ถึงแม้หลิวอิ๋งค้นหาปิ่นหยกเจอแล้ว กลับไม่รู้ชัดเจนว่า มันซุกซ่อนความลับอะไรไว้ นางจำได้เพียงคำกำชับของท่านพ่อท่านแม่ ปิ่นหยกนี้มีความสำคัญมาก มิเช่นนั้น นางคงจะโยนมันทิ้งไปนานแล้ว ขณะนี้ราชสำนักได้เสนอรางวัลสำหรับของสิ่งนี้ เกรงว่าจะไม่ธรรมดาจริง ๆ นางอดจินตนาการไปไกลมิได้เลย... เจิ้งจีที่อยู่ข้าง ๆ ได้แต่บ่นพึมพำ ปิ่นหักนี้จะมีประโยชน์อย่างไร? ช่วยให้นางกลายเป็นพระสนมได้หรือ “พรุ่งนี้เราจะกลับไปที่เมืองหลวง!” หลิวอิ๋งให้ความสำคัญกับปิ่นหยกหักครึ่งนี้เป็นพิเศษ หากล่องคุณภาพดี บรรจุมันไว้อย่างระมัดระวัง เจิ้งจีอยากจะกลับเมืองหลวงใจแทบขาด นางถามอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ ท่านคิดหาวิธี คืนดีกับท่านพ่อได้แล้วหรือ?”…… เมืองหลวง ในวังได้จัดงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ ฮ่องเต้ฮองเฮาประทับอยู่บนบัลลังก์สูง ทอดพระเนตรไปที่เหล่าขุนนางเบื้องล่าง งานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ปีนี้มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ฮ่องเต้ประทานรางวัลให้แก่ขุนนางผู้มีคุณูปการ พระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ เมื่อประทานรางวัลแก่ขุนนางเหล่านั้นแล้ว เซียวอวี้มุ่งความสนใจไปที
นายหญิงเฟิ่งเห็นฮูหยินซ่งเข้าใจผิด จึงรีบอธิบาย “มิใช่หรอก ท่านเข้าใจผิดแล้ว มิใช่ข้า เป็นฮองเฮา ข้าอยากได้ยาชนิดนั้นไปให้ฮองเฮา” เป็นไปไม่ได้เลยที่เวยเฉียงจะตั้งครรภ์ได้ ทว่าจิ่วเหยียนยังพอมีโอกาส นางที่เป็นมารดาคนหนึ่ง มิอาจทำสิ่งใดเพื่อจิ่วเหยียนในวัยเด็กได้เลย ตอนนี้นางไม่มีภาระหน้าที่ถ่วงรั้ง สามารถทำบางอย่างเพื่อลูกสาวได้แล้ว ถึงแม้นางจะตัวคนเดียว และไม่เข้าใจเรื่องยาสมุนไพร ความแข็งแกร่งก็มีน้อย ทว่านางยังมีสองขา สามารถเดินทางไปทั่วหล้า เพื่อใช้ปากของนาง สอบถามจากหมอเทวดาอื่น ๆ ได้ ผู้คนที่จางโจวก็เคยได้ฟังเรื่องที่ ฮองเฮาแท้งบุตรระหว่างทำศึก และไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก ฮูหยินซ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “พื้นฐานสุขภาพของแต่ละคนแตกต่างกัน ฮองเฮามีอาการป่วยอย่างไร จักต้องได้รับการวินิจฉัยก่อน ถึงสั่งจ่ายยาที่ถูกต้องได้ “ดังนั้น ตอนนี้จึงยากที่ข้าจะตัดสินใจ “เช่นนั้นให้สามีของข้าเข้าวัง ถวายการรักษาฮองเฮาดีหรือไม่?” นายหญิงเฟิ่งมีน้ำตาคลอหน่วย “ดี รอให้ข้ากลับไปที่เมืองหลวงครั้งนี้ จักหารือกับฮองเฮา ให้ท่านห
หอสุราเฉิงตง หร่วนฝูอวี้จองห้องส่วนตัวไว้ก่อนแล้ว แค่รอเฟิ่งจิ่วเหยียนมาถึง กลายเป็นว่าพวกตงฟางซื่อมาถึงเสียก่อน ตงฟางซื่อเป็นคนประเภทเสือหน้ายิ้ม คล้ายว่าล่วงรู้ถึงจิตใจไม่บริสุทธิ์ของนาง จึงเอ่ยเตือนนางทันทีที่นั่งลง “ได้ยินว่าเดิมเจ้าอยากนัดหมายกับซูฮ่วนคนเดียวหรือ? “หร่วนฝูอวี้ ในฐานะสหายคนหนึ่ง มีบางอย่าง ที่ข้าต้องพูดกับเจ้า “ตัวตนปัจจุบันของซูฮ่วน หาได้เหมือนเช่นอดีตไม่ ก่อนเจ้าจะทำสิ่งใด ควรไตร่ตรองให้ดี” ใบหน้าของหร่วนฝูอวี้สงบนิ่ง เปลี่ยนบทสนทนาอย่างแนบเนียน “เจ้าควรเอาเวลาไปห่วงตัวเองดีกว่า ตอนนี้ตระกูลตงฟางได้ปรับโครงสร้าง ‘ใยแมงมุม’ ใหม่ สร้างชื่อเสียงเลื่องลือไกล มีแต่คนที่ต้องการตัวเจ้า ทุกแว่นแคว้นเสนอรางวัลนำจับเจ้าแล้ว ท่านอ๋องแห่งหนานเจียงเราก็อยากเชิญให้เจ้าไปรับตำแหน่งในหนานเจียง กล่าวกันว่าคนกลัวชื่อเสียง หมูกลัวอ้วน ใช่หรือไม่?” ตงฟางซื่อกระตุกยิ้มมุมปาก เผยความมั่นใจเยือกเย็น “ก็ต่อเมื่อพวกเขาจับข้าได้เท่านั้น” เขามีชื่อเสียงจอมยุทธอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ หาได้เป็นเพียงลมปากไม่ ฝานจิ้นหิวมากแล้ว ครั้นเห็น
หร่วนฝูอวี้ดูลุกลี้ลุกลน ความหงุดหงิดวาววับอยู่ในแววตา กู่เสน่ห์ที่นางเตรียมไว้อย่างดีสำหรับซูฮ่วน เพียงฝังมันไว้ในกายของซูฮ่วน ก็จักทำให้อยู่โดยขาดนางมิได้ นางต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ทว่ายามสำคัญกู่เสน่ห์กลับหายไป! โอกาสเช่นคืนนี้หาได้ยากยิ่ง ครั้นแผนการล้มเหลว หร่วนฝูอวี้ต้องคิดวางแผนใหม่อีก เช่นนั้นก็ร่วมดื่มจนเมามายไปกับซูฮ่วนดีกว่า! คิดแล้วก็ลงมือทำเลย หร่วนฝูอวี้เริ่มเชิญชวนให้ดื่ม นางเสนอ “ดื่มแบบนี้ มันน่าเบื่อจริง ๆ พวกเรามาเล่นพนันดื่มรอบวงกัน ว่าอย่างไร?” “ดี!” ฝานจิ้นเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากนั้น คนทั้งหลายเริ่มพนันดื่มรอบวงกัน หร่วนฝูอวี้ต้องการกรอกสุราให้เฟิ่งจิ่วเหยียน กลับต้องเป็นตัวเองที่ถูกกรอกติดต่อกันหลายจอก นางพุ่งความสนใจไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนทั้งหมด หาได้สังเกตเห็นว่า รุ่ยอ๋องที่อยู่อีกด้านหนึ่งเริ่มตัวแดง ดูร้อนรนกระสับกระส่าย พลางโน้มตัวเข้าหานางมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว…… นอกห้องส่วนตัว เซียวอวี้เห็นคนในห้องไม่มีทีท่าจะหยุดดื่ม จึงกังวลว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะเมาเพราะพวกเขา เขาทนไม่ไหวจริง ๆ แต่ก็กลัวไปรบกวนอา
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปยังที่ไกล และสั่งการอู๋ไป๋ “หากในเจียงโจวมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จงรีบส่งข่าวให้ข้าทราบ อีกอย่าง ให้ส่งคนจำนวนหนึ่ง ไปอารักขาท่านแม่กับเวยเฉียงที่จางโจวด้วย อย่าให้ผู้ใดไปรบกวนพวกนาง” อู๋ไป๋น้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา!” ยังเป็นนายท่านที่คิดได้รอบคอบเสมอ “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้อาการประชวรของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ทรุดลงเรื่อย ๆ เกรงว่าจะเหลือเวลาอยู่ได้อีกสองสามเดือนเท่านั้น “แคว้นเจิ้งกับแคว้นเสี่ยวโจวที่พวกนางเพิ่งพิชิตได้ กำลังวางแผนร่วมมือก่อกบฏ แคว้นซีหนี่ว์ ใกล้จะวุ่นวายแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ประมุขแคว้นซีหนี่ว์เป็นยอดวีรสตรี หากนางตาย ย่อมหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในแคว้นซีหนี่ว์มิได้ เรื่องนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกกังวลอย่างมาก ทว่า การเกิดแก่เจ็บตาย ล้วนอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ นางต้องพยายามตามหาซู่ยวนอย่างสุดกำลัง เพื่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ไม่ติดค้างในใจ และไม่ทำให้ความไว้วางใจของอีกฝ่ายสูญเปล่า “มีเหตุวุ่นวายใดหรือ?” เซียวอวี้ล้างหน้าเสร็จเพิ่งเดินเข้ามา จึงมิได้ยินคำพูดทั้งหมดของอู๋ไป๋ เฟิ่งจิ่วเหยีย
เซียวอวี้ตัดสินใจพาเฟิ่งจิ่วเหยียนไปที่ภูเขาหวูหยา และจักออกเดินทางในไม่ช้า เขาได้แต่งตั้งให้รุ่ยอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ทั้งยังแต่งตั้งขุนนางไว้ช่วยเหลืออีกหลายคน ในเวลาเดียวกัน รายชื่อขุนนางที่ถูกส่งไปทำงานต่างถิ่นถูกประกาศลงมาแล้ว แน่นอนว่าชื่อของนายท่านเฟิ่งเป็นหนึ่งในนั้น อีกทั้งจดหมายที่เขาส่งถึงนายหญิงเฟิ่ง ผ่านไปนานแล้วยังมิถูกตอบกลับ เรื่องนี้ทำให้เขากระวนกระวายใจยากจะหาทางออก มิหนำซ้ำ เวลานี้มีคนเข้ามาก่อความรำคาญอีก เฟิ่งหมิงเซวียนบุตรชายคนเล็กวิ่งเข้ามา และถามอย่างกังวลใจ “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ได้ข่าวว่าท่านกำลังจะถูกส่งไปทำงานที่ต่างถิ่น! เจียงโจวอยู่ที่ใด ท่านยังกลับมาได้อีกหรือไม่ขอรับ?” นายท่านเฟิ่งโกรธจนตบศีรษะของเขา “กลับมาได้หรือไม่ เจ้ามีสิทธิ์พูดรึ?!” สุนัขตัวนี้เก่งแต่พ่นคำไม่เป็นมงคล! เฟิ่งหมิงเซวียนยกมือลูบศีรษะป้อย ๆ กล่าวอย่างเสียใจ “ท่านพ่อ ไยท่านต้องตีข้าด้วยเล่า ข้าก็แค่ถาม ข้าแค่หวังให้ท่านกลับมาโดยเร็ว ข้าจะแต่งงานแล้ว...” “แต่งงาน?” นายท่านเฟิ่งตกตะลึง คิดดูอีกที ไอ้ลูกตัวแสบควรจะแต่งงานนา
เฟิ่งจิ่วเหยียนมาที่ห้องทรงพระอักษร และเห็นเฟิ่งหมิงเซวียนคุกเข่าอยู่ข้างเซียวอวี้ น้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มหน้า ฉากนี้ “งดงาม” เกินไป จนเฟิ่งจิ่วเหยียนทนมองไม่ไหว ครั้นเฟิ่งหมิงเซวียนเห็นนาง จึงขอความเป็นธรรมอีกครั้ง พูดไปพูดมา ก็มีแค่อยากแต่งงานกับหญิงที่ชื่อ “อิงเอ๋อร์” ผู้นั้น เซียวอวี้มองเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างหมดหนทาง ปล่อยให้นางจัดการตามสมควร เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งมิแปรเปลี่ยน ใบหน้าไม่มีร่องรอยของความโกรธเคือง นางหาได้ตำหนิเฟิ่งหมิงเซวียนไม่ ทว่า เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ นางมิได้เห็นด้วย หรือคัดค้านใด ๆ เช่นกัน “ลุกขึ้นก่อน” น้ำเสียงของนางเรียบเฉย แววตาแฝงความเฉียบคม เฟิ่งหมิงเซวียนส่ายศีรษะ “ไม่ลุก หากพวกท่านไม่รับปากข้า ข้าก็จะคุกเข่าอยู่แบบนี้!” เฟิ่งจิ่วเหยียนแค่นเสียงเย็นชา “ช่างดื้อรั้นเสียนี่กระไร “หากเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็จัดการง่ายนัก” ดวงตาของเฟิ่งหมิงเซวียนเป็นประกาย “จะทำอย่างไรดี?” ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา และซื่อตรง “ถึงอย่างไรตระกูลเฟิ่งก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงช้านาน กฎของบรรพบุรุษมิอาจ
หลิวอิ๋งสองแม่ลูกหารู้ไม่ว่า การกลับเจียงโจวครานี้ จักมีคนสะกดรอยตามเพื่อสอดแนมพวกนางด้วย ยิ่งคาดไม่ถึงว่า ทันทีที่พวกนางมาถึงเมืองหลวงอีกครั้ง แล้วก้าวผ่านประตูเมือง ก็ถูกเจ้าหน้าที่ทางการสองคนเข้ามาจับกุม “พวกเจ้าจะทำอะไร! บังอาจนัก! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร...” หลิวอิ๋งตวาดอย่างโกรธเคือง พูดยังไม่ทันจบ พลันถูกปิดปากไว้ก่อน พระราชวัง ในตำหนักหย่งเหอ หว่านชิวยื่นกล่องผ้าไหมใบหนึ่งให้ด้วยความเคารพ “ฮองเฮา ค้นเจอสิ่งนี้จากน้าหญิงของท่านเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองกล่องผ้าไหม พลางยกมือขึ้นรับไว้ ครั้นเปิดดูแล้ว มีปิ่นหักวางอยู่ข้างในดังคาด นางหยิบปิ่นหยกอีกครึ่งของตนออกมา อย่างสุขุมเยือกเย็น และเปรียบเทียบอย่างรอบคอบ สิ่งที่น่าตกตะลึงคือ มันเหมือนกันทุกประการ! หว่านชิวได้เห็นเช่นนี้ พลันอ้าปากตาค้าง “ฮองเฮา นี่...นี่คือปิ่นหยกอีกครึ่งที่ท่านกำลังตามหาอยู่หรือเพคะ?” ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา พลางออกคำสั่งอย่างเรียบเฉย “ไปตามคนมายืนยัน” “เพคะ!” ในวังหลวงมีช่างฝีมือมากมาย ต่างก็เป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ เ
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย