หลี่เหวินหลางมองคนที่ยิ้มสมใจปะปนโล่งใจด้วยความเอ็นดูปนกลั้นขำ นางคิดจริง ๆ หรือว่าจะรอดไปจากเขาได้ ในเมื่อแต่งให้เขาย่อมต้องเป็นของเขาผู้เดียวอยู่วันยังค่ำ ในที่สุดมื้ออาหารยามเย็นก็ผ่านพ้นไป ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับเรือนของตน หลี่เหวินหลางไม่คิดทำให้ไป๋ฟางเซียนอึดอัด เขาแยกไปห้องข้าง ๆ กันทันทีที่มาถึง พลางขบคิดกับตนเองว่าจะเกี้ยวพานางอย่างไรดี แม้ว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เขาจะนำตนเองไปใกล้ชิดกับนางบ้าง แต่เขาก็รู้ว่ามันยังไม่ชัดเจนพอ เพียงอยู่ใกล้แต่ไม่เกี้ยวพาจะทำให้นางหลงรักเขาได้อย่างไรกันเล่า ดังนั้นแม่ทัพหนุ่มจำเป็นต้องคิดหาวิธีการ แต่ก็ว่าไปเถิดเกิดมาจนป่านนี้ แม่ทัพของแคว้นเคยเกี้ยวสตรีที่ไหน ดังนั้นไม่ว่าเขาจะคิดเช่นไรก็ไม่อาจหาวิธีได้เสียที ทั้งยังคิดไม่ตกอีกด้วย สุดท้ายจึงหลับไปทั้งอย่างนั้นวันต่อมาแม่ทัพหนุ่มใช้ความหน้าหนาของตนเองติดตามนางไปที่ร้านเฟยเจิน คอยดูแลเอาอกเอาใจเสียจนองครักษ์เงาต่างสงสัยว่า นี่ใช่ท่านแม่ทัพที่พวกตนรู้จักจริงหรือ ไหนเล่าความเย็นชา ความน่าเกรงขาม หายไปไหนสิ้นแล้ว ความอ่อนโยนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้คืออะไรไม่ใช่แค่เหล่าองครักษ์ที่สงสัย เ
“ท่านต้องการอะไร ขยับออกไปหน่อยดีหรือไม่” ว่าพลางขยับตัวหนี หลี่เหวินหลางก็ไม่ได้ตามติดเพียงมองนางด้วยรอยยิ้มหวาน“ข้าหาได้ต้องการสิ่งใด ข้าแค่ต้องการทำดีกับเจ้าให้มากเท่านั้น” เห็นนางมองมาด้วยความสงสัยหลี่เหวินหลางก็ฉีกยิ้มและอธิบายต่อว่า“ข้าลองตรองดูแล้ว ข้าใจร้ายกับเจ้ามากจริง ๆ ข้าเป็นบุรุษมิสมควรพูดจาว่าร้ายเจ้าเช่นนั้น ข้าขอโทษนะเซียนเซียน ที่ผ่านมาเจ้าต้องเจ็บปวดและทุกข์ใจมากเลยใช่หรือไม่” ไป๋ฟางเซียนมองสบตาคมของอีกฝ่ายอยากรู้ว่าเขาคิดทำอะไรอีก ทว่าก็เจอเพียงสายตารู้สึกผิดของแม่ทัพหนุ่มอย่างเดียว“ข้าขอโทษเจ้าเซียนเซียน การกระทำครั้งเก่าก่อนข้าไม่สามารถแก้ไขหรือย้อนเวลากลับไปได้ ทว่าวันนี้และตลอดไปข้าจะทำดีกับเจ้า เราแต่งงานกันแล้วก็ควรผูกใจสมัครรักใคร่ซึ่งกันและกัน ข้าจึงได้ทำดีกับเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจ เพราะต่อจากนี้และตลอดไปข้าคงจะทำเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่ชินกับคำพูดของข้า รวมถึงตั้งหลักไม่ทันกับการกระทำของข้าอยู่บ้าง ดังนั้นข้าเลยคิดว่าควรให้เวลาแก่เจ้าและข้าได้ศึกษาซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะได้รู้นิสัยใจคอกันดีขึ้น เซียนเซียน เหตุการณ์แต่หนหลังคงไม่สามารถกลับไปแก้
ร่างบอบบางของไป๋ฟางเซียนและร่างกายบึกบึนของหลี่เหวินหลาง เดินเคียงคู่กันลงมาจากชั้นสาม เรียกความสนใจของบรรดาลูกค้าที่อยู่ภายในร้านเฟยเจินที่ชั้นล่างทั้งสิ้น ผู้ใดเห็นสายตาที่แม่ทัพหนุ่มมองสตรีข้างกาย และประคับประคองนางลงมาอย่างนุ่มนวลล้วนต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทั้งสองเหมาะสมกันมาก สมกันดั่งกินทองใบหยก บ้างถึงขั้นอิจฉาไป๋ฟางเซียนที่มีสามีดีพร้อมเช่นนี้ บ้างก็ยินดีและว่า หญิงงามย่อมต้องคู่กับบุรุษรูปงาม นับเป็นเรื่องสมควรแล้ว เสียงซุบซิบที่ไม่ดังไม่เบาลอยเข้าหูไป๋ฟางเซียนเป็นระยะ จนเจ้าตัวต้องก้มหน้างุดคางชิดอกหลบเลี่ยงสายตาล้อเลียนที่มองมา พลางซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อของตนด้วย หลี่เหวินหลางยิ้มพรายให้สตรีข้างกาย จับจ้องมองนางด้วยสายตาอ่อนแสง หัวใจที่เคยด้านชาเต้นรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหลี่เหวินหลางไม่คิดสนใจผู้ใด เปลี่ยนจากกุมมือบางเป็นโอบกอดเอวเล็กคอดกิ่ว พลางกระชับให้แนบชิดกับตนเอง ก่อนจะพานางเดินไปยังหน้าร้านทันที มือใหญ่ข้างซ้ายยกขึ้นสะบัดเบา ๆ ไป๋ฟางเซียนมองด้วยความมึนงง เพียงไม่นานก็กระจ่าง เมื่อมีคนสวมใส่ชุดคลุมสีดำออกมาจากที่ไหนนางก็ไม่สามารถทราบได้ แต่ถ้าให้เดา คิดว
หลี่เหวินหลางที่รับรู้ตลอดเวลาว่ามีคนจ้องมองตนและไป๋ฟางเซียนด้วยเจตนาฆ่า เขาจึงลอบส่งสายตาให้องครักษ์ของตนไปตามสืบทันที หลังไม่มีสิ่งใดต้องสั่งความแล้ว แม่ทัพหนุ่มก็ได้เวลาพาภรรยาคนงามท่องเที่ยวน่ะสิอาชาสีดำทมิฬตัวใหญ่ขนเงางามเดินเข้ามาหาหลี่เหวินหลางอย่างเชื่องช้าและองอาจ ยามเดินผ่านผู้อื่นมันจะปรายตามองด้วยสายตาหยิ่งผยองก่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างถือตัว ทว่าพอมาถึงหน้าแม่ทัพหนุ่มกับก้มหัวคลอเคลียไม่ต่างจากหมาน้อยน่ารัก ทั้งยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ออดอ้อนสตรีบอบบางอย่างไป๋ฟางเซียนด้วยอีกคน มันใช้หัวใหญ่โตของมันคลอเคลียที่ข้างแก้มราวกับแมวน้อยอ้อนขอความรัก ไป๋ฟางเซียนที่เป็นคนรักสัตว์อยู่แล้วถึงกับหลงเจ้าตัวใหญ่อย่างง่ายดาย จึงได้ยกมือรูปแผงคอของมันด้วยความอ่อนโยน ไม่สนใจผู้ใดแม้กระทั่งหลี่เหวินหลาง!ทั้งม้าทั้งคนไม่ได้รับรู้เลยว่าการกระทำของพวกตนนั้นจะทำให้แม่ทัพหนุ่มอารมณ์ฉุนเฉียว ประกายฟาดฟันถูกส่งไปให้เจ้าม้าตัวใหญ่จนมันนึกกลัวเข้าไปคลอเคลียหญิงสาวมากกว่าเดิม ไป๋ฟางเซียนจึงได้ผินหน้ากลับมามองคนข้างกายด้วยสายตาตำหนิ พลางขบคิด‘อย่าบอกนะว่าหึงหวงกระทั่งม้า นี่ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง’“ฮึ่ม!
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีควบขี่อาชาสีดำตัวเดียวกัน ผมทั้งสองลู่ไปตามแรงลม เกิดเป็นภาพสวยงามท่ามกลางธรรมชาติของป่าเขา เจ้าเสี่ยวเฮยหยุดวิ่งตามคำสั่งของแม่ทัพหนุ่มที่ใช้มือกระตุกบังเหียน เขาโน้มหน้าไปพูดชิดริมหูบอกกล่าวกับเจ้าของกลิ่นกายหอมกรุ่นว่า“ถึงแล้ว เป็นเช่นไร ชอบหรือไม่” ไป๋ฟางเซียนแม้จะทำตัวไม่ถูกและเขินอายกับคำพูดของเขา ทว่านางกลับไม่ใส่ใจนัก เนื่องจากตอนนี้ภาพตรงหน้าดึงดูสายตาและความสนใจของนางมากกว่าทุ่งดอกไม้กว้างไกลมีสีเหลืองนวลบานสะพรั่ง ไม่แน่ชัดว่าเป็นดอกไม้ชนิดใด ทว่ามันกลับเกิดอยู่ตรงหน้านางนี้แล้ว เหล่าดอกไม้เอนไหวไปตามแรงลมจนกลีบดอกปลิวละล่อง ช่างสวยงามยิ่งหมู่มวลวิหคบินอยู่น่านนภาร้องขับขานไปมาสอดคล้องกับทิวทัศน์เบื้องล่าง โดยมีเหล่าภมรตัวเล็ก ๆ ที่กำลังลิ้มชิมรสความหวานของดอกไม้เข้าคู่กันอย่างลงตัว ไป๋ฟางเซียนเหม่อมองภาพตรงหน้าราวกับถูกสะกด“ลงมาเถิด” หลี่เหวินหลางที่กระโดดลงจากหลังม้าเมื่อไรไม่รู้ได้กล่าวบอกนาง พร้อมยื่นมือทั้งสองจับที่เอวของนางไว้แน่นคล้ายกับจะบอกว่า กระโดดมาสิเขาประคองไว้อยู่ไป๋ฟางเซียนจับที่ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างไว้แน่น ปล่อยให้เขาอุ้มนางลงจากหล
หลี่เหวินหลางกระชับมือซ้ายไว้ที่ท้ายทอยของหญิงสาว ตรึงไว้เพื่อไม่ให้นางเบือนหน้าหนี ก่อนจะโน้มใบหน้าลงต่ำ ทาบทับริมฝีปากตนกับริมฝีปากของนางทันที ถึงจะเป็นการกระทำที่อุกอาจเอาแต่ใจไปบ้าง ทว่าไป๋ฟางเซียนกลับรู้สึกดี ไม่ได้นึกรังเกียจหรือกรุ่นโกรธเมื่อถูกเขาจูบรสจูบที่เขากำลังมอบให้ในตอนนี้มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน หาได้เร่าร้อนหรือเร่งรัด เขาทำทุกอย่างอย่างเชื่องช้าและทะนุถนอม รักษาคำพูดที่เคยพูดกับนางไว้อย่างดีที่สุด ทว่าถึงทุกอย่างจะเชื่องช้าและไม่ร้อนแรงเท่าที่ตนเคยมีประสบการณ์มา หลี่เหวินหลางกลับรู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งแม่ทัพหนุ่มไม่ได้รีบร้อนเอาแต่ใจตนมากนัก เขาค่อย ๆ และเล็มละเมียดชิมความหวานขบเม้มริมฝีปากของนางเบา ๆ หลอกล่อให้นางหลงใหลและติดกับ ความอ่อนโยนของเขาพาใจไป๋ฟางเซียนอ่อนไหว นางแหงนเงยใบหน้ารับจูบเพื่อให้เขากระทำได้ถนัดขึ้น ครั้นได้จังหวะและองศาที่เหมาะสม หลี่เหวินหลางก็สอดแทรกเรียวลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากหวาน แล้วควานหาลิ้นเล็กก่อนจะเข้าพัวพันอย่างรวดเร็วเรียวลิ้นร้อนที่ขยับไหวภายในโพรงปาก เกี่ยวกระหวัดดูดดึงลิ้นเล็กของตนพาไป๋ฟางเซียนหวามไหว นางทำใจกล้าส่งปลายลิ้นเข้าพัวพัน
“คนบ้า! บ้า ๆ ๆ ๆ บ้าที่สุดเลย” ไป๋ฟางเซียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่เบาไม่ดังนัก ยามนางพูดมือทั้งสองข้างก็จะทุบตีหมอนที่ตนใช้หนุนนอนด้วย ใบหน้าของนางแดงก่ำ กลีบปากสีชมพูระเรื่อบวมแดงเล็กน้อยจื่อถิงส่ายศีรษะด้วยความอ่อนใจที่เห็นเจ้านายสาวเป็นเช่นนี้ คุณหนูของตนตีอกชกลมตั้งแต่กลับจากท่องเที่ยวที่ป่านอกเมืองหลวงแล้ว คราแรกนางตกใจอย่างมากที่คุณหนูของนางแนบหน้าลงกับหมอนแล้วกรีดร้องออกมา เกือบจะเรียกท่านแม่ทัพให้มาช่วยอยู่แล้วเชียว หากไม่สังเกตเห็นว่ามุมปากของเจ้านายสาวฉีกยิ้ม และแววตาของนางฉายแววแห่งความสุข หากจื่อถิงคาดเดาไม่ผิด อาการเช่นนี้เกรงว่าคุณหนูของนางกำลังระบายอารมณ์เขินอายเป็นแน่แท้ คิดแล้วก็ส่ายหัว ทว่าจื่อถิงกลับรู้สึกมีความสุข สายตาจับจ้องผู้เป็นนายด้วยความจงรักภักดีไป๋ฟางเซียนไม่สนใจว่าจื่อถิงจะคิดเห็นเช่นไร ยามนี้นางหวนนึกถึงคำพูดของหลี่เหวินหลาง คำพูดที่ทำให้ใจนางเต้นแรง คำพูดที่ทำให้นางไม่สามารถหุบยิ้มได้ คำพูดที่ว่าเขาและนางเกินมาคู่กัน เกิดมาเพื่อเป็นคนรัก เกิดมาเพื่อกันและกันยามได้ยินหัวใจของนางเต้นโครมครามเสียจนกลัวจะกระเด็นออกมานอกอก ประจานให้เขาได้รู้ว่านางรู้สึ
หลี่เหวินหลางเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างคุ้นชิน พลางมองสำรวจไปทั่วห้องเพื่อค้นหาร่างงามที่เขาคิดถึง ตั้งใจจะกอดนอนให้เต็มรัก กอดแน่น ๆ แล้วหลับไปพร้อมกัน หาใช่ลักลอบเข้ามาแอบกอดยามนางหลับใหล แล้วหลบลี้จากไปก่อนนางตื่นสายตาคมกวาดมองไปรอบห้องเมื่อไม่เห็นไป๋ฟางเซียนอยู่ภายในก็รู้ได้ทันทีว่า ถ้าไม่อาบน้ำก็คงกำลังแต่งตัว คราแรกเขาคิดจะรั้งรอนางที่เตียง ทว่าความอยากแกล้งมีมากกว่า จึงได้เดินลึกไปยังปีกห้องทางด้านขวามือ ไม่นานก็เห็นฉากกั้นและเรือนร่างสะโอดสะองสะท้อนผ่านฉากกั้นเป็นเงาราง ๆ ออกมา หลี่เหวินหลางกลืนน้ำลายลงคอ ความร้อนรุ่มปะทุที่กึ่งกลางกายจนต้องใช้มือใหญ่กุมไว้พลางนวดคลึงไปมาอย่างปลอบโยนหวังให้มังกรที่ต้องการคำรามสงบลงไหนเลยมังกรตัวเขื่องจะเชื่อฟัง หากไม่ได้สำแดงฤทธิ์เดชมีหรือจะยอมสงบ สุดท้ายหลี่เหวินหลางจึงต้องกัดฟันข่มกลั้นความต้องการทางธรรมชาติเอาไว้ แล้วหันหลังเดินจากมาอย่างรวดเร็ว แม่ทัพหนุ่มทิ้งกายนั่งที่ตั่งเตียงพลางรินน้ำชาขึ้นดื่ม แม้ว่ามันจะเย็นชืดเขาก็มิได้สนใจอะไร ทั้งยังรู้สึกว่าดีแล้วที่มันเย็น เพราะถ้ามันยังร้อน ๆ อยู่ เขาคงไม่อาจทานทนความต้องการไหว เข้าไปกระชากเจ้า
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก