ณ ห้องหนังสือเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ริมหน้าต่าง แสงในแววตาไหวระริกในตอนนี้ จู่ๆ เขาก็นึกเสียใจภายหลัง ว่าเหตุใดตัวเองถึงตอบตกลงอย่างฉุกละหุกเช่นนี้สองคนนี้ต่างก็เป็นคนสนิทของเขาที่สุด หากเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องเสียใจและโทษตัวเองไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอนเมื่อนึกถึงแววตาอันหนักแน่นและแจ่มชัดของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะคว้าลูกกรงหน้าต่างอย่างแรง ที่หลังมือปรากฏเส้นเลือดหลายเส้นเด่นชัดทันที...ไม่ได้ เขาต้องพาทหารรักษาพระองค์ไปดูสักหน่อยขณะที่เขากำลังจะออกคำสั่ง หลี่เต๋อฝูก็เดินเข้ามาทันที“ฝ่าบาท ท่านเสนาบดีประสงค์จะเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างเย็นชา “ไม่พบ”แต่กวนเมิ่งถิงเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้ว คุกเข่าลงพร้อมกับพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะรายงานโดยละเอียด...”ด้านนอกเมือง อินชิงเสวียนกำลังต้มดินประสิวอยู่หนังสือกล่าวว่าต้องต้มดินประสิวเพื่อสกัดผลึกดินประสิว เพื่อปกป้องต้าโจวจากศัตรูต่างแคว้น อินชิงเสวียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า ทำสิ่งที่ไม่ถนัดเสี่ยวอานจื่อนั่งยองๆ มองดูหม้อ งานที่พระสนมมอบหมายให้ทำ เขาต้องตั้งใจ
ในเวลานี้แสงจันทร์ได้เลือนหายเข้าไปในหมู่เมฆพื้นพสุธาถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดอีกครั้ง แล้วทั้งสองฝ่ายก็ไม่สามารถมองเห็นกันได้สามารถมองเห็นมวยผมของอินชิงเสวียนที่ถูกเกล้าขึ้นสูงอยู่รางๆ อันบ่งบอกว่าเป็นเครื่องแต่งกายของบุรุษ!คนชุดดำอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นทหารหน่วยเปลวเพลงสีชาดหลายคนยกดาบขึ้น สกัดกั้นกระบี่ยาวของคู่ต่อสู้เสียงโลหะกระทบกันดังก้องหู ทำให้อินชิงเสวียนได้ยินเสียงดังวิ้งในหู แล้วคนชุดดำก็ถูกพลังของกระบี่ผลักออกไปทักษะวรยุทธ์ของชายคนนี้ก็สูงมากเช่นกัน เมื่อปลายเท้าจรดพื้น เขากระโดดขึ้นไปในอากาศ และพุ่งเข้าหาทหารหน่วยเปลวเพลงสีชาดอีกครั้งขณะที่ทุกคนต่อสู้กันอย่างดุเดือด มีคนอีกกลุ่มหนึ่งซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้คนผู้หนึ่งถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “นายท่าน พวกเราจะเริ่มลงมือเมื่อใด”มีเสียงแผ่วเบาดังมาจากกิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะ“ไม่ต้องรีบร้อน คอยดูความแข็งแกร่งของเย่จั้นก่อน”สตรีที่พูดก่อนหน้านี้ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าสิ่งที่พ่นไฟได้ก่อนหน้านั้นเป็นอะไรกันแน่ ถึงได้มีอานุภาพรุนแรงถึงเพียงนั้น แล้วคนชุดดำเหล่านี้เป็นใคร”ชายที่อยู่เหนือศีรษะพูดด้วยน้ำเส
นี่คือนัยน์ตาดอกท้อที่มีถุงใต้ตาน่ารักอยู่ใต้ตาทั้งคู่ซึ่งลักษณะดวงตาเช่นนี้เป็นสิ่งที่หายากยิ่งนักมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อินชิงเสวียนรู้จักในความทรงจำนั่นคืออินสิงอวิ๋น!เมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป นางมั่นใจว่าตัวเองจำไม่ผิด!ครั้นเหลือบไปเห็นคันธนูยาวบนหลังของเขา นางก็รู้สึกสับสนขึ้นอีกหรือว่าผู้ที่ลอบสังหารเย่จิ่งอวี้เมื่อครั้งที่แล้วจะเป็นเขา?เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้นางได้บอกพี่ใหญ่แล้วว่าฝ่าบาทกำลังตรวจสอบเรื่องตระกูลอินอีกครั้ง เหตุใดเขาจึงต้องการลอบสังหารด้วย หากตัวตนของเขาถูกเปิดเผย ตระกูลอินก็จะไม่มีวันลืมตาอ้าปากได้อีกมิใช่หรือในช่วงเวลาที่สับสนอยู่นั้น อินสิงอวิ๋นก็ตบไหล่นาง อินชิงเสวียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยมือเพื่อปกป้องตัวเองอินสิงอวิ๋นก้าวถอยหลังไปหลายจั้งแล้ว จากนั้นก็ตะโกนเสียงทุ้ม “ถอย!”คนชุดดำที่ติดตามเขาแม้จะไม่ทราบเหตุผล แต่ก็ถอยออกจากวงการต่อสู้ไปพร้อมกับเขาร่างงามที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นายท่าน โอกาสเช่นนี้หาได้ยาก”“หุบปาก ไป!อินสิงอวิ๋นเขย่งปลายเท้า แล้วคนก็เหาะออกไปไกลในเวลาเดียวกัน กลุ่มทหารองครักษ์ที่สวมชุดเก
ณ ห้องหนังสือเย่จิ่งอวี้ยังไม่เลิกประชุมเช้า อินชิงเสวียนมองหาสถานที่ร่มรื่นในลาน แล้วนางก็ไปนั่งรออยู่ร่มไม้ ในใจยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่อินสิงอวิ๋นทำการลอบสังหาร เขาคงไม่พอใจกับคำตัดสินของราชสำนัก จึงลงมือหลายครั้งถ้าขืนปล่อยให้เขาทำเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอินจ้งอาจกลับมาเมืองหลวงไม่ได้ตลอดชีวิตเมื่อใดที่ตัวตนของอินสิงอวิ๋นถูกเปิดเผย ไม่เพียงแต่ตระกูลอินทั้งหมดเท่านั้น แม้แต่ตัวเองก็ต้องถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยไม่ว่าเย่จิ่งอวี้จะเชื่อใจนางมากเพียงใด เขาก็คงทนไม่ได้กับเหตุการณ์นี้เมื่อนึกถึงตรงนี้ คิ้วของอินชิงเสวียนก็ขมวดขึ้นเป็นปมทันทีนางบอกอินสิงอวิ๋นหลายครั้งแล้ว เหตุใดเขาจึงไม่ฟังในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม อินสิงอวิ๋นไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น ไยครั้งนี้จึง...ทันใดนั้นจำได้ว่าสวีจือย่วนเคยกล่าวไว้ ตอนที่นางช่วยเหลืออินสิงอวิ๋นนั้น เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและเพราะเหตุนี้ถึงทำให้เขาคงไม่พอใจมากแต่จะว่าไปแล้ว แม้ว่าเมืองซุ่ยหานจะห่างไกล แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ ทำไมอยู่ดีๆ อินสิงอวิ๋นถึงต้องกลับมายังเมืองหลวงด้วยวันนั้นเขาบอกว่าต้องการตามหาใครบางคน และต้องทำเ
ร่างเล็กๆ กำลังเป่าขลุ่ยดินเผายืนอยู่ใต้ต้นอิงฮวาแม้ว่าเขาจะหันหลังให้ แต่อินชิงเสวียนก็ยังจำได้ว่าเขาคือเย่จิ่งหลาน ฝูอี้อ๋องที่นางพบในวันนั้นขันทีน้อยในตำหนักเห็นอินชิงเสวียนแล้ว จึงกระซิบบอกเย่จิ่งหลานเสียงขลุ่ยหยุดทันใด แล้วเย่จิ่งหลานก็หันกลับมาพูดกับอินชิงเสวียนด้วยความเคารพ “ที่แท้ก็เป็นเสด็จพี่สะใภ้นี่เอง ข้าขอแสดงความสุภาพ เชิญเสด็จพี่สะใภ้เข้ามานั่งด้านในเถิด”เย่จิ่งหลานประกบมือโค้งคำนับ แม้ใบหน้าจะดูไร้เดียงสาแบบเด็กๆ แต่คำพูดคำจากลับฟังดูเหมือนบัณฑิตผู้คงแก่เรียน ที่ตรงไปตรงมาและนอบน้อมมากอินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ดีกว่า ได้ยินมาว่าอันไท่ผินชอบความเงียบสงบมาโดยตลอด ข้าไม่รบกวนดีกว่า เพียงแค่คิดว่าเครื่องดนตรีที่ท่านอ๋องเล่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเสียงก็ไพเราะมาก จึงเดินมาดูหน่อย”เย่จิ่งหลานเดินไปที่ประตูแล้ว ยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “นี่เรียกว่าขลุ่ยดินเผา ข้าซื้อมาจากนอกวังในราคาที่สูงมาก”ทำไมคำพูดนี้ฟังดูเหมือนคำโกหกที่นางเคยพูดเลยล่ะอินชิงเสวียนหยิบขึ้นมาดูโดยที่แกล้งทำเหมือนไม่เคยพบเห็นมาก่อนนี่คือขลุ่ยดินเผาลายคลื่นทะเลสีฟ้าอ่อน ที่ถูกผลิตขึ้นโดยใ
หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้ว อินชิงเสวียนก็เริ่มลังเลอีกจะออกจากวังก็ต้องมีเหตุผล แต่ตอนนี้นางไม่สามารถคิดหาเหตุผลที่เหมาะสมได้จริงๆจะบอกว่าไม่ได้พบหน้าเย่จิ่งอวี้เพียงครู่เดียว รู้สึกเหมือนไม่ได้พบกันเนิ่นดั่งผ่านไปสามฤดูใบไม้ร่วง จึงอดไม่ได้ที่จะมาหาเขา ก็คงไม่ได้ขืนพูดออกไปเช่นนั้นคงน่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง พวกเขาทั้งสองคนก็ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นถ้าบอกว่าไปเยี่ยมเย่จั้น นั่นก็ยิ่งดูเหลวไหลไปกันใหญ่ ภรรยาของหลานชายไปพบเสด็จอาตอนกลางดึก จะให้เย่จิ่งอวี้คิดอย่างไรหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็ถอดชุดเงียบๆ กว่านางได้รับความไว้วางใจจากเย่จิ่งอวี้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ เพื่อให้พลิกคดีของตระกูลอิน จะต้องอดใจไว้ อย่าทำลายแผนใหญ่แต่กลับเห็นเสี่ยวอานจื่อเดินเข้ามาจากประตู“พระสนม นายหญิงสวีกำลังรออยู่ด้านนอกตำหนัก บอกว่ามีเรื่องจะพูดกับพระสนมพ่ะย่ะค่ะ”“ทำไมไม่ให้นางเข้ามาล่ะ”เสี่ยวอานจื่อกล่าวว่า “ฝ่าบาทได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้อื่นเข้ามา”เมื่อนั้นอินชิงเสวียนจึงนึกถึงเรื่องเมื่อวานที่ตัวเองฝากฝังให้เย่จิ่งอวี้ช่วยดูแลเสี่ยวหนานเฟิงให้ดี นางจึงยืนขึ้นและพูดว่
เมื่ออินชิงเสวียนตื่นขึ้นมาก็เป็นยามเช้าของอีกวันแล้วเบื้องหน้ามีผ้าโปร่งสีแดงตกลู่ลงมา คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างนอกรางๆ“ใคร”“เจ้าตื่นแล้ว?”คนผู้นั้นหันกลับมา เปิดผ้าโปร่งขึ้น แล้วใบหน้างามสดใสก็ปรากฏในคลองสายตาของอินชิงเสวียน ซึ่งก็คือสวีจือย่วนนั่นเอง“ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่”อินชิงเสวียนอยากจะนั่งขึ้น แต่แล้วนางก็ตระหนักว่ามือและเท้าถูกมัดอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว“ที่นี่คือที่ไหนกันแน่”สวีจือย่วนยื่นมือออกมากดตัวอินชิงเสวียนไว้ ลงแล้วพูดด้วยกระเสียงเนิบช้า “ที่นี่คือเรือนจุ้ยหง เจ้านอนลงก่อนสักครู่เถอะ”“อินสิงอวิ๋นพาข้ามาที่นี่รึ” อินชิงเสวียนมองนาง แล้วเอ่ยถามขึ้นสวีจือย่วนพยักหน้า “อืม”คิ้วของอินชิงเสวียนขมวดเป็นปมแน่นขึ้นอีก“เจ้าก็โดนเขาจับเหมือนกันหรือ”สวีจือย่วนกัดริมฝีปาก แล้วกระซิบ “ข้าขอร้องให้เขาพาข้าออกมาด้วย”อินชิงเสวียนตกตะลึง “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าไม่กลัวหรือว่าถ้าออกจากวังโดยพลการ จะเดือดร้อนพ่อแม่ไปด้วย”สวีจือย่วนถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “หากวันหนึ่งข้าถูกจับกลับวัง ข้าก็แค่บอกว่าข้าถูกลักพาตัว หรือบางทีเราอาจจะไปจา
“แน่นอน”อินชิงเสวียนพูดอย่างเรียบง่ายและชัดเจนอินสิงอวิ๋นมองดูนางอยู่นาน แล้วจึงพูดเรียบๆ “จดหมายฉบับนั้น เป็นของข้าจริงๆ”อินชิงเสวียนตัวสั่นไปทั้งร่าง มองไปยังอินสิงอวิ๋นอย่างไม่อยากเชื่อผู้ที่ใส่ร้ายตระกูลอิน คือเขา!“ท่าน...ท่านไปติดต่อกับราชวงศ์เจียงวูได้อย่างไร ท่านทำเช่นนี้ ไม่รู้สึกผิดต่อท่านพ่อบ้างหรือ”นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าเย่จิ่งเย่ากำลังใส่ร้ายตระกูลอิน แต่นางไม่คิดว่าอินสิงอวิ๋นจะยอมรับอย่างง่ายดายเมื่อคิดถึงอินจ้งที่ทุ่มเทให้กับบ้านเมือง มีความภักดีเต็มหัวใจ และพี่รองอินปู้อวี่ที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเดียวกัน อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ นี่เป็นความรู้สึกของการถูกทรยศ โดยคนที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดอินสิงอวิ๋นยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดช้าๆ “ไม่ใช่ข้าที่ติดต่อกับราชวงศ์เจียงวู แต่ราชวงศ์เจียงวูกับข้าได้ติดต่อกันมาโดยตลอด”ดวงตาคู่งามของอินชิงเสวียนเบิกกว้างด้วยความตกใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร”อินสิงอวิ๋นโน้มตัวมาทันที พูดด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน “เพราะว่า ข้าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเจ้า”“หะ!”อินชิงเสวียนตกตะลึง“ท่านเป็นใครกันแน่”อินสิ