เรื่องราวที่ตระกูลกู้ถูกตระกูลต้วนถอนหมั้นอย่างไม่ไว้หน้า ได้ถูกเล่าลือไปทั่วทั้งเมืองหลวงในเช้าวันต่อมา ทว่ากู้มู่เฉินก็ยังพาภรรยาเดินทางกลับสกุลเดิมตามกำหนดการเดิม ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตน ขบวนรถม้าที่เคลื่อนผ่านชาวบ้านไป ยังคงเรียกสายตาให้คนมองมาได้เป็นอย่างดี
“หากเป็นคุณชายใหญ่ พวกเจ้าว่าตระกูลต้วนยังจะถอนหมั้นกับตระกูลกู้อยู่หรือไม่” เสียงของชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามสหายข้างกาย“ไม่มีทางหรอก ผู้ใดในเมืองหลวงที่จะไม่รู้บ้าง ว่าท่านใต้เท้าต้วนอยากได้คุณชายใหญ่กู้มู่เฉินไปเป็นลูกเขย แต่ทว่าคุณชายใหญ่กู้กลับพบรักกับคุณหนูรองสกุลซูไปเสียก่อน ถึงเขาจะอยากได้คุณชายใหญ่กู้ไปเป็นบุตรเขยเพียงใด แต่จะให้ตัดใจยกบุตรีที่ตนหวงแหนให้เป็นอนุของอีกฝ่าย ท่านใต้เท้าต้วนก็มิอาจตัดใจทำได้ลง” ชายผู้นั้นตอบสหายให้หายข้องใจ ทว่าอีกฝ่ายยังคงสงสัย ยังคงแสดงความคิดเห็นของตนออกมา“แต่ก็ไม่รู้คุณชายรองกู้กระทำผิดอันใด คุณหนูรองต้วนถึงได้ยอมเปลี่ยนใจให้บิดาถอนหมั้นเขาอย่างไม่เกรงว่านางจะหาบุรุษออกเรือนไม่ได้อีก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ายังดื้อรั้นอยากจะหมั้นหมายกับเขาอยู่เในเย็นวันนี้ที่เรือนพักของอนุเซียวจึงมีบรรยากาศที่ครึกครื้นยิ่งนัก หลูเจียงหลียิ้มออกมาจนแก้มปริ ครั้นได้รู้ว่าวันนี้กู้อี้เหวินได้ให้บิดาของเขา ส่งแม่สื่อมาขอหมั้นหมายและสู่ขอนางไปเป็นภรรยาเอก ไม่คิดว่านางอยู่ของนางเงียบๆ เฉยๆ ข้างกายเขา สุดท้ายนางก็กลายเป็นสตรีที่สมหวัง สมความปรารถนาไปเสียได้ อนุเซียวเองก็มองบุตรสาวด้วยแววตาที่แสดงออกมาถึงความภาคภูมิใจ สิ่งที่นางสั่งสอนไปบุตรสาวคงจะเรียนรู้และรับไปเป็นอย่างดี สุดท้ายสิ่งที่นางคอยพร่ำสอนก็ไม่สูญเปล่า“พรุ่งนี้เจ้าเอาเงินนี่ไปตัดชุดงามๆ หลายๆ ชุด หากเจ้าได้ออกเรือนไปจริงๆ จะได้ไม่อายพี่สะใภ้ของเจ้า ข้าได้ยินมาว่า นางเป็นถึงบุตรีของท่านแม่ทัพ ที่เคยชนะศึกชายแดนเมืองโหยว่ถิงเมื่อสองปีก่อน ท่านแม่ทัพผู้นี้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทยิ่งนัก เจ้าแต่งเข้าไปก็อย่าได้ไปมีเรื่องบาดหมางอันใดกับนางเชียวล่ะ มิเช่นนั้นแม้แต่สามีของเจ้าก็คงช่วยเหลือเจ้าเอาไว้ไม่ได้”ใต้เท้าหลูมอบถุงเงินให้บุตรสาวก่อนที่จะกล่าวออกมา เขาไม่ลืมที่จะกำชับเรื่องไม่ให้นางไปเป็นศัตรูกับพี่สะใภ้ของนาง เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพ หากบุตรสา
หลังจากที่ซูเยว่ซินกลับจากการเยี่ยมสกุลเดิมได้เพียงแค่สองวัน อนุซินก็ทนพิษบาดแผลและทนความหิวโหยไม่ไหว นางได้สิ้นใจตายไปอย่างทรมาน แม้แต่กู้อี้เหวินบุตรชายแท้ๆ นางก็ไม่ได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย หาใช่เป็นคำสั่งของใต้เท้ากู้ไม่ ทว่าเป็นกู้อี้เหวินเองที่นึกรังเกียจ ไม่อยากเห็นสภาพที่น่าสมเพชเวทนาของมารดา“แม้นางจะกระทำความผิดจนได้รับการลงทัณฑ์จนตาย แต่ถึงเช่นไรแล้วนางก็มีศักดิ์เป็นอนุในเรือนของเรา อีกทั้งยังเป็นสตรีที่ให้กำเนิดทายาทแก่ตระกูลกู้ ข้าว่าหาสุสานที่มีฮวงจุ้ยดีๆ เพื่อฝังร่างของนาง ให้นางได้ปล่อยวางจากโลกนี้ไปอย่างตาหลับเถิดนะเจ้าคะ"กู้ฮูหยินกล่าวออกมา หลังจากที่นั่งปรึกษาหารือกันกับสามีอยู่ในเรือนใหญ่ เพราะตามหลักธรรมเนียมปฏิบัติของจวนขุนนางแล้ว หากอนุภรรยาตายไป จะไม่มีการจัดพิธีศพให้ แต่จะแห่ออกไปทำพิธีฝังเลย ท่านใต้เท้ากู้ได้รายงานเรื่องนี้ให้แก่ทางการทราบ ว่าอนุภรรยาของตนสิ้นใจตายเพราะอาการเจ็บป่วยแต่ผู้ใดเลยจะมาสนใจอนุภรรยาในเรือนที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่มีผู้ใดสอบถามถึงสาเหตุการจากไปของนางให้มากความ ทำให้คนนอกไม่มีผู้ใดรู้ความจริงเลยว่า อนุภร
ครั้นทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและยกน้ำชาลาบิดามารดาฝั่งเจ้าสาวเสร็จ กู้อี้เหวินก็พาหลูเจียงหลีขึ้นเกี้ยวกลับจวนทันที ระยะทางจากจวนตระกูลหลูไปถึงจวนตระกูลกู้นั้นหาได้ไกลกันนัก ทำให้ขบวนรับเจ้าสาวเดินทางไปถึงจวนตระกูลกู้อย่างรวดเร็ว กู้อี้เหวินไม่แม้แต่จะกระทำเช่นเดียวกับกู้มู่เฉิน ที่นำพาขบวนเกี้ยวเจ้าสาววนอยู่ในเมือง เพื่อให้ชาวเมืองได้พากันมาชื่นชม ทว่าเขากระทำการทุกอย่าง อย่างเร่งรีบจนหลูเจียงหลีรู้สึกไม่ค่อยพอใจ และเริ่มไม่ค่อยมั่นใจว่าเขาอยากจะแต่งงานกับนาง แต่ถึงเช่นไรแล้วนางก็ยังต้องการการแต่งงานนี้อยู่ดีหลังจากถึงจวนตระกูลกู้ กู้อี้เหวินก็เดินนำหน้าเจ้าสาวเข้าจวนไปโดยที่ไม่สนใจนางเลยแม้สักนิด ราวกับว่าการแต่งงานในครานี้เขาเป็นฝ่ายถูกบังคับอย่างไรอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะเดินไปหยุดรอนางอยู่ในโถงพิธีด้วยใบหน้าที่เฉยชา ซึ่งด้านหน้ามีใต้เท้ากู้และกู้ฮูหยินนั่งอยู่บนตั่งด้วยใบหน้าที่กระอักกระอ่วน เดิมทีคิดว่ากู้อี้เหวินพอใจที่จะแต่งงานกับคุณหนูสี่สกุลหลูผู้นี้เสียอีก เหตุใดผ่านมาไม่นาน กู้อี้เหวินถึงได้ทำตัวเฉยชาใส่อีกฝ่ายไปเสียได้แขกที่มาร่วมงานเอง ก็คิดไม่ต่างจากที่ท่านใต้เท
ณ จวนตระกูลกู้ จวนของตระกูลขุนนางที่มีรั้วสูงท่วมศีรษะ ภายในเรือนใหญ่ของผู้นำตระกูล ปรากฏร่างของสตรีนางหนึ่งในลักษณะท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นเรือน มือข้างหนึ่งของนางยันพื้นเอาไว้ มืออีกข้างถูกยกขึ้นมากุมหน้าอกเพราะความรู้สึกเจ็บปวด ด้านนอกเรือนมีร่างของสาวรับใช้คนสนิทที่เพิ่งจะสิ้นใจไปก่อนหน้า เพราะถูกลูกน้องของผู้ชายสารเลวตรงหน้าแทงด้วยมีดอันแหลมคม แม้แต่ตัวนางเองในยามนี้ก็คงไม่อาจจะมีชีวิตรอดไปได้แล้วเช่นกัน“เพราะเหตุใด ท่านกับนางถึงได้ร่วมมือกันสังหารข้าได้ลงคอ ข้าคือภรรยาของท่านนะ กู้อี้เหวิน อ๊อก!!”โลหิตสีดำกระเด็นออกมาจากริมฝีปากที่เคยงดงาม ยามนี้มันเริ่มเปลี่ยนสีเป็นม่วงคล้ำจนไม่น่ามอง สาเหตุมาจากยาพิษที่นางเพิ่งจะดื่มเข้าไป นัยน์ตากลมยามนี้แดงก่ำจ้องมองสามีอันเป็นที่รัก โอบกอดร่างบางของสหายสนิทของนางเอาไว้ในอ้อมอก ด้วยความเคียดแค้น“โถๆๆ ซูเยว่ซิน เจ้าช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่งนัก ไหนๆ เจ้าก็จะตายอยู่แล้ว ข้าจะเมตตาบอกความจริงทั้งหมดให้เจ้ารับรู้ก็แล้วกัน ข้ากับท่านพี่อี้เหวิน เรารักกันมานาน ก่อนที่เขาจะได้พบกับเจ้าเสียอีก แต่เป็นเจ้าที่โง่เอง คิดว่าเขารักเจ้าจริง จนย
วันเวลาผ่านล่วงเลยไปจนเข้าปลายเหมันตฤดู นับจากวันที่ซูเยว่ซินฟื้นจากอาการป่วย วันนี้ก็นับได้เกือบหกเดือนแล้ว และถึงแม้ซูฮูหยินหรือสวีซูหลิง จะส่งสารมาตามตัวบุตรสาวให้กลับจวน ทว่าซูเยว่ซินกลับไม่ยินยอมที่จะกลับไป อีกทั้งฝีมือการฝึกวรยุทธ์ของนาง ก็ดูจะก้าวหน้าขึ้นไปทุกวัน มีหรือที่นางจะกลับไปให้มารดาเคี่ยวกรำงานของสตรีเรือนหลังให้แก่นางนางรู้ดีว่าถึงเยี่ยงไรแล้ว สงครามชายแดนเมืองโหย่วถิงในครานี้ บิดาและพี่ชายจะเป็นผู้ชนะศึก ก่อนพิธีปักปิ่นของนางในอีกสองปีข้างหน้าอย่างแน่นอน นางเองก็อยากที่จะมีส่วนร่วม เป็นส่วนหนึ่งในสนามรบ ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกับบิดาและพี่ชาย ถามว่านางกลัวหรือไม่ นางตอบได้เลยว่าไม่กลัว เพราะจะมีสิ่งใดที่น่ากลัวไปยิ่งกว่า การถูกคนที่รักทรยศและหักหลังอีก"คุณหนูรอง ท่านจะไม่กลับจวนตระกูลซูในยามนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ" สาวรับใช้คนสนิทของซูเยว่ซินถามนางออกมาในขณะที่ส่งลูกธนูให้“ไม่…ข้าจะกลับไปพร้อมกับท่านพ่อและพี่ใหญ่”นางตอบก่อนที่จะรับลูกธนูมาจากมือของสาวรับใช้ จากนั้นจึงใส่เข้าไปในคันธนู แล้วง้างสายจนสุดแขน ลูกธนูถูกปล่อยไปอย่างมั่นคง มุ่งสู่เป้าหมายอย่างไม่ล
ขบวนกองทัพทหารของสกุลซูเคลื่อนทัพกลับเมืองโหย่วถิง หลังจากสงครามชายแดนเมืองโหย่วถิงจบลง ซูฮูหยินที่ได้ยินเรื่องราวของบุตรีมาโดยตลอด ก็อดที่จะรู้สึกเป็นห่วงซูเยว่ซินไม่ได้ ไปคลุกคลีอยู่กับเหล่าบุรุษมาตั้งนานเกือบสามปี กลับมาครานี้นางจึงวางแผนเอาไว้ว่าจะจับบุตรสาว ให้มาเรียนรู้งานของสตรีในเรือนหลัง เพราะอีกไม่นานบุตรสาวก็จะเข้าสู่วัยปักปิ่นแล้ว ซูเยว่ซินเองก็รู้แก่ใจดี ว่ากลับจวนมาแล้วนางต้องพบเจอกับเรื่องอันใด ทว่านางก็ไม่มีหนทางที่จะหลบลี้หนีหน้ามารดาไปได้“มีสตรีใดบ้าง ออกไปวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในสนามรบกับพวกบุรุษเยี่ยงเจ้า ตั้งแต่นี้ต่อไป ให้อยู่แต่ในเรือน คอยเรียนรู้งานของสตรีกับแม่” ซูฮูหยินกล่าวออกมาทันทีหลังจากที่ต้อนรับการกลับมาของสามีและลูกๆ เสร็จทั้งใต้เท้าซูและซูเยว่คงต่างพากันนึกขันแกมเอ็นดูซูเยว่ซิน ทว่าหามีผู้ใดกล้าช่วยนางพูดเกลี้ยกล่อมมารดาสักคน แต่มิเป็นอันใดเพราะอีกไม่นานตระกูลซูก็ต้องย้ายจวนไปอยู่ในเมืองหลวงอยู่ดี ท่านแม่ของนางก็จะได้ควบคุมนางจนกว่าจะถึงวันนั้น ซึ่งนับจากวันนี้ก็เหลือเพียงอีกแค่ไม่กี่วันแล้ว“เจ้าค่ะท่านแม่”ครั้นได้ยินบุตรสาวตอบออกมาเยี่ยงนั้น ซูฮูหยินก็
จากเมืองโหย่วถิง ขบวนรถม้าและเกวียนสัมภาระของตระกูลซู ต้องใช้เวลาเดินทางนานนับเดือน กว่าจะถึงเมืองหลวงของแคว้นต้าโจว ระหว่างทางซูเยว่ซินได้พบกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย แต่ทว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เหมือนกับในชีวิตก่อนของนางแทบจะไม่มีผิดเพี้ยน เช่นรถม้าของจวนที่พวกสาวรับใช้โดยสารมา ล้อเกิดพังระหว่างทางจนเสีย หรือมีเหตุการณ์โจรป่าดักปล้นพวกพ่อค้าท่านพ่อและพี่ชายของนาง ได้ออกหน้าช่วยเหลือพวกพ่อค้าที่ถูกปล้น นำเหล่าทหารกล้าของตระกูลซูที่ติดตามขบวนมาด้วย จัดการปราบปรามกลุ่มโจรจนพวกมันไม่กล้าที่จะกลับมาก่อเหตุไปนานอีกหลายปี และระหว่างทางก่อนที่จะถึงเมืองหลวง ท่านแม่ของนางและสาวรับใช้อาวุโสบางคน ก็พากันเจ็บป่วยด้วยโรคไข้ป่า ดีที่นางเตรียมยารักษามาด้วย เพราะนางรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ทำให้ทั้งท่านแม่ และสาวรับใช้อาวุโส รอดพ้นจากปากประตูผีมาได้ ผิดกับชีวิตก่อนที่กว่าจะถึงเมืองหลวง ท่านแม่ของนางก็ต้องเสียสาวรับใช้อาวุโสไปถึงสองคน“หากไม่ได้ซินเอ๋อร์ที่เตรียมยามาด้วย มีหวังแม่กับพวกสาวรับใช้อาวุโสเหล่านี้ คงไม่มีชีวิตรอดไปถึงเมืองหลวงแล้วเป็นแน่”ซูฮูหยินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงภูมิใจ บุตรสาวของ
จวนแม่ทัพที่แต่ก่อนนี้เคยเป็นจวนว่างเปล่า ทว่ายามนี้กลับคึกคักขึ้นมา เพราะว่าเจ้าของจวนคนใหม่นั้นมากด้วยบารมี ผู้คนต่างอยากที่จะเข้าหา เพื่อมาผูกมิตรกับเขา ทำให้ฮูหยินและลูกๆ ของเขา พลอยได้รับไมตรีไปด้วย ยามนี้ซูเยว่ซินรู้ดี ว่าทุกคนที่เข้ามาล้วนแล้วแต่ก็มีเป้าหมาย ผู้ใดบ้างหว่านพืชจะไม่หวังผล ค้าขายจะไม่หวังกำไร ขุนนางเหล่านี้เองก็เช่นกัน ชีวิตก่อนนางไร้เดียงสาและซื่อเซ่อจนเกินไป ทำให้ตามคนไม่ทัน ไม่เคยคิดว่าคนที่เข้ามานั้นจะหวังผลประโยชน์อันใดจากนาง ทว่าในชีวิตนี้นางมิใช่สตรีที่เคยซื่อเซ่อ และไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนเหล่านี้อีกแล้ว“บุตรีของท่านจะเข้าวัยปักปิ่นแล้วกระมัง”ใต้เท้าจ้ง เจ้ากรมการกลาโหมที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนท่านแม่ทัพซูเอ่ยถามออกมา เขามีบุตรชายคนรองในวัยไล่เลี่ยกันกับบุตรชายคนโตของท่านแม่ทัพ ทำให้เขานึกสนใจในตัวของบุตรีคนรองของท่านแม่ทัพขึ้นมา หากได้เกี่ยวดองกันจะดีเพียงใด“อีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้ากับฮูหยินก็จะจัดพิธีปักปิ่นให้นางแล้วขอรับ” ท่านแม่ทัพซูหารู้ไม่ ว่าท่านใต้เท้าจ้งนั้น แอบหมายตาบุตรีของเขาเอาไว้ให้บุตรชายคนรองของตน เขาจึงตอบออกมาตามความจริง“โอ้…ดีจริง หา
ครั้นทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและยกน้ำชาลาบิดามารดาฝั่งเจ้าสาวเสร็จ กู้อี้เหวินก็พาหลูเจียงหลีขึ้นเกี้ยวกลับจวนทันที ระยะทางจากจวนตระกูลหลูไปถึงจวนตระกูลกู้นั้นหาได้ไกลกันนัก ทำให้ขบวนรับเจ้าสาวเดินทางไปถึงจวนตระกูลกู้อย่างรวดเร็ว กู้อี้เหวินไม่แม้แต่จะกระทำเช่นเดียวกับกู้มู่เฉิน ที่นำพาขบวนเกี้ยวเจ้าสาววนอยู่ในเมือง เพื่อให้ชาวเมืองได้พากันมาชื่นชม ทว่าเขากระทำการทุกอย่าง อย่างเร่งรีบจนหลูเจียงหลีรู้สึกไม่ค่อยพอใจ และเริ่มไม่ค่อยมั่นใจว่าเขาอยากจะแต่งงานกับนาง แต่ถึงเช่นไรแล้วนางก็ยังต้องการการแต่งงานนี้อยู่ดีหลังจากถึงจวนตระกูลกู้ กู้อี้เหวินก็เดินนำหน้าเจ้าสาวเข้าจวนไปโดยที่ไม่สนใจนางเลยแม้สักนิด ราวกับว่าการแต่งงานในครานี้เขาเป็นฝ่ายถูกบังคับอย่างไรอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะเดินไปหยุดรอนางอยู่ในโถงพิธีด้วยใบหน้าที่เฉยชา ซึ่งด้านหน้ามีใต้เท้ากู้และกู้ฮูหยินนั่งอยู่บนตั่งด้วยใบหน้าที่กระอักกระอ่วน เดิมทีคิดว่ากู้อี้เหวินพอใจที่จะแต่งงานกับคุณหนูสี่สกุลหลูผู้นี้เสียอีก เหตุใดผ่านมาไม่นาน กู้อี้เหวินถึงได้ทำตัวเฉยชาใส่อีกฝ่ายไปเสียได้แขกที่มาร่วมงานเอง ก็คิดไม่ต่างจากที่ท่านใต้เท
หลังจากที่ซูเยว่ซินกลับจากการเยี่ยมสกุลเดิมได้เพียงแค่สองวัน อนุซินก็ทนพิษบาดแผลและทนความหิวโหยไม่ไหว นางได้สิ้นใจตายไปอย่างทรมาน แม้แต่กู้อี้เหวินบุตรชายแท้ๆ นางก็ไม่ได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย หาใช่เป็นคำสั่งของใต้เท้ากู้ไม่ ทว่าเป็นกู้อี้เหวินเองที่นึกรังเกียจ ไม่อยากเห็นสภาพที่น่าสมเพชเวทนาของมารดา“แม้นางจะกระทำความผิดจนได้รับการลงทัณฑ์จนตาย แต่ถึงเช่นไรแล้วนางก็มีศักดิ์เป็นอนุในเรือนของเรา อีกทั้งยังเป็นสตรีที่ให้กำเนิดทายาทแก่ตระกูลกู้ ข้าว่าหาสุสานที่มีฮวงจุ้ยดีๆ เพื่อฝังร่างของนาง ให้นางได้ปล่อยวางจากโลกนี้ไปอย่างตาหลับเถิดนะเจ้าคะ"กู้ฮูหยินกล่าวออกมา หลังจากที่นั่งปรึกษาหารือกันกับสามีอยู่ในเรือนใหญ่ เพราะตามหลักธรรมเนียมปฏิบัติของจวนขุนนางแล้ว หากอนุภรรยาตายไป จะไม่มีการจัดพิธีศพให้ แต่จะแห่ออกไปทำพิธีฝังเลย ท่านใต้เท้ากู้ได้รายงานเรื่องนี้ให้แก่ทางการทราบ ว่าอนุภรรยาของตนสิ้นใจตายเพราะอาการเจ็บป่วยแต่ผู้ใดเลยจะมาสนใจอนุภรรยาในเรือนที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่มีผู้ใดสอบถามถึงสาเหตุการจากไปของนางให้มากความ ทำให้คนนอกไม่มีผู้ใดรู้ความจริงเลยว่า อนุภร
ในเย็นวันนี้ที่เรือนพักของอนุเซียวจึงมีบรรยากาศที่ครึกครื้นยิ่งนัก หลูเจียงหลียิ้มออกมาจนแก้มปริ ครั้นได้รู้ว่าวันนี้กู้อี้เหวินได้ให้บิดาของเขา ส่งแม่สื่อมาขอหมั้นหมายและสู่ขอนางไปเป็นภรรยาเอก ไม่คิดว่านางอยู่ของนางเงียบๆ เฉยๆ ข้างกายเขา สุดท้ายนางก็กลายเป็นสตรีที่สมหวัง สมความปรารถนาไปเสียได้ อนุเซียวเองก็มองบุตรสาวด้วยแววตาที่แสดงออกมาถึงความภาคภูมิใจ สิ่งที่นางสั่งสอนไปบุตรสาวคงจะเรียนรู้และรับไปเป็นอย่างดี สุดท้ายสิ่งที่นางคอยพร่ำสอนก็ไม่สูญเปล่า“พรุ่งนี้เจ้าเอาเงินนี่ไปตัดชุดงามๆ หลายๆ ชุด หากเจ้าได้ออกเรือนไปจริงๆ จะได้ไม่อายพี่สะใภ้ของเจ้า ข้าได้ยินมาว่า นางเป็นถึงบุตรีของท่านแม่ทัพ ที่เคยชนะศึกชายแดนเมืองโหยว่ถิงเมื่อสองปีก่อน ท่านแม่ทัพผู้นี้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทยิ่งนัก เจ้าแต่งเข้าไปก็อย่าได้ไปมีเรื่องบาดหมางอันใดกับนางเชียวล่ะ มิเช่นนั้นแม้แต่สามีของเจ้าก็คงช่วยเหลือเจ้าเอาไว้ไม่ได้”ใต้เท้าหลูมอบถุงเงินให้บุตรสาวก่อนที่จะกล่าวออกมา เขาไม่ลืมที่จะกำชับเรื่องไม่ให้นางไปเป็นศัตรูกับพี่สะใภ้ของนาง เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพ หากบุตรสา
เรื่องราวที่ตระกูลกู้ถูกตระกูลต้วนถอนหมั้นอย่างไม่ไว้หน้า ได้ถูกเล่าลือไปทั่วทั้งเมืองหลวงในเช้าวันต่อมา ทว่ากู้มู่เฉินก็ยังพาภรรยาเดินทางกลับสกุลเดิมตามกำหนดการเดิม ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตน ขบวนรถม้าที่เคลื่อนผ่านชาวบ้านไป ยังคงเรียกสายตาให้คนมองมาได้เป็นอย่างดี“หากเป็นคุณชายใหญ่ พวกเจ้าว่าตระกูลต้วนยังจะถอนหมั้นกับตระกูลกู้อยู่หรือไม่” เสียงของชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามสหายข้างกาย“ไม่มีทางหรอก ผู้ใดในเมืองหลวงที่จะไม่รู้บ้าง ว่าท่านใต้เท้าต้วนอยากได้คุณชายใหญ่กู้มู่เฉินไปเป็นลูกเขย แต่ทว่าคุณชายใหญ่กู้กลับพบรักกับคุณหนูรองสกุลซูไปเสียก่อน ถึงเขาจะอยากได้คุณชายใหญ่กู้ไปเป็นบุตรเขยเพียงใด แต่จะให้ตัดใจยกบุตรีที่ตนหวงแหนให้เป็นอนุของอีกฝ่าย ท่านใต้เท้าต้วนก็มิอาจตัดใจทำได้ลง” ชายผู้นั้นตอบสหายให้หายข้องใจ ทว่าอีกฝ่ายยังคงสงสัย ยังคงแสดงความคิดเห็นของตนออกมา“แต่ก็ไม่รู้คุณชายรองกู้กระทำผิดอันใด คุณหนูรองต้วนถึงได้ยอมเปลี่ยนใจให้บิดาถอนหมั้นเขาอย่างไม่เกรงว่านางจะหาบุรุษออกเรือนไม่ได้อีก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ายังดื้อรั้นอยากจะหมั้นหมายกับเขาอยู่เ
“นายท่านขอรับ นายท่าน เกิดเรื่องแล้วขอรับ”เสียงของบ่าวรับใช้ดังมาจากด้านนอกห้อง ใต้เท้ากู้รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันใด วันนี้ในจวนของเขาช่างมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน เขาถอนหายใจออกมาก่อนที่จะเดินไปเปิดประตู แล้วออกไปฟังบ่าวรายงานข้างนอก“ยังจะมีเรื่องใดที่แย่ไปกว่านี้เกิดขึ้นในจวนข้าอีกเยี่ยงนั้นรึ”“สกุลต้วนขอรับ สกุลต้วนส่งของหมั้นกลับมา พร้อมทั้งกล่าวว่า คุณชายรองกู้ประพฤติตนผิดศีลธรรม ลักลอบมีความสัมพันธ์กับสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน หลอกลวงและหยามศักดิ์ศรีของคุณหนูรองสกุลต้วน นับแต่นี้ต่อไป สกุลต้วนไม่ขอเกี่ยวดองกับคนในสกุลกู้อีก”บ่าวรับใช้รายงานออกมาตามคำพูดของบ่าวรับใช้อาวุโสของสกุลต้วน คนพวกนั้นนำหีบมาส่งที่หน้าจวน พร้อมทั้งเผาเทียบขอหมั้นหมายที่หน้าประตูจวน แล้วออกจากหน้าบริเวณหน้าประตูจวนไปทันที“เจ้าลูกชั่ว!!! สันดานมารดาเป็นเยี่ยงไร เจ้านั่นก็ได้รับมาเยี่ยงนั้นสินะ”ใต้เท้ากู้เดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่อาจระงับโทสะได้ ยังไม่ทันได้แต่งสะใภ้รองเข้ามาด้วยซ้ำ ทว่าบุตรชายรองของเขากลับทำตัวไร้ยางอาย
ใต้เท้ากู้นั่งปรึกษากับกู้ฮูหยินอยู่ภายในศาลากลางน้ำด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด เพราะไม่รู้ว่าจะหาถ้อยคำใดที่ฟังดูไม่ร้ายแรง ไปแจ้งให้ท่านแม่ทัพกับซูฮูหยินทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวของพวกเขา เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ใต้เท้ากู้และกู้ฮูหยินรู้สึกผิดต่อลูกสะใภ้ของพวกตนอยู่ไม่น้อย เพราะนางเพิ่งจะออกเรือนมาได้ไม่ถึงสามวันดี กลับต้องมาพบเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้“นี่คุณชายใหญ่กลับมาแล้วใช่หรือไม่” ใต้เท้ากู้เอ่ยถามบ่าวรับใช้ที่กำลังรินน้ำชาให้เขาและภรรยา“เจ้าค่ะนายท่าน ยามนี้คุณชายใหญ่กำลังนั่งเฝ้าดูแลฮูหยินเล็กอยู่ไม่ห่างเลยเจ้าค่ะ” ใต้เท้ากู้พยักหน้าก่อนที่จะเขาจะมองหน้าภรรยาแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้ารู้สึกละอายใจต่อเจ้ากับเฉินเอ๋อร์ยิ่งนัก หากข้าไม่พาสตรีชั่วร้ายนางนั้นเข้ามาในจวน ไหนเลยวันนี้จะเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ขึ้นกับลูกสะใภ้ของพวกเราได้” กู้ฮูหยินเอื้อมมือไปบีบมือของสามีเบาๆ นางรู้ความจริงเรื่องนั้นดี สามีไม่เคยเต็มใจที่จะรับอนุซินเข้ามาเป็นอนุภรรยาในจวนเลยเดิมทีเขาก็มีเพียงแค่นางที่เป็นภรรยาเดียว แ
ตู้จิ้นลอบมองคุณชายใหญ่ของตนแล้วก็นึกขัน คราแรกที่ได้รู้ความลับของคุณชายรองโดยบังเอิญ เขาถามว่าควรบอกให้ท่านใต้เท้าต้วนทราบหรือไม่ คุณชายใหญ่กลับบอกว่าเรื่องเช่นนี้เขาจะไม่ยุ่ง ทว่าไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดคุณชายใหญ่ถึงได้เปลี่ยนใจ สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของคุณชายรองจนได้ เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันแท้ๆ กลับมีนิสัยใจคอต่างกันลิบลับ เป็นโชคดีของเขาที่ได้รับใช้คุณชายใหญ่และก็ถือเป็นความโชคดีของฮูหยินเล็ก ที่ได้บุรุษเช่นคุณชายใหญ่ไปเป็นสามี ไม่ใช่บุรุษเสเพลเช่นคุณชายรอง เพราะตั้งแต่ที่เขาติดตามคุณชายใหญ่มา ไม่เคยมีสักคราที่ชายหนุ่มจะออกนอกลู่นอกทาง หรือแสดงออกว่าสนใจสตรีใด ทว่ากับฮูหยินเล็กนั้นต่างจากสตรีอื่น ราวกับว่าคุณชายใหญ่ของเขานั้น รอคอยที่จะได้พบกับนางมาเนิ่นนาน เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่เขาอยู่ไม่น้อยเรื่องมันเริ่มขึ้นตั้งแต่สี่ห้าปีก่อน หลังจากที่คุณชายใหญ่หายจากอาการป่วย คุณชายใหญ่ก็ได้ขอร้องให้เขาช่วยแอบหาอาจารย์ฝึกวรยุทธ์ให้ จากนั้นคุณชายใหญ่ที่ไม่เคยออกกำลังหนักๆ หรือจับอาวุธมาก่อนเลย ก็แอบฝึกตนราวกับเป็นคนละคน และเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งๆ ที่คุณชายใหญ่เองก็มีว
ณ โรงเตี๊ยมเซียงซีร่างระหงในชุดเป้ยจึสีชมพูอ่อนลงมาจากรถม้า แล้วหยุดยืนมองป้ายชื่อของโรงเตี๊ยมตรงหน้า จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าให้กับสาวรับใช้คนสนิทและผู้คุ้มกันของตน เช้านี้มีสารลับส่งมาให้นาง ซึ่งนางคิดว่าน่าจะเป็นกู้อี้เหวิน เพราะอีกฝ่ายยังไม่กล้าพบหน้าบิดาของนาง จึงทำให้เขาต้องใช้วิธีการลับเช่นนี้เรียกนางให้ออกมาพบ หญิงสาวยิ้มแย้มออกมาด้วยใจที่เบิกบาน จากนั้นจึงเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมในขณะที่กำลังเข้าไป นางกลับมองเห็นบ่าวรับใช้คนสนิทของคู่หมั้นอย่างกู้อี้เหวิน กับสาวรับใช้คนสนิทของพี่สาว อย่างหลูเจียงหลี ทั้งสองกำลังนั่งกินดื่มกันอยู่ที่โต๊ะด้านในทว่ากลับไร้เงาของชายหญิงทั้งสอง โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีสองชั้น ชั้นล่างใช้รับรองลูกค้าที่แวะมากินอาหาร ส่วนชั้นสองใช้รับรองลูกค้าที่อยากเปิดห้องพัก"สองคนนี้สนิทสนมกันถึงขั้นทิ้งเจ้านายแล้วพากันมานั่งกินอาหารตามลำพังเนี่ยนะเจ้าคะ" สาวรับใช้คนสนิทของต้วนหลิวหลีแสดงความเห็นออกมาอย่างระมัดระวัง ทว่ากลับทำให้ต้วนหลิวหลีฉุกคิด"เจ้าให้ผู้คุ้มกันไปถามเถ้าแก่ทีสิ ว่าคุณชายรองกู้เปิดห้องพักอยู่ห้องใด" นางส่งถุงเงินให้สาวรับใช้คน
“ดื่มยาต้มให้ครบสามยาม อีกไม่เกินหนึ่งถึงสองวันนางก็จะฟื้นขอรับ”ท่านหมอสวีกล่าวออกมา กู้ฮูหยินมองสะใภ้ด้วยแววตารู้สึกผิด อีกฝ่ายต้องมาได้รับอันตรายเพราะตัวนาง ชาถ้วยนั้นเดิมทีนางต้องเป็นคนดื่ม สตรีเช่นอนุซินช่างไม่ต่างจากงูพิษ เผลอเข้าหน่อยก็ลอบทำร้าย“ขอบน้ำใจท่านหมอยิ่งนัก แต่ข้าหวังว่า…เรื่องที่เกิดขึ้นภายในจวนตระกูลกู้วันนี้ จะไม่มีผู้คนภายนอกได้ล่วงรู้” กู้ฮูหยินกล่าวออกมาน้ำเสียงราบเรียบ ท่านหมอสวีฉีกยิ้มออกมาพลางรับคำ“ข้ามาที่นี่เพียงรักษาอาการป่วยของฮูหยินใหญ่ตามปกติเท่านั้น”กู้ฮูหยินมอบตั๋วเงินให้ท่านหมอสวีหนึ่งใบ เขาจึงคำนับลาแล้วออกจากเรือนรับรองไป บ่าวรับใช้ของจวนทำหน้าที่ไปส่งเขากลับโรงหมอ“คุณหนูรองเจ้าคะ นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าไม่พบคุณชายใหญ่” ซิวหนีรายงานออกมา หลังจากทำตามคำสั่งของคุณหนูรอง“ปกติยามนี้ท่านพี่ของข้าอยู่ในวังหลวงมิใช่หรอกหรือ เหตุใดถึงตามหาเขาไม่พบกัน” กู้มู่หรงถามออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง เกิดเรื่องกับภรรยาแต่พี่ชายของนางกลับหายตัวไป&ldqu