“ได้!” ดวงตาของซ่งไท่กงเต็มไปด้วยน้ำตา เขามองเห็นหญิงสาวตรงหน้าไม่ชัดเจน แต่เขารู้สึกได้ว่านางมีออร่าสูงส่ง เขายินดีอย่างยิ่ง “ที่นี่ไม่ควรอยู่ต่อ มีแต่โชคร้าย ข้าขอตัวไปก่อน เจ้าก็ให้ออกไปเร็วๆ ด้วย”"เจ้าค่ะ!" ซ่งซีซีลุกขึ้นและมองส่งเขาและซ่งซื่ออันออกไปด้วยความเคารพหญิงชราจากบ้านรองก็ถือโอกาสจากไปเช่นกัน เดิมทีนางต้องการออกมาพูดสักหน่อย แต่นางไม่ได้พูดอะไรตอนที่ซ่งซีซีโดนรังแกนั้น บัดนี้ก็ไม่มีหน้าจะพูดอะไรอีก ถือซะว่าวันนี้นางไม่ได้มาที่นี่เลยทุกคนในตระกูลจ้านยืนนิ่งอยู่กับที่ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้ ซ่งซีซีกลายเป็นบุตรีของฮูหยิงเอกของจวนเสนาบดีกั๋วกง ส่วนสามีสามีของนางสามารถสืบทอดตำแหน่งเสนาบดีกั๋วกงได้ด้วยนี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี่น่ะ? เป็นไปได้อย่างไรที่จะให้คนต่างสกุลมาสืบทอดตำแหน่งนี้?แต่อย่างไรก็ตาม พระราชโองการของพระองค์บอกให้ชัดเจนว่ามันเป็นไปได้ หากเป่ยว่างไม่หย่ากับนาง งั้นเป่ยว่างก็สามารถสืบทอดตำแหน่งได้ความเจริญที่หาได้ยากนั้นพวกเขากลับพลาดไปทั้งอย่างนั้นหลังจากวางแผนมาซะจริงจังขนาดนั้น สุดท้ายกลับไม่ได้
ตกเย็น ยี่ฝางส่งคนไปตามหาจ้านเป่ยว่างออกไปพวกเขาทั้งสองกำลังเดินไปตามทะเลสาบ จ้านเป่ยว่างยังคงเงียบและไม่พูดอะไรตลอดทางยี่ฝางยังไม่รู้สถานการณ์ เดิมทีนางคิดว่าเมื่อนัดเขาออกมา เขาจะริเริ่มบอกสถานการณ์การหย่าร้าง แต่ไม่คิดว่าเขาไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย อีกทั้งใบหน้าของเขาก็ดูเหมือนกับโดนแมวข่วนอย่างไรอย่างนั้นเดินไปได้สักพัก นางก็หยุดลง และอดไม่ได้ที่จะถามว่า "หย่าหรือยัง ยึดสินเดิมไว้ครึ่งหนึ่งหรือเปล่า"ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง สะท้อนใบหน้าที่ค่อนข้างเข้มของยี่ฝาง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงใบหน้าที่สดใสและสวยงามของซ่งซีซี จู่ๆ หัวใจของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมาทันที"เจ้าไม่ได้ยึดไว้เหรอ?" ยี่ฝางเห็นว่าเขาเงียบ และดูเศร้าๆ นางอดไม่ได้ที่จะโกรธเล็กน้อย "ข้าไม่ได้ส่งคนไปส่งจดหมายให้เจ้าเหรอ บอกให้เจ้าต้องยึดสินเดิมไว้ครึ่งหนึ่งไม่ใช่หรือ จวนแม่ทัพ ไม่เหลืออะไรแล้ว หากเราไม่ยึดข้าวของพวกนั้นไว้ต่อไปเราจะใช้ชีวิตยังไง"จ้านเป่ยว่างมองดูนาง "แต่นั่นเป็นสินเดิมของนาง ไม่ใช่ของข้า ข้าไม่ใช่คนหามา ยี่ฝาง เจ้าแต่งงานกับข้าเป็นเพราะกลัวที่จะใช้ชีวิตยากจนลำบากใช่หรือไม่?""ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น" ยี่ฝางห
จ้านเป่ยว่างเงียบ เพราะในการต่อสู้วันนี้ เขาพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งน่าอายมากที่จะพูดถึงมัน“สรุปเป็นเรื่องจริงหรือไม่?” ยี่ฝางถามต่อจ้านเป่ยว่างถอนหายใจ "ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า"ยี่ฝางชกเขาและพูดอย่างอ่อนโยนว่า "รู้อยู่ว่าเจ้าโกหกข้า ช่างมัน ไม่ว่าจะเป็นการหย่าหรือการหย่าโดยสันติ ตราบใดที่เรื่องได้รับการจัดการแล้วก็พอ ในเมื่อนางไม่สนที่จะร่วมสามีเดียวกันกับข้า งั้นข้าก็ไม่ต้องการด้วย เล่ห์เหลี่ยมที่นางใช้ในฝ่ายใน ข้าสู้นางไม่ได้หรอก นั่นแหละเป็นความสามารถที่แท้จริงของนางต่างหาก"นางเอียงศีรษะต่อหน้าเขา "ความสามารถเช่นนั้น ข้าเรียนไม่เป็นด้วยจริงๆ แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าเลียนแบบนางให้พูดอ่อนโยนและหวานๆ ข้าก็ทำได้นะ"นางประสานมือไว้ข้างหน้า ยิ้มเล็กน้อยโดยไม่เผยให้เห็นฟัน และเรียกเบาๆ ว่า "ท่านสามี!"หลังจากที่นางเรียกจบ นางก็แสร้งทำเป็นตัวสั่นไปทั้งตัว “โอ้แม่เจ้า มันน่าขยะแขยงจริงๆ มันเสแสร้งมาก นางจะเสแสร้งขนาดนี้ได้ยังไง?”จ้านเป่ยว่างก็ตัวสั่นเช่นกัน แต่เป็นเพราะการแกล้งทำโดยเจตนาของยี่ฝาง อันที่จริงซ่งซีซีไม่เคยทำท่านี้มาก่อน นางพูดเสียงเบาก็จริง แต่ไม่เสแสร้ง ทัศ
ซ่งซื่ออันเรียกลูกน้องของตระกูลซ่งมาช่วย เพื่อขนของลงและจัดเก็บพวกมันทั้งหมดให้เรียบร้อยหลังจากยุ่งมาสักพักใหญ่ ซ่งซื่ออันและซ่งซีซีก็เดินไปรอบๆ จวนด้วยกัน ในจวนเคยมีชีวิตชีวามาก แต่ตอนนี้ มันกลับร้างมากซ่งซื่ออันกล่าวกับนาง "บัดนี้เจ้าเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวในจวนเสนาบดีกั๋วกง และคนรับใช้ก็เป็นเพียงคนที่เจ้าพากลับมาจากบ้านสามีของเจ้าเท่านั้น เจ้าต้องหาพ่อบ้านมาช่วยดูแลบ้านก่อน แล้วค่อยหาสาวใช้และพวกทาสด้วย ห้องครัวและสวนต่างๆ และรถม้าก็ต้องมีคนคอยดูแล หากเจ้าไม่สะดวก ข้าก็ช่วยหาให้เจ้าได้"ซ่งซีซีกล่าวอย่างซาบซึ้งว่า "ท่านลุงต้องยุ่งกับธุรกิจ ข้าไม่กล้าไปรบกวนเวลา แม่นมฮวงและแม่นมเหลียงจะจัดการเรื่องนี้เองเจ้าค่ะ"ซ่งซื่ออันมองดูนาง แล้วถอนหายใจ "เราเป็นสายเลือดเดียวกันจะว่าเป็นรบกวนได้ยังไง? ในสมัยก่อนตอนที่ท่านพ่อของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ทุกครั้งที่เขากลับมาจากชายแดนมักจะชวนพี่น้องเช่นเรามารวมตัวกันเสมอ ฟังเขาเล่าเรื่องอันตรายในสนามรบ ทำเอาเราทั้งชื่นชมและรู้สึกเป็นห่วงกับเขาด้วย แต่ก็รู้สึกภูมิใจมากกว่าเพราะคนของตระกูลซ่งของเราปกป้องบ้านเมืองอยู่ แต่จากนั้นมาตระกูลซ่งของเราก็ไม่ม
แม้ว่าจวนเสนาบดีกั๋วกงจะเป็นตระกูลทหาร แต่คุณหนูก็เป็นคนที่ได้รับการศึกษาที่ดีมา และย่อมหวังว่าคนที่รับใช้ข้างกายนางจะอ่านหนังสือเป็นด้วย“เอาล่ะ พวกเจ้าอยู่ต่อเลย ให้รับใช้คุณหนูเลย ส่วนชื่อของพวกเจ้า เดี๋ยวจะให้คุณหนูตั้งให้”ทั้งสี่คนดีใจกันมาก "ขอบคุณมากนะแม่นม!"แม่นมฮวงพูดอย่างจริงจังว่า "อย่าเพิ่งขอบคุณข้า อยู่ข้างกายคุณหนูก็ต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ด้วย หากเรียนรู้ไม่ดี จะเป็นได้แค่สาวใช้ชั้นสองหรือชั้นสามเท่านั้น"ทั้งสี่คนได้ยินดังนั้นก็คารวะว่า “ข้าน้อยจะต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ให้ดีแน่นอนเจ้าคะ”หลังจากเลือกคนทั้งสี่คนนี้แล้ว แม่นมทั้งสองก็เลือกสาวใช้และชายรับใช้สองสามคนด้วย จากนั้นให้นายหน้าช่วยหาคนขับรถม้า ช่าง ผู้ดูแลม้าและสวนด้วยสำหรับหัวหน้าดูแลฝ่ายนอกและนักบัญชี ย่อมไม่สามารถให้นายหน้าช่วยหาให้หลังจากที่นายหน้ารับเงินไปก็ยิ้มกว้าง "ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปให้แม่นมเลือกเอาเอง"หลังจากที่เขามอบโฉนดขายเป็นทาสแล้ว เขาก็มอบซองแดงแก่แม่นมทั้งสองก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม "ฝากแม่นมด้วยนะ หากท่านต้องการอะไรในอนาคต ติดต่อเราได้เลย เราทำงานเกือบทุกสายเลย"แม่นมรับซองแดง พลางพยั
แต่เรื่องนี้ไม่มีทางสอบสวนได้อีกแล้ว สายลับตายบ้าง คนที่ไม่ตายก็หนีกลับไปที่เมืองซีจิงแล้ว และหาไม่เจออีกเลยนางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงท่านพ่อและพี่ชายของนางอีกครั้ง รู้สึกทั้งเสียใจและเจ็บปวดใจด้วยท่านพ่อและพี่ชายเคยยึดเขตหนานเจียงกลับคืนมา แต่ปกป้องไม่ดีเองก็ถูกแย่งชิงไปอีก ในที่สุดทั้งท่านพ่อและพี่ชายต่างก็เสียชีวิตอย่างอนาถในสนามรบหากเป่ยหมิงอ๋องได้ชนะสงคราม และยึดเขตหนานเจียงกลับคืนมา ก็ถือว่าสนองความปรารถนาของท่านพ่อและพี่ชายของนางด้วยคืนแรกที่กลับบ้าน ซ่งซีซีนอนไม่หลับ ความฝันของนางเต็มไปด้วยฉากที่ท่านแม่ พี่สะใภ้ หลานชาย และคนอื่นๆ ที่ถูกฆ่าตาย นางตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วไม่สามารถเข้านอนได้อีก นางจ้องมองเพดานด้วยดวงตาเบิกกว้าง สมองของนางเอาแต่คิดอะไรไปเรื่อยมองจากอาการบาดเจ็บของพวกเขาก็สามารถพิจารณาได้ว่าพวกฆาตกรโหดเหี้ยมแค่ไหน และฆาตกรกำลังระบายความโกรธชัดๆเมื่อทั้งสองประเทศทำสงคราม แม้ว่าเมืองซีจิงจะพ่ายแพ้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนี้ออกนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาพ่ายแพ้ พวกเขาเคยพ่ายแพ้ให้กับท่านพ่อและพี่ชายจนไม่เป็นท่า ถูกสังหารทหารและม้าไป สามหมื่นนาย แต่สายลับจา
ฮูหยินผู้เฒ่ากระทืบเท้าแล้วพูดว่า "ให้เขาขนของไปหมด ไม่เหลืออะไรแล้ว ต่อไปจวนแม่ทัพแม้แต่ค่ายาของข้าก็จ่ายไม่ไหวแล้ว"จ้านเป่ยว่างรู้สึกอึดอัดใจมาก แต่เขาทำได้เพียงปลอบใจท่านแม่ "ไม่ต้องห่วง สงครามที่เขตหนานเจียงต้องให้ข้าและยี่ฝางไปเร็วๆ นี้ ข้าจะต้องสร้างผลงานกับมาอีกครั้ง"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านร้องไห้อย่างหนัก "นางจะใจร้ายขนาดนี้ได้ยังไง ก็แค่ภรรยาเท่าเทียมกันนี่เอง ทำไมนางถึงทนไม่ได้ล่ะ เป็นเด็กกำพร้าชัดๆ นางยังคิดว่าตัวเองเป็นลูกคุณหนูสูงส่งจริงๆ เหรอ?"จ้านเป่ยว่างกระตุกริมฝีปากของเขา ยามนี้ นางเป็นบุตรีของฮูหยิงเอกของจวนเสนาบดีกั๋วกงแล้ว แน่นอนว่านางเป็นลูกคุณหนูสูงส่ง"สมควรที่นางถูกสังหารทั้งโคตร สมน้ำหน้า สมน้ำหน้าจริงๆ!" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านพูดด้วยความโกรธสำหรับเรื่องที่ว่าตระกูลซ่งถูกสายลับของเมืองซีจิงฆ่าสังหารนั้นจ้านเป่ยว่างก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน เหตุใดสายลับของเมืองซีจิงจึงฆ่าคนแก่และผู้อ่อนแอเหล่านั้น? มันไม่คุ้มค่าโดยสิ้นเชิงแต่เรื่องของตระกูลซ่งไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปแล้ว และเขาจะไม่เสียเวลาไปสนใจมันอีกซ่งซีซีจะต้องเสียใจภายหลัง อันที่จริง ตอนเขารู้เรื่องนี้เขา
ซ่งซื่ออันพาลูกน้องขนสินเดิมทั้งหมดกลับไปที่จวนเสนาบดีเจิ้นกั๋วกงซ่งซีซีออกมากล่าวขอบคุณ และชวนทุกคนเข้าไปดื่มชาซ่งซื่ออันกลับส่ายหัว "จะไม่ดื่มชานี้ในตอนนี้แล้ว ข้ามีเรื่องสำคัญอื่นที่ต้องทำ อีกอย่าง จ้านเป่ยว่างให้ข้าฝากบอกเจ้าว้า เขาบอกว่าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจภายหลัง"ซ่งซีซีหรี่ตาลง "หลานได้ยินแล้ว แต่ไม่มีอะไรจะตอบเขา ในเมื่อท่ารลุงยุ่งอยู่ หลานก็ไม่ฝืนใจให้เขาอยู่ต่อ"ซ่งซื่ออันพอใจกับคำตอบของนางมาก ตระกูลซ่งขาดอะไรก็ได้ แต่ขาดความภาคภูมิใจในตัวของพวกเขาไม่ได้ จากนั้นเขาก็พาคนออกไปไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปดื่มชา แค่ว่ายามนี้จวนเสนาบดีกั๋วกงยังวุ่นวายอยู่ และคนใช้มาใหม่คงยังเรียนรู้กฎไม่ได้เร็วขนาดนี้ หากเป็นเขาคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่เขายังพาลูกน้องคนอื่นมาด้วยคนเยอะก็มักจะมีเรื่องเยอะ หากคนรับใช้ทำอะไรไม่ดีขึ้นมาโดนแพร่ออกไป ยามนี้จวนเสนาบดีเจิ้นกั๋วกงไม่สามารถทนต่อข่าวลือแม้แต่น้อยเลยซ่งซีซีกลับไปที่เรือนหลิงหลง เขียนจดหมายและสั่งให้ผู้คนรีบส่งกลับไปให้อาจารย์ โดยขอให้อาจารย์ช่วยตรวจสอบสงครามระหว่างเมืองซีจิงและแคว้งซางที่ชายแดนเฉิงหลิงในใจของนางยังมีข้อสงสัยอยู่ แต่นา
ปลายฤดูใบไม้ร่วงเดือนสิบ เป็นฤกษ์มงคลแต่งงานของหวังเยว่จางกับเสิ่นว่านจือ แท้จริงแล้วเมื่อปีที่แล้วในคืนเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง เสิ่นว่านจือก็ตอบรับคำขอแต่งงานของหวังเยว่จางแล้ว ตลอดเส้นทางที่เคียงข้างกันมานี้ นางรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่คู่ควรให้นางมอบหัวใจให้โดยแท้จริง ตอนที่นางตอบตกลง นางก็ตั้งใจจริงอย่างที่สุดว่าจะแต่งงาน จึงให้อารมณ์ในห้วงขณะนั้นเป็นผู้ตัดสิน ผ่านมาหนึ่งปีเต็มกว่าจะจัดพิธีแต่งงานได้ มิใช่เพราะต้องเตรียมของหมั้นหรือของสินเดิมมากมายอย่างไรเสีย ของเวืยเดืใของเสิ่นว่านจือ ทางตระกูลเสิ่นก็เริ่มจัดเตรียมตั้งแต่ปีที่นางถือกำเนิด ทุกปีก็เติมเพิ่มเข้าไป บัดนี้ถึงกับซื้อบ้านและเรือนสวนในเมืองหลวงไว้ให้แล้ว ส่วนของหมั้น ทางภูเขาเหม่ยชานก็เตรียมไว้ตั้งนานแล้ว ที่เรื่องแต่งงานล่าช้าออกมาจนถึงตอนนี้ เป็นเพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน ทั้งตระกูลเสิ่น สถาบันชื่อเยียน สถาบันว่านซงเหมิน รวมทั้งตัวเสิ่นว่านจือเอง ต่างก็มีความเห็นไม่ตรงกัน เสิ่นว่านจืออยากออกเรือนจากจวนอ๋อง แล้วให้หวังเยว่จางมารับตนกลับไปที่บ้านเรือนของเขา วิธีนี้สะดวกยิ่ง ไม่ต้องเดินทางไกลกลับไปถึงเจียงหนาน
วันที่สองเดือนสอง มังกรเงยหัวขึ้น หมอมหัศจรรย์ดันกลับมาจากสำนักเทพโอสถแล้ว เดินทางเหน็ดเหนื่อยฝ่าลมฝุ่นมาตลอดทาง พอเข้าเมืองหลวงได้ก็รีบเข้าวังทันที ยังมิได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วยซ้ำ ขณะนั้นจักรพรรดิ์ซูชิงกำลังทรงหารือราชกิจในห้องทรงพระอักษร เมื่อทรงได้ยินว่าหมอมหัศจรรย์ดันมาขอเข้าเฝ้า ก็ทรงให้ขุนนางออกไปทั้งหมด เหลือเพียงเซี่ยหลูโม่ แล้วเชิญหมอมหัศจรรย์ดันเข้าตำหนัก หมอมหัศจรรย์ดันออกจากเมืองหลวงไปหนึ่งปีกับหนึ่งเดือนแล้ว รูปกายดูแก่ลงมาก ผมข้างหูขาวโพลน จักรพรรดิ์ซูชิงเสด็จลงมาประคองเขาที่ยังมิทันได้คำนับ การรอคอยตลอดหนึ่งปีนี้ บัดนี้ใกล้ได้รับคำตอบแล้ว แต่พระองค์กลับทรงรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมา “วางใจเถิด” หมอมหัศจรรย์ดันกล่าวคำสองคำก่อนเป็นอันดับแรก ทำให้พระทัยของจักรพรรดิ์ซูชิงกับเซี่ยหลูโม่ที่แขวนอยู่ค่อยๆ วางลง เมื่อเชิญหมอมหัศจรรย์ดันนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “เดิมทีเคยเขียนจดหมายมาบอกว่าอาการทรงตัว ไร้ภัยถึงชีวิต แต่ยังไม่ทันได้ส่งจดหมายนานก็เกิดอาการป่วยไอเป็นเลือดขึ้นมา โรครุนแรงฉับพลัน ข้าคิดว่าเขาคงทนไม่ไหวเสียแล้ว คนแทบจะสิ้นใจไปแ
ฝนฤดูใบไม้ผลิชุ่มฉ่ำดั่งน้ำมัน แม้เป็นฝนเดือนสี่ ก็ไม่ถือว่ามาสายจักรพรรดิ์ซูชิงยืนอยู่ที่หน้ามุขนอกห้องทรงพระอักษร ทอดพระเนตรโคมลมพลิ้วไหวท่ามกลางสายฝนยามราตรี สิ่งที่ทอดพระเนตรดูประหนึ่งความฝัน ประหนึ่งความจริง เงาร่างของเซี่ยหลูโม่เลือนหายไปในสายฝนเนิ่นนานแล้ว มองก็ไม่เห็นอีกต่อไป พระทัยของพระองค์เต็มไปด้วยความขมขื่น ระลึกถึงภาพที่เขากลืนโอสถนั้นลงไปอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ มิได้มีแม้แต่เสี้ยววินาทีของความลังเล ขณะเดียวกันที่พระองค์รู้สึกวางพระทัย ก็กลับเจ็บปวด เป็นพระองค์เองที่บีบบังคับพระอนุชาให้ถึงจุดนี้ ทั้งเขาและภรรยาก็ยังหนุ่มสาวนัก ไม่จำเป็นต้องมีอนุ ก็สามารถให้กำเนิดบุตรชายหญิงได้สามถึงห้าคน แต่เมื่อกินโอสถนั้นลงไปแล้ว สายโลหิตของเขาก็ขาดสะบั้น แม้จะสามารถรับบุตรบุญธรรม แต่ถึงอย่างไรก็หาใช่สายเลือดของตนเอง จะไม่ให้นับเป็นความอาลัยได้อย่างไร? ในฐานะพี่ชาย พระองค์รู้สึกเสียดายและเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ในฐานะฮ่องเต้ พระองค์ก็สามารถวางพระทัยได้อย่างแท้จริง ความรู้สึกขัดแย้งนี้ ทำให้พระองค์ทอดถอนพระทัยเบาๆ ตรัสว่า “ในใต้หล้า จะมีหนทางใดเล่าที่สมบูรณ์
ทันทีที่ซ่งซีซีเห็นยาทำหมัน นางก็รู้สึกตระหนกในใจ เอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาททรงระแวงเจ้าอีกแล้วหรือ?”เซี่ยหลูโม่ส่ายหน้า “ตอนนี้ไม่ระแวงแล้ว กลับกัน พระองค์ทรงไว้เนื้อเชื่อใจอย่างมาก บรรดาราชฎีกาส่วนใหญ่ก็ต้องผ่านมือข้ากับท่านเจ้ากรมก่อนถึงโต๊ะทรงพระอักษรของพระองค์เสียอีก”“เช่นนั้นแล้วไยต้องคิดถึงเรื่องนี้?” ซ่งซีซีไม่เข้าใจ“พิจารณาอยู่สามข้อ” เซี่ยหลูโม่วางยาเม็ดนั้นลงเบาๆ แล้วจับมือนางไว้แน่น “ข้อแรก ฝ่าบาทที่ไว้ใจข้าในยามนี้ ก็เพราะเพิ่งผ่านเรื่องราวมากมายมา อีกทั้งพระอาการก็ทรงทรงตัว จึงปลอดโปร่งจากความระแวง แต่หากวันใดพระอาการทรุด ข้ากลับมีอำนาจล้นมือ แล้วยังมีบุตรชายอีก... เช่นนั้น ข้าจะกลายเป็นภัยคุกคามในสายพระเนตรแน่นอน”ซ่งซีซีพยักหน้าเข้าใจ “เช่นนั้นเราก็รอสักสองสามปีก็ได้ไม่ใช่หรือ? เดิมทีท่านก็เคยกินยาครั้งหนึ่ง มันควบคุมได้ถึงห้าปีมิใช่หรือ? ตอนนี้ก็ครบห้าปีแล้ว กินอีกเม็ดก็อยู่ได้อีกห้าปีมิใช่หรือ?”เซี่ยหลูโม่กำมือแน่นขึ้น “ยานี่ก็คือเม็ดที่สอง ครั้งแรกกินแล้วคุมได้ห้าปี แต่ครั้งที่สอง... จะเป็นหมันถาวร ชิงเชวี่ยบอกว่า หากข้าไม่กิน... เจ้าต้องดื่มยาคุมกำเนิด ยานั้นทำร้
สุดท้าย พระสนมเต๋อเฟยก็ทนไม่ไหว... นางจากไปแล้วตั้งแต่ที่รู้ว่าองค์ชายรองกลายเป็นคนปัญญาอ่อน และถูกส่งไปอยู่วัดใช้ชีวิตที่เหลือ นางก็ดูเหมือนจะหมดแรงใจความเจ็บปวดเหมือนหนามที่ฝังแน่นในกระดูก ทรมานนางทุกลมหายใจ กระทั่งคืนหนึ่งที่เหน็บหนาว นางก็จากไปอย่างเงียบงันไทเฮาออกคำสั่งด้วยตนเอง จัดการส่งข้ารับใช้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดออกจากวัง ส่วนจัดการอย่างไร ซ่งซีซีและผู้อื่นก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้ในวังหลัง... ชั่วพริบตาเดียว ฮองเฮากับสองพระสนมผู้มีอำนาจต่างสิ้นชีพ ไทเฮาเองก็สุขภาพไม่ดี จึงให้พระสนมกงเฟยรับหน้าที่ดูแลวังหลังชั่วคราวจักรพรรดิ์ซูชิงไม่คิดจะตั้งฮองเฮาขึ้นใหม่อีก วังหลังเรียบง่ายหน่อย ย่อมลดปัญหาตามมาได้แต่พระสนมกงเฟยกลับไร้ความสามารถ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นแทบทุกสามวัน สองวัน แค่เรื่องจัดสรรเบี้ยหวัดค่าอาหารเครื่องนุ่งห่มของพระสนมฝ่ายใน รวมถึงเงินเดือนของข้าราชบริพารในวัง ก็ทำให้เกิดความวุ่นวายกันทั้งตำหนักนางต้องการชื่อเสียงว่าเป็นหญิงผู้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ลดค่าใช้จ่ายในวัง จึงลดเงินเดือน ลดเครื่องแต่งกายฤดูใบไม้ผลิของฝ่ายใน ให้ตัดเพียงชุดเดียว ประหยัดเงินไปได้ไม
กล้ามเนื้อทั่วร่างของฮองเฮาเกร็งตึง เหงื่อไหลชุ่มนางมองผ้าขาวที่กำลังจะคล้องคอลงมา พลางตะโกนอย่างลนลาน “ไม่... ยังไม่สาย! ฝ่าบาททรงรักองค์ชายใหญ่ จะปล่อยให้เขาไร้มารดาได้อย่างไร? ข้าต้องไปดูแลเขาด้วยตัวเอง! พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์แย่งสิทธิ์ของข้าในฐานะมารดา!”“อีกอย่าง ซ่งซีซีเคยกล่าวไว้ นางว่าองค์ชายใหญ่รักข้ามาก เป็นเขาพูดด้วยปากของเขาเอง! ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัส โดดเดี่ยวไร้คนดูแล จะปล่อยให้เขาไปสำนักเทพโอสถเพียงลำพังได้อย่างไร? ข้าต้องอยู่ข้างเขา... ข้าต้องไปอยู่กับเขา!”ผ้าขาวคล้องคอเข้าพอดี ฮองเฮากรีดร้องเสียงแหลม “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท พระองค์จะใจร้ายปานนี้ไม่ได้! หม่อมฉันผิดอะไร? พระสนมเต๋อเฟยวางแผนฆ่าองค์ชายใหญ่ยังไม่ถูกประหาร แต่พระองค์กลับจะฆ่าหม่อมฉัน! หม่อมฉันก็แค่เอาแต่ใจ ไม่เคยฆ่าใครสักคน!”อู๋ต้าปั้นหยุดมือลง คำบางคำ เขาไม่ควรพูด แต่เมื่อนึกถึงองค์ชายใหญ่ที่บาดเจ็บสาหัส เขาก็อดไม่ได้ เอ่ยเสียงเย็นชา “ฮองเฮาจะบอกว่าตนไม่เคยทำร้ายใครหรือ? เรื่องของฝูเจาอี๋ กระหม่อมจะยังไม่พูดถึง แต่กับองค์ชายใหญ่ที่ตกม้าเช่นนั้น ฮองเฮาก็มีส่วนไม่น้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”ฉีฮองเฮาเบิกตากว้าง มือกำผ้าขาวแน
เสียงร่ำไห้ของฉีฮองเฮาชะงักทันที นางชะงักนิ่งไป ก่อนเอ่ยถามเสียงสั่น “ฝ่าบาทตรัสว่าอะไรนะ? เจิ้งเอ่อร์ยังไม่ตายหรือ?”เป็นไปได้อย่างไร? มิใช่ว่าจัดพิธีศพแล้วหรือ? ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักล้วนรู้กันทั้งนั้นจักรพรรดิ์ซูชิงมองนาง พลางกล่าวว่า “เขายังไม่ตาย แต่บาดเจ็บสาหัส ขาทั้งสองหัก ต่อให้รักษาหาย ก็ไม่มีทางยืนขึ้นได้อีก หมอมหัศจรรย์ดันส่งเขาไปยังสำนักเทพโอสถ ถ้ารักษาหาย เขาก็จะใช้ชีวิตอย่างไม่เปิดเผยนาม ถ้ารักษาไม่หาย สำนักเทพโอสถ ก็ถือเป็นที่พำนักที่ดีอยู่แล้ว”ฮองเฮามองดูพระองค์ ไม่เหมือนตรัสล้อเล่น ความหวังและความยินดีพุ่งพล่านขึ้นในใจ แต่แล้วก็ตามมาด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ “หากเขายังไม่ตาย เหตุใดต้องจัดพิธีศพ? เหตุใดไม่รักษาที่เมืองหลวง? บางทีบาดแผลของเขาอาจไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้น ฝ่าบาททรงถูกหมอมหัศจรรย์ดันหลอกก็เป็นได้ หมอผู้นี้เป็นลุงของซ่งซีซี ซ่งซีซีอยากผลักดันองค์ชายสามขึ้นเป็นรัชทายาทมาโดยตลอด!”จักรพรรดิ์ซูชิงถามกลับทันควัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าซ่งซีซีต้องการผลักดันองค์ชายสามขึ้นเป็นรัชทายาท?”ฉีฮองเฮารีบพูดเสียงร้อนรน “ตอนก่อตั้งโรงงานทอผ้า มารดาของหม่อมฉันให้หม่อมฉันอ
จักรพรรดิ์ซูชิงไม่ได้สั่งประหารพระสนมเต๋อเฟยในทันที แต่กลับให้คนลงโทษด้วยการทุบกระดูกขาทั้งสองทีละท่อน จนเนื้อหนังฉีกขาด เลือดแดงฉานเผยให้เห็นกระดูกขาวโพลน นางเจ็บปวดจนหมดสติไปหลายครั้ง แล้วจึงถูกโยนเข้าไปในตำหนักเย็นพระองค์ทรงนำองค์ชายรองไปที่ตำหนักเย็นด้วยพระองค์เอง ชี้ไปยังพระสนมเต๋อเฟยที่ขดร่างทรมานอยู่กับพื้น ส่งเสียงโหยหวนไม่หยุด ตรัสเย็นชา “หลังจากพี่ใหญ่ของเจ้าตกม้า เขาเจ็บปวดยิ่งกว่านางเสียอีก... เขาต้องทรมานจนตายทั้งเป็น”ใบหน้าองค์ชายรองเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาและความเสียใจ เขาทรุดตัวลงกับพื้น ปิดหูแน่น ไม่กล้าฟังเสียงร้องครวญของมารดาจักรพรรดิ์ซูชิงยังให้โบยชิงหลัน แล้วส่งนางเข้าไปอยู่ด้วย ให้ดูแลพระสนมเต๋อเฟยไม่ให้ตาย หากนางตาย ชิงหลันก็ต้องตายตามต่อให้ชิงหลันเคยติดตามพระสนมเต๋อเฟยแล้ววางแผนร้าย ลอบทำเรื่องดำมืดมาไม่น้อย แต่ฉากนองเลือดเช่นนี้ นางก็เคยเห็นเพียงครั้งเดียวในอุปทยานบุปผาหลวง นั่นคือตอนที่องค์ชายใหญ่ตกม้าครั้งนั้นรู้สึกสะใจ ทว่าตอนนี้... เหลือเพียงความเจ็บปวดที่ตำหนักฉางชุน ฮองเฮาฉีแทบตกใจไปทั้งร่างเป็นพระสนมเต๋อเฟย?เป็นพระสนมเต๋อเฟย!นางยังไม่ทันได
ในดวงตาขององค์ชายรองฉายชัดด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว ราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย เขาหายใจหอบถี่ ปิดหูแล้วร้องตะโกนออกมา “ไม่... เสด็จแม่ ข้าไม่เอา! ข้าไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย ข้าไม่เอา...”พระสนมเต๋อเฟยทรุดลงคุกเข่าอย่างหมดแรง ตั้งแต่วินาทีที่ฮ่องเต้หยิบหนามเหล็กออกมา นางก็รู้สึกเหมือนแรงทั้งหมดในร่างถูกดูดไปจนสิ้นแต่จักรพรรดิ์ซูชิงหาได้ทรงสนใจนางไม่ สายพระเนตรยังจับจ้ององค์ชายรอง น้ำเสียงเย็นเฉียบ “สายไปแล้ว... พี่ใหญ่ของเจ้า... ตายแล้ว เจ้าเป็นคนฆ่าเขา”องค์ชายรองพลันหันกลับมาชนเข้าไปที่หน้าท้องของพระสนมเต๋อเฟยอย่างแรง ปากก็ร้องตะโกนเสียงโหยหวน “ท่านหลอกข้า! ท่านบอกว่าพี่ใหญ่ไม่ตาย แค่ขาหัก ท่านหลอกข้า! หลอกข้า! อ๊า ท่านหลอกข้า! ข้าฆ่าพี่ใหญ่ไปแล้ว...”พระสนมเต๋อเฟยถูกชนจนเครื่องในแทบเคลื่อนที่ นางอดทนต่อความเจ็บ รีบโผเข้าไปหมายจะปิดปากองค์ชายรอง แต่เขาราวกับเสียสติ กระโดดชนผนัง ตะโกนเสียงหลงไม่หยุดเขากระแทกจนเลือดอาบศีรษะ อู๋ต้าปั้นจึงเข้าจับไว้ ใช้สันมือฟาดจนหมดสติ แล้วเรียกคนมาพาตัวไปพันแผลเมื่อประตูตำหนักปิดลง อู๋ต้าปั้นมายืนข้างกายจักรพรรดิ์ซูชิง ด้านล่างคือพระสนมเต๋อเฟยกับช