ยามชวีในเหมันตฤดู ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบที่นอนหลับไม่ได้สติมานานถึงสามคืนเริ่มขยับกายไปมาบนเตียงนอนไม้ขนาดกว้าง ผ้าแพรสีขาวปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเอื่อยๆ ข้างเตียงมีสตรีที่มีใบหน้างดงามแต่ทว่ากลับฉายแววถึงความกังวลออกมา นางกำลังนั่งรอคอยให้เจ้าของร่างเล็กที่นอนหลับไปนานเกือบสามคืนตื่นมาพูดคุยกับนางเช่นแต่ก่อน เด็กหญิงผิวขาวแต่ทว่ามีดวงหน้าซีดเซียวเริ่มขยับปาก
“น้ำ…ข้าหิวน้ำ” เปลือกตาของนางค่อยๆ เปิดก่อนที่เสียงเล็กแหบแห้งจะดังขึ้นมา “เจินเจิน… เจ้าตื่นแล้วหรือลูก” น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้เจ้าของร่างเล็กหันไปมอง “น้องหญิงรอง…” คนที่เพิ่งจะรู้สึกตัวเปล่งเสียงออกมาจากริมฝีปากเล็กแต่คนที่ได้ยินเช่นนั้นกลับแสดงสีหน้างุนงงออกมา “เจ้าเรียกแม่ว่าเช่นไรนะเจินเอ๋อร์ นี่แม่ของเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าร้องเรียกผู้ใดกัน” ร่างเล็กตาเบิกโพลงพลางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะสำรวจไปรอบๆ “ข่ะ…ขอกระจกให้ข้าหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” เมื่อบุตรีเอ่ยปากขอออกมา โจวฮูหยินหรือฉินเซี่ยหรงจึงสั่งให้บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลโจวเจินเจิน บุตรีคนโตของนางให้นำกระจกที่อยู่ข้างเตียงมาส่งให้ มือเล็กรับมาก่อนที่จะค่อยๆ ยกกระจกขึ้นมาส่อง นางจดจ้องคนในกระจกก่อนที่จะหันไปมองหน้าน้องสาวคนรองของตน ‘แย่แล้ว… เหตุใดข้าถึงมาอยู่ในร่างของหลานสาวของข้าได้ แล้วร่างกายของข้าเล่า ยามนี้คือความฝันหรือความจริงกันแน่’ คนที่เพิ่งได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งคิดในใจก่อนที่จะยกกระจกขึ้นมาส่องใบหน้าเล็กอีกครา มือเล็กก็ยกขึ้นมาลูบหน้าจนคนที่มองมามีแต่ความงุนงง “พวกเจ้า… มีผู้ใดไปตามท่านหมอมาหรือยัง” เสียงหวานรีบเอ่ยถามบ่าวในเรือนทันที “อาอวี้ไปตามแล้วเจ้าค่ะนายหญิงใหญ่” บ่าวรับใช้คนสนิทของคุณหนูใหญ่ตอบออกมาพลางมองไปที่ร่างเล็กที่กำลังส่องกระจกอยู่ด้วยแววตาตื้นตัน “ดะ…เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ…เอ่อ… ท่านป้าของลูกล่ะเจ้าคะ” เสียงเล็กเปล่งออกมา ฉินเซี่ยหรูอยากจะแน่ใจว่านางมาเกิดใหม่ในร่างของหลานสาวจริงๆ มิใช่เพียงแค่สลับร่างกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ทุกข์ใจต่อไปก็คงจะเป็นหลานสาวของนางซึ่งนางมิได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ความทรงจำก่อนที่นางจะหมดลมหายใจช่างเลือนรางนัก นางจดจำชั่วยามนั้นมิได้ แต่นางกลับจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาได้ตั้งแต่ต้น เขาคนนั้น...ทำให้นางต้องกลายมาเป็นเช่นนี้ “เจินเอ๋อร์… ท่านป้าเซี่ยหรูของเจ้านางจากพวกเราไปเมื่อวันก่อนแล้วล่ะลูก” ฉินเซี่ยหรงตอบบุตรสาวออกมาทั้งน้ำตา “จะ…จากไปแล้วเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” เสียงแหบเล็กเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “เจ้ามิต้องเสียใจไปหรอกหนา ท่านป้าของเจ้านางมิต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว" ใบหน้าเล็กพยักขึ้นลงก่อนที่มารดาจะรวบตัวนางเข้าไปกอดเอาไว้ด้วยความห่วงใย น้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าเล็กอย่างมิอาจสะกดกลั้นเอาไว้ได้ ชีวิตของฉินเซี่ยหรูได้จบสิ้นไปแล้ว… เสียงสะอื้นของบุตรสาวทำให้ฉินเซี่ยหรงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น นางรู้ดีว่าบุตรสาวของนางรักท่านป้าเซี่ยหรูที่แสนดีมากเพียงใด เพราะนางเองก็รักและสงสารพี่หญิงใหญ่ของนางมิต่างกัน เหตุใดสตรีที่งดงามและดีพร้อมเช่นนั้นถึงต้องกลายเป็นคนที่มิสมหวังในชีวิตคู่ แล้วมีจุดจบที่น่าเวทนาเช่นนั้นได้ หลังจากที่ฉินเซี่ยหรูจากโลกใบนี้ไป สกุลฉินและสกุลหวงก็แตกหักกันโดยสิ้นเชิง และมิมีวันจะญาติดีกันได้อีกเป็นอันขาด เมื่อท่านหมอตู้เดินทางมาถึงเรือนขนาดกลางของบุตรีคนโตของจวนสกุลโจว เขาก็เริ่มลงมือตรวจชีพจรของคุณหนูใหญ่ทันที ชีพจรของนางทำให้ท่านหมอตู้รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เพราะว่าชีพจรของนางในยามนี้ไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด ชีพจรของคุณหนูใหญ่สกุลโจวยามนี้เต้นเป็นปกติ แถมมีความหนักแน่นกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย เขาจึงตรวจนางอีกครั้งเพื่อความแน่ใจแล้วจึงหันไปรายงานกับฮูหยินใหญ่ของจวนสกุลโจวด้วยน้ำเสียงยินดี “โจวฮูหยิน ข้าน้อยได้ทำการตรวจชีพจรของคุณหนูใหญ่ดูแล้ว ยามนี้นางดีขึ้นมากแล้วขอรับและที่สำคัญไปกว่านั้น นางดูเหมือนจะกลับมาแข็งแรงกว่าเมื่อก่อน ช่วงนี้ท่านให้บ่าวในเรือนนำเทียบยานี้ไปร้านหมอ หากได้ยามาแล้วให้นำมาต้มให้นางดื่มเพื่อฟื้นฟูพละกำลัง พร้อมทั้งจัดหาอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาให้กับนาง ข้าน้อยขอรับรองว่าไม่เกินสองอาทิตย์ คุณหนูใหญ่จะกลายมาเป็นเด็กที่ร่าเริงและมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอย่างแน่นอนขอรับ” “จริงๆ หรือท่านหมอตู้” โจวฮูหยินเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ นางมิเคยคิดมาก่อนเลยว่าการที่บุตรสาวสลบไปถึงสามคืนนั้นพอนางตื่นขึ้นมาแล้วจะหายดี ก่อนหน้าที่โจวเจินเจินจะสลบไป นางออกไปเดินเล่นกับสาวรับใช้ที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ดีที่ยามนั้นมิได้ล้มหัวฟาดพื้น หรือไปกระทบกับของแข็งเข้า แต่นางก็สลบไปถึงสามคืนโดยหาสาเหตุไม่ได้ “จริงๆ ขอรับ แต่สองสามวันนี้ต้องให้คุณหนูใหญ่ได้พักผ่อนและกินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มยาต้มที่ข้าน้อยเขียนให้ในใบเทียบยา จากนั้นค่อยๆ ฟื้นฟูพละกำลังของนางด้วยการพาเดินออกกำลังกายบ่อยๆ เดี๋ยวร่างกายที่เคยอ่อนแรงก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองขอรับ” หมอตู้เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ก่อนที่จะขอตัวกลับโรงหมอของตน โจวฮูหยินจึงสั่งให้บ่าวในจวนพาท่านหมอตู้ขึ้นเกี้ยวของจวนไปส่งที่ร้านหมอของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็มิได้ปฏิเสธน้ำใจของโจวฮูหยินด้วยเห็นว่านางกำชับแล้วกำชับอีกให้เขากลับไปอย่างสบาย มิเช่นเหมือนตอนมาที่ถูกพาขึ้นหลังม้ามาอย่างมิทันได้เตรียมตัว “เจินเอ๋อร์… เจ้าหิวหรือไม่ แม่จะให้คนนำโจ๊กข้าวมาให้เจ้า” เด็กหญิงพยักหน้า ยามนี้ฉินเซี่ยหรูพอจะรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนแล้ว แม้จะมิอาจรู้ได้ว่าหลานสาวของนางสิ้นอายุขัยหรืออย่างไร แต่ในเมื่อนางมาอยู่ในร่างของหลานสาวที่นางรักแล้ว นางก็จะใช้ชีวิตให้ดีๆ และมิยอมตกเป็นทาสของคำว่ารักอีกเป็นอันขาด “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ… บ่าวตกใจแทบแย่ตอนที่คุณหนูใหญ่ทรุดไป ดีที่บ่าวประคองทัน มิเช่นนั้นบ่าวจะมิยอมให้อภัยตัวเองเลยเจ้าค่ะ” นัยน์ตากลมมองไปยังสาวรับใช้วัยสิบห้าของหลานสาวก่อนที่นางจะส่งยิ้มจางๆ ไปให้ นางผู้นี้ซื่อสัตย์และรักหลานสาวของนางอยู่ไม่น้อย เพราะเห็นหลานสาวของนางมาตั้งแต่เกิด ‘ต่อไปนี้เจ้ามาเป็นบ่าวคนสนิทของข้าก็แล้วกัน…อี้ถง’ ฉินเซี่ยหรูคิดในใจ จากนี้ต่อไปนางจะต้องกลายเป็นเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบ มิใช่สตรีอายุยี่สิบสามที่เคยมีชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลวอีกแล้ว นางจะละทิ้งอดีตที่ทำให้นางเจ็บปวดและนางให้คำมั่นสัญญากับตนเองในร่างของหลานสาวเลยว่า นางจะมิยอมแต่งงานเพื่อให้นางต้องได้พบกับความเจ็บปวดอีกเป็นอันขาด…หลังจากได้นอนพักอยู่สามวัน ร่างกายของคุณหนูใหญ่สกุลโจวก็แข็งแรงขึ้น เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบกลับมาสดใสมากกว่าเดิม ชีวิตวัยเด็กของฉินเซี่ยหรูนั้นแสนน่าเบื่อ นางต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่สตรีต้องเรียนรู้ แต่พอได้กลับมาอยู่ในวัยนี้อีกครั้ง น้องสาวของนางกลับมิได้บังคับให้บุตรีต้องทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นเดียวกัน เรื่องนี้นางอดที่จะชื่นชมน้องสาวและน้องเขยมิได้ ที่เลี้ยงดูหลานทั้งสองของนางด้วยความรักและความเข้าใจ มากกว่าการบังคับให้ทำในสิ่งที่พวกตนต้องการ“โอ้..หลานย่า เจ้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วสิท่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาววัยเจ็ดขวบที่เข้ามาคำนับนางถึงเรือนนอน พอได้สำรวจใบหน้าเล็กก็พอจะเดาออกว่าหลานสาวของนางมีอาการดีขึ้นมากแล้ว ดูจะสดใสมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ“หลานคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ… ยามนี้หลานแข็งแรงขึ้นมากแล้ว”นางมิได้คุ้นชินกับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโจวแต่จากนี้ไปนางจะต้องทำความรู้จักทุกคนในจวนแห่งนี้ใหม่ เพราะว่านางมิใช่คนของเรือนนี้มาตั้งแต่เกิด มีเพียงน้องสาวอย่างฉินเซี่ยหรงเท่านั้นที่นางรู้จักอีกฝ่ายดีเพราะเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่มีอายุห่างกันเพียงหนึ่งปี“ดี…ดี… ไหนเข้ามาใกล้ๆ ย่าสิ” คนเป็นย่า
แปดปีก่อน สตรีที่มีดวงหน้างดงามราวกับเทพเซียน อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมกลายเป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมืองฮวาหลาน บัดนี้นางกำลังเดินชื่นชมตลาดที่อยู่กลางเมืองในยามเชิน ด้านหลังมีสาวรับใช้เดินติดตามนางถึงสองคน ร่างบางหยุดยืนเลือกเครื่องประดับอยู่ที่ร้านข้างทาง“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ชิ้นนี้งามเหมาะกับคุณหนูยิ่งนักเจ้าค่ะ” หุ้ยเจินสาวรับใช้ออกความคิดเห็นทันทีที่เห็นคุณหนูของนางลังเลกับการเลือกเครื่องประดับตรงหน้าซึ่งเป็นกำไลหยกขาวและหยกสีเขียว“จริงหรือหุ้ยเจิน” เสียงหวานเอ่ยถามออกมา“จริงเจ้าค่ะ”“บ่าวก็เห็นด้วยกับพี่หุ้ยเจินเจ้าค่ะ” ชีโยวสาวรับใช้อีกคนของคุณหนูใหญ่สกุลฉินแสดงความคิดเห็นออกมาเช่นกัน“ถ้าเช่นนั้น ข้าเอาชิ้นนี้แหละจ้ะ” หุ้ยเจินหยิบเงินจ่ายให้กับคนขายทันที ส่วนชีโยวเป็นคนรับเครื่องประดับชิ้นนั้นมาเก็บไว้ให้คุณหนูของนางสาวงามวัยแรกแย้มยามเยื้องย่างไปทิศทางใดก็มักจะเป็นจุดสนใจของเหล่าบุรุษ ปีนี้ฉินเซี่ยหรูมีอายุได้สิบหกปีแล้ว ปีที่ผ่านมานางเพิ่งจะเข้าพิธีปักปิ่นไป แต่เป็นเพราะนางยังมิได้เร่งรีบที่จะออกเรือนจึงอยู่กับบิดามารดามาจนถึงวันนี้ ในขณะที่ฉินเซี่ยหรงผู้เป็
“คิกๆ ลูกทราบเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ ท่านป้าหวงมาดูตัวลูกใช่หรือไม่เจ้าคะ” ฉินฮูหยินพยักหน้าก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น“แล้วเจ้าคิดว่าเช่นไร กับสกุลหวงแม่ว่าดีนะ โอกาสในภายภาคหน้าเจ้าอาจจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ตามว่าที่สามีเพราะแม่ได้ยินว่าบุตรชายของสกุลหวงได้เป็นหัวหน้าองครักษ์ตั้งแต่อายุเพียงสิบแปด ยากนะที่จะหาคนที่เหมาะสมกับเจ้าได้ถึงเพียงนี้”แม้ในใจของฉินเซี่ยหรูจะบอกว่าเร็วเกินไปสำหรับเรื่องแต่งงาน แต่นางก็มิอาจปฏิเสธได้ว่านางถูกใจใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษท่าทางสง่างามผู้นั้น และนางก็มิคิดว่าในเมืองฮวาหลานแห่งนี้จะมีบุรุษใดเหมาะสมกับนางเท่าเขาอีกแล้ว“มันก็จริงอย่างที่ท่านแม่กล่าว.. เรื่องนี้ลูกให้ท่านพ่อกับท่านแม่ตัดสินใจแทนข้าได้เลยเจ้าค่ะ”คำตอบของบุตรสาวเรียกรอยยิ้มแห่งความดีใจที่ปิดไม่มิดออกมาจากทั้งใต้เท้าฉินและฉินฮูหยิน มีผู้ใดบ้างจะมิอยากให้บุตรสาวของตนได้แต่งงานกับบุรุษที่มีหน้าที่การงานที่ดีสามวันต่อมาแม่สื่อจึงนำของสินสอดมาส่งให้แก่เจ้าสาวที่บ้านก่อนที่จะให้แต่งออกเรือนไปในอีกเจ็ดวันข้างหน้าตามฤกษ์ยามที่ฝ่ายสกุลหวงหามา ในขณะที่ฝ่ายเจ้าสาวรู้สึกยินดีไปกับการได้เกี่ยวดองกับสกุลหวงในค
สายตาที่ทอดมองไปยังสายน้ำที่ไหลผ่านในลำธารหลังจวนสกุลโจว ทำให้คนที่เพิ่งฟื้นจากความตายแต่กลับกลายมาอยู่ในร่างของคนที่นางมิควรอยู่ สามวันแล้วที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างของโจวเจินเจิน หลานสาวแท้ๆ ที่นางรักและเอ็นดู ในขณะที่ร่างกายของนางได้ถูกฝังไปในสุสานสกุลฉินแล้ว เหตุใดที่มิได้ฝังอยู่ในสุสานสกุลหวงนั่นก็เป็นเพราะก่อนที่นางจะสิ้นลมหายใจ นางได้เขียนจดหมายหย่าให้แก่สามีอย่างหวงจิงอวี่ ขอตัดความสัมพันธ์กันไม่ว่าภพนั้นหรือภพต่อไป“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายหญิงใหญ่ให้บ่าวมาตามไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ”เสียงของบ่าวที่เพิ่งจะเดินมาถึงเรียกสติที่กำลังล่องลอยไปของฉินเซี่ยหรูให้กลับมา นางหันมามองแล้วพยักหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำอวี้ถงกับบ่าวที่มาตามนางไปยังเรือนใหญ่“เจินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ เจินเอ๋อร์คารวะท่านแม่” เสียงเล็กเอ่ยออกมาพร้อมทั้งคำนับบิดามารดา“เจินเอ๋อร์… มานั่งนี่สิลูก” เสียงหวานของฉินเซี่ยหรงเรียกบุตรีของนาง“ท่านพ่อกับท่านแม่มีเรื่องอันใดจะคุยกับลูกหรือเจ้าคะ” สองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนที่จะมองไปที่บุตรี“เจ้าอยากไปกราบไหว้ท่านป้าของเจ้าที่สุสานหรือไม่”เพราะรู้ดีว่าโจวเจินเจินนั้นเป็นห
“เจินเอ๋อร์คารวะท่านตาเจ้าค่ะ”“หลงเอ๋อร์คารวะท่านตาขอรับ” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบและเด็กชายวัยสี่ขวบคำนับท่านตาของตนทันที“ตามสบายลูก มาๆ มานั่งข้างๆ ตาทั้งสองคน”เสียงทุ้มฟังแล้วอบอุ่นดังออกมาจากปากของชายวัยกลางคน ฉินเซี่ยหรูมองบิดาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แม้จะผ่านไปห้าวันกับการจากไปของนาง แต่ก็ยังมิมีผู้ใดหลุดพ้นจากความทุกข์ในครานี้ไปได้ โดยเฉพาะมารดาที่ไปถือศีลที่สำนักเขาสวีชุนตั้งแต่ที่นางจากไป นางมิได้โทษพวกท่านที่ให้นางออกเรือนไป แต่นางโทษตนเองที่เลือกที่จะมิปฏิเสธที่จะออกเรือนไปกับบุรุษผู้นั้น บุรุษที่ไร้ใจให้แก่นางมือบางเอื้อมไปกุมมือน้องชายเดินเข้าไปหาท่านตา ก่อนที่ใต้เท้าฉินจะให้บ่าวรับใช้นำขนมมาให้หลานๆ ของตนได้กินกัน พร้อมกับน้ำชาที่หอมกลิ่นดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ฉินเซี่ยหรูรู้สึกคุ้นเคย เพราะมันคือน้ำชาที่นางเป็นคนทำขึ้นมาให้แก่บิดามารดาได้ดื่ม ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินนั่งมองบิดานั่งคุยกับหลานทั้งสองแล้วยิ้มออกมา อย่างน้อยเด็กทั้งสองก็พอจะทำให้ท่านพ่อได้คลายเหงาหลังจากพาเด็กๆ แวะเยี่ยมเยือนท่านตาที่สกุลฉิน สองสามีภรรยาก็พาบุตรทั้งสองแวะซื้อของที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องได้พบกับบุคคลที่
หลังจากที่ฉินเซี่ยหรูแต่งงานเข้าจวนสกุลหวง มีหลายสกุลต่างพากันอิจฉามารดาของหวงจิงอวี่ที่ได้ลูกสะใภ้ที่มีความงามและความเพียบพร้อมในคนเดียว ผู้ใดในเมืองฮวาหลานจะมิรู้บ้างว่าคุณสมบัติที่ฉินเซี่ยหรูมีนั้นเหมาะสมแก่การเป็นภรรยาเอกขนาดไหน แต่สกุลที่โชคดีที่ได้นางไปเป็นสะใภ้กลับกลายเป็นสกุลหวง ที่ใครๆ ก็รู้เช่นกันว่าสกุลนี้รักหน้าตาของตนเป็นที่สุด“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เหตุใดท่านเขยใหญ่ต้องแยกห้องนอนกับท่านด้วยหรือเจ้าคะ”ชีโยวหนึ่งในสองสาวรับใช้คนสนิทของฉินเซี่ยหรูเอ่ยถามออกมา เพราะตั้งแต่คืนเข้าหอ เจ้าบ่าวก็มิเคยแม้แต่จะย่างกรายกลับเข้ามายังห้องนอน“เขาคงจะออกไปทำหน้าที่ของเขานั่นแหละ พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเขาเป็นหน่วยพิเศษ” ฉินเซี่ยหรูพยายามปลอบใจตนเองแม้จะรู้สึกได้ว่าสามีหมาดๆ หมางเมินต่อนาง“อีกเจ็ดวันก็ไปเยี่ยมบ้านเดิมได้แล้ว คุณหนูใหญ่มิต้องเศร้าไปนะเจ้าคะ” หุ้ยเจินเปลี่ยนเรื่องพูดคุยทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของคุณหนูใหญ่ที่แสดงออกมานั้นดูเศร้าๆ“จ้ะ… พวกเจ้าก็ไปนอนกันเถิด”หลังจากหวีผมเสร็จสองสาวรับใช้จึงไปดับไฟในตะเกียงและเดินออกไปนอกห้องของฉินเซี่ยหรูอย่างเงียบๆ ส่วนเจ้าของห้องที่เพิ่งจะล้มตัว
เรือนรับรองสกุลหวงประมุขของจวนนั่งเคียงข้างกับฮูหยินของตน และเก้าอี้ฝั่งซ้ายมีครอบครัวสกุลซู ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางขั้นหก ใต้เท้าซูและซูฮูหยินพาบุตรสาวมาเรียกร้องความยุติธรรม โดยการขอให้หวงจิงอวี่รับบุตรีของตนเป็นภรรยารองเพราะชื่อเสียงถูกทำลายเพียงเพราะมีคนบอกต่อๆ กันมาว่าใต้เท้าหวงจิงอวี่แอบนัดพบบุตรีของตนในยามค่ำคืน“เรื่องนี้ข้าก็เห็นใจพวกท่านอยู่มิน้อยหรอกใต้เท้าซู แต่ว่าจะให้ข้ารับบุตรีของท่านมาเป็นภรรยารองมันมิมากเกินไปหน่อยหรือ ภรรยารองของอวี่เอ๋อร์พวกข้าได้ทาบทามไว้ให้เขาแล้ว คงจะกลายเป็นภรรยารองอีกมิได้อีก แต่ถ้าพวกท่านยอมให้บุตรีของท่านเป็นอนุภรรยาของบุตรชายของข้า เช่นนั้นคงจะมิปฏิเสธ”สามคนพ่อแม่ลูกสกุลซูมองหน้าราวกับปรึกษากัน ก่อนที่ใต้เท้าซูจะพยายามข่มใจเอ่ยถามออกมาว่าภรรยารองที่ใต้เท้าหวงไปสู่ขอมาให้หวงจิงอวี่นั้นคือสตรีจากจวนใด“กินอาหารกันก่อนเถิด หวังว่าจะถูกปากพวกท่านมิมากก็น้อย เพราะนี่เป็นอาหารที่สะใภ้ใหญ่ของข้าทำเอง” หวงฮูหยินเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้รับประทานอาหารก่อนที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญ สกุลซูหากเทียบกับสกุลฉินแล้วห่างไกลกันลิบลับหลังจากมื้ออ
เสียงของหมู่มวลวิหคดังขึ้นมาในยามอิ๋นย่างเข้ายามเหม่า บ่าวรับใช้ในจวนบางกลุ่มลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมอาหารและซักเสื้อผ้าให้กับเจ้านายของตน เช้านี้โจวเจินเจินจะไปรับอาหารเช้าที่เรือนกลางของท่านย่า ฉินเซี่ยหรูที่อยู่ในร่างของหลานสาวนั้นเริ่มปรับตนได้กับร่างนี้แล้ว ถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่นางกลับมีความรู้จากชาติภพก่อนติดตัวมาด้วย ทว่าความทรงจำแห่งความเจ็บปวดกลับมิอาจลบเลือนไป“คุณหนูใหญ่… ท่านทำไมรีบตื่นจังเลยล่ะเจ้าคะ ยามเหม่าค่อยลุกก็ได้เจ้าค่ะ”อี้ถง สาวรับใช้คนสนิทของโจวเจินเจินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเมื่อได้เห็นร่างเล็กบนเตียงนอนขยับกายลุกขึ้นนั่ง“ข้าอยากไปเดินออกกำลังข้างนอกเสียหน่อย เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำมาให้ข้าล้างหน้าทีนะอี้ถง” เสียงเล็กตอบออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังเก้าอี้ยาวที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวปลิวสไวไปตามแรงลม“อากาศยังเย็นๆ อยู่เลยนะเจ้าคะคุณหนู บ่าวกลัวว่าคุณหนูจะเจ็บป่วยขึ้นมาอีก” อี้ถงเป็นกังวลกลัวว่าคุณหนูที่อ่อนแอของนางจะกลับมาเจ็บป่วยอีกหากออกไปสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นในยามนี้“ข้าแข็งแรงแล้ว ยิ่งนอนมากก็ยิ่งอ่อนแอมาก เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข
“ร้องดังๆ”เสียงเข้มสั่งคนใต้ร่าง เขาตั้งใจทำให้คนในเรือนใหญ่ได้ยิน อนุเซียวจึงร้องครางออกมาเสียงดังลั่นเพื่อให้สามีพึงพอใจกับรสรักและลีลาการอุ่นเตียงของนาง นางอยากจะรั้งเขาไว้ที่เรือนนี้นานๆ ยามนี้เป็นโอกาสดีของนางเพราะนายหญิงรองมีครรภ์และเขาก็มิได้ไปเยือนเรือนของนายหญิงใหญ่มานานแล้ว“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ…” ชีโยวอดที่จะสงสารคุณหนูใหญ่ของนางมิได้ นายท่านทำร้ายจิตใจคุณหนูใหญ่มากเกินไปแล้ว ภายใต้สีหน้าที่แสดงความเย็นชาของคุณหนูเหตุใดนางจะมิล่วงรู้ว่าจิตใจของนางต้องเจ็บปวดมากถึงเพียงใด“ข้ามิเป็นอันใดหรอก…พวกเจ้าสองคนไปนอนเถอะ ข้าก็จะนอนแล้วเช่นกัน”ฉินเซี่ยหรูบอกก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ตัวยาวติดหน้าต่างเดินเข้าไปภายในห้องนอน ทั้งชีโยวและหุ้ยเจินถึงกับถอนหายใจออกมา นางทั้งสองเป็นเพียงบ่าวข้างกายจะทำอันใดได้นอกจากคอยอยู่เคียงข้างคุณหนูของพวกนาง บ่าวทั้งสองทำตามคำสั่งทั้งคู่ออกจากห้องไปหลังจากเตรียมที่นอนให้แก่นายหญิงใหญ่และดับไฟในตะเกียงเรียบร้อย“ข้าไปทำอันใดให้ท่านกัน ท่านถึงได้ทรมานจิตใจข้าได้เลือดเย็นถึงเพียงนี้”ฉินเซี่ยหรูพึมพำเบาๆ พลางปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา ความเจ็บปวดที่มิอาจแสดงออกมา
ชีวิตการแต่งงานที่สตรีทั้งหลายใฝ่ฝันนั้นมิได้เป็นไปดังหวังโดยเฉพาะกับฉินเซี่ยหรู แม้นางจะเป็นสตรีที่เกิดในตระกูลที่มีหน้ามีตาของเมืองฮวาหลานแต่การจะเลือกใช้ชีวิตกับบุรุษที่รักนางและนางรักก็เป็นไปไม่ได้ นางมิเคยมีความรักจนได้พบกับเขา บุรุษหนุ่มบนหลังม้าที่มีสีหน้าเย็นชา คราแรกคิดว่าเขาคงจะมิได้รังเกียจนาง แต่ทว่านางคิดผิด เขารังเกียจนาง…เข้ากระดูกดำ“นายหญิงใหญ่เจ้าคะ นายหญิงรองท้องแล้วเจ้าค่ะ” หนึ่งปีหลังจากเขาแต่งภรรยารองเข้ามา นางก็ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ในขณะที่ภรรยาเอกยังมิเคยได้เข้าหอกับเขาผู้เป็นสามีเลยสักครั้ง“กี่เดือนแล้วล่ะ” ฉินเซี่ยหรูน้ำตาตกในแต่กลับแสดงใบหน้าที่ยิ้มแย้มแสดงความยินดีออกมา“สองเดือนเจ้าค่ะ อะ…เอ่อ… ข้าได้ยินมาว่า ท่านเขยจะรับอนุมาอีกสองคนเจ้าค่ะ คนแรกเป็นสตรีไร้สกุลมิมีผู้ใดรู้จักนาง สตรีอีกนางเป็นน้องสาวของลูกน้องของท่านเขยเอง”ราวกับคมหอกที่เข้ามาทิ่มแทงใจ ในขณะที่เขากำลังมีทายาทสืบสกุลและกำลังมีความสุขกับการรับอนุเข้ามาเพิ่ม นางก็กำลังเป็นทุกข์ที่มีหน้าที่เป็นเพียงเครื่องประดับของจวนสกุลหวงเพื่อให้มีผู้คนนับถือ“ช่างเขาเถิด คิดมากไปข้าก็จะเป็นฝ่ายปวดใจเสียเอ
“ท่านย่า… หลานจะไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” คำตอบของหลานสาวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหนักใจ แต่พอลองคิดดูนางยังเด็กนัก อาจจะยังมิเข้าใจเรื่องการออกเรือนไปกับผู้ใดสักคนก็ได้“อืมๆ มิเป็นไร แต่เรื่องการฝึกฝนวิชาป้องกันตัวอย่างที่เจ้าต้องการ ย่าว่ารอหลังจากนี้อีกสักปีเถิด ยามนี้ร่างกายของเจ้ายังมิเหมาะกับการใช้พละกำลังเช่นนั้น”ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยอมรับสภาพ ท่านย่าห่วงสุขภาพของหลานสาวก็เป็นสิ่งสมควร เพียงนางเข้าใจเรื่องการออกเรือนและมิได้บังคับให้นางต้องเรียนเรื่องราวที่เหล่าสตรีต้องเรียน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว“ถ้าเช่นนั้นหลานขอลองศึกษาเกี่ยวกับยาและสมุนไพรได้หรือไม่เจ้าคะ” เพราะชาติภพที่ผ่านมานางยังมิได้มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับการปรุงยาของท่านหมอ นางจึงอยากเรียนรู้เอาไว้เผื่อในภายภาคหน้าจะต้องใช้“อืม… เจ้าอยากเป็นหมอหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาอย่างยิ้มๆ“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ… หลานเพียงอยากรู้เรื่องยาและการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น” เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสนับสนุนหลานสาว อย่างน้อยมีวิชาแพทย์ติดตัวพอเติบโตไปนางจะได้มิมีผู้ใดมารังแกได้“ถ้าเช่นนั้นก็ศึกษาเถิด เดี๋ยวย่าจะเชิญอาจารย์หมอที่สอนเกี
เสียงของหมู่มวลวิหคดังขึ้นมาในยามอิ๋นย่างเข้ายามเหม่า บ่าวรับใช้ในจวนบางกลุ่มลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมอาหารและซักเสื้อผ้าให้กับเจ้านายของตน เช้านี้โจวเจินเจินจะไปรับอาหารเช้าที่เรือนกลางของท่านย่า ฉินเซี่ยหรูที่อยู่ในร่างของหลานสาวนั้นเริ่มปรับตนได้กับร่างนี้แล้ว ถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่นางกลับมีความรู้จากชาติภพก่อนติดตัวมาด้วย ทว่าความทรงจำแห่งความเจ็บปวดกลับมิอาจลบเลือนไป“คุณหนูใหญ่… ท่านทำไมรีบตื่นจังเลยล่ะเจ้าคะ ยามเหม่าค่อยลุกก็ได้เจ้าค่ะ”อี้ถง สาวรับใช้คนสนิทของโจวเจินเจินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเมื่อได้เห็นร่างเล็กบนเตียงนอนขยับกายลุกขึ้นนั่ง“ข้าอยากไปเดินออกกำลังข้างนอกเสียหน่อย เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำมาให้ข้าล้างหน้าทีนะอี้ถง” เสียงเล็กตอบออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังเก้าอี้ยาวที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวปลิวสไวไปตามแรงลม“อากาศยังเย็นๆ อยู่เลยนะเจ้าคะคุณหนู บ่าวกลัวว่าคุณหนูจะเจ็บป่วยขึ้นมาอีก” อี้ถงเป็นกังวลกลัวว่าคุณหนูที่อ่อนแอของนางจะกลับมาเจ็บป่วยอีกหากออกไปสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นในยามนี้“ข้าแข็งแรงแล้ว ยิ่งนอนมากก็ยิ่งอ่อนแอมาก เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข
เรือนรับรองสกุลหวงประมุขของจวนนั่งเคียงข้างกับฮูหยินของตน และเก้าอี้ฝั่งซ้ายมีครอบครัวสกุลซู ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางขั้นหก ใต้เท้าซูและซูฮูหยินพาบุตรสาวมาเรียกร้องความยุติธรรม โดยการขอให้หวงจิงอวี่รับบุตรีของตนเป็นภรรยารองเพราะชื่อเสียงถูกทำลายเพียงเพราะมีคนบอกต่อๆ กันมาว่าใต้เท้าหวงจิงอวี่แอบนัดพบบุตรีของตนในยามค่ำคืน“เรื่องนี้ข้าก็เห็นใจพวกท่านอยู่มิน้อยหรอกใต้เท้าซู แต่ว่าจะให้ข้ารับบุตรีของท่านมาเป็นภรรยารองมันมิมากเกินไปหน่อยหรือ ภรรยารองของอวี่เอ๋อร์พวกข้าได้ทาบทามไว้ให้เขาแล้ว คงจะกลายเป็นภรรยารองอีกมิได้อีก แต่ถ้าพวกท่านยอมให้บุตรีของท่านเป็นอนุภรรยาของบุตรชายของข้า เช่นนั้นคงจะมิปฏิเสธ”สามคนพ่อแม่ลูกสกุลซูมองหน้าราวกับปรึกษากัน ก่อนที่ใต้เท้าซูจะพยายามข่มใจเอ่ยถามออกมาว่าภรรยารองที่ใต้เท้าหวงไปสู่ขอมาให้หวงจิงอวี่นั้นคือสตรีจากจวนใด“กินอาหารกันก่อนเถิด หวังว่าจะถูกปากพวกท่านมิมากก็น้อย เพราะนี่เป็นอาหารที่สะใภ้ใหญ่ของข้าทำเอง” หวงฮูหยินเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้รับประทานอาหารก่อนที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญ สกุลซูหากเทียบกับสกุลฉินแล้วห่างไกลกันลิบลับหลังจากมื้ออ
หลังจากที่ฉินเซี่ยหรูแต่งงานเข้าจวนสกุลหวง มีหลายสกุลต่างพากันอิจฉามารดาของหวงจิงอวี่ที่ได้ลูกสะใภ้ที่มีความงามและความเพียบพร้อมในคนเดียว ผู้ใดในเมืองฮวาหลานจะมิรู้บ้างว่าคุณสมบัติที่ฉินเซี่ยหรูมีนั้นเหมาะสมแก่การเป็นภรรยาเอกขนาดไหน แต่สกุลที่โชคดีที่ได้นางไปเป็นสะใภ้กลับกลายเป็นสกุลหวง ที่ใครๆ ก็รู้เช่นกันว่าสกุลนี้รักหน้าตาของตนเป็นที่สุด“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เหตุใดท่านเขยใหญ่ต้องแยกห้องนอนกับท่านด้วยหรือเจ้าคะ”ชีโยวหนึ่งในสองสาวรับใช้คนสนิทของฉินเซี่ยหรูเอ่ยถามออกมา เพราะตั้งแต่คืนเข้าหอ เจ้าบ่าวก็มิเคยแม้แต่จะย่างกรายกลับเข้ามายังห้องนอน“เขาคงจะออกไปทำหน้าที่ของเขานั่นแหละ พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเขาเป็นหน่วยพิเศษ” ฉินเซี่ยหรูพยายามปลอบใจตนเองแม้จะรู้สึกได้ว่าสามีหมาดๆ หมางเมินต่อนาง“อีกเจ็ดวันก็ไปเยี่ยมบ้านเดิมได้แล้ว คุณหนูใหญ่มิต้องเศร้าไปนะเจ้าคะ” หุ้ยเจินเปลี่ยนเรื่องพูดคุยทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของคุณหนูใหญ่ที่แสดงออกมานั้นดูเศร้าๆ“จ้ะ… พวกเจ้าก็ไปนอนกันเถิด”หลังจากหวีผมเสร็จสองสาวรับใช้จึงไปดับไฟในตะเกียงและเดินออกไปนอกห้องของฉินเซี่ยหรูอย่างเงียบๆ ส่วนเจ้าของห้องที่เพิ่งจะล้มตัว
“เจินเอ๋อร์คารวะท่านตาเจ้าค่ะ”“หลงเอ๋อร์คารวะท่านตาขอรับ” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบและเด็กชายวัยสี่ขวบคำนับท่านตาของตนทันที“ตามสบายลูก มาๆ มานั่งข้างๆ ตาทั้งสองคน”เสียงทุ้มฟังแล้วอบอุ่นดังออกมาจากปากของชายวัยกลางคน ฉินเซี่ยหรูมองบิดาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แม้จะผ่านไปห้าวันกับการจากไปของนาง แต่ก็ยังมิมีผู้ใดหลุดพ้นจากความทุกข์ในครานี้ไปได้ โดยเฉพาะมารดาที่ไปถือศีลที่สำนักเขาสวีชุนตั้งแต่ที่นางจากไป นางมิได้โทษพวกท่านที่ให้นางออกเรือนไป แต่นางโทษตนเองที่เลือกที่จะมิปฏิเสธที่จะออกเรือนไปกับบุรุษผู้นั้น บุรุษที่ไร้ใจให้แก่นางมือบางเอื้อมไปกุมมือน้องชายเดินเข้าไปหาท่านตา ก่อนที่ใต้เท้าฉินจะให้บ่าวรับใช้นำขนมมาให้หลานๆ ของตนได้กินกัน พร้อมกับน้ำชาที่หอมกลิ่นดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ฉินเซี่ยหรูรู้สึกคุ้นเคย เพราะมันคือน้ำชาที่นางเป็นคนทำขึ้นมาให้แก่บิดามารดาได้ดื่ม ใต้เท้าโจวและโจวฮูหยินนั่งมองบิดานั่งคุยกับหลานทั้งสองแล้วยิ้มออกมา อย่างน้อยเด็กทั้งสองก็พอจะทำให้ท่านพ่อได้คลายเหงาหลังจากพาเด็กๆ แวะเยี่ยมเยือนท่านตาที่สกุลฉิน สองสามีภรรยาก็พาบุตรทั้งสองแวะซื้อของที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องได้พบกับบุคคลที่
สายตาที่ทอดมองไปยังสายน้ำที่ไหลผ่านในลำธารหลังจวนสกุลโจว ทำให้คนที่เพิ่งฟื้นจากความตายแต่กลับกลายมาอยู่ในร่างของคนที่นางมิควรอยู่ สามวันแล้วที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างของโจวเจินเจิน หลานสาวแท้ๆ ที่นางรักและเอ็นดู ในขณะที่ร่างกายของนางได้ถูกฝังไปในสุสานสกุลฉินแล้ว เหตุใดที่มิได้ฝังอยู่ในสุสานสกุลหวงนั่นก็เป็นเพราะก่อนที่นางจะสิ้นลมหายใจ นางได้เขียนจดหมายหย่าให้แก่สามีอย่างหวงจิงอวี่ ขอตัดความสัมพันธ์กันไม่ว่าภพนั้นหรือภพต่อไป“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นายหญิงใหญ่ให้บ่าวมาตามไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ”เสียงของบ่าวที่เพิ่งจะเดินมาถึงเรียกสติที่กำลังล่องลอยไปของฉินเซี่ยหรูให้กลับมา นางหันมามองแล้วพยักหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำอวี้ถงกับบ่าวที่มาตามนางไปยังเรือนใหญ่“เจินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ เจินเอ๋อร์คารวะท่านแม่” เสียงเล็กเอ่ยออกมาพร้อมทั้งคำนับบิดามารดา“เจินเอ๋อร์… มานั่งนี่สิลูก” เสียงหวานของฉินเซี่ยหรงเรียกบุตรีของนาง“ท่านพ่อกับท่านแม่มีเรื่องอันใดจะคุยกับลูกหรือเจ้าคะ” สองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนที่จะมองไปที่บุตรี“เจ้าอยากไปกราบไหว้ท่านป้าของเจ้าที่สุสานหรือไม่”เพราะรู้ดีว่าโจวเจินเจินนั้นเป็นห
“คิกๆ ลูกทราบเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ ท่านป้าหวงมาดูตัวลูกใช่หรือไม่เจ้าคะ” ฉินฮูหยินพยักหน้าก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น“แล้วเจ้าคิดว่าเช่นไร กับสกุลหวงแม่ว่าดีนะ โอกาสในภายภาคหน้าเจ้าอาจจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ตามว่าที่สามีเพราะแม่ได้ยินว่าบุตรชายของสกุลหวงได้เป็นหัวหน้าองครักษ์ตั้งแต่อายุเพียงสิบแปด ยากนะที่จะหาคนที่เหมาะสมกับเจ้าได้ถึงเพียงนี้”แม้ในใจของฉินเซี่ยหรูจะบอกว่าเร็วเกินไปสำหรับเรื่องแต่งงาน แต่นางก็มิอาจปฏิเสธได้ว่านางถูกใจใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษท่าทางสง่างามผู้นั้น และนางก็มิคิดว่าในเมืองฮวาหลานแห่งนี้จะมีบุรุษใดเหมาะสมกับนางเท่าเขาอีกแล้ว“มันก็จริงอย่างที่ท่านแม่กล่าว.. เรื่องนี้ลูกให้ท่านพ่อกับท่านแม่ตัดสินใจแทนข้าได้เลยเจ้าค่ะ”คำตอบของบุตรสาวเรียกรอยยิ้มแห่งความดีใจที่ปิดไม่มิดออกมาจากทั้งใต้เท้าฉินและฉินฮูหยิน มีผู้ใดบ้างจะมิอยากให้บุตรสาวของตนได้แต่งงานกับบุรุษที่มีหน้าที่การงานที่ดีสามวันต่อมาแม่สื่อจึงนำของสินสอดมาส่งให้แก่เจ้าสาวที่บ้านก่อนที่จะให้แต่งออกเรือนไปในอีกเจ็ดวันข้างหน้าตามฤกษ์ยามที่ฝ่ายสกุลหวงหามา ในขณะที่ฝ่ายเจ้าสาวรู้สึกยินดีไปกับการได้เกี่ยวดองกับสกุลหวงในค