“จูเอ๋อร์ มานี่”ใต้เท้าหวงกวักมือเรียกนาง และเมื่อเข้ามา ก็เข้าประเด็นด้วยรอยยิ้มทันที“ท่านพ่ออยากให้ข้าไปเป็นนางสนมในวัง?”หวงจูหรี่ตา ดูสีหน้าของใต้เท้าหวงชัดยิ่งขึ้นเล็กน้อยนางชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก สายตาไม่ค่อยดีนัก“ใช่แล้ว”ลูกสาวเป็นคนฉลาด ใต้เท้าหวงไม่กล้าโกหกนาง“เจ้าก็รู้ ปัจจุบันมีการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ ข้าเป็นขุนนางสำคัญของฉีอ๋อง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก”หวงจูยิ้มแล้วยิ้มอีก “แต่ข้าได้ยินมาว่า พระมเหสีได้แนะนำฝ่าบาท ท่านพ่อไม่ได้ร่วมก๊วนร่วมพรรคเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ฝ่าบาทไม่ถือโทษท่านหรอก ปัจจุบันท่านก็ยังนั่งตำแหน่งเลขานุการดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ?”“แต่อย่างไรก็เป็นเสี้ยมหนาม”ใต้เท้าหวงส่ายศีรษะ“วันไหนฝ่าบาทนึกขึ้นได้ ก็ถอนข้าทิ้งแน่”หวงจูเข้าใจแล้ว “ดังนั้นท่านพ่ออยากให้ข้าเข้าวัง เพื่อโน้มน้าวฝ่าบาท?”“อืม จะพูดเช่นนี้ก็ได้”ใต้เท้าหวงพยักหน้าอย่างสัตย์จริงหวงจูใช้สายตาที่มองคนโง่ มองพ่อแม่ตัวเองแวบหนึ่ง“ท่านพ่อ ข้าเข้าวังก็ได้”พลันคำพูดของนางก็เปลี่ยนทิศ“แต่ว่า ข้าจะให้ท่านส่งข้าไปเป็นนางกำนัลข้างกายพระมเหสี”“อะไรนะ!” ใต้เท้าหวงลุกขึ้นตบโต
“นั่นพวกเขา”ซูจิ่งสิงจับมือของกู้หว่านเยว่ยืนรออยู่ตรงที่เดิม ผ่านไปครู่หนึ่ง รถมาก็ม้าถึงตรงหน้าแล้วซูจื่อชิงมองซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง แล้วละสายตาหันไปพูดกับคนข้างใน“ท่านพ่อ ท่านแม่ ถึงเมืองหลวงแล้ว พี่ใหญ่…ไม่ ฝ่าบาทกับพระมเหสีมารับพวกเราแล้ว”“ถึงแล้ว ในที่สุดก็ถึงแล้ว”ผู้อาวุโสทั้งสองปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว รีบอุ้มจ้านจ้านลงจากรถม้า“ท่านพ่อ ท่านแม่”“ฝ่าบาท พระมเหสี”กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงเดินเข้าไป ซูจิ้งกับนางหยางก็เดินเข้าไปคำนับทั้งสองเช่นกัน“รีบลุกขึ้น”ซูจิ่งสิงห้ามทั้งสอง “ต่อไปลับหลังคนอื่น พวกเรายังเหมือนเดิม”“ฝ่าบาท ท่านให้พวกเราคำนับเถอะ”ซูจิ้งกับนางหยางมองนางกันแวบหนึ่ง ยืนกรานคำนับซูจิ่งสิงให้ได้ กษัตริย์และพระราชบริพารมีความแตกต่าง ซูจิ่งสิงเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่า แต่พวกเขาไม่สามารถทำตัวบังอาจเหมือนในอดีต“ฝ่าบาท พระมเหสี” ซูจื่อชิงก็คำนับเช่นกัน เขาก้มหน้า เสียงพูดติดขัดเล็กน้อยซูจิ่งสิงมองเขาแวบหนึ่ง“จ้านจ้าน เจ้าอ้วนขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่อุ้มจ้านจ้านมาอย่างแทบรอไม่ไหวแล้ว ชั่งน้ำหนักเด็กคนนี้ครู่หนึ่ง หนักอย่างน้อยยี่สิบจิน[1]แล้ว“เจ้าอ
ขึ้นรถม้าแล้ว ยังไม่ลืมชงนมแพะให้จ้านจ้าน“ช่วงนี้จ้านจ้านกินแต่นมแพะตามที่เจ้าบอก นมผงที่เจ้าทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ ใกล้จะดื่มหมดแล้ว”ก่อนกู้หว่านเยว่ไป ได้ซื้อนมผงจากแพลตฟอร์มซื้อขายหนึ่งลัง“ถึงว่าทำไมดูแข็งแรงจัง ข้าอุ้มเขา รู้สึกว่าหนักกว่าเด็กอายุสิบเดือนทั่วไปเล็กน้อย”จ้านจ้าน ‘ท่านแม ฟังข้าพูดขอบคุณ โดนหาว่าอ้วนอีกแล้ว’แต่ว่ากู้หว่านเยว่ก็ไม่เคยอุ้มเด็กเยอะนัก“จ้านจ้านถือว่าปกติ ไม่ได้อ้วนนะ แค่แข็งแรงและโตเร็วกว่าเด็กทั่วไปเล็กน้อย”นางหยางเทียบคิ้วของเขา“เจ้าดู จมูกกับปากเหมือนจิ่งสิง ตากับคิ้วเหมือนเจ้า โตขึ้นต้องเป็นหนุ่มน้อยที่หล่อเหลาแน่นอน”พ่อกับแม่ล้วนเป็นชายหล่อหญิงงาม ลูกก็ย่อมไม่น้อยหน้าอืม หน้าตาขี้เหร่ก็อีกเรื่องขณะที่แม่ยายกับลูกสะใภ้คุยกัน รถม้าก็มาถึงหน้าประตูวางแล้วคนทั้งกลุ่มลงจากรถม้า อาการของซูจื่อชิงดูดีกว่าตอนอยู่หน้าประตูเมืองอย่างชัดเจน บนใบหน้าก็เผยให้เห็นรอยยิ้มแล้วสองพี่น้องคุยกันเสร็จแล้วกู้หว่านเยว่รู้สึกดีใจแทนพวกเขา “ใช่แล้ว จิ่นเอ๋อร์ล่ะ?”“นางกลับไปดูแลใต้เท้าฟู่แล้ว บอกว่าสุขภาพของใต้เท้าฟู่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ห่างจากนางไ
“ดี มีศักดิ์ศรีมา ดื่มหนึ่งจอก”สองพี่น้องยกจอกสุราขึ้นมาชนมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของกู้หว่านเยว่ นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตัดสินใจคุยกับซูจิ่งสิงหลังอาหารเย็นเจีดีย์หนิงกู่พระราชโองการของฝ่าบาท ถูกส่งมาถึงจวนหลี่อย่างเร่งด่วนหลี่เฉิงอันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในศาลาเมื่อได้ยินว่ามีพระราชโองการมา รีบออกไปคุกเข่ารับทันทีผู้มาเป็นกงกงท่านหนึ่ง สุภาพกับหลี่เฉิงอันมาก“คุณชายหลี่ รับราชโองการเถอะ”ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้สุนัขมอบเจดีย์กู่หนิงให้ซูจิ่งสิงเป็นที่ดินในปกครอง ขึ้นตำแหน่งเจิ้นเป่ยอ๋องให้ซูจิ่งสิง แต่กลับปลดบรรดาศักดิ์โหวของสกุลหลี่จุดประสงค์ก็เพื่อทำให้สกุลหลี่กับซูจิ่งสิงเป็นศัตรูกัน ให้พวกเขาคอยขัดแข้งขัดขาซูจิ่งสิงดังนั้น ตอนนี้หลี่เฉิงอันไม่ใช่ท่านโหวน้อยหลี่แล้วเมื่อได้ยินว่ามีพระราชโองการ หลี่เฉิงอันรีบคุกเข่าทันที“ด้วยพระบัญชาฝ่าบาท เฉิงอันศิษย์ข้าประพฤติตนดี อุปนิสัยหนักแน่น วันนี้ คืนตำแหน่งบรรดาศักดิ์โหว กลับมาบริหารเจดีย์กู่หนิงอีกครั้ง”เมื่อคนสกุลหลี่ฟังจบ บนใบหน้าเผยให้เห็นความปลื้มปีติ รีบพากันโขกศีรษะ“ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท ฝ่าบาทอายุ
คนสกุลหลี่ตะลึง “ท่านโหวน้อย…”มีเกียรติยศและความมั่งคั่งเช่นนี้ กลับไม่ให้อวด ไม่ใช่การทรมานใจคนหรอกหรือ?“ฟังท่านโหวน้อยเถอะ” หลี่ชิวเตี๋ยพูด “ฝ่าบาทและพระมเหสีทรงห่วงใยพวกเรา พวกเรายิ่งต้องจงรักภักดีต่อพวกเขา จึงจะสามารถสืบสานความรุ่งโรจน์ต่อไป”“ชิวเตี๋ย เจ้ารู้ความแล้ว”ผู้อาวุโสสามมองลูกสาวอย่างปลื้มปีติแวบหนึ่ง ลูกสาวช่างน่าเวทนานัก ตอนแรกชอบใต้เท้าทัง แต่ปรากฏว่าเป็นผู้ชายกากเดนต่อมาก็ชอบอวิ๋นมู่ แต่น่าเสียดาย อวิ๋นมู่มองข้ามความรักของนางล้มเหลวในความรักสองครั้ง ขัดเกลาให้นางเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น“สกุลหลี่มีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะราชสำนัก ย่อมต้องจงรักภักดีต่อราชสำนัก”หลี่เฉิงอันถือหนังสือไปที่ห้องหนังสือ เขาต้องศึกษาหนังสือที่อาจารย์หญิงเขียนเองกับมืออย่างละเอียด จึงจะถือว่าไม่ทำให้อาจารย์หญิงผิดหวังขันทีออกจากจวนโหว ก็ไปที่สกุลฟู่ตรงปากทาง ชายสวมเสื้อผ้าธรรมดาที่มีสีหน้าเย็นชา มองดูข้าหลวงเดินมา“ซูเซ่อ เจ้าไปไกลแล้ว” คนข้างๆ ตบไหล่ของเขา “ได้ยินมาว่าสกุลซูถูกแต่งตั้งเป็นกั๋วกงแล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็คือเจิ้นเป่ยอ๋อง ก่อนหน้านี้เป็นญาติผู้พี่ของเจ้าจะไม่ใช้
ทุกคนพลางสนทนา พลางวิ่งไปที่ร้านอาหารในร้านอาหารมีอาหารป่าอาหารทะเลและสุราชั้นยอดจัดวางเต็มไปหมด กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศและสุรา ยั่วจนทำให้ทุกคนน้ำลายไหล“เยี่ยมไปเลย พระมเหสีแต่งงาน พวกเราก็มีลาภปาก”“อยากให้พระมเหสีจะแต่งงานบ่อยๆ จัง…โอ๊ย!” เขาโดนตีที่ศีรษะ มู่หรงฉางเล่อส่ายหน้า “เจ้านี่น่ะ พูดไม่เป็นก็หุบปาก ไปจะอยากได้คำอวยพรเช่นนี้ของเจ้า”แต่งงานบ่อยๆ ญาติผู้พี่ของนางจะไม่เป็นบ้าหรือ“ข้าน้อยพลั้งปาก ข้าน้อยพลั้งปาก แฮ่ๆ”เขายิ้มแล้วยิ้มอีกอย่างขอโทษ พลางยื่นมือตบปากตัวเอง“ข้ามันพูดจาไม่เป็น ไม่ได้หมายความเช่นนี้ ขออวยพรให้ฝ่าบาทและพระมเหสีมีความสุขร่วมกันเป็นนิรันดร์”“เช่นนี้ค่อยน่าฟังหน่อย”มู่หรงฉางเล่อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นลากลั่วยางไปนั่งลงที่โต๊ะว่างที่แท้พวกนางสองคนว่าง จึงมาร่วมสนุกที่ร้านอาหาร“ข้าชอบกินขาหมู อย่ามาแย่งกับข้า!”มู่หรงฉางเล่อหยิบขาหมูขึ้นมาหนึ่งชิ้น ก็ยัดใส่ปากด้วยความตื่นเต้นทันที“ใจเย็นๆ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก พวกนี้ล้วนเป็นของเจ้า”ลั่วยางส่ายศีรษะ นางไม่เคยใส่ใจเรื่องอาหารมากนัก“ข้ารู้ พี่หญิงลั่ว ตอนนี้ท่านเป็นหัวหน้าหมอหญิ
ที่อวิ๋นมู่ทำก็ไม่ผิดแทนที่จะยอมรับว่ามีใครคนใดคนหนึ่งขาดสติ สุดท้ายก็ลงมือทำร้ายตัวเองและฝ่ายตรงข้าม มิสู้คุยกันให้ชัดเจนตั้งแต่แรกดีกว่า“ข้ารู้ ว่าการบีบบังคับผู้อื่นย่อมมีแต่ผลเสียมา มาดื่มสุรากันเถอะ หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว”ในใจของมู่หรงฉางเล่อลำบากใจมาก ลั่วยางเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับถ้วยสุรา และนั่งดื่มกับนางเป็นจำนวนสองถ้วยกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจัดพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ภูเขาไท่ซาน ปลอบประโลมดวงวิญญาณแห่งฟ้าดิน แล้วค่อยไปจุดธูปกราบไหว้ที่ตำหนักไท่เหอจากนั้นทั้งสองคนก็พาเหล่าขุนนางและพลทหารกลับพระราชวังเวลานี้ภายในพระราชวังถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าไหมสีแดง หน้าประตูวังถูกปูด้วยพรมสีแดงสดไปจนถึงตำหนักใหญ่ โคมไฟสีแดงสัญลักษณ์แห่งความยินดีห้อยระโยงระยางลงมาจากเพดาน มีการเขียนพรรณนาถึงภาพของหงส์ล้อโบตั๋นหรือไม่ก็ภาพของคู่รักที่เคียงคู่กันไว้บนโคมไฟกู้หว่านเยว่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีแดงทั้งตัว ชายกระโปรงยาวลากพื้น โดยมีสาวใช้สองคนคอยช่วยถืออยู่ด้านหลัง“หนักยิ่งนัก”นางบ่นพึมพำอยู่ข้างหูของซูจิ่งสิงชุดคลุมยาวตัวนี้ช่างงดงามวิจิตร บนตัวผ้าถูกปักด้วยดิ้นทองเป็นรูปดอก
“ขอให้พระมเหสีและฝ่าบาทครองรักเหมือนวันแรก มีทายาทสืบสกุลเร็ว ๆ นะเจ้าคะ”เมื่อถึงคราวควงแขนแลกถ้วยดื่มสุรา ซูจิ่งได้ยกมือขึ้นโบกไล่ให้พวกเขาออกไปเขาลุกขึ้น หยิบถ้วยสุราสองใบเดินมาตรงหน้าของกู้หว่านเยว่“ให้พวกเขาออกไปทำไมล่ะเจ้าคะ?”นัยน์ตาของก็กู้หว่านเยว่ฉายแววไม่เข้าใจ พลางถอดพู่ระย้าสีทองตรงหน้าออกกวานหงส์ชิ้นนี้หนักยิ่งนัก กดศีรษะของนางจนแทบจะเงยหน้าไม่ขึ้น“ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ข้าอยากคุยกับเจ้าในบรรยากาศที่เงียบสงบบ้าง”ซูจิ่งสิงคว้ามือของกู้หว่านเยว่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขายื่นถ้วยสุราใบหนึ่งไปตรงหน้าของกู้หว่านเยว่“ดื่มสุราเคียงคู่ยามพลบค่ำ”กู้หว่านเยว่หัวเราะเยาะเสียงต่ำ จากนั้นก็รับถ้วยสุราใบหนึ่งและตอบว่า“ห้วงคำคึงถึงแดนไกล”ทั้งสองคนสบตากันและกันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก“ช่างงดงามยิ่งนัก”ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเบา ๆ“เป็นวันที่งดงามยิ่งนัก บัดนี้เจ้าได้นั่งอยู่ตรงหน้าของข้าอย่างปลอดภัย ส่งยิ้มแห่งความสุขให้ข้า ข้าอยากให้เวลาหยุดอยู่แค่ตรงนี้จริง ๆ”“อื้อ “ข้าก็เหมือนกัน”กู้หว่านเยว่เขินอาย ก่อนจะก้มหน้าลงแม้จะบอกว่าจิตใจมนุษย์เปลี่ยนแปลงไ
“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว”“นี่เป็นแมงป่องพิษที่หนานเจียงของเราใช้ความพยายามอย่างมากในการเพาะเลี้ยงออกมา พวกเจ้ากลับเผามันทั้งเช่นนี้ ต้องการเป็นศัตรูกับหนานเจียงของเราหรือ?”ในใจเฟิ่งหวู่โจวกำลังมีเลือดไหลแล้ว กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง“เจ้าพูดถูกแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้าฉีขอประกาศสงครามกับหนานเจียงอย่างเป็นทางการ”“อะไรนะ?”เฟิ่งหวู่โจวก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงขั้นนี้ คราวนี้ไปกันใหญ่แล้ว ต้าฉีโดนพวกเขายั่วจนโมโห จะเปิดศึกกับพวกเขา“พวกเจ้าเพิ่งจบสงครามไม่ใช่หรือ แคว้นของพวกเจ้าเกิดความอดอยากมากมายไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าไม่ควรพักฟื้นหรือ? พวกเจ้าบุ่มบ่ามเปิดศึกกับพวกเรา รู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?”เฟิ่งหวู่โจวร้อนใจจนแสดงออกทางสีหน้าสามารถมองออกได้ว่าเขากำลังตื่นตระหนกจากสีหน้า“ผลที่ตามมาอะไร หนานเจียงของเจ้ากล้าฆ่าแม่ทัพต้าฉีของเรา ต้าฉีของเรายังต้องอดกลั้นอีกหรืออย่างไร?”กู้หว่านเยว่มองแมงป่องพิษที่อยู่ใจกลางท้องพระโรงแวบหนึ่ง ภายใต้การถูกไฟย่าง แมงป่องพิษตัวนั้นถูกย่างจนกลายเป็นสีเหลืองทองและกรอบแล้ว“ไปจูงสุนัขมา
“ท่านนี้คือพระมเหสีของต้าฉีกระมัง ท่านโปรดช่วยพูดจาระวังหน่อย ถ้าหากทำให้ราชาแมงป่องพิษที่อยู่ข้างหลังข้าโกรธ ระวังจะตายไม่รู้ตัว”เฟิ่งหวู่โจมกล่าวข่มขู่ด้วยสายตาเย็นชา“แกร๊ก!”ราชาแมงป่องพิษที่อยู่ข้างหลังเขาชูห่างขึ้น แสดงแสนยานุภาพหางชี้ไปทางเหล่าขุนนาง ทุกคนตกใจจนเกือบจะกรีดร้องออกมา“ฮ่าๆๆ!”เฟิ่งหวู่โจวหัวเราะอย่างได้ใจ“ช่วยด้วย แมงป่องตัวนี้น่ากลัวมาก”“เหตุใดจึงมีแมงป่องพิษที่ตัวใหญ่เช่นนี้ ไม่เคยพบไม่เคยเห็นจริงๆ”“แมงป่องผิดตัวนี้แหละ ที่กัดชาวบ้านตายกลางถนนใช่หรือไม่?”เหล่าขุนนางต่างหวาดกลัวโดยเฉพาะพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ไม่เป็นวรยุทธ์ ล้วนหวาดกลัวแมงป่องพิษขนาดใหญ่ตัวนี้“เจ้า?”เวลานี้เอง ซูจิ่งสิงชักกระบี่สุริยันคำรามที่ข้างบัลลังก์มังกรออกมากะทันหัน และพุ่งตัวออกไป ใช้กระบี่พาดคอของเฟิ่งหวู่โจวโดยตรงเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน เฟิ่งหวู่โจวตั้งตัวไม่ทัน“นี่เจ้าจะทำอะไร? ข้า ข้าคือองค์ชายของหนานเจียงนะ”“องค์ชายของหนานเจียงแล้วอย่างไร?”ซูจิ่งสิงยกกำปั้นขึ้น ชกไปที่ใบหน้าของเขาโดยตรง“ซูจิ่งสิง!” เฟิ่งหมิงกวงตะโกนเสียงดัง รีบออกคำสั่งราชาแมงป่องพิษโจม
“สัตว์ประหลาดตัวนั้นฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง เวลามันคลั่งขึ้นมาไม่สามารถควบคุม”ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับซูจื่อชิง เช่นนั้นก็เลือดเชื้อพระวงศ์สาดจริงๆ แล้ว“ข้ารู้ แต่ข้าทนดูไม่ได้จริงๆ”ซูจื่อชิงกัดฟันกล่าว“ให้ข้าคิดดูก่อนว่าแมงป่องคิดไม่ถูกกับอะไร”“สิ่งที่แมงป่องพิษไม่ถูกชะตาหรือ เหอๆ ก็ต้องเป็นข้าอยู่แล้ว”กู้หว่านเยว่หัวเราะอย่างเย็นชา จับมือซูจิ่งสิงเดินไปหลังจากเหล่าขุนนางเห็นฮ่องเต้และพระมเหสี ในที่สุดก็ก็หาความมั่นใจกลับคืนมาได้บ้าง ต่างพากันคำนับคนทั้งสองทันที“ถวายบังคมฝ่าบาทและพระมเหสี ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี พระมเหสีอายุยืนพันปีพันปีพันพันปี”“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งสิงโบกมือ ใช้หางตาเหลือบมองเฟิ่งหวู่โจวอย่างเหยียดหยาม“ฮึ่ม” ขาพ่นลมออกจากจมูก ในสายตาเต็มไปด้วยการดูถูก“บังอาจ เหตุใดเห็นฝ่าบาทและพระมเหสีแล้วยังไม่คุกเข่า?” เกาเจี้ยนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด สะเทือนจนผู้คนแสบแก้วหูเฟิ่งหวู่โจวยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง “ลูกหลานหนานเจียงของเรา เบื้องบนคุกเข่าต่อฟ้าดินและกษัตริย์กับฮองเฮา เบื้องหลังคุกเข่าต่อพ่อแม่และผู้อาวุโส ไม่มีธรรมเนียมคุกเข่าต่อฮ่องเต้แคว้นอื่
นางได้ยินมาว่าองค์ชายสามหนานเจียงคนนั้นปล่อยสัตว์ประหลาดออกมาทำร้ายคนกลางถนน และกัดคนตายไปหนึ่งคน หลายวันมานี้ นางกับยายเฒ่าอู่ปิดประตูจวน ไม่กล้าออกไปไหนเลย“น้องหญิง ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร แต่ข้าเป็นขุนนางของต้าฉี ต้องช่วยราชสำนักแบ่งเบาภาระ”การประชุมใหญ่พรุ่งนี้ ถ้าเขาในฐานะราชเลขาธิการกลัว ปิดประตูไม่กล้าออกจากบ้าน เมื่อถูกเผยแพร่ออกไปจะยิ่งไกลเป็นที่หัวเราะเยาะของชายหนานเจียงยายเฒ่าอู่พึมพำที่ข้างๆ “ทำไร่ทำนาในหมู่บ้านดีที่สุดแล้ว เป็นขุนนางกลับมีเรื่องมากมายให้กังวล ไม่มีเวลาห่วงชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ”เว่ยเฉิงหัวเราะ “ท่านแม่พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก”“ไม่ถูกยังไง?”“ท่านแม่ลืมแล้วหรือ ตอนที่ข้ายังไม่ผ่านการสอบ ครอบครัวของพวกเราอยู่ที่ชนบท มักจะถูกอันธพาลท้องถิ่นรังแก มีครั้งหนึ่ง เพื่อปกป้องเจียงหรง ท่านแม่เกือบโดนทุบหัว”คำพูดของเว่ยเฉิง ทำให้ยายเฒ่าอู่นึกถึงความทรงจำในอดีตนางถอนหายใจ “มนุษย์นี่นะ ไม่ว่าเวลาไหนมีเรื่องให้กังวลตลอด”ชาติกำเนิดของพวกเขาคือชาวนา และนางก็เป็นแม่หม้าย ต้องเลี้ยงเว่ยเฉิงอย่างความยากลำบากมารดากับภรรยาเริ่มถอนหายใจ ลูกชายตัวน้อยในเปลก็เหมือนเริ่ม
“ลูกชายของเจ้าตายแล้ว แต่ลูกสะใภ้เจ้าก็เป็นมนุษย์เช่นกัน นางเสียใจไม่เป็นหรือ?เจ้าเสียใจ เจ้าก็ไปหาคนที่เป็นต้นเรื่อง เจ้ามาระบายใส่คนกันเองเช่นนี้ นี่มันตรรกะอะไร?“เจ้า เจ้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวโมโหจนพูดไม่ออก นายท่านโจวก็โมโหยายเฒ่าอู่เช่นกันพวกเขาคุยกันในบ้านตัวเอง เหตุใดจึงมีหญิงชราที่ไม่รู้จักคนหนึ่งแทรกเข้ามาอีกทั้งหญิงชราคนนี้ยังพูดจาไม่น่าฟังเลยเขาอยากถกเถียงกับยายเฒ่าอู่ด้วยเหตุผลแต่ยายเฒ่าอู่เป็นใคร?นางเป็นคนบ้านนอก และยังเป็นแม่หม้าย ปากร้ายจนคนทั้งหมู่บ้านต้องยอม นายท่านโจวหาใช่คู่ต่อสู้ของนาง เถียงกันไปเถียงกันมาครู่หนึ่ง ก็โดนนางต่อว่าจนหน้าแดง“ข้าก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของครอบครัวเจ้าหรอก ใครใช้ให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงดังจนข้าได้ยิน เห็นพวกเจ้ารังแกคนเช่นนี้ ข้าไม่สามารถนิ่งดูดายได้ ข้าขอแนะนำพวกเจ้าสักคำ สร้างสมบุญกุศล อย่าให้ลูกชายของพวกเจ้าไม่สามารถไปสู่สุคติ”“เจ้า เจ้า!”นายท่านโจวทนไม่ไหวแล้ว“เจ้าเป็นคนของบ้านไหนกันแน่?”เขาดูการแต่งตัวของยายเฒ่าอู่ คิดว่านางเป็นคนรับใช้ของเจ้าของบ้าน“ไปเรียกเจ้านายเจ้ามา ข้าจะลองถามเขาดูว่า เขาอบรมสั่งสอนคนรับใช้เช่
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเจ็บใจ นางมีลูกชายแค่คนเดียว เพื่อเหลียงถงอวี้คนนี้ เขาดึงดันจะออกจากด่านหานกู่ พานางมาเมืองหลวง“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เขาก็ยังอยู่ด่านหานกู่ เบื้องบนก็จะไม่ส่งเขาไปทำงานนี้ ล้วนเป็นเพราะเจ้า!”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวผลักหน้าอย่างแรง เหลียงถงอวี้กัดริมฝีปากล่างแน่นเพราะคำพูดของนางนางมองผู้อาวุโสทั้งสองคนใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าโจวเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อนาง สายตาที่นายท่านโจวมองนางก็เต็มไปด้วยเจตนาร้ายเช่นกันโจมเสี้ยนเป็นแม่ทัพ ถ้าหากตายในสนามรบ นั่นก็ถือว่าตายอย่างมีเกียรติตายด้วยน้ำมือของชาวหนานเจียง?และยังตายไปพร้อมกับคำกล่าวหาเช่นนี้ ชื่อเสียงที่สร้างมาทั้งชีวิตจบสิ้นแล้วเขาที่เป็นพ่อคนนี้ จะไม่แค้นเคืองได้อย่างไร?“นางพูดถูก เสี้ยนเอ๋อร์ตายเพราะเจ้า”“เจ้าคืนลูกชายข้ามา เจ้าคืนลูกชายข้ามา!”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวพุ่งออกไป ตบตีตามร่างกายเหลียงโจวอวี้ นางเสียใจและสิ้นหวังจนเกือบจะเป็นลม“เจ้ายังจะอยู่ที่นี่ทำไม เจ้ายังไม่รีบไปอีก!”นายท่านโจวอุ้มฮูหยินผู้เฒ่าโจวไว้ หันไปไล่เหลียงถงอวี้ ราวกับนางเป็นโรคระบาด“ข้างบ้านทะเลาะอะไรกัน?”ข้างบ้าน ยายเฒ่าอู่ยืนอุ้มเ
“ฮึ่ม ต้าฉีกล้าฆ่าชวีเฟิง และยังกล้าขังพี่หญิงใหญ่ของข้า ข้าย่อมต้องทำให้พวกมันสำนึก”เฟิ่งหวู่โจวควบคุมแมงป่องยักษ์ไปพลาง คิดจะทำร้ายราษฎรอีกเวลานี้เอง เกาเจี้ยนขี่ม้า พาองครักษ์จันทรากลุ่มหนึ่งวิ่งมา“หยุดเดี๋ยวนี้!”เกาเจี้ยนกล่าวด้วยเสียงอันดังก้องราวกับฟ้าผ่า “เหลวไหลสิ้นดี ราษฎรไม่รู้อะไรด้วยเลย เจ้าปล่อยแมลงร้ายนี่ออกมาทำร้ายราษฎรตามใจชอบได้อย่างไร!”เขาชีทวนยาวไปทางเฟิ่งหวู่โจว“องค์ชายสาม รีบเก็บแมลงร้ายของเจ้ากลับไปซะ เช่นนั้นข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่”“เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้กับข้า?!”เฟิ่งหวู่โจวหรี่ตา กำลังจะระเบิดอารมณ์ ทว่าผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ ห้ามเขา“องค์ชายสาม ท่านอย่าวู่วาม”ผู้ติดตามห้ามปรามเสียงเบา“องค์หญิงใหญ่ยังอยู่ในมือพวกเขาขอรับ”เฟิ่งหวู่โจวหยุดการกระทำอย่างที่คิด“บ้าจริง ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวพวกเขาจะทำอะไรพี่หญิงใหญ่ ข้าไม่สนใจความเป็นความตายของพวกมันหรอก ให้ราชาแมงป่องพิษกินพวกเขาทั้งเป็นให้หมดเลย!”“กลับไป”เขาเป่าขลุ่ยในมือ แมงป่องเหลือบมองเกาเจี้ยนแวบหนึ่ง หมุนกายกลับเข้ารถม้า“สถานีพักม้าอยู่ทางนี้ องค์ชายสามเชิญตามพวกเรามา” เกาเจี้ยนมองซากศพท
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของหนานเจียง มีจุดประสงค์เพื่อตบหน้าต้าฉี ทำให้ราชวงศ์ต้าฉีที่เพิ่งก่อตั้งอับอายขายหน้า“โจวฮูหยิน ข้ากับฝ่าบาทจะให้คำอธิบายกับเจ้าแน่นอน”“ขอบพระทัยพระมเหสีเพคะ”เหลียงถงอวี้คำนับจากใจ ก้าวเดินออกจากวังหลวงไปอย่างสิ้นหวังทีละก้าว“หนานเจียง ไม่ควรเก็บไว้อีกแล้ว”สายตาซูจิ่งสิงเย็นเยียบ เกิดเจตนาฆ่าในใจวันต่อมา เฟิ่งหวู่โจวมาถึงเมืองหลวงหลังจากเขาฆ่าโจวเสี้ยนไม่เพียงไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย ตอนอยู่ที่ประตูเมือง ยังทำร้ายราษฎร ถีบขุนนางตกจากม้า และถ่มน้ำลายใส่ชาวต้าฉีเหิมเกริมสุดขีด“องค์ชายสาม พวกเราทำเช่นนี้ มันจะเกินไปหน่อยหรือไม่?”แม้แต่ผู้ติดตามก็รู้สึกผิด กล่าวเกลี้ยกล่อม“อย่างไรก็อยู่ถิ่นของต้าฉี ถ้าหากทำให้ต้าฉีโกรธ นี่…”“เจ้ากลัวทำไม?”ถนนจูเชวี่ย เฟิ่งหวู่โจวขี่อยู่บนหลังม้าที่สูงใหญ่ สีหน้าได้ใจนักหน้าตาของเขาสู้เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้ แต่แต่งกายประณีตมาก สวมชุดเจียงหนาน และยังสวมกำไลเงินบนข้อมือหลายวง ขณะที่เขาดึงสายบังเหียน เสียงกรุ๊งกริ๊งดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษราษฎรที่ผ่านไปมาล้วนได้ยินพฤติกรรมที่เหิมเกริมของเขาแล้ว รีบหลบตามสองข้างทางด้ว
“บ่าวไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”ชิงเหลียนหมุนกายวิ่งออกไปทันทีวันนี้คนที่เข้าเวรที่สำนักหมอนหลวงคือลั่วยางพอดี เมื่อเห็นชิงเหลียงมาเรียกคน คิดว่ากู้หว่านเยว่เป็นอะไรเสียอีก รีบคว้ากล่องยาตามออกไปทันทีหลังจากตามมาจึงจะรู้เรื่องของโจวเสี้ยนจากปากชิงเหลียน“นายท่านกับฮูหยินกำลังรู้สึกผิด ไม่ว่าจะส่งใครไป ท้ายที่สุดนี่ก็คือจุดจบของเรื่องนี้ ไม่มีใครถ้าคิดว่าองค์ชายหนานเจียงจะบ้าเช่นนี้หมอหญิงลั่ว หลังจากท่านเข้าไป ต้องเกลี้ยกล่อมฮูหยินดีๆ นะ”ลั่วยางพยักหน้า “น่าสงสารโจวฮูหยินมาก”“ก็นั่นน่ะสิ กว่าจะได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”เดิมทีสกุลโจวก็ไม่ชอบนางอยู่แล้ว ในที่สุดโจวเสี้ยนก็ได้แต่งงานกับนาง และมาซื้อบ้านอยู่ในเมืองหลวงวันดีๆ กำลังจะมาอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าเพิ่งแต่งงานได้หนึ่งเดือน ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ระหว่างที่ทั้งสองสนทนา ก็ได้มาถึงตำหนักข้างที่ให้โจวฮูหยินพักชั่วคราวแล้วหลังจากลั่วยางคำนับทั้งสอง ก็เข้าไปตรวจชีพจรให้โจวฮูหยิน“เสียใจมากเกินไป ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หม่อมฉันจ่ายยาก็ดีขึ้นเองเพคะ”ลั่วยางเขียนตำรับยาหนึ่งแผ่น ให้ผู้ช่วยไปเอายาที่สำนักหมอหลวง ผ่านไปครู่หนึ่ง