〝 ไม่ได้เรื่องเลยซักนิด 〞 ผ่านมาราว 2 ชั่วโมงหลังจากที่กลับมาคฤหาสน์อันเป็นเวลาพลบค่ำ ซึ่งมีศรกับชีน่ารออยู่ก่อนแล้ว กรก็บ่นอุบแบบนั้นออกมาในขณะที่นั่งเล่นอยู่ที่ห้องนั่งเล่นกับสาวๆทุกคนเหมือนเดิมนั่นแล แน่นอนว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดปนนิดหน่อย〝 ก็ช่วยไม่ได้หรอกนะฮะพี่กร... ก็พี่กรเล่นเทพซะขนาดนั้น ใครมันจะเก่งพอไปเป็นพวกพี่หล่ะ... ผมเองยังยอมเลยหล่ะ 〞ศรว่าแบบนั้นก่อนที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกผิดปนเสียดายถึงเอาจริงๆ เป้าหมายของฉันจะไม่ใช่การหาพวกแต่แรกอยู่แล้วก็เถอะนะแต่ถ้าเข้าใจแบบนั้นไปนี่จะดีมากเลย เจ้าศรเองจะได้ยอมแพ้ไปด้วยก็นะ... ยังไงฉันก็ไม่คิดจะให้น้องชายของคนที่รั... ของเพื่อนไปตายอยู่แล้วถ้าไม่แข็งแกร่งพอจนปกป้องตัวเองได้ก่อนหล่ะก็นะ...〝 ก็นะ... แต่นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้วยังจะเจอตัวป่วนอีก... น่ารำคาญชะมัดยาดเลย 〞กรขมวดคิ้วเข้าด้วยกันแน่น ทำให้สาวๆยิ้มแห้งๆออกมาพร้อมกัน แต่ทางศรกลับทำสีหน้าสงสัยออกมาแทน〝 ตัวป่วน? นี่อย่าบอกนะฮะว่าไปเจอซิลเวียมาหน่ะ? 〞〝 หืม? นายก็รู้จักยัยบ้านั่นสินะ 〞เรียกผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักกันว่า “ยัยบ้า” เฉยเลยแฮะ...
〝 นี่กร... 〞เมอร์ลินเอ่ยถามขึ้นมาในขณะที่ทุกคนยังเตรียมพร้อมกันอยู่ เพื่อรับมือกับกลุ่มสาวน้อยฝาแฝด?ทั้ง 5 คนข้างนอกรถม้านั่น〝 อะไรเหรอ? 〞〝 ทำไมในอนิเมะหรือหนังพอพูดถึงตัวร้าย แล้วตัวร้ายต้องโผล่ออกมาแทบทุกทีด้วยนะ 〞〝 ตั้งข้อสังเกตได้น่าสนใจนะครับที่รักจ๋า แต่กระผมว่าประเด็นในตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องนั้นนะ 〞 กรยิ้มแหยๆให้กับเมอร์ลินที่ยังทำตัวสบายๆอยู่ รวมถึงลิลิธเองก็ด้วย เธอแค่นั่งหาวหวอดใหญ่อย่างเดียว แต่แน่นอนว่านั่นก็แค่ท่าทางภายนอกเท่านั้นแต่ก็นะ... ความจริงก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น แต่ก็ประมาทไม่ได้เหมือนกันหล่ะนะข้อแรกเลยก็คือ ยัยนี่ตอนนี้ไม่ได้เป็นอันตรายกับพวกเราเลยแต่ที่ประมาทไม่ได้หน่ะคือ ความสามารถจริงๆของหล่อนที่ตอนนี้ยังใช้ไม่เป็นต่างหากที่น่ากลัว... กรคิดแบบนั้นในขณะที่ใช้หน้าต่างตั้งค่าต่างๆตรวจสอบสาวน้อยผู้กุมความได้เปรียบข้างนอกนั่น เลยทำให้ได้ผลสรุปออกมาแบบนั้น ส่วนทางซิลเวียที่ยืนอยู่ด้านนอกก็กำลังถูกปั่นหัวโดยสาวน้อยทั้ง 5 คนอยู่〝 อาวอ๊าวอาว! เลือกไม่ถูกเลยสิทีนี้!? 〞〝 หุหุหุ! งั้นพวกเค้าจะเริ่มยังไงดีน้อ! กับคู่ปรับตัวฉ
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหลายสงบลง กรก็ต้องแบกยูมิน่ากลับมาที่บริเวณรถม้า ซึ่งมีเหล่าแฟนสาว ซิลเวียและฟลอร่าที่ถูกจับรออยู่ เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่เลยทำให้ม้ายังขวัญเสีย เพราะเหตุนั้นเลยต้องพักกันประมาณ 1 ชั่วโมงไปก่อน ในระหว่างที่พักก็ต้องทนเสียงบ่น&เพ้อของฟลอร่าไปด้วย ต่อให้กรขู่แค่ไหนก็ไม่ยักกะเงียบ แต่พอถูกถูกมีอาเข้าโหมดอัลติเมท... ฟลอร่าก็ดูเหมือนจะเงียบลงในทันทีแล้วจากนั้นซักพักก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางอ่ะนะ...แน่นอนว่าจับยัยฟลอร่ามัดไว้กับตัวรถม้าด้านนอกให้ตากลมน้ำตาซึมอยู่อย่างงั้นแหล่ะแต่ถึงจะบอกว่าข้างนอกก็เถอะ แต่ก็อยู่แถวๆหน้าต่างด้านหลังตัวรถม้านั่นแหล่ะนะ เพื่อไม่ให้อยู่นอกสายตาของฉันด้วยนั่นแหล่ะเพราะงั้น เสียงน่ารำคาญของยัยนี่ที่เป็นปัญหามันเงียบลงไปบ้างแล้วก็จริงอยู่แต่พอออกเดินทางไปได้ซักพัก... ยัยตัวปัญหาคนที่สองก็ตื่นขึ้นมาจนได้ก็นะ... เป็นเพราะยัยนี่เป็นตัวอันตรายมากกว่าฟลอร่าที่น่ารำคาญ ก็เลยเอามามัดไว้ในรถม้าแทนถึงที่มันจะแคบไปหน่อย แต่ก็ปลอดภัยกว่า... ก็มีเรเชลกับริต้านั่งคุมซ้ายขวาของยัยยูมิน่านี่แหล่ะเลยปลอดภัยได้ในระดับนึงแ
〝 เป็นอะไรไป? เหตุใดจึงยืนนิ่งเป็นหินเช่นนั้นเล่าพ่อหนุ่ม? 〞 จิ๋นหลี่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าของกรซึ่งตอนนี้ยังคงเหงื่อตกด้วยความกังวล ถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบยังจะมาถามอีกเหรอ? ก็เล่นแผ่จิตต่อสู้ออกมาซะขนาดนี้เองไม่ใช่เหรอ?สีหน้าไม่ได้เปลี่ยน แต่ฉันดูออกนะ... นี่นายจงใจใช่ไหมเนี่ย!?〝 อย่าแกล้งหมอนี่มากนักสิจิ๋นหลี่ 〞 ในระหว่างที่กรยังเฝ้าดูท่าทีของจิ๋นหลี่อยู่อย่างงั้น เมอร์ลินก็พูดออกมาอย่างหน่ายๆ พร้อมกับเดินนำออกมาอยู่ระหว่างเขากับจิ๋นหลี่ นั่นทำให้ลูกศิษย์ชายหญิงทั้งสองคนที่อยู่ข้างหลังทำท่าเหมือนกับจะเตรียมพร้อมต่อสู้ แต่จิ๋นหลี่ก็ยกมือขวาห้ามไว้ก่อน ทั้งคู่จึงกลับมายืนตรงเรียบร้อยเช่นเดิม〝 มิได้... นี่คือปกตินิสัยของข้าเจ้าก็รู้ 〞จิ๋นหลี่ว่าพลางหลับตาราวกับบอกว่ามันช่วยไม่ได้ และนั่นก็ทำให้เมอร์ลินถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆอีกครั้ง และเพราะทั้งคู่ได้เปิดปากคุยกันอย่างสนิทสนม พวกมีอาจึงได้วางการ์ดลงโดยอัตโนมัติ และแม้ซิลเวียจะยังสงสัยอยู่แต่เจ้าตัวก็ยังเฝ้าดูสถานการณ์อยู่เงียบๆเช่นเดียวกับคนอื่นแต่จะว่าไป... มหานักปราชญ์ทุกคนมีดันเจี้ยนเป็นของตัวเอ
ว่ากันว่าเมื่อต้อนสัตว์ป่าจนกระทั่งมันจนมุมมันจะมีท่าทีดุร้ายขึ้นจากสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดในหมู่ผู้คนเอง... หากกระทำการใดอันเป็นการลดศักดิ์ศรีของคนๆนั้นลงเรื่อยๆผลลัพธ์สุดท้ายก็จะทำให้คนๆนั้นกลายเป็นบุคคลที่เลือดเย็น เยือกเย็นหรือตายด้านไปเสีย...เช่นนั้นในสถานการณ์นี้ก็คงเป็นไปตามการคาดการณ์ที่สองทว่าที่อยู่ตรงหน้านี้จะเรียกว่าเป็นอุษณกร วัชรวิรุฬห์ก็ใช่... แต่ก็ไม่ใช่ในขณะเดียวกัน...『ลุกซ์』... สิ่งที่ท่านสร้างได้อยู่ตรงหน้าข้าแล้ว...ทว่า... เด็กคนนี้... ในตอนนี้———〝 เป็นอะไรไป? ไม่ได้ยินที่ข้าพูดเรอะเจ้าไพร่? 〞 ในขณะที่จิ๋นหลี่กำลังใช้ความคิดบางอย่าง กร?ที่กำลังลอยอยู่เหนือทุกคนก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแต่ไม่เหมือนกับเจ้าตัวคนก่อนเลยซักนิด จิ๋นหลี่ก็ยังคงหลับตานิ่ง และกลับมาสงบเยือกเย็นอีกครั้งในเวลาไม่นาน ก่อนที่จะสบัดกระบี่อย่างแรงจนพื้นที่กระทบกับพื้นกระจุยเป็นชิ้นๆ〝 ราชาที่ข้าจักก้มหัวให้... มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น 〞จิ๋นหลี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนอย่างเคย นั่นทำให้กรที่กำลังแผ่มือวางมือลงข้างลำตัวโดยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า〝 แม้ข
————สองวันต่อมา ณ เมืองหลวงฟอเรสเตอร์ , ห้องรับรองในปราสาท ภายในห้องรับรองสำหรับแขกชั้นสูงของปราสาท ซึ่งมีลักษณะไม่แตกต่างจากที่เคยเห็นเท่าไหร่นัก เตียงสีขาวขนาดใหญ่แบบมีหลังคา มีพื้นที่พอจะนอนได้ประมาณ 3 คน มีเฟอร์นิเจอร์จำพวกโซฟาหนังสัตว์และเครื่องเรือนมีราคาอยู่มากมาย แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่าคนที่อยู่ภายในห้องนี้ มีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า ริต้า เรเชล ลิลิธ คาเรน รวมถึงซิลเวีย... เหล่าสาวๆต่างก็อยู่ภายในห้องนี้ด้วยสภาพเหนื่อยอ่อน พวกเธอทำสีหน้าเฝ้ารออะไรบางอย่างในขณะที่แยกย้ายกันนั่งตามจุดต่างๆของห้อง โดยเฉพาะมีอากับเมอร์ลินที่นั่งเก้าอี้อยู่ชิดกับเตียงสีขาวที่ว่าไปข้างต้นเพื่อเฝ้าดูคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนนั้น... กรนั่นเองหลังจากเหตุการณ์ที่แสนวุ่นวายนั่นก็ผ่านมาได้สองวันแล้ว...กรยังคงหลับสนิท แต่ไม่ได้มีบาดแผลภายนอกใดๆแต่ปัญหาก็คือภายในนี่แหล่ะ...เมื่อตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น จนถึงตอนนี้ก็คิดอะไรไม่ออกเลยซักนิดทั้งไอ้ออร่าสีดำสนิทที่มีความคิดเป็นของตัวเองนั่นทั้งดาบผ่าดารานั่นด้วย...แถมยัง... กรในร่างที่มีออร่าอุดมคติสีรุ้งนั่นก็อีกฉันสับสน
———— 1 วันก่อน ณ อาณาจักรอาลัน , ชายแดนประเทศตะวันออก ณ หมู่บ้านชายแดนตะวันออก อันประกอบไปด้วยทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ไร่นาอันเต็มไปด้วยพืชผล ท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยปศุสัตว์ และบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยผู้คน... ทว่าตอนนี้ภาพความสงบสุขเหล่านั้นกำลังถูกแทนที่ด้วยไร่สวนที่พังทลาย ซากศพของสัตว์ป่าที่คล้ายวัวเลี้ยง บ้านเรือนที่ถูกเผาไหม้ดำเป็นตอตะโก ผู้คนที่หนีไม่ทันเองก็กลายเป็นร่างไร้วิญญาณข้างถนน โดยมีต้นเหตุคือ เหล่ามอนสเตอร์หลากประเภท สวมชุดเกราะหนักและเบา พวกมันยิ้มเยาะเย้ยให้กับสภาพของหมู่บ้านที่พวกมันเป็นคนก่อ ในขณะนั้น กลุ่มหลักของพวกมันอันประกอบไปด้วยออร์คสวมชุดเกราะหนักและสมุนก็อบลินสวมชุดเกราะเบาอีก 5 ตัว ได้เข้ารุมล้อมมนุษย์สองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ นั่นคือแม่ลูกที่กำลังนั่งสั่นกับพื้น ชิดติดกำแพงปิดตายโดยที่ถูกมอนสเตอร์ทั้ง 6 ตัวที่ว่าปิดทางออกเพียงหนึ่งเดียวไว้ หญิงสาวผู้เป็นแม่กอดร่างของลูกสาวแน่นด้วยความกลัวทั้งน้ำตา เพราะรู้แก่ใจดีว่ายังไงก็คงไม่รอด ออร์คที่เห็นดังนั้นแสยะยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างน่ารังเกียจ ก่อนที่จะเงื้อข
———— เช้าวันต่อมา ณ อาณาจักรอาลัน , เมืองหลวง ภายในวังหลวง... ณ ห้องบัญชาการรบขนาดใหญ่ มากพอจะบรรจุคนได้มากกว่า 100 คน ทั้งห้องถูกประดับด้วยเชิงเทียน เฟอร์นิเจอร์หรูหรา ภาพวาดต่างๆ แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับบรรยากาศตึงเครียดที่ถูกแผ่ออกมาจากคนที่อยู่ในห้อง อนึ่ง ในห้องมีโต๊ะไม้ขนาดยาวตั้งเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีพื้นที่เป็นด้านกว้างสำหรับเก้าอี้ 5 ตัว และด้านยาวสำหรับเก้าอี้ 10 ตัวอยู่ โดยที่ในสุดมีคนนั่งอยู่สองคนบนเก้าอี้ที่ดูหรูหรากว่าคนอื่น ตรงกลาง คือ ราชาแห่งอาณาจักรอาลัน คนเดียวกับที่นั่งบนบัลลังก์ครั้งเมื่อต้อนรับการมาจากต่างโลกครั้งแรกของพวกกร... ราชาเซารัส และอีกคนนึงก็คือเจ้าหญิงคริสติน คนเดียวกับที่ชอบเข้าไปอ่านหนังสือกับชาญในห้องสมุดนั่นเอง ด้านข้างสองฝั่งเต็มไปด้วยทหารระดับผู้บัญชาการ 2 ใน 3 จากทั้งหมดและข้าราชการระดับสูง โดยที่ใกล้มือขวาของราชาเซารัสที่สุด แน่นอนว่าคือหัวหน้าอัศวินอย่างฮันซี่ สายตาทุกคนจับจ้องไปยังคนสองคนที่ยืนอย่างหงอยๆอยู่ตรงหน้าประตู หรือก็คือตรงข้ามกับราชาเซารัส... ชาญและฟ้าในชุดพร้อมรบ〝 ว่าไงนะ!!! ไอ้หมอนั่
นานมาแล้ว... นานมากเสียจนจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ตัวฉันแต่เดิมเป็นเพียงจอมเวทธรรมดามาตั้งแต่เกิดในโลกที่ทุกคนใช้เวทมนตร์ได้เป็นปกติ ฉันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนักนอกจากเวทเคลื่อนย้ายในระยะไม่กี่เมตรที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็ก กับความสามารถในการดัดแปลงพลังเวทมาใช้ในรูปแบบที่ต้องการหากจะมีสิ่งใดที่แตกต่างจากผู้อื่นในวัยเดียวกัน คือทัศนคติในการดำรงชีวิต หรือเหตุผลสำหรับการมีชีวิตอยู่กระมังเราเกิดมาทำไม... เรามีชีวิตอยู่ไปทำไม... นั่นคือคำถามสำคัญที่ทุกคนควรจะรู้แต่น้อยคนนักจะตั้งคำถามอย่างจริงจังเรื่องเหตุผลที่เกิดมานั้นไม่อาจรู้ได้... แต่เหตุผลที่เราทุกคนมีชีวิตอยู่ก็เพื่อความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย และคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคนทุกกรณี จะต่างก็เพียงแค่สิ่งที่ทำให้มีความสุขเท่านั้นบางคนอาจเป็นอาหารเลิศรส เสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหู ภาพวาดวิจิตรตระการตาหรือกลิ่นหอมหวนชวนหลงใหลแบ่งแยกประเภทมากมายตามแต่สิ่งที่แต่ละคนนั้นได้สั่งสมความชอบมาแต่กำเนิดสำหรับฉัน คือรอยยิ้มแต่ไม่ใช่รอยยิ้มของตัวฉันเอง... หากแต่เป็นรอยยิ้มของคนอื่นฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งแรกที่มีความสุขกับเรื่องแบบนี้นั้นคือเมื่อไหร
หลังจากที่ถูกส่งมาต่างโลกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แน่นอนว่าฉันเองก็ตกใจ ไม่สิ... ใครล่ะจะไม่ตกใจเมื่อเรื่องที่เหมือนกับนิยายที่เคยอ่านมันเกิดขึ้นจริงกับตัวเองแต่ว่าในขณะเดียวกัน ฉันก็แอบดีใจนิดหน่อยที่มันเกิดขึ้นสาเหตุก็ไม่ใช่อะไรหรอก... นั่นเพราะว่าการถูกเคลื่อนย้ายมาต่างโลก มันก็เหมือนกับได้รีเซทสภาพแวดล้อมทั้งหมดนั่นแหล่ะในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นในต่างโลกนี่ ฉันจะสามารถสร้างสถานการณ์ที่จะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ตัวฉันในตอนนั้นคิดแบบนั้น และคาดหวังแบบนั้นทว่าในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลยเหมือนกับโชคชะตากำลังเล่นตลกกับฉัน... หรือถ้าพระเจ้ามีจริง หมอนั่นคงกำลังแกล้งฉันอยู่แน่ ๆฉันอดคิดแบบนั้นไม่ได้เพราะสเตตัสของฉันมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินผิดกับของคนอื่น ทั้งที่พละกำลังพื้นฐานของฉันในโลกก่อนมันสูงกว่าคนปกติทั่วไปแท้ ๆถึงจะไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่นี่มันก็ผิดปกติอยู่ดี...ยังไงก็เถอะ ฉันเองก็รู้อยู่ว่าก่นด่าโชคชะตาไปมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้เพราะงั้นก็เลยใช้วิธีเดิมในการแก้ปัญหา นั่นก็คือ ‘ช่างหัวมัน’ยิ่งถูกตอกย้ำด้วยการกลั่นแกล้งทับถมจากเจ้าเสือและทุกคนในโรงเรียนก็ยิ่งทำให้ฉ
“พวกนายได้เริ่มคิดกันยังว่าโตไปจะทำอะไร?” ในระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านของกรหลังเลิกเรียนเหมือนอย่างเคย อยู่ ๆ โชตก็เปิดประเด็นขึ้นมาอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาแม้จะดูขอไปที แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจริงจังอยู่เหมือนกันจากสีหน้าของเขา อนึ่ง... เป็นปกติที่ส่วนใหญ่แล้วหลังเลิกเรียนทุกคนจะมารวมตัวกันที่บ้านของกรทันที จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกคนจะยังสวมชุดนักเรียนกันอยู่ อย่างเช่นตอนนี้ที่ทุกคนนั่งกระจัดกระจายตามโซฟา โดยกร โชตและชาญนั่งโซฟาตัวเดียวกัน ส่วนรินกับอลิซนั่งด้วยกันที่โซฟาอีกตัวฝั่งที่ติดกับกร นั่นคือเรื่องปกติของกลุ่มนี้ จะมีต่างไปก็แค่บรรยากาศเท่านั้น... ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่ออกไปในทางจริงจังเพราะโชตเปิดประเด็นอย่างนั้นขึ้นมา“อืม... ผมก็คงเป็นข้าราชการนั่นแหล่ะนะ” ชาญตอบแบบแทบไม่ต้องคิด เพราะดูเหมือนเขาจะมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่แรก“แบบนั้นก็ดีนะ” กรพยักหน้าหลังวางมือจากเครื่องเล่นเกมในมือ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาเสียแต้มแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับหันไปมองคู่สนทนาอย่างชาญ“นั่นสิ ทั้งมั่นคงทั้งมีสวัสดิการ พ่อ
หลังจากที่ฉันสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ ฉันก็รีบโทรหาชาญก่อนใครเลยในตอนที่ไม่รู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร เขาเป็นคนแรกที่ฉันนึกถึง... เพราะหมอนั่นเป็นคนเดียวที่จะทำตามคำขอทุกอย่างของฉันถึงแม้ว่าจะไม่ชอบมันก็ตามนั่นแหล่ะแต่ก็ไม่ได้ขออะไรมากไปกว่าผ้าพันแผลสะอาด ๆ หรอกนะส่วนเรื่องแผลก็ไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คิดจนน่าประหลาดใจเลย... แค่พันแผลแล้วกดแผลไว้ ไม่กี่ชั่วโมงแผลก็ปิดสนิทจนต้องตั้งคำถามกับตัวเองเลยล่ะว่าฉันเป็นมนุษย์แน่รึเปล่า?แต่จะว่าไม่เป็นไรเลยก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ได้แผลเป็นติดแถวชายโครงขวาพอมานึกดู... เมื่อตอนเด็กก็ได้แผลเป็นมาเพราะปกป้องรินด้วยเหมือนกันนี่นะ อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนี้ไม่รู้พวกเธอจะรู้สึกผิดในตอนที่เห็นมันอีกไหม...แต่เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้แหล่ะนะ เพราะถ้าสถานการณ์กลับกัน เป็นฉันเองก็คงรู้สึกผิดไปจนวันตายนั่นแหล่ะยังไงก็ตาม... วันถัดมาฉันก็เลยจำต้องแกล้งป่วย และเพราะไม่อยากให้มีคนเป็นห่วงมากเกินไปก็เลยกำชับกับอลิซและชาญว่าให้เก็บเป็นความลับ รวมถึงช่วยบอกให้โชตกับรินอย่ามาเยี่ยมด้วยเพราะไม่งั้น ถ้าได้ยินไปถึงหูของพ่อแม่รินกับโชตเข้าล่ะก็ คงได้
“วิชัย”“มาครับ!”“ศุรศรี”“มาค่ะ!” เสียงเรียกชื่อจากอาจารย์และเสียงตอบกลับจากนักเรียนในชื่อเดียวกันเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้แค่ในโรงเรียนยามเช้าก่อนเริ่มชีวิตวัยเรียนของวันนั้น ๆ ความหมายของมันมีสองอย่าง... อันดับแรกคือข้อความสื่อสารให้อาจารย์ที่ปรึกษารู้ว่าวันนี้ใครขาดเรียนบ้าง ส่วนอย่างที่สองนั้น“อุษณกร”“มาครับ” ...คือสิ่งที่ใช้บ่งบอกเพื่อนร่วมชั้น ว่าตัวเองนั้นสบายดี นั่นถึงเป็นเหตุผลที่พอเพื่อนทุกคนในห้องได้ยินเสียงขานชื่อของกรที่ไม่ได้ยินมานานปุ๊บ ทุกคนหมายรวมถึงริน โชต อลิซและชาญต่างก็ยิ้มออกมาอย่างพร้อมเพรียงในทันที ทั้งด้วยความโล่งอก... และดีใจ❖❖❖❖❖“กลับมาแล้วสินะครับลูกพี่!” คนที่ดีใจกับการกลับมาของกรหลังหายหน้าหายตาไปหลายเดือนไม่ได้มีแค่เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมชั้น แต่ยังมีอีกหลายคนรวมอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นก็คือเพชรที่เคยถูกกรช่วยไว้ก่อนหน้านี้และกลับตัวกลับใจแล้วนั่นเอง นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ถึงจะเป็นตอนเที่ยงที่ทุกคนพักรับประทานข้าวกลางวัน เพชรที่อยู่ต่างห้องก็ยังถ่อมาหากรด
วันกันว่ายามที่ความเศร้าโศกเกาะกินจิตใจผู้คน มักเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฝนมักจะตกราวบรรยากาศมันอ่านใจคนได้ แต่ถ้าคิดในมุมมองกลับกัน มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่สภาพอากาศจะสามารถแปรเปลี่ยนไปตามใจคน เพราะงั้นในความเป็นจริง อาจไม่ใช่ว่าฝนชอบตกในเวลาที่คนกำลังเศร้า หากแต่เป็นเพราะการที่เกิดเหตุการณ์ฝนตกขึ้นเลยทำให้คนรู้สึกเศร้าโศกเสียมากกว่า จะด้วยเพราะภาพจำที่เคยเห็นจากภาพยนตร์ต่าง ๆ หรือเป็นเพราะได้ยินมาบ่อย ๆ จากสื่อก็เลยคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นก็ตาม แต่ผลลัพธ์ก็คือ มันทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกแบบนั้นจริงในช่วงที่ฝนตก โดยไม่ขึ้นกับสภาพแวดล้อมเล็ก ๆ หรือรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ เลย อย่างสถานการณ์ที่กรกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปราย ตัวเขาที่กำลังอาบสายฝนในขณะสวมฮู้ดคลุมหน้า แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้มีไว้กันฝน หากแต่เอาไว้ปกปิดตัวตนจากศัตรู ทว่าสำหรับตอนนี้มันคงไม่จำเป็นเสียแล้วกระมัง... เพราะตอนนี้เหล่าศัตรูของกรกำลังนอนสลบเหมือดอยู่เต็มพื้นที่ในตรอกซอกตึก หมดสติหมดสภาพ พ่ายแพ้กรอย่างสมบูรณ์โดยที่ไม่สามารถสร้างบาดแผลใด
ว่ากันว่าในหนึ่งช่วงชีวิต คนเราย่อมมีจุดที่ตกต่ำที่สุดแต่สำหรับตัวฉันที่ค่อนข้างจะพูดได้เต็มปากว่าชีวิตช่างเพียบพร้อม เต็มไปด้วยมิตรสหายและครอบครัวที่ดี ไม่เคยขัดสน และความสามารถที่เต็มเปี่ยมเลยไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองขาดอะไรพูดตรง ๆ... ฉันในตอนนั้นนึกภาพตัวเองในตอนที่ตกต่ำไม่ออกเลยและนึกไม่อออกด้วยซ้ำว่าจะมีอะไรมาทำให้ฉันเป็นแบบนั้นแต่ใครจะรู้... ว่าวันนั้นจะมาถึงในช่วงที่ฉันยังเป็นวัยเด็กย่างเข้าวัยรุ่นและฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่า มันจะถึงขนาดทำให้ความฝันเพียงหนึ่งเดียวของฉันค่อย ๆ พังทลายลงจนไม่เหลือซากตามไปด้วย❖❖❖❖❖ในวันนั้น... ควรจะเป็นวันธรรมดาทั่วไป ฉันจำได้ว่าบรรยากาศในการเรียนไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปกติเลยสักนิด แม้แต่กับเหล่าเพื่อนสนิท พวกเราก็ยังคงสนุกสนานกับชีวิตวัยเรียนตลอดตั้งแต่เริ่มคาบเรียนจนกระทั่งช่วงบ่ายของวันนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาของฉันอยู่ ๆ ก็เข้ามาในห้องเรียนของคาบที่อาจารย์คนอื่นกำลังสอนแล้วก็เรียกฉันไปคุย“กร ใจเย็น ๆ แล้วตั้งใจฟังนะ...”อาจารย์เปิดประโยคแบบนั้นก่อนที่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดกับผมดูเหมือนช่วงเช้าของวันนั้น พ่อกับแม่ของฉันกำลังจะขับรถไปทำธุระต่างจั
หลังจากเหตุการณ์ที่ฉันเข้าไปปกป้องริน จนทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นทิ้งแผลเป็นไว้ที่แถว ๆ ใต้ชายโครงซ้ายสำหรับฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก เพราะสำหรับฮีโร่ บาดแผลที่ได้จากการช่วยเหลือเพื่อนคนสำคัญมันคือเหรียญรางวัลแต่ดูเหมือนสำหรับรินจะไม่ใช่แบบนั้นเลยแฮะ... เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้น เท่าที่ฉันสังเกต ถึงมันจะทำให้เราสองคนสนิทกันมากขึ้นโข ถึงขนาดที่รินแทบจะตัวติดกับฉันทว่าทุกครั้งที่รินเห็นแผลเป็นฉัน เธอก็จะรู้สึกหดหู่ทุกที เห็นได้ชัดเลยว่าเธอยังรู้สึกผิดและคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่ลึก ๆเพราะแบบนั้นฉันเลยย้ำรินอีกหลายต่อหลายครั้งว่ามันไม่ใช่ความผิดของรินและพยายามทำให้เธอหายรู้สึกผิดไปเรื่อย ๆ โดยใช้เวลาเป็นตัวช่วยนั่นแหล่ะทั้งหมดที่ทำได้แล้วและอันที่จริง... หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดกขึ้นกับพวกเราอีกเลย มันเลยทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้น และมันค่อย ๆ เยียวยารินมากขึ้นไปด้วยเสริมอีกนิดว่า มันทำให้พ่อกับแม่ของรินไว้ใจฉันไปด้วย และสองบ้านเราก็สนิทกันมากขึ้นเหมือนกับบ้านของโชตไปแล้วด้วย ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีเชียวล่ะหลังจากนั้นก็เป็นช่วงที่ฉันขึ้นชั้นป
‘พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง’เป็นคำพูดจากภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดังที่ใคร ๆ น่าจะต้องเคยได้ยินสักครั้งและคำพูดนั้นเองก็เป็นหนึ่งในคีเวิร์ดที่ใช้ระบุความเป็นตัวตนของผม... อุษณกร วัชรวิรุฬห์สำหรับตัวผมที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์รอบด้านด้วยความสามารถของ ‘สุดยอดการประมวลผล’ ผมก็คิดมาตลอดว่าวิธีการใช้ชีวิตแบบนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องไม่รู้ว่าความคิดที่ผมต้องการทำเพื่อผู้อื่นหรือการได้รับความคาดหวังพวกนั้นมาจากคนอื่นเลยอยากที่จะตอบสนองมันกันแน่ที่เริ่มก่อนแต่ไม่ว่าอย่างไหนตัวผมก็ไม่เคยสน และไม่เคยคิดสนใจด้วย เพราะอย่างไรมันก็ไม่เปลี่ยนเจตนาและผลลัพธ์ของสิ่งที่ผมจะทำอยู่ดีแต่พอมาคิดดูอีกที... พื้นฐานความคิดแบบนั้นมันอาจเปราะบางกว่าที่ผมคิดก็ได้คำว่าเปราะบางนั้น หมายถึงง่ายต่อการพังทลาย... และแนวคิดที่ง่ายต่อการพังทลาย สำหรับผมคือแนวคิดที่ไร้สิ่งยึดเหนี่ยวหรือถ้าจะพูดให้ง่ายเข้า นั่นคือ ‘เหตุผล’ ที่ว่าเราใช้ชีวิตแบบนั้น ‘เพื่ออะไร?’ดังนั้น สำหรับแนวคิดการใช้ชีวิตของตัวผม คำถามที่ใช้ในการตามหาสิ่งยึดเหนี่ยวก็คงจะเป็น...‘ทำไมถึงต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่