หอสุราเฉิงตง หร่วนฝูอวี้จองห้องส่วนตัวไว้ก่อนแล้ว แค่รอเฟิ่งจิ่วเหยียนมาถึง กลายเป็นว่าพวกตงฟางซื่อมาถึงเสียก่อน ตงฟางซื่อเป็นคนประเภทเสือหน้ายิ้ม คล้ายว่าล่วงรู้ถึงจิตใจไม่บริสุทธิ์ของนาง จึงเอ่ยเตือนนางทันทีที่นั่งลง “ได้ยินว่าเดิมเจ้าอยากนัดหมายกับซูฮ่วนคนเดียวหรือ? “หร่วนฝูอวี้ ในฐานะสหายคนหนึ่ง มีบางอย่าง ที่ข้าต้องพูดกับเจ้า “ตัวตนปัจจุบันของซูฮ่วน หาได้เหมือนเช่นอดีตไม่ ก่อนเจ้าจะทำสิ่งใด ควรไตร่ตรองให้ดี” ใบหน้าของหร่วนฝูอวี้สงบนิ่ง เปลี่ยนบทสนทนาอย่างแนบเนียน “เจ้าควรเอาเวลาไปห่วงตัวเองดีกว่า ตอนนี้ตระกูลตงฟางได้ปรับโครงสร้าง ‘ใยแมงมุม’ ใหม่ สร้างชื่อเสียงเลื่องลือไกล มีแต่คนที่ต้องการตัวเจ้า ทุกแว่นแคว้นเสนอรางวัลนำจับเจ้าแล้ว ท่านอ๋องแห่งหนานเจียงเราก็อยากเชิญให้เจ้าไปรับตำแหน่งในหนานเจียง กล่าวกันว่าคนกลัวชื่อเสียง หมูกลัวอ้วน ใช่หรือไม่?” ตงฟางซื่อกระตุกยิ้มมุมปาก เผยความมั่นใจเยือกเย็น “ก็ต่อเมื่อพวกเขาจับข้าได้เท่านั้น” เขามีชื่อเสียงจอมยุทธอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ หาได้เป็นเพียงลมปากไม่ ฝานจิ้นหิวมากแล้ว ครั้นเห็น
หร่วนฝูอวี้ดูลุกลี้ลุกลน ความหงุดหงิดวาววับอยู่ในแววตา กู่เสน่ห์ที่นางเตรียมไว้อย่างดีสำหรับซูฮ่วน เพียงฝังมันไว้ในกายของซูฮ่วน ก็จักทำให้อยู่โดยขาดนางมิได้ นางต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ทว่ายามสำคัญกู่เสน่ห์กลับหายไป! โอกาสเช่นคืนนี้หาได้ยากยิ่ง ครั้นแผนการล้มเหลว หร่วนฝูอวี้ต้องคิดวางแผนใหม่อีก เช่นนั้นก็ร่วมดื่มจนเมามายไปกับซูฮ่วนดีกว่า! คิดแล้วก็ลงมือทำเลย หร่วนฝูอวี้เริ่มเชิญชวนให้ดื่ม นางเสนอ “ดื่มแบบนี้ มันน่าเบื่อจริง ๆ พวกเรามาเล่นพนันดื่มรอบวงกัน ว่าอย่างไร?” “ดี!” ฝานจิ้นเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากนั้น คนทั้งหลายเริ่มพนันดื่มรอบวงกัน หร่วนฝูอวี้ต้องการกรอกสุราให้เฟิ่งจิ่วเหยียน กลับต้องเป็นตัวเองที่ถูกกรอกติดต่อกันหลายจอก นางพุ่งความสนใจไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนทั้งหมด หาได้สังเกตเห็นว่า รุ่ยอ๋องที่อยู่อีกด้านหนึ่งเริ่มตัวแดง ดูร้อนรนกระสับกระส่าย พลางโน้มตัวเข้าหานางมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว…… นอกห้องส่วนตัว เซียวอวี้เห็นคนในห้องไม่มีทีท่าจะหยุดดื่ม จึงกังวลว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะเมาเพราะพวกเขา เขาทนไม่ไหวจริง ๆ แต่ก็กลัวไปรบกวนอา
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปยังที่ไกล และสั่งการอู๋ไป๋ “หากในเจียงโจวมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จงรีบส่งข่าวให้ข้าทราบ อีกอย่าง ให้ส่งคนจำนวนหนึ่ง ไปอารักขาท่านแม่กับเวยเฉียงที่จางโจวด้วย อย่าให้ผู้ใดไปรบกวนพวกนาง” อู๋ไป๋น้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา!” ยังเป็นนายท่านที่คิดได้รอบคอบเสมอ “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้อาการประชวรของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ทรุดลงเรื่อย ๆ เกรงว่าจะเหลือเวลาอยู่ได้อีกสองสามเดือนเท่านั้น “แคว้นเจิ้งกับแคว้นเสี่ยวโจวที่พวกนางเพิ่งพิชิตได้ กำลังวางแผนร่วมมือก่อกบฏ แคว้นซีหนี่ว์ ใกล้จะวุ่นวายแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ประมุขแคว้นซีหนี่ว์เป็นยอดวีรสตรี หากนางตาย ย่อมหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในแคว้นซีหนี่ว์มิได้ เรื่องนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกกังวลอย่างมาก ทว่า การเกิดแก่เจ็บตาย ล้วนอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ นางต้องพยายามตามหาซู่ยวนอย่างสุดกำลัง เพื่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ไม่ติดค้างในใจ และไม่ทำให้ความไว้วางใจของอีกฝ่ายสูญเปล่า “มีเหตุวุ่นวายใดหรือ?” เซียวอวี้ล้างหน้าเสร็จเพิ่งเดินเข้ามา จึงมิได้ยินคำพูดทั้งหมดของอู๋ไป๋ เฟิ่งจิ่วเหยีย
เซียวอวี้ตัดสินใจพาเฟิ่งจิ่วเหยียนไปที่ภูเขาหวูหยา และจักออกเดินทางในไม่ช้า เขาได้แต่งตั้งให้รุ่ยอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ทั้งยังแต่งตั้งขุนนางไว้ช่วยเหลืออีกหลายคน ในเวลาเดียวกัน รายชื่อขุนนางที่ถูกส่งไปทำงานต่างถิ่นถูกประกาศลงมาแล้ว แน่นอนว่าชื่อของนายท่านเฟิ่งเป็นหนึ่งในนั้น อีกทั้งจดหมายที่เขาส่งถึงนายหญิงเฟิ่ง ผ่านไปนานแล้วยังมิถูกตอบกลับ เรื่องนี้ทำให้เขากระวนกระวายใจยากจะหาทางออก มิหนำซ้ำ เวลานี้มีคนเข้ามาก่อความรำคาญอีก เฟิ่งหมิงเซวียนบุตรชายคนเล็กวิ่งเข้ามา และถามอย่างกังวลใจ “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ได้ข่าวว่าท่านกำลังจะถูกส่งไปทำงานที่ต่างถิ่น! เจียงโจวอยู่ที่ใด ท่านยังกลับมาได้อีกหรือไม่ขอรับ?” นายท่านเฟิ่งโกรธจนตบศีรษะของเขา “กลับมาได้หรือไม่ เจ้ามีสิทธิ์พูดรึ?!” สุนัขตัวนี้เก่งแต่พ่นคำไม่เป็นมงคล! เฟิ่งหมิงเซวียนยกมือลูบศีรษะป้อย ๆ กล่าวอย่างเสียใจ “ท่านพ่อ ไยท่านต้องตีข้าด้วยเล่า ข้าก็แค่ถาม ข้าแค่หวังให้ท่านกลับมาโดยเร็ว ข้าจะแต่งงานแล้ว...” “แต่งงาน?” นายท่านเฟิ่งตกตะลึง คิดดูอีกที ไอ้ลูกตัวแสบควรจะแต่งงานนา
เฟิ่งจิ่วเหยียนมาที่ห้องทรงพระอักษร และเห็นเฟิ่งหมิงเซวียนคุกเข่าอยู่ข้างเซียวอวี้ น้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มหน้า ฉากนี้ “งดงาม” เกินไป จนเฟิ่งจิ่วเหยียนทนมองไม่ไหว ครั้นเฟิ่งหมิงเซวียนเห็นนาง จึงขอความเป็นธรรมอีกครั้ง พูดไปพูดมา ก็มีแค่อยากแต่งงานกับหญิงที่ชื่อ “อิงเอ๋อร์” ผู้นั้น เซียวอวี้มองเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างหมดหนทาง ปล่อยให้นางจัดการตามสมควร เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งมิแปรเปลี่ยน ใบหน้าไม่มีร่องรอยของความโกรธเคือง นางหาได้ตำหนิเฟิ่งหมิงเซวียนไม่ ทว่า เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ นางมิได้เห็นด้วย หรือคัดค้านใด ๆ เช่นกัน “ลุกขึ้นก่อน” น้ำเสียงของนางเรียบเฉย แววตาแฝงความเฉียบคม เฟิ่งหมิงเซวียนส่ายศีรษะ “ไม่ลุก หากพวกท่านไม่รับปากข้า ข้าก็จะคุกเข่าอยู่แบบนี้!” เฟิ่งจิ่วเหยียนแค่นเสียงเย็นชา “ช่างดื้อรั้นเสียนี่กระไร “หากเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็จัดการง่ายนัก” ดวงตาของเฟิ่งหมิงเซวียนเป็นประกาย “จะทำอย่างไรดี?” ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา และซื่อตรง “ถึงอย่างไรตระกูลเฟิ่งก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงช้านาน กฎของบรรพบุรุษมิอาจ
หลิวอิ๋งสองแม่ลูกหารู้ไม่ว่า การกลับเจียงโจวครานี้ จักมีคนสะกดรอยตามเพื่อสอดแนมพวกนางด้วย ยิ่งคาดไม่ถึงว่า ทันทีที่พวกนางมาถึงเมืองหลวงอีกครั้ง แล้วก้าวผ่านประตูเมือง ก็ถูกเจ้าหน้าที่ทางการสองคนเข้ามาจับกุม “พวกเจ้าจะทำอะไร! บังอาจนัก! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร...” หลิวอิ๋งตวาดอย่างโกรธเคือง พูดยังไม่ทันจบ พลันถูกปิดปากไว้ก่อน พระราชวัง ในตำหนักหย่งเหอ หว่านชิวยื่นกล่องผ้าไหมใบหนึ่งให้ด้วยความเคารพ “ฮองเฮา ค้นเจอสิ่งนี้จากน้าหญิงของท่านเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองกล่องผ้าไหม พลางยกมือขึ้นรับไว้ ครั้นเปิดดูแล้ว มีปิ่นหักวางอยู่ข้างในดังคาด นางหยิบปิ่นหยกอีกครึ่งของตนออกมา อย่างสุขุมเยือกเย็น และเปรียบเทียบอย่างรอบคอบ สิ่งที่น่าตกตะลึงคือ มันเหมือนกันทุกประการ! หว่านชิวได้เห็นเช่นนี้ พลันอ้าปากตาค้าง “ฮองเฮา นี่...นี่คือปิ่นหยกอีกครึ่งที่ท่านกำลังตามหาอยู่หรือเพคะ?” ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา พลางออกคำสั่งอย่างเรียบเฉย “ไปตามคนมายืนยัน” “เพคะ!” ในวังหลวงมีช่างฝีมือมากมาย ต่างก็เป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ เ
ไม่ควรใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ใจร้อนอยากตามหาคน ย่อมไม่สามารถพึ่งพาเฟิ่งจิ่วเหยียนคนเดียวได้ ดังนั้น นางจึงส่งคนสนิทออกไป ให้พวกนางมาที่หนานฉี ส่วนหนึ่งลอบตามหาคนลับ ๆ อีกส่วนหนึ่งคอยติดตามความคืบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียน สายลับเหล่านี้ล้วนถูกเลือกจากยอดฝีมือนับร้อย เฟิ่งจิ่วเหยียนจับตัวหลิวอิ๋งไว้ และพบปิ่นหยก เมื่อพวกนางสืบทราบ จึงต้องการพาตัวหลิวอิ๋งออกไปทันที เหล่าสายลับเข้าวังในฐานะของราชทูต ท่าทางมุ่งมั่น ในตำหนักหย่งเหอ เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งบนตำแหน่งหลัก พลางเชิญให้พวกนางนั่งลง นางเอ่ยอย่างมีเหตุผล “ปิ่นหยกอีกครึ่งในมือของหลิวอิ๋ง เป็นชิ้นเดียวกันก็จริง “ทว่า เรื่องนี้ยังมีเหตุที่น่าสงสัย “มิควรอาศัยเพียงปิ่นหักชิ้นเดียว แล้วตัดสินว่าหลิวอิ๋งคือซู่ยวน” ราชทูตก็ตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ แต่พวกนางก็ได้ไตร่ตรองแล้ว “ฮองเฮาเพคะ ขอทูลท่านตามตรง ท่านประมุขของเรา...ท่านประชวรหนักมาก เกรงว่าจักรอนานขนาดนั้นมิได้ “ข้อสงสัยที่ท่านกล่าวถึงนั้นมีอยู่จริง ทว่า ปิ่นหักอยู่ในมือของหลิวอิ๋ง กอปรกับอายุของนาง สิ่งเหล่
ตำหนักหย่งเหอเซียวอวี้รู้เรื่องหลิวอิ๋งถูกพาตัวไป จึงถามเฟิ่งจิ่วเหยียน“พวกนางออกจากเมืองไปแล้ว?”สีหน้าเขาเคร่งขรึมใครคือซู่ยวน เขาไม่สนใจสิ่งที่เขาสนใจคือ ประมุขแคว้นซีหนี่ว์คนนั้น ไม่ได้เชื่อใจจิ่วเหยียนทั้งหมด ได้ส่งสายสืบมาอยู่เมืองหลวงอย่างไร นางคิดว่า หลังจากจิ่วเหยียนเจอตัวซู่ยวน จะกีดกันการกลับแคว้นของซู่ยวนหรือไม่?สิ่งนี้ทำให้รู้สึกผิดหวังอย่างเจ็บปวด!เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างเหม่อลอย“คิดว่า น่าจะออกจากเมืองไปแล้วเพคะ”เซียวอวี้คว้าจับมือเฟิ่งจิ่วเหยียน ประสานนิ้วทั้งสิบของนางไว้“ในเมื่อคนถูกพวกนางพาตัวไปแล้ว เรื่องภายหลัง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ไปภูเขาหวูหยากับเรา ดีหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมามองเขา สัมผัสความร้อนใจในดวงตาของเขา แล้วพยักหน้า“ได้เพคะ ทว่า...”“ทว่าอันใด?” เซียวอวี้กังวลใจ กลัวว่านางจะถ่วงเวลาต่อไปอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างแน่วแน่ “มีเริ่มต้นก็ต้องมีสิ้นสุด เรื่องของซู่ยวน หม่อมฉันจะให้คนสืบต่อไป”อย่างแรก นางจะละเลยสิ่งที่ผู้อื่นฝากฝังไม่ได้อย่างที่สอง ทั้งที่รู้ว่าเต็มไปด้วยสิ่ง
ณ ตำหนักฉือหนิงสายตาที่ไทเฮามองมายังฮ่องเต้ ดูไม่สบายใจและไม่มั่นใจอยู่บ้างนางไม่คิดว่า ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง เลยแวะมาเยี่ยมนางเซียวอวี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการถามสารทุกข์สุกดิบใด ๆ“ถวายบังคมเสด็จแม่“เราจะไม่อยู่วัง วันกลับยังไม่แน่ชัด เรื่องภายในวังหลัง เรากังวลว่าหนิงเฟยคนเดียวจะตัดสินใจไม่ได้ จึงอยากฝากให้ท่านดูแลชั่วคราว”ไทเฮางุนงงยิ่งกว่าเดิมเขาจะออกจากวังไปทำอะไรอีก?ไม่ใช่ว่าเพิ่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือ?เซียวอวี้ส่งสายตา หลิวซื่อเหลียงจึงนำตราประทับทองวางลงบนโต๊ะมีตราประทับทอง ก็จะสามารถควบคุมเรื่องทุกอย่างในวังหลังได้นานแล้วที่ไทเฮาไม่ได้จับตราประทับทองแต่บางเรื่อง นางเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี“ฮ่องเต้ เจ้าไม่อยู่วังอีกแล้วหรือ ครั้งนี้เพราะอะไรล่ะ? อีกอย่าง ตอนนั้นฮองเฮาใส่ชุดสามัญชนออกตรวจแต่ละเมืองกับเจ้า ทำไมมีแต่เจ้ากลับมาคนเดียว ฮองเฮาล่ะ?”แววตาของเซียวอวี้ราบเรียบ คำโป้ปดพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด“เราต้องกลับมาจัดการเรื่องสำคัญในราชสำนัก ฮองเฮายังออกตรวจอยู่ ครั้งนี้ เราจึงต้องไปตามหานาง”ไม่รู้ไทเฮาเชื่อหรือไม่ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างขณะที่
เซียวอวี้ไม่ทันได้รอให้เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมา แต่กลับได้ยินข่าวลือที่นางจะขึ้นบัลลังก์ในแคว้นซีหนี่ว์เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็อดที่จะคิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้จากนิสัยของจิ่วเหยียน มีความเป็นไปได้ว่าเพื่อปกป้องแคว้นซีหนี่ว์แล้ว นางจะปล่อยไปตามสถานการณ์ รับช่วงแก้ปัญหาต่อของแคว้นซีหนี่ว์ นัยน์ตาของเซียวอวี้เจือแววหม่นหมองเขาสั่งเฉินจี๋ “ไปสืบมาให้ชัดเจน ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่!”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”เฉินจี่เองก็ไม่อยากจะเชื่อ ฮองเฮาจะทิ้งฝ่าบาท และหันหลังให้แคว้นหนานฉีทั้งอย่างนี้วันต่อมาณ ตำหนักฉือหนิง หลายวันนี้ไทเฮารู้สึกอ่อนเพลีย มักจะนอนไม่หลับสนิทหมอหลวงตรวจชีพจรให้นาง หนิงเฟยเฝ้าอยู่ข้าง ๆ “หมอหลวง ร่างกายของท่านป้าเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรหรือไม่?”หมอหลวงโค้งคำนับ “ทูลพระนาง เส้นลมปราณจุดเริ่นของไทเฮาอ่อนแรง เส้นลมปราณไท่ชงก็น้อยลง ชีพจรเทียนขุยหดหาย อุโมงค์อุดตัน ระดูหมด”เขาอธิบายจบ สีหน้าของไทเฮาพลันแข็งค้าง หัวใจเหมือนถูกอะไรทับไว้ จนหายใจไม่ออกระดูหมด นั่นหมายความว่านางเข้าสู่วัยชราอย่างสมบูรณ์นี่เป็นเรื่องที่สตรีต้องประสบพบเจอในชีวิตแต่นางไม่คิดเลยว
หัวหน้าแม่ทัพของแคว้นเจิ้งมีสีหน้าอดกลั้น“ผู้หญิงคนนั้นพูดถูก ควรถอยทัพ เพื่อปกป้องกองกำลังของแค้นให้คงอยู่!”หัวหน้าแม่ทัพแคว้นเสี่ยวโจวหงุดหงิดอย่างยิ่ง“สุดท้ายสวรรค์ก็ไม่เข้าข้างข้า! ตอนนี้แคว้นซีหนี่ว์และแคว้นหนานฉี ผูกมัดรวมกันแล้ว!”หากพวกเขาเคลื่อนทัพเมื่อใด กองทัพชายแดนตะวันตกของแคว้นหนานฉีก็จะเคลื่อนไหวทันทีพอถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะถูกโจมตีทั้งสองทางอันตรายนี้ จะเข้าไปเสี่ยงไม่ได้แคว้นหนานฉีในปัจจุบัน เปรียบเสมือนปีศาจจอมตะกละที่กินอย่างไรก็ไม่อิ่มท้องหากถูกพวกเขาโจมตียึดครอง ก็ไม่ใช่แค่ตกเป็นแคว้นอาณานิคม แต่แคว้นจะล่มสลายอย่างสมบูรณ์ ไม่มีวันได้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีก……บริเวณขอบชายแดนเฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่ไปไหนลมค่อย ๆ แรงขึ้น หูย่วนเอ๋อร์นำผ้าคลุมกันลม มาคลุมให้นางอย่างนอบน้อมสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนทอดมองยังเบื้องหน้า กล่าวอย่างลุ่มลึก“แม่ทัพหู ข้าอยากให้เจ้าบอกมาตามตรง“เรื่องที่สองแม่ลูกหลิวอิ๋งกลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์ ท่านป้ารู้หรือไม่?”หูย่วนเอ๋อร์บอกอย่างงุนงง“ยามที่ประมุขแคว้นรักษาตัวอยู่ที่ชานเมือง นางรู้อะไร หรือไม่รู้อะไรนั้น ข้าไม่รู้เรื่อ
เมื่อเห็นว่าขอร้องไปก็ไร้ความหวัง เจิ้งจีก็ตะโกนสาปแช่งไล่หลังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ค่อย ๆ เดินออกไปไกล“เฟิ่งจิ่วเหยียนเจ้าไม่ได้ตายดีแน่ เจ้าสร้างบาปกรรมเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้เจ้ามีลูกอีกไม่ได้แน่นอน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยิน ในใจกลับไม่สะทกสะท้านด้านหลัง มีเสียงยกดาบและลงดาบดังตามมาติด ๆหลิวอิ๋งพูดถูก ถูกประหารศีรษะก็แค่หลุดล่วงบนพื้นวันนี้ ศีรษะของนางหลุดในวังหลวงแคว้นซีหนี่ว์หัวกลิ้งหลุน ๆ ดึงดันหันไปทางตำหนักหลัก จ้องบัลลังก์ที่นางยังไม่ได้ครอบครอง อย่างตายตาไม่หลับเจิ้งจีเห็นภาพนี้ พลันนิ่งอึ้ง“ไม่นะ! ไม่——ท่านแม่!”เมื่อเห็นดาบกำลังจะฟันลงที่นาง นางก็เบิกตากว้างนางเสียใจนางไม่น่าตามมารดาไปที่เมืองหลวง ไม่น่าไปฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยากเป็นนางสนม ไม่น่ากลับมาที่แคว้นซีหนี่ว์อีกครั้งหากนางอยู่ที่เจียงโจว ก็คงไม่ตายต่อมา เลือดสด ๆ ก็สาดกระเซ็นออกมา…ศีรษะหลุดออกจากบ่าหล่นบนพื้นตายตาไม่หลับเหมือนกัน……นอกชายแดนแคว้นซีหนี่ว์กองทัพของแคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งโจวเตรียมบุกโจมตีเวลากลางคืน ทหารสอดแนมมารายงาน“ท่านแม่ทัพ! ประมุขแคว้นซีหนี่ว์สิ้นพระชนม์แล้ว! แต่ซู่ย
ความผูกพันที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมีต่อแคว้นซีหนี่ว์ ไม่ลึกซึ้งเท่าความผูกพันที่มีต่อแคว้นหนานฉีเนื่องจากนางเติบโตในแคว้นหนานฉีตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเคยเป็นทหารของแคว้นหนานฉีญาติสนิทมิตรสหายของนาง ล้วนอยู่ในแคว้นหนานฉีทั้งนั้นตอนนี้ นางยังเป็นฮองเฮาของแคว้นหนานฉีอีกด้วยหากนางตัวคนเดียว บางทีนางอาจจะสามารถอยู่ได้แบบไม่ต้องลังเล แต่ว่าตอนนี้ หากให้นางทิ้งทุกอย่างในแคว้นหนานฉี อยู่เป็นฮ่องเต้ที่แคว้นซีหนี่ว์ นางทำไม่ได้นางมีหลายเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้และยังอาลัยอาวรณ์อยู่สามีของนาง ท่านอาจารย์และอาจารย์หญิง แล้วไหนจะเวยเฉียง…ทว่า แคว้นซีหนี่ว์เองก็ต้องปกป้องในด้านส่วนตัว นี่คือสายเลือดตระกูลบรรพบุรุษของนางในด้านส่วนรวม จำเป็นต้องมีแคว้นเฉกเช่นแคว้นซีหนี่ว์ เพื่อสังคมโลกที่ไม่ยุติธรรมต่อสตรี อีกอย่าง แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งก็สนิทชิดเชื้อกับเป่ยเยี่ยน หากพวกเขาแบ่งแยกแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะสร้างความกดดันต่อชายแดนทางตะวันตกของแคว้นหนานฉี หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด“ข้าจะช่วยแคว้นซีหนี่ว์ปราบปรามศัตรูให้ล่าถอย แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ คงต้องให้ผู้ปรา
ณ แคว้นหนานฉีภายในพระราชวังความรู้สึกไม่สบายใจของเซียวอวี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆเขาฝืนอ่านฎีกาจนจบ แล้วขึ้นราชรถไปตำหนักหย่งเหอด้วยจิตใจที่ล่องลอยหลิวซื่อเหลียงรีบตามมาด้านหลัง เขามองออกว่าฝ่าบาทกำลังวิตกกังวล ก็นึกว่าฝ่าบาททรงกังวลเรื่องของแคว้น จึงให้ข้าหลวงถอยออกไปด้วยสายตาที่เฉียบแหลมเซียวอวี้นั่งเหม่อลอยอยู่ที่เก้าอี้ในตำหนักชั้นในเป็นเวลานานหากไม่ติดเรื่องฐานะฮ่องเต้ ยามนี้เขาอยากจะไปแคว้นซีหนี่ว์ ตามจิ่วเหยียนของเขากลับมาแล้วแคว้นซีหนี่ว์ในเวลาเดียวกันเฟิ่งจิ่วเหยียนตกอยู่ในสองสถานการณ์ที่ยากลำบากด้านหนึ่ง นางรู้ดีว่าด้วยฐานะฮองเฮาแคว้นหนานฉีของนาง ไม่อาจอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ได้อีกด้านหนึ่ง แคว้นซีหนี่ว์ถูกคุกคามจากแคว้นศัตรู หากนางพาท่านแม่จากไปโดยไม่สนใจความอยู่รอดของแคว้นซีหนี่ว์ ย่อมทำใจได้ยากภายในตำหนัก โอวหยางเหลียนและหูย่วนเอ๋อร์ต่างคุกเข่าให้นางอยู่บนพื้น ขอร้องให้นางอยู่ต่อด้านนอกตำหนัก เหล่าขุนนางที่เดิมยังอยู่ที่ท้องพระโรงหน้า ไม่รู้ว่าได้ข่าวมาจากที่ใด ยามนี้ต่างก็มาคุกเข่าอยู่ด้านนอก ขอให้นางขึ้นครองราชย์แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนหนักอึ้ง“ลุกข
หลิวอิ๋งไม่สนใจว่าคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง นางถามเจิ้งจีเป็นอย่างแรก“ท่านป้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!”“ท่านแม่ ท่านป้าสวรรคตแล้วเจ้าค่ะ...”ความทรงจำของเจิ้งจีเลือนราง จึงนึกว่าท่านแม่เองก็จำได้ไม่ชัดเจนเช่นกันหญิงผู้นั้นตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรือยามนี้นางจึงรีบพูดเรื่องสำคัญ “ท่านแม่ มีคนบุกเข้าไปในตำหนักบรรทม พวกเขาตีข้าจนสลบ ท่านรีบส่งทหารรักษาพระองค์ไปจับพวกเขาเร็วเข้า!”หลังจากเจิ้งจีที่อยู่นอกตำหนักฟื้นขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมาก ยังมีเสียงเลือนรางที่ดังมาจากด้านในตำหนักอีก ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือหนีเพื่อไปขอความช่วยเหลือ ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าใครเป็นคนตีนางจนสลบ และไม่รู้ว่าในตำหนักเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลิวอิ๋งได้ยินคำพูดของลูกสาว ก็คิดว่าประมุขแคว้นตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไม่ได้มีเรื่องอย่างการฟื้นคืนชีพ ก็รู้สึกยินดียิ่งตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ที่ว่าประมุขแคว้นยังเหลือลมหายใจอยู่อะไรนั่น ที่แท้ก็เป็นการหลอกนาง!เฮ้อ! โชคดีที่นางไม่ติดกับ!พอซู่เฉียนเสวี่ยตายแล้ว ทีนี้นางอยากรู้นัก ใครจะพิสูจน์ได้เล่าว่านางไม่ใช่ซู่ยวน?......ตอนที่นายหญิงเฟิ่งมาถึงพระราชว
“ท่านประมุข แคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งต่างจ้องแคว้นเราตาเป็นมัน ท่านทำใจทิ้งพวกเราลงได้หรือเพคะ!”“ท่านประมุข ท่านจะต้องอายุยืนเป็นร้อยปี! ได้โปรดทำใจให้ฮึกเหิมเพื่อแคว้นซีหนี่ว์ จะต้องทรงดีขึ้นนะเพคะ!”“ท่านประมุข หม่อมฉันไร้ความสามารถ หม่อมฉันมาช่วยพระองค์ช้าเกินไป! แท้ที่จริงแล้วหลิวอิ๋งผู้นั้น ใช่ใต้เท้าซู่ยวนหรือไม่เพคะ? ขอท่านเผยความจริงด้วยเถิด!”ประมุขแคว้นที่อยู่บนเตียง เบ้าตาจมลึก ริมฝีปากซีดขาว ผอมจนเห็นกระดูก อาภรณ์ขาวบนร่างดูราวกับผ้าห่อศพ แผ่กลิ่นอายความตายออกมาลมหายใจของนางแผ่วเบา ทว่าเสียงที่ออกมาจากปากกลับชัดเจนยิ่ง “หลิวอิ๋ง...ไม่ใช่ซู่ยวน จะให้นางทำให้แคว้นซีหนีว์วุ่นวายไม่ได้!”เมื่อซู่เฉียนเสวี่ยพูดคำสุดท้ายจบ ก็ราวกับว่านางได้ใช้เรี่ยวแรงไปจนหมดแล้ว นางหายใจรุนแรงราวกับว่าวิญญาณในร่างกำลังล่องลอยออกไป นางเงยหน้าขึ้นด้วยความทรมานอย่างที่สุด เพื่อให้ลมหายใจเคลื่อนผ่านสะดวกเหล่าขุนนางคนสนิทต่างก่นด่าถึงความไม่เป็นธรรม“ท่านประมุข ท่านวางใจเถิดเพคะ! หม่อมฉันจะไม่ยอมให้ซู่ยวนตัวปลอมนั่นขึ้นครองราชย์เด็ดขาด!”“ใช่ ฆ่านางซะ! นางหลอกลวงเบื้องสูง ทั้งยังทำร้ายท
หลิวอิ๋งดิ้นรนเหมือนคนบ้า“ปล่อยข้า! ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านประมุขนะ! ข้าจะไปพบท่านพี่! พวกเจ้าจะทำร้ายท่านพี่ของข้า!”“ขุนนางรัก รีบหยุดพวกเขาเร็ว!“พวกเขาต้องมีเจตนาร้ายแน่!”ยามนี้เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ต่อให้พวกนางอยากจะช่วย ก็ยังต้องดูด้วยว่าตนมีความสามารถที่จะช่วยหรือไม่แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่มีอำนาจคุมกองทัพ รวมกับฮองเฮาแคว้นหนานฉีเองก็อยู่ที่นี่ จะให้สู้อย่างไรเล่า?อีกทั้งประมุขคนใหม่นี้มีเหตุผลชอบธรรมจริงหรือไม่ ก็ยังต้องพิจารณากันอีกที!หากนางไม่ใช่ซู่ยวนจริง ๆ พวกนางจะไม่กลายเป็นประสงค์ดีแต่ดันทำเรื่องไม่ดีลงไป แล้วช่วยคนชั่วทำความผิดหรอกหรือ?เสียงโวยวายของหลิวอิ๋ง เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นางสั่งทุกคนอย่างหนักแน่น“แม่ทัพหู ท่านดูแลท้องพระโรงให้ดี“แม่ทัพอีกสามท่านแยกกันเฝ้าประตูวัง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกทั้งสิ้น ป้องกันไม่ให้สายลับของแคว้นอื่นฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย“มั่วซินหมัวมัว พาขุนนางคนสนิทสองสามคนตามข้าไปพบท่านประมุข”“เพคะ!” หูย่วนเอ๋อร์และมั่วซินหมัวมัวตอบรับคำสั่งขุนนางบุ๋นบู๊ที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั