กระต่ายหยกโพล่ขึ้นมาหลังจากแสงสีเขียวจากมือจินเป่าละลายหายไป แสงสว่างได้ก่อตัวขึ้นทันทีที่กระต่ายหยกออกมา มังกรฟ้าที่แก่ชราหลับตาปีด้วยความแสบตา ทันใดนั้นเจ้ากระต่ายหยกพ่นน้ำอมฤตใส่มังกรชราทันที ครั้นที่ผิวหนังอันหยาบกร้านของมังกรชราต้องกับน้ำอมฤตก็เป่งประกายขึ้น ความเย็นถาโถมเข้ามา พละกำลังมหาศาลถาโถมเข้ามาสู่มังกรชรา"เจ้ามนุษย์เจ้าเล่นกลอันใดกับข้า"มังกรฟ้ากล่าวด้วยเสียงที่สั่นเทาด้วยความชรา ปนเสียงดีใจไม่น้อย เพราะร่างกายที่เคยหนักอื้อตอนนี้ผ่อนคลายลงไม่น้อย มันค่อยๆลืมตาและมองไปรอบๆตัวของมันเอง"สิ่งนี้ข้าขอมอบให้ท่านด้วยใจเพื่อแลกกับไข่มุกบรรพกาลสีเขียว และอีกไม่เกินเจ็ดวัน ข้าจะต้องปลดปล่อยสัตว์อสูรที่ทำหน้าที่ดูและหุบเขาบรรพกาลแห่งนี้ให้จงได้ ได้โปรดยกไข่มุกบรรพกาลสีเขียวให้พวกข้าด้วยเถอะ"จินเป่ากล่าวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน และพยายามคิดที่จะใช้คำพูดไหนดีที่จะเกลี้ยกล่อมมังกรชราดี"ข้าหวังว่ามันจะเป็นความจริง รับไปเถอะ"จินเป่ารีบวิ่งไปยังรังฟางหญ้า ที่ไข่มุกบรรพกาลสีเขียววางอยู่ แสงสีน้ำเงินพุ่งออกมาเก้าสายก่อเกิดเป็นมังกรฟ้าตัวมหึมาเก้าตัว นางคิดไว้ไม่มีผิด ถึงแม้เจ้ามังกรฟ้าชร
หลังจากที่นักศึกษาสำนักพระจันทร์เสี้ยวกับสำนักศึกษาพายัพ มารอนักศึกษาสำนักตะวันเลือนเพียงวันเดียว นักศึกษาจากสำนักตะวันเลือนก็มาถึงกลางหุบเขาบรรพกาลแล้ว หลังจากการเร่งเดินทางมายังกลางหุบเขานั้นเหนื่อยมาก จึงทำให้ทั้งสิบคนหาที่พักผ่อนทันทีที่มาถึง พอนักศึกษาทั้งสองกลุ่มเห็นนักศึกษาสำนักตะวันเลือนหลับสนิทจึงลงมือ ค้นหาไข่มุกบรรพกาลสีฟ้าและไข่มุกบรรพกาลสีเขียว ทุกคนคิดว่าไข่มุกบรรพกาลทั้งสองต้องอยู่กับจินเป่า จึงลงมือค้นตัวจินเป่าเป็นคนแรก แต่ยังไม่ทันได้ค้นตัวจินเป่า สัญชาตญาณระวังภัยของจินเป่าก็ทำให้นางรู้สึกตัว และซัดผู้ที่เข้าใกล้ตนอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นกระเด็นไปไกลพอสมควร และกระอักเลือดออกมาทันที ทำให้ทุกคนที่นอนหลับตื่นกันหมด ทางด้านนักศึกษาของสำนักพระจันทร์เสี้ยวกับสำนักพายัพเตรียมตัวอยู่แล้วจึงจับนักศึกษาสตรีของกลุ่มสำนักตะวันเลือน"นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเจ้าทำอะไรกัน"จางซินที่ถูกจับไว้ถามขึ้น"เจ้าบอกให้หัวหน้าเจ้าส่งไข่มุกบรรพกาลสีฟ้ากับสีเขียวมาให้พวกข้าแล้วพวกข้าจะคืนนักศึกษาสตรีสามผู้นี้คืนแก่เจ้า"บุรุษผู้หนึ่งที่เป็นนักศึกษาของสำนักพระจันทร์เสี้ยวกล่าวขึ้น"อย่าบ
ผลสุดท้ายกลุ่มสำนักศึกษาพายับก็พ่ายแพ้ให้ความหน้าหนาของกลุ่มสำนักศึกษาพระจันทร์เสี้ยว ถึงอย่างไรดูแล้วหัวหน้ากลุ่มพระจันทร์เสี้ยว ตงเจียวมิ่งก็ไม่ใช่ผู้นำที่ดีสักเท่าไหร่ เพราะในการถกเถียงกันครั้งนี้นางได้แต่ยืนฟังบุรุษผู้หนึ่งของสำนักพระจันทร์เสี้ยวเป็นคนออกความคิดเห็นเท่านั้น ดูแล้วผู้นำของสำนักพระจันทร์เสี้ยวก็คงจะเป็นบุรุษ และผู้นำของสำนักศึกษาตะวันเลือนก็น่าจะเป็นบุรุษเช่นเดียวกัน เพราะไข่มุกทั้งสองถูกบุรุษผู้นั้นเก็บเอาไว้และบุคคลผู้นั้นน่าจะเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในกลุ่มด้วย มีแต่สตรีที่อยู่ในกลุ่มของตนเท่านั้นที่เป็นผู้ทำหน้าที่ เข้าไปในกลางหุบเขาบรรพกาลและยังเป็นหัวหน้าอีกด้วย ดังนั้นการที่ใครเข้าก่อนเข้าหลังก็ไม่สำคัญ จะสำคัญที่หัวหน้าของพวกเขา มู๋ลี่อินน่าจะเก่งกาจกว่าสตรีทั้งสองของสองสำนักเป็นแน่ "คนพวกเจ้าอยากเข้าก่อนก็เข้าไปเถอะ ยืนเถียงกันอยู่แบบนี้ก็จะหมดเวลาเสียป่าวๆ ถึงจะเข้าก่อนเข้าหลังก็ไม่สำคัญหรอกมันสำคัญที่ใครเก่งกว่าก็เท่านั้น"มู๋ลี่อินกล่าว พลางพาสหายร่วมสำนักไปพักที่ใต้ร่มไม้ใหญ่"พวกนั้นมันว่าเรา เราจะยอมไม่ได้"ตงเจี้ยวมิ่งกล่าวขึ้นอย่างเดือดดาลพ
ร่างของตงเจียวมิ่งลอยคว้างในอากาศ จนเกือบถึงทางออกนอกซากปรักหักพัง นางกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง พอมองออกไปก็เหมือนว่าทางเข้าจะพังทลายลงนางจึงรีบลุกขึ้น และเก็บไข่มุกทั้งสี่และเดินออกไปอย่างอิดโรย "ออกมาแล้ว ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็แสดงว่าไม่สำเร็จ เอาไข่มุกมานี้ มู๋ลี่อินของพวกข้าจะได้เข้าไป"บุรุษในกลุ่มสำนักพายับกล่าวขึ้น และขว้าถุงมิติมา"เจ้าได้เข้าไปคนแรกก็ควรจะแสดงน้ำใจบอกสหาย ผู้ที่เข้าที่หลังนะว่าเจอสิ่งใดบ้าง "จางซินที่พึ่งตื่นจากการพักผ่อน และออกมมาดูสถานการกล่าวกับตงเจี้ยวมิ่ง"ถ้าคนที่เข้าไปก่อนต้องบอกคนที่เข้าที่หลัง ข้าว่าภารกิจนี้พวกเจ้าน่าจะจงใจเข้าที่หลังแล้วล่ะ จะได้รู้ว่ามีสิ่งใดข้างในเป็นแน่ ครั้งนี้พวกเจ้าก็แผนสูงนี้เอง"สหายจากสำนักพระจันทร์เสี้ยวกล่าว"จะเข้าคนแรกหรือคนสุดท้ายสำคัญที่ใดกัน สหายของพวกเจ้าไม่ได้เรื่องเองต่างหาก ไม่บอกผู้อื่นแล้วใครจะไปสนล่ะ จางซินเจ้าไม่ต้องไปถามนางหรอก ข้าว่านางน่าจะได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เข้าไปด้านในแล้วล่ะ เพราะนางน่าจะใช้วรยุทธในการขับเคลื่อนตัวเข้าไปแล้วอาจจะสลบไปเข้าไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ"จินเป่ากล่าวเพื่อลองเชิง"นาง นางรู้ได
นักศึกษาทุกคนก็หลุดออกจากหุบเขาบรรพกาลมาโผล่ยังจุดที่พวกเขาทุกคนถูกส่งตัวไปยังหุบเขาบรรพกาลที่ลานกว้างนั้น เสียงบรรดาอาจารย์และผู้คนที่อยู่ข้างนอกวิ่งมาดูนักศึกษากันวุ่นวาย"สำเร็จแล้วพวกเจ้าทำสำเร็จแล้ว "เหล่าอาจารย์ทั้งหลายที่วิ่งมาด้วยความดีใจ พลางมองลูกศิษย์ทุกคน ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ยังไม่หายดีก็จะมีเพียงสองคน มู่ลี่อินกับตงเจี้ยวมิ่งเท่านั้น"ดี ดีมาก ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ "ปรมาจารย์สตรีสำนักพระจันทร์เสี้ยวกล่าวพลางเดินเข้าไปประคองตงเจี้ยวมิ่ง "ถ้านักศึกษาของสำนักพระจันทร์เสี้ยวกับนักศึกษาของสำนักพายัพไม่ได้เข้าไปก่อนก็คงจะไม่มีผู้ใดบาดเจ็บ หากพวกเจ้าทำตามกฎกติกาตั้งแต่ทีแรก พวกเจ้าก็ไม่ต้องเจ็บถึงเพียงนี้ก็เป็นได้ ครั้งนี้อาจจะเป็นบทเรียนของพวกเจ้า แต่ถามว่าพวกเจ้าต้องถูกทำโทษไหมแน่นอน กลับไปที่สำนักข้าจะให้อาจารย์ประจำกลุ่มพวกเจ้าทำโทษพวกเจ้าเอง แล้วที่พวกเจ้าทำอะไรกล่าวอะไรลงไปด้านในอย่าคิดว่าไม่มีผู้ใดรู้ผู้ใดเห็น เพราะด้านนอกมีลูกแก้วคอยสอดส่องอยู่ อาจารย์ทุกคนเห็นพฤติกรรมของพวกเจ้าทุกๆคน ภารกิจนี้คือต้องรวมใจกันเพื่อที่จะเข้าไปกลางหุบเขาและเปิดหีบ ไม่ใช่
นักศึกษาสตรีทั้งสองคนของสำนักตะวันเลือน ยืนดูทั้งสองคนและร้องเรียกด้วยความตกใจ จางซินเขย่าตัวซิงอีกอย่างแรง ทั้งสองคนตกใจกันหมดนึกว่าทั้งสองเป็นอะไรไป"พวกเจ้าทั้งสองเป็นอะไรไป พวกเจ้าหลับไม่ได้สติอยู่นานเลยทีเดียวพวกข้าตกใจกันหมดแล้ว"จางซินกล่าว"พวกข้าก็คงเหนื่อยจัดเลยหลับไม่รู้เรื่องเลย ปกติเราก็ไม่ได้หลับสนิทขนาดนี้หรอก เราก็ระวังตัวตลอดเวลานั้นแหละ แต่พอมาอยู่ในที่นี่ข้าก็แค่รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยจึงหลับไหลไป ขอโทษพวกทั้งสองคนด้วยนะ"จินเป่ากล่าว จนทำให้จางซิน และเหมยลี่รู้สึกผิดที่ไปปลุกพวกนางเพราะพวกนางน่าจะเหนื่อยมามากแล้ว ถ้าเทียบกับพวกตน ซิงอีเองก็คอยเป็นห่วงแทบนั่งไม่ติดเลย ตอนที่จินเป่าเข้าไปซากปรักหักพังนั้น แถมกลับมาถึงก็เตรียมที่นอนเสื้อผ้าให้จินเป่าอีก ซิงอีเองรู้ว่าจินเป่าเหนื่อยมามาก นางเองก็ดูแลให้น้องสาวสบายขึ้นก็เท่านั้น "พอดีอาหารเสร็จแล้วมีผู้มาตามเราไปกินข้าเลยปลุกพวกเจ้า ไปกินกันก่อนเถอะนะ พวกข้าก็ต้องขอโทษเจ้าทั้งสองที่พวกข้าปลุกพวกเจ้า แต่พวกข้าแค่เป็นห่วงเท่านั้นไปกินข้าวแล้วกลับมาพักผ่อนกันเถอะนะ"จางซินกล่าว และทุกคนก็ไปกินข้าวกัน วันนี้มีอาหาร
หลังจากกิจกรรมแข่งขันทำภารกิจที่หุบเขาบรรพการ เสร็จสิ้นแล้วนักศึกษาทุกคนที่อยู่ชั้นสูงก็ได้มีชื่อเสียงมากขึ้น หลังจากเรียนจบทุกคนก็แยกย้ายออกไปตามทางของตน ตั้งแต่ที่จบเรื่องหุบเขาบรรพกาลก็ไม่มีผู้ใดเห็นปรมาจารย์ไป๋อวิ้นอีกเลย"จินเป่า ซิงอีเรียนจบแล้วพวกเจ้าจะไปที่ใดกันหรือ" จางซินถามสหาย ซิงอีจึงมองไปยังจินเป่าว่านางจะตอบสิ่งใด"ข้าไม่ปกปิดพวกเจ้าก็แล้วกัน ข้าต้องการตามหาอดีตของพวกข้า ข้าไม่รู้ว่าพวกข้าเป็นใครมาจากไหน ข้าต้องการเดินทางไปมิตินิมิตกับมิติเชื่อมจิตรเพื่อสืบหาที่มาของพวกข้า แล้วพวกเจ้าล่ะต้องการทำสิ่งใดต่อ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนพี่น้องไม่ใช้คนในมิตินี้"จินเป่ากล่าวขึ้น เพื่อลองเชิง"พวกข้ามาทำตามหาคนกัน พวกเจ้าไม่ใช้คนมิตินี้หรอกหรือ งั้นก็น่าเสียดายนะสิ ข้าว่าข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยเหลือสักหน่อย ช่วยพวกข้าตามหาคนสักหน่อย ถ้าพวกเจ้าต้องการไปมิติอื่นพวกข้าก็ไม่ของรบกวนพวกเจ้าแล้วกัน"จางหยงกล่าวขึ้น"พวกข้าก็นึกว่าพอเรียนจบพวกเจ้าก็จะกลับไปมิติของตัวเอง พวกข้าคิดว่าจะติดตามพวกเจ้าไปด้วย น่าเสียดายจริงๆ พวกข้าก็ต้องหาทางไปกันเองเสียแล้ว"จินเป่ากล่าว"พวกเจ้าต้องการหา
ฟิว! ปั้ง ฟิว!ปั้ง จางหยงวาดมือออกไปประทะอะไรสักอย่างถึงสองครั้งก็มีเสียงดังทั้งสองครั้งเลย ท่าไม่ดีจินเป่าจึงลากพี่ซิงอีและจางซินมาหลบก่อน"เกิดอะไรขึ้นจางซินพวกนั้นเป็นใครกัน "จินเป่ากระซิบถาม ด้วยเสียงอันแผ่วเบาแต่ร้อนรน"น่าจะพวกที่ตามล่าพวกข้ามาจากมิติเชื่อมจิต เอาแบบนี้เจ้าสองคนหนีไปก่อน ถ้าครั้งนี้ข้ากับพี่ชายมีชีวิตรอดเดียวข้าจะไปตามหาพวกเจ้าทั้งสองที่จวนห่าวอู๋ ที่เจ้าเคยพูดถึงอยู่บ่อยๆ "จางซินกล่าวกับทั้งสอง และกอดพวกนางทั้งสองแล้วร้องไห้ออกมา "ไม่ได้หรอกข้าจะต้องช่วยพวกเจ้า ไม่ว่ายังไงเราก็เป็นสหายกัย"จินเป่ากล่าวพลางส่งลี่หลินและสัตว์อสูรของนางกับสัตว์อสูรของห่าวอู๋อวี่ออกมา"พี่ซิงอีท่านให้จางสือยวี่ออกมาดูแลท่านกับจางซินและพวกท่านทั้งสองอยู่ที่นี่รอข้ากลับมา"จินเป่ากล่าวและกระโดดออกไปจากที่กำบังและรวมต่อสู้กับจางหยงทันที จางซินคิดถึงนกฟินิกซ์ของตนจึงปล่อยออกมาสู้กับศัตรู และนางกับซิงอี ก็อยู่เฉยไม่ได้จึงออกมาช่วยสู้ พวกเขามีราวยี่สิบคนหนึ่งในนั้นมีคนที่ถือแส้วิญญาณ สีเลือด ทั้งสองฝ่ายต่างเจ็บไม่ใช้น้อยตอนนี้ สัตว์อสูรงูทั้งสองก็บาดเจ็บหนักเช่นเคย งูเห่าดำจึงตัดส
"ข้าว่าพวกเรายังอยู่ที่เดิมนะ เพราะพวกเราก็อยู่ในทะเลเหมือนเดิม"ห่าวอู๋มู่ลี่กล่าวขึ้น"เราเดินไปในป่าสักนิดนึงแล้วเราค่อยพักเถอะอยู่แถวนี้มันอันตรายเกินไปเพราะจุดนี้จะเป็นทางเข้าทางออกจากนิติแห่งนี้และก็มีคนรู้จักที่นี้พอสมควรด้วย"จางหยงกล่าวขึ้นเพราะว่าพวกตนเคยมามิตินิมิตรแล้ว จึงชวนทุกคนเข้าไปพักในป่าจะดีกว่า ทุกคนจึงลากตัวเองขึ้นจากน้ำและเดินโซซัดโซเซขึ้นไปในป่าเมื่อเข้าไปในป่าก็พบกับต้นไม้ใหญ่สองต้นเหมือนเป็นทางเข้าพวกเขาทั้งหกจึงมุ่งไปทางต้นไม้ใหญ่ เมื่อพ้นจากต้นไม้ใหญ่ทั้งสองต้นนั้นแล้วความรู้สึกเหมือนไอวิเศษ พุ่งเข้ามาในร่างกายของคนทั้งสี่คน เป็นไอวิเศษที่มีแรงกดดันมหาศาล ซึ่งแรงกดดันนี้จางซินกับจางหยงจับถึงความผิดปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งสี่คนจึงทรุดตัวลงแล้วนั่งขัดสมาธิเพื่อที่จะขับเคลื่อนวรยุทธ์ภายใน ขนาดยืนพวกเขาทั้งสี่ยังลำบากแล้วจะให้เดินทางไปยังมิติเชื่อมจิตได้อย่างไร ระหว่างมิติสามัญกับมิตินิมิตรแห่งนี้ช่างมีไอวิเศษที่แตกต่างกันมากนัก ทั้งสี่คนนั่งขับเคลื่อนวรยุทธภายในใช้เวลาเราสองกานธูปทั้งสี่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาไอวิเศษที่กดดันพวกเขามานั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาเลื่อนวรยุทธแต่
เมื่อทั้งสองเดินมาตรงจุดพักที่อยูไกลสายตา แถบนี้คือทะเลทรายถ้ามองเองก็ไม่ค่อยชัดเจน นางจึงสั่งให้กระต่ายหยกทำงานอย่างเคย กระต่ายหยกแปลงร่างเป็นแมลงตัวเล็กๆอยู่บริเวณนั้นนานแล้ว มันจึงสื่อมาว่าจางซินรักษาทั้งสองเพียงคนเดียว และตอนนี้พลังของนางน่าจะน้อยลงทำให้จางหยงถ่ายทอดพลังช่วยนาง"การรักษาด้วยพลังรักษาด้วยมิติมันหนักหนาเลยหรือ"จินเป่าถามห่าวอู๋อวี่"หากรักษาคนต่อคนก็ไม่ยากเย็นหรอก แต่ถ้ารักษาสองคนแล้วมีผู้รักษาเพียงคนเดียว ก็ต้องอาศัยพลังวรยุทธของคนอื่นร่วมด้วยทำไมหรือ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวให้ฟังและถามขึ้น"ป่าวหรอกก็แสดงว่าจางหยงไม่มีมิติธาตุนะ เรารอสักหน่อยค่อยกลับดีกว่า"จินเป่ากล่าวขึ้น พอรอให้การรักษาสมบูรณ์แล้วทั้งสองก็กลับจุดพัก"ไม่เจอพวกนั้นเลยหรืออาจเป็นเพราะเรามองไม่เห็นมัน แล้วมันไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆหรือป่าวจึงไม่พบรังมัน"จินเป่ากล่าวขึ้น พลางมองหน้าซิงอี"พวกเจ้าหายารักษาทั้งสองได้แล้วหรือดีจังเลย งั้นเดียววันนี้ข้าเตรียมอาหารให้นะ"จินเป่ากล่าวและเตรียมอาหารให้ทุกคน ปกตินางเป็นคุณหนูสามไม่ได้ทำสิ่งใด เลยสักอย่าง แต่ร่างเดิมของนางต้องทำเองทุกอย่างจึงทำให้นางเก่งเรื่องอาหา
หลังจากที่ทุกคนกินปลาย่างเสร็จจางซินและจางหยงยืนยันที่จะเดินทางต่อเลยทุกคนจึงตกลงที่จะเดินทางต่อ"ถ้าเรายังไม่เดินทางต่อนะตอนนี้ข้าเกรงว่าคนที่อยู่มิติเชื่อมจิตจะไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียวที่ตามพวกเราอยู่ในเมืองตะวันน่ะสิ ข้ากลัวว่าจะมีคนหลายกลุ่มเลยแหละ เพราะฉะนั้นเรารีบเดินทางต่อเถอะ เราเดินทางไปถ้าเราเหนื่อยก็พักเพราะทะเลทรายไร้กลางคืนแห่งนี้จะไม่มีทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ใช้เวลาที่เราเหนื่อยก็แล้วกัน ทสำหรับการหยุดพักของพวกเรา"จางหยงกล่าวขึ้น และทั้งสี่ก็เดินทางต่อไป"ข้าออกมาจากป่าม่านได้อย่างไรกันหรือซิงอี "จางซินถามขึ้น"คุณชายใหญ่แบกเจ้ามานะสิ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเจ้าหนักมากเลย คุณชายใหญ่แบบเจ้าแทบไม่ไหวด้วย เขาแบกเจ้าถายในหนึ่งวันก็ต้องพักตั้งหลายรอบแหนะ"ซิงอีเองก็แกล้งแหย่พี่สาวเล่นๆ ทำให้คนเดินร่วมทางรู้สึกขำขันไปด้วย ทำให้จางซินเองถึงกับหน้าแดงเลยทีเดียว"คุณชายใหญ่ต้องขอขอบคุณท่านมากนะ ที่ท่านช่วยแบกข้ามา แต่ท่านไม่ได้คิดฉวยโอกาสกับข้าใช้ไหม ท่านแบกข้าตั้งหนึ่งวันแนะ"จางซินกล่าวขึ้น"ใครจะคิดฉวยโอกาสกับเจ้ากัน เป็นข้
พอรุ่งเช้าทั้งสี่ก็ออกเดินทาง ห่าวอู๋มู๋ลี่เองอุ้มจางซิน ห่าวอู๋อวี่ก็แบกจางหยงขึ้นหลัง และเดินทางด้วยเท้าเพียงแค่สองวันก็พบกับทางออกจากป่าแล้ว ในแผนเดิมก็คือถ้าพ้นจากป่าจะให้นกฟีนิกซ์ของจางซิน พาพวกเขาไปแต่ตอนนี้นางสลบอยู่ถ้าจะรอก็กลัวจะเสียเวลาและพวกเขายังมีศัตรูตามไล่ล่าอีก"เอาแบบนี้ก็แล้วกันครั้งนี้ให้อีแร้งยักษ์ของท่านพี่มู๋ลี่พาพวกเราไปก่อน เพราะสองคนนี้ฟื้นขึ้นมาค่อยดูอีกทีว่าจะทำเช่นไรตอนนี้เราแค่มุ่งหน้าไปทางเหนือก็เท่านั้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น ห่าวอู๋มู๋ลี่ก็ปล่อยอีแร้งยักษ์ออกมา"ข้าจำเป็นต้องใช้เจ้าในการเดินทาง ให้เจ้าพุ่งไปแค่ทางทิศเหนืออย่างเดียวและถ้าจุดใดที่จะเป็นอันตรายแก่ตัวเจ้า ให้เจ้าลงจอดพวกเราต้องเดินทางเท้าเจ้าก็ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาด ถ้าเจ้าเหนื่อยก็พักได้ทุกเมื่อ"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวกับสัตว์อสูรในพันธสัญญาของตัวเอง และกระโดดขึ้นไปบนหลังของมันเพื่อรอรับสหายที่สลบทั้งสองคน จินเป่ากับห่าวอู๋อวี่ก็ดันจางซินขึ้นไปด้านบนก่อนและช่วยกันพลักจางหยงขึ้นไปตาม และคนที่เหลือก็ปีนขึ้นไป พอทุกคนขึ้นไปบนหลังอีแร้งยักษ์แล้วมันก็ถลาขึ้นไปบนอากาศทันที ห่าวอู๋มู๋ลี่เองก็เป็นห่วงสัต
"เจ้านาย เจ้านายลืมไปหรือป่าวว่าทุกคนทั้งสี่ที่ไม่เป็นอะไรเพราะในเลือดของทุกคนมีผลหลิวต้องแสงจันทร์ "เจ้ากระต่ายหยกสื่อให้เจ้านายรับรู้"อ่อใช้สิ่งที่จะถอนพิษได้ทุกพิษและไม่เป็นอันตรายด้วยคือผลหลิวต้องแสงจันทร์ และที่พวกท่านไม่เป็นอะไรเพราะในร่างกายมีฤทธิ์ต้านพิษของผลหลิวต้องแสงจันทร์อยู่นะสิ"จินเป่ากล่าวขึ้นพลางแบมือนำผลหลิวต้องแสงจันทร์ที่ตัดเป็นชิ้นๆแช่น้ำอมฤตไว้ออกมา ให้พี่ซิงอีหนึ่งขวด นางรีบนำไปให้จางหยงดื่มทันที จินเป่าจึงนำไปค่อยๆป้อนให้จางซิน โดยหยดน้ำอมฤตใส่ปากทีละน้อยและหยิบชิ้นของผลหลิวต้องแสงจันทร์ออกมาปีบเอาน้ำใส่ปากของนางให้หมด และฉีกเนื้อของผลหลิวต้องแสงจันทร์เป็นชิ้นเล็กๆป้อนให้นาง อาจจะเพราะความหวานความหอมของผลหลิวทำให้จางซินยอมที่จะกินลงไป ซิงอีเห็นนางทำก็ทำตามบ้าง"ตอนนี้เราก็ต้องรอเวลาอีกสามวันสองคนนี้ถึงจะตื่น เอาแบบนี้วันนี้เราก็ย่างปลากินกันก่อนนะ แล้วค่อยคิดกันไหม ทั้งสองคนข้าว่าดีขึ้นมากแล้วล่ะดูสีหน้าไม่ได้ซีดเซียวอีกแล้ว"จินเป่ากล่าวขึ้น ห่าวอู๋มู๋ลี่จึงก่อไฟด้วยตัวเอง"อวี่เจ้าเห็นไหมพี่ก่อไฟด้วยตัวเองได้ด้วยนะ สิ่งที่เราไม่เคยได้ทำมาก่อน"ห่าวอู๋มู๋ลี่
"เจ้าอยู่ที่ใดกันกระต่ายหยก ทำไมพวกข้าเข้าไปข้างในไม่ได้ มีเงามาโจมตีพวกข้า ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเงาอะไรมันเร็วมาก"จินเป่าสื่อกับกระต่ายหยกโดยที่นางไม่ได้ขยับเขยื่อนตัวเลยสักนิดเพราะกลัวว่าเงานั้นจะโจมตีอีก เพราะระหว่างที่เงานั้นประทะกับห่าวอู๋อวี่เมื่อครู่นางรู้สึกเวียนหัวกับแรงกดดันนั้นมาก"เจ้านายน้ำอมฤตช่วยให้เจ้านายเข้ามาในด้านนี้ได้เร็วมากขึ้น ท่านไม่ต้องไปต่อสู้กับเงาของพวกนั้น เพียงท่านสาดน้ำอมฤต ไปอีกฝั่งแล้วท่านก็เข้ามากันได้เลย พวกนั้นมันเป็นพวกเงือกแต่หน้าตามันไม่ได้สะสวยเหมือนที่พวกท่านคิดหรอกนะ อย่าได้เห็นมันเลยจะดีกว่าใช้น้ำอมฤตนะเจ้านาย"เจ้ากระต่ายหยกสื่อสารพรางมองหน้าของปลาหลี่จิ๋ว ที่ทำปากจู๋อยู่ พอจินเป่ารู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจับมือห่าวอู๋อวี่และพยักหน้า มือข้างหนึ่งปล่อยน้ำอมฤตและอีกข้างก็กระตุกมือห่าวอู๋อวี่ เมื่อนางปล่อยน้ำอมฤตแล้วก็มีเงาดำพุ่งมาที่น้ำอมฤตนั้น แต่นางไม่ทันได้สังเกตุนางเงือกที่เจ้ากระต่ายหยกกล่าวขึ้นก็ถูกห่าวอู๋อวี่ลากตัวลงไปเสียก่อน และตอนนี้ก็เจอกับกระต่ายหยกที่กำลังมองหน้าปลาหลี่จิ๋วตัวสีขาวน่ารักนั้นอยู่ กระต่ายหยกของนางแม้มันจะบรรลุขั้นศักดิ
แสกสาก แสกสาก เจ้าคางคกตัวใหญ่สี่ม่วงเข้มค่อยๆเดินออกมาจากป่า มือข้างหนึ่งของมันถือสิ่งคล้ายๆกระบองตรงปลายมีหนามๆออกมา และตรงหัวของพวกมัน มีสิ่งแหลมๆเหมือนงาช้างไม่ผิด และด้านหลังเหมือนจะมีหน่อออกมาสามอัน แต่ละอันแหลมคมมาก ลายที่ตัวเหมือนลงอักขระยันต์อะไรซักอย่าง เดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งหกอย่างช้าๆ และอยู่ก็มีเสียงเดินตุบ ตุบ ตุบตุบ มาและสิ่งที่เห็นก็คือร่างของคางคกอีกตัว แต่มีลักษณะที่ใหญ่กว่าตัวที่อยู่กลุ่มที่เดินเข้ามาหาพวกนางก่อนหน้านี้ ใหญ่กว่าเป็นหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียวและมือที่ถือกระบองนั้นไม่ใช่กระบองธรรมดาอีกแล้วเป็นกระบองที่ตรงปลายเป็นหัวกระโหลกสัตว์ชนิดหนึ่ง"แม่นางจินเป่าเจ้าคิดว่าเงียบเหงาไม่ใช่หรือ นี่เป็นทางออกของเจ้าแล้วนะ ที่เจ้าจะได้ไม่เหงาอีกต่อไป แต่ข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราจะรอดหรือไม่ เพราะตอนข้ากับซินเออร์มาไม่ได้พบเจออะไรอย่างนี้ด้วย เอาอย่างไรดีล่ะ ที่นี่หายตัวก็ไม่ได้ เหาะก็ไม่ได้เสียด้วย แถมเหมือนถูกกดพลังไว้อีกต่างหาก"ห่าวอู๋มู่ลี่กล่าว ทั้งหกคนยื่นหันหลังชนกันเพื่อป้องกันการที่คางคกพิษจะเข้ามาทำร้ายผู้ใดผู้หนึ่ง "ลงมือก่อนได้เปรียบ เอาเลย"จินเป่ากล่าวพลา
ทางด้านทั้งหกคนเมื่อออกจากเมืองตะวันและหยุดพักเป็นเวลาหนึ่งคืนพอตอนเช้าก็รีบเดินทางต่อโดยใช้ทางเท้า พวกเข้าทั้งหกเข้าไปในป่าใหญ่ ที่ไม่ค่อยรกสักเท่าไหร่"ป่าแห่งนี้ชื่อว่าอะไรหรือและเราจะต้องเดินทางเท้ากี่วันกัน"จินเป่าถามขึ้นขณะเดินเข้าป่าได้สักหนึ่งก้านธูป ก็รู้สึกเหนื่อยหอบ เหงื่องไหลท่วมตัว"เดินเพียงหนึ่งก้านธูปเจ้าก็ทนไม่ได้แล้วหรือ ข้าเห็นตอนที่พวกเราเรียนอยู่ที่สำนักตะวันเลือน เจ้าก็เดินป่าออกจะบ่อย แถมแข็งแรงกว่าใครๆเสียอีก หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าอุ้มกันนะ หรือจะขึ้นหลังข้าดี"ห่าวอู๋อวี่ถามขึ้นอย่างยิ้มๆ"คุณชายสี่ก็เหมือนผู้ที่ติดตามพวกเราจังเลยนะ เพราะเวลาที่พวกเราเดินป่าพวกเราก็ไปกันเพียงสี่คน แต่คุณชายสี่เหมือนจะรู้ดีมากเลย"จางซินถามแบบยิ้มๆเช่นกัน"ป่าแห่งนี้คือป่าม่าน เราจะบินผ่านหรือหายตัวผ่านไม่ได้เด็ดขาด ม่านก็แปลว่าช้าลง เราจะใช้เวลาอย่างน้อยก็สามวัน ถึงจะผ่านพ้นป่านี้ไปได้ และเราจะใช้สัตว์อสูรกันอีกครั้ง ตอนที่พวกขามาก็ไม่พบสิ่งใดที่น่ากังวลสักเท่าไหร่ พบแต่สัตว์อสูเล็กๆน้อยๆเท่านั้น"จางหยงกล่าวให้ทุกคนฟัง"ท่านพี่ข้ากำลังจะตอบอยู่แล้วเชียว ท่านพี่แย่งข้าตอบตลอด
"ไม่มีสิ่งใดอยู่ในนั้นเลยทำไมถึงเป็นแบบนี้แล้วทำไมคนถึงเฝ้าเยอะแยะขนาดนี้มันเป็นเพราะสิ่งใด ไปจับผู้หนึ่งผู้ใดมาสอบถามให้มันรู้เรื่อง พินิจจิตใจมันเลยไม่ต้องถามอะไรให้มันมากกว่า"บุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ในมิติเชื่อมจิตกล่าวขึ้น พอบังคับจับบุรุษผู้หนึ่งมาได้ก็พินิจจิตใจทันที ผู้นั้นเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายใหญ่ และในสมองของเขาก็ไม่รู้อะไรเลยรู้เพียงว่าทั้งหกนั้นได้เข้ามาในถ้ำแห่งนี้ พวกนั้นขนหีบของมามากมาย และไม่ได้ออกมาอีกเลย“แล้วของกับคนมันหายไปได้อย่างไรกันนะ หาคนที่มีความรู้มากกว่านี้หน่อยเถอะเอาคนที่รู้จักถ้ำแห่งนี้ ไม่งั้นก็หัวหน้าอ่ะ”บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ลูกน้องจึงไปนำตัวคนมาใหม่ จึงได้ความเพิ่มเติมว่าคุณชายสี่สามารถพาทุกคนออกจากถ้ำนี้ได้โดยอีกาดำสามขาที่เป็นผู้เฝ้าที่นี่ และทั้งหกน่าจะไปได้นานแล้ว"อย่างน้อยเราก็ได้รู้แล้วว่า พวกนั้นหายไปนานแล้ว ไม่ได้อยู่ในเมืองนี้นานแล้ว ขนาดหัวหน้าตระกูลห่าวอู๋เองนั้น ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าบุตรและสหายพวกนั้นหายไปไหน เป็นดังที่แม่นางผู้นั้นกล่าวจริงๆเอาแบบนี้พรุ่งนี้เช้าเตรียมตัวออกเดินทางไปจากที่นี่เถอะ พวกนั้นน่าจะรู้ตัวแล้ว และรีบหนีไปแต่ข