือบิดาผู้ให้กำเนิดนางนะ! ไยนางถึงได้ไร้เยื่อใยเช่นนี้พ่อบ้านแนะนำ “นายท่าน บางทีฮองเฮาอาจจะฟังฮูหยินก็ได้ขอรับ”ฮูหยินที่เขาพูดถึง ก็คือนายหญิงเฟิ่งที่หย่าร้างกับนายท่านเฟิ่งไปแล้วแม้นคนผู้นี้จะไม่ใช่นายหญิงของตระกูลเฟิ่งแล้ว แต่เพราะเป็นมารดาของฮองเฮา ทั้งยังมีคำสั่งแต่งตั้งเป็นเก้ามิ่ง ได้รับชื่อเรียกอันทรงเกียรติว่า “ฮูหยิน”นายท่านเฟิ่งได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาพลันทอประกายขึ้นมาพูดถูกเขาสามารถไปหาหลิวซื่อ ให้นางขอร้องแทนเขาได้ทว่า ตอนนี้หลิวซื่อถูกส่งไปที่จางโจว และเขาอาจต้องออกเดินทางไปประจำการที่เมืองอื่นได้ตลอดเวลา…คิดได้เช่นนี้ หัวใจของนายท่านเฟิ่งก็รัดแน่น“เวลาไม่คอยท่า ไปเตรียมหมึกกับพู่กันมา!“……หนึ่งวันก่อนงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ รุ่ยอ๋องนำกองทัพรบชนะกลับมาในวันนั้น รุ่ยอ๋องเข้าวังมารายงานภารกิจ หร่วนฝูอวี้ก็ติดตามเขามาด้วย เพราะได้รับก
ห้องทรงพระอักษร เมื่อรุ่ยอ๋องรายงานการทำงานราชกิจเสร็จ ก็เอ่ยถึงความกังวลของตนเองต่อ “ฝ่าบาท เป่ยเยี่ยนได้ตัดสินใจยกดินแดนกับจ่ายค่าชดเชยง่ายดายนัก เกรงว่าจักมีเจตนาร้ายซ่อนเร้นอยู่ กระหม่อมได้ยินว่า บัดนี้มีผู้ลี้ภัยในเป่ยเยี่ยนจำนวนมาก กำลังมุ่งหน้าไปทางใต้ และนั่นคือเขตปกครองใหม่ที่กำลังจะกลายเป็นดินแดนของหนานฉีเราพ่ะย่ะค่ะ “หากเป็นแผนการของเป่ยเยี่ยนแล้วไซร้ เกรงว่าในอนาคตหนานฉีจะมีอุปสรรค ในการปกครองเมืองเหล่านั้นอย่างมากมาย” เซียวอวี้ผงกศีรษะเบา ๆ เรื่องนี้ เขาก็ได้ยินมาบ้างเช่นกัน นอกจากเป่ยเยี่ยนแล้ว แว่นแคว้นอื่น ๆ ก็ด้วย ล้วนเปิดเผยความคิดออกมาให้เห็นชัดเจน อย่างไรก็ตาม กลับช่วยให้เซียวอวี้ไม่ต้องคอยระวังพวกเขาลอบกัดลับหลัง ป้องกันได้ยากกว่า ตอนนี้สิ่งที่หนานฉีต้องแก้ไข เหลือเพียงปัญหาที่มองเห็นได้เหล่านี้——การอพยพของผู้ลี้ภัย ความกลัดกลุ้มใจฉายชัดระหว่างคิ้วของฮ่องเต้หนุ่ม การปกครองแคว้นหนึ่ง มีอุปสรรคมากมายอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงนี่เป็นเมืองของแว่นแคว้นอื่น ๆ มาก่อนเลย เรื่องนี้ ต้องค่อย ๆ วางแผนให้รอบคอบ ดวงตาขอ
ถึงแม้หลิวอิ๋งค้นหาปิ่นหยกเจอแล้ว กลับไม่รู้ชัดเจนว่า มันซุกซ่อนความลับอะไรไว้ นางจำได้เพียงคำกำชับของท่านพ่อท่านแม่ ปิ่นหยกนี้มีความสำคัญมาก มิเช่นนั้น นางคงจะโยนมันทิ้งไปนานแล้ว ขณะนี้ราชสำนักได้เสนอรางวัลสำหรับของสิ่งนี้ เกรงว่าจะไม่ธรรมดาจริง ๆ นางอดจินตนาการไปไกลมิได้เลย... เจิ้งจีที่อยู่ข้าง ๆ ได้แต่บ่นพึมพำ ปิ่นหักนี้จะมีประโยชน์อย่างไร? ช่วยให้นางกลายเป็นพระสนมได้หรือ “พรุ่งนี้เราจะกลับไปที่เมืองหลวง!” หลิวอิ๋งให้ความสำคัญกับปิ่นหยกหักครึ่งนี้เป็นพิเศษ หากล่องคุณภาพดี บรรจุมันไว้อย่างระมัดระวัง เจิ้งจีอยากจะกลับเมืองหลวงใจแทบขาด นางถามอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ ท่านคิดหาวิธี คืนดีกับท่านพ่อได้แล้วหรือ?”…… เมืองหลวง ในวังได้จัดงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ ฮ่องเต้ฮองเฮาประทับอยู่บนบัลลังก์สูง ทอดพระเนตรไปที่เหล่าขุนนางเบื้องล่าง งานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ปีนี้มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ฮ่องเต้ประทานรางวัลให้แก่ขุนนางผู้มีคุณูปการ พระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ เมื่อประทานรางวัลแก่ขุนนางเหล่านั้นแล้ว เซียวอวี้มุ่งความสนใจไปที
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร
เคร้ง!พู่กันในมือเฟิ่งจิ่วเหยียนหล่นลง นางมองอู๋ไป๋ด้วยสีหน้าเย็นชา“พวกเฉินจี๋เล่า!”อู๋ไป๋ส่ายศีรษะ“เฉินจี๋เองก็หายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ ไม่ง่ายเลยที่จะส่งข่าวนี้กลับมา! ท่านประมุข พวกเราทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายแต่ก็ไม่ตื่นตระหนก หลังจากสงบอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็วก็สั่งอู๋ไป๋“สั่งการลงไปให้ทุกจวนในแคว้นซีหนี่ว์ตามหาพระสวามี“พร้อมทั้งส่งองครักษ์ลับทุกคนออกไป รวมถึงกองทัพอินทรีเหิน“ให้พวกเขาตามหาฝ่าบาทตามแนวชายแดน!”อู๋ไป๋รีบไปจัดการตามคำสั่งหากเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่!หลังจากอู๋ไป๋ออกไป เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าฝ่ามือของตนเต็มไปด้วยเหงื่อฎีกาบนโต๊ะนางก็ดูไม่รู้เรื่องแล้วทุกอย่างที่คิด มีแต่เรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของเซียวอวี้เป็นไปได้มากว่าคนที่ลงมือรู้ถึงฐานะของเขาดีเฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าเคร่งขรึม หน้าซีดไร้เลือดไม่นานอู่ไป๋ก็กลับมา“ท่านประมุข จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ยังมีองครักษ์ที่มาส่งข่าวผู้นั้น ท่านต้องการพบเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เขาพูดจบแล้ว ทว่ากลับไม่ได้ยินท่านประมุขตอบอะไรอู่ไ
พรุ่งนี้เซียวอวี้ก็ต้องเดินทางกลับแคว้นหนานฉีแล้ว คืนนี้เขานอนกอดเฟิ่งจิ่วเหยียน ทั้งคืนไม่อาจหลับตาลงได้เขาวางมือข้างหนึ่งไว้บนท้องของนาง สัมผัสกับการเคลื่อนไหวในครรภ์ที่มีอยู่บางเวลาหากเวลาหยุดลงตรงนี้ได้ ก็คงจะดีทว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับความจริงเขายังคงเป็นฮ่องเต้แคว้นหนานฉี ไม่อาจเห็นแก่ความรู้สึกส่วนตัว ละเลยความปลอดภัยของแคว้นได้เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็นอนไม่หลับนางกุมแขนของเขาเบา ๆ พูดด้วยน้ำเสียงสงบและอ่อนโยน“อย่างมากสุดหนึ่งเดือน หม่อมฉันก็จะกลับแคว้นหนานฉีเพคะ”เซียวอวี้จุมพิตซอกคอนาง “ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ผิดคำพูด”ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกกระวนกระวายใจเหมือนกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปด้วยฝน ยากที่ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งวันที่สอง ในที่สุดเซียวอี้ก็ต้องออกเดินทางแล้ววันนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ว่าราชการ นางนั่งรถม้าไปส่งเขาออกจากเมืองด้วยตนเองข้างกายเซียวอวี้มีองครักษ์ติดตามมากมาย ส่วนเหล่าองครักษ์เงา เขาล้วนให้อยู่กับเฟิ่งจิ่วเหยียน ให้พวกเขาคอยปกป้องฮองเฮาและเด็กให้ดีส่งกันพันลี้ ก็ต้องจากกันเซียวอวี้กำชับหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการกินข้าวและการนอน
ในใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพลุ่งพล่านด้วยเพลิงอารมณ์อันร้อนแรง นางเม้มริมฝีปาก พูดกับเซียวอวี้“เราเป็นสามีภรรยากัน ข้าย่อมมิอาจทำใจห่างจากท่านได้ “แต่ราชการบ้านเมืองประดุจเพลิงโหมกระหน่ำ จะให้ข้ามีจิตห่วงใยแต่เรื่องรักใคร่ได้อย่างไร? “ฝ่าบาท ท่านก็เช่นกัน อย่าได้พูดสิ่งที่หามีสาระไม่ เร่งจัดการราชกิจให้เป็นกิจจะลักษณะเถิดเพคะ...”นางพลางพูด พลางถอยออกจากอ้อมกอดของเขา บีบคั้นให้เขาจำต้องให้ความสำคัญแก่งานราชกิจก่อนสิ่งอื่นใดเซียวอวี้จ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างอดกลั้น“ได้”พูดจบ เขาก็หมุนตัวออกจากห้องทรงพระอักษร เหมือนกลั้นลมหายใจไว้ มิคาดหวังคำปลอบประโลมจากนางอีกต่อไปด้านนอกตำหนัก เซียวอวี้ยืนท่ามกลางลมห้วงราตรี สัมผัสได้ถึงไอสังหารเยือกเย็นของแคว้นซีหนี่ว์สายตาของเขาทอดมองไกลลิบ สั่งเฉินจี๋ด้วยสีหน้าเรียบเฉย“เตรียมรถม้า พรุ่งนี้กลับแคว้นหนานฉี”สีหน้าเฉินจี๋ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆ แต่ในใจกลับแอบลิงโลด ในที่สุดก็ได้ออกจากแคว้นซีหนี่ว์แล้วเฉินจี๋ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “จะให้จัดหมอตำแยติดตามไปด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เผื่อฮองเฮาประสูติกลางทา
เฟิ่งจิ่วเหยียนจำลายมือในกระดาษนั้นได้แน่ชัด ว่าเป็นลายมือของเลี่ยอู๋ซิน เลี่ยอู๋ซินเป็นสหายสนิทของเมิ่งสิงโจวศิษย์พี่ของนาง ก่อนหน้านี้เพื่อสืบหาความจริงคดีมนุษย์โอสถ นางเคยติดต่อกับเลี่ยอู๋ซิน ได้ข่าวว่าหลังจากความจริงกระจ่าง เลี่ยอู๋ซินก้ไปยังแคว้นตงซาน ไล่ล่าซุนโฉวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมนุษย์โอสถที่หลงเหลือ ครั้งนี้เขาส่งข่าวสารมาโดยมิได้ปรากฏตัว ดูท่าออกจะลึกลับพิกลอยู่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “หากมีสิ่งใดเคลื่อนไหวผิดแผก ไยไม่เขียนบอกให้ชัดเจนโดยตรง?”นางก้มมองข้อความ เซียวอวี้ผู้ยืนอยู่ข้างตัวนางคาดคะเน “เลี่ยอู๋ซินอาจไม่สะดวกปรากฏตน หรือผู้ที่ส่งข่าวครั้งนี้ มิใช่เขาเองก็เป็นได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนโน้มเอียงไปทางข้อสันนิษฐานประการหลังมากกว่า อาจเป็นเลี่ยอู๋ซินมอบหมายให้คนนำข้อความมา หากมิใช่เช่นนั้น คงไม่จำต้องปิดบังอำพรางถึงเพียงนี้“แคว้นตงซาน…” เฟิ่งจิ่วเหยียนพึมพำในลำคอ ครานั้นแต่ละแคว้นโจมตีแคว้นหนานฉี ก็เพราะแคว้นตงซานเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง เห็นได้ชัดว่าความทะเยอทะยานของพวกเขาไม่ธรรมดา ยามนี้แคว้นตงซานเคลื่อนไหวผิดแผก เกรงว่า
หร่วนฝูอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรียกสีหน้ากลับมาเป็นปกติ มองรุ่ยอ๋องด้วยแววตาเจือเย้าแหย่ “มิใช่เป็นการแสร้งเล่นละคร หรือว่าเจ้ารักข้าแล้วจริง ๆ ?”เดิมคิดว่าเขาจะปฏิเสธกลับได้ยิน เขาพูดด้วยความแน่วแน่ “ใช่”หร่วนฝูอวี้ : ...นางอึ้งไปชั่วขณะ “‘ใช่’ อะไร?”สายตารุ่ยอ๋องฉายแววร้อนผ่าว ใบหูแดงระเรื่อ “ข้ามิใช่คนที่เอาแต่ใจง่าย ๆ ในเมื่อเราสองคนได้มีสัมพันธ์ฉันสามีภริยาแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าทั้งกายและใจล้วนได้มอบให้เจ้าหมด”หร่วนฝูอวี้ถึงกับกระโจนถอยหลังอย่างตกใจ ออกห่างจากเขาทันที มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า เจ้า เจ้า...เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร!?”รุ่ยอ๋องก้าวมาข้างหน้า จับบ่าของนางไว้ “ข้าพูดจริงจัง! “เจ้ากับข้าเตรียมมีลูกด้วยกันแล้ว แน่นอนว่าควรตกลงใจจะอยู่ร่วมกันชั่วชีวิต”แทนที่จะเก็บไว้ในใจ สู้พูดออกมาตรง ๆ โดยเฉพาะนางจะเดินทางกลับหนานเจียง กลัวนางไปแล้วไม่หวนกลับมาอีกหร่วนฝูอวี้หัวเราะเย้ยในลำคอ นางผลักเขาออก สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน“พอเถิด อะไรคือชั่วชีวิตนิรันดร์ เจ้าเพียงหลับนอนกับข้าครั้งเดียว พอรู้รสสตรีก็คิดจักยึดข้าไว้เป็นของ
มิอาจตั้งครรภ์ได้ หร่วนฝูอวี้โยนความผิดทั้งหมดไปยังรุ่ยอ๋อง นางเชื่อมั่นว่า ร่างกายของตนเองไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน นางจึงบีบคั้นให้รุ่ยอ๋องไปพบหมอ รุ่ยอ๋องขมวดคิ้วแน่น “ร่างกายของข้าหาได้มีปัญหาใด จะไปพบหมอทำไม?”ในขณะที่พูด ดวงตาอันอ่อนโยนของเขาก็พลันฉายแววเคืองขุ่นเล็กน้อย หร่วนฝูอวี้ไม่เคยรู้จักใช้ถ้อยวาจาอ้อมค้อมอยู่แล้ว สายตาของนางชำเลืองมอง “คนธรรมดาสามารถตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่คราแรก เห็นที ต้องเป็นบุรุษแท้จริงจึงจักสำเร็จได้”นางพร่ำบ่นอยู่ในลำคอ รุ่ยอ๋องถึงกับเดือดดาล เรื่องเช่นนี้จักตัดสินจากเพียงหนึ่งหรือสองคราได้อย่างไร? นางช่างแก้ตัวอย่างไร้เหตุผลนัก “ข้ายังมิได้ถามเจ้า เจ้าผ่านชายมากี่คน? ไยจึงรู้ว่าข้าไร้ความสามารถ? ฝ่าบาทกับฮองเฮาก็อภิเษกกันตั้งนานค่อย…”หร่วนฝูอวี้ก้าวมาถึงตรงหน้าเขาทันที กระชากคอเสื้อของเขาไว้ “ได้ เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง”นางกระหวัดแขนหมายจะยกคนขึ้นมาอย่างเคยชิน ทว่าครานี้รุ่ยอ๋องไหวตัวทัน ถอยหลังหนึ่งก้าว “ตอนนี้ข้ามิได้มีอารมณ์”หร่วนฝูอวี้เลิกคิ้ว “ไร้อารมณ์รึ? ง่ายมาก ข้ามียาหลายขนาน”รุ่ยอ๋องสบสายตา
ณ จวนแม่ทัพ เหล่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองยังคงรอหูย่วนเอ๋อร์อยู่เมื่อเห็นนางกลับมาจากวังหลวง ทุกคนก็สอบถามด้วยความกังวล“ท่านแม่ทัพหู ประมุขแคว้นทรงว่าอย่างไร?”หูย่วนเอ๋อร์มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก“เรื่องของเป่ยเยี่ยน ประมุขแคว้นมิได้เอ่ยอย่างชัดเจน”คนอื่น ๆ พากันถอนหายใจ“นี่เป็นเวลาใดแล้ว ประมุขแคว้นยังระแวดระวังพวกเราอยู่อีกหรือ?”“แม้แต่ท่านแม่ทัพหูก็ยังถามไม่ได้ความอะไร ดูเหมือนว่าประมุขแคว้นจะถือว่าพวกเราเป็นคนนอกจริง ๆ”พวกนางเห็นหูย่วนเอ๋อร์สีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา ก็เข้าใจว่านางเหมือนกับพวกนาง ที่ไม่เข้าใจการกระทำของประมุขแคว้นทว่า หูย่วนเอ๋อร์ได้เอ่ยอีกประโยคต่อ“ประมุขแคว้นต้องการสละราชบัลลังก์ให้กับผู้ที่มีคุณธรรมความสามารถแล้วเมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา เหล่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปแตกต่างกันหลังจากนิ่งเงียบอย่างประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีคนเริ่มเอ่ยขึ้นมา“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อประมุขแคว้นทรงไม่ประสงค์จะอยู่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป ก็ไม่สู้สละราชบัลลังก์”“ทว่าตอนนี้กองทัพเยี่ยนยังอยู่ พวกเราต้องพึ่งพาหนานฉี”ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันยังไม่ได้ข้อตกลง สายตาก็หั
เฉินจี๋เบิกตาโตทันที จ้องมองที่อู๋ไป๋“ลังเลอะไร?”อู๋ไป๋เอ่ยออกมาจากใจจริง“ประมุขแคว้นทรงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความชอบธรรมอย่างยิ่ง เรื่องที่เคยรับปากกับประมุขแคว้นองค์ก่อน ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องทำให้ได้“ส่วนตอนนี้ก็ได้ครอบครองอำนาจของกษัตริย์อีก...เฮ่อ ไม่ใช่ว่านางจะถูกล่อลวงด้วยอำนาจ ที่จริงคือการแบกรับภาระของอาณาประชาราษฎร์เอาไว้โดยไม่รู้ตัว และยิ่งปล่อยวางไม่ได้“นี่เป็นความร้ายกาจของหญิงชราอย่างโอวหยางเหลียนผู้นั้น ก่อนตายนางให้ประมุขแคว้นไปเยี่ยมราษฎรของแคว้น ก็เพื่อให้ประมุขแคว้นทรงซึมซับเป็นส่วนหนึ่งกับแคว้นซีหนี่ว์อย่างแท้จริง”เฉินจี๋ขมวดคิ้วแน่น“ในเมื่อมีเรื่องเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่บอกแต่แรก!”อู๋ไป๋ยกไหล่ขึ้น“บอกไปจะมีประโยชน์อันใด? เจ้าขัดขวางไม่ให้ประมุขแคว้นเสด็จไปตรวจดูสถานการณ์ภัยพิบัติได้หรือ?“อีกอย่าง เจ้าคิดว่าประมุขแคว้นทรงไม่รู้แจ้งด้วยพระองค์เองหรือ?“ทว่าความจริงคือ สถานการณ์ภัยพิบัติในแคว้นซีหนี่ว์รุนแรง และประมุขแคว้นก็ทรงทราบถึงเจตนาของโอวหยางเหลียนเป็นอย่างดี แต่ยังคงแน่วแน่ที่จะไปที่นั่น”เฉินจี๋เห็นเขาเข้าใจประมุขแคว้นเช่นนี้ จึงร