เมื่อทั้งห้านั่งคุยกันได้สักพักก็มีลมสายใหญ่พุงเขามาห่าวอู๋อวี่พุ่งตัวขึ้นและเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ ทุกคนก็ทำตามห่าวอู๋อวี่ สักพักก็มีฟินิกซ์ตัวหนึ่งสีแดงเพลิงทะลุหลังคาตำหนักร้างออกมาโผบินราวกับเต้นรำเหมือนจะพันรอบสัตว์ชนิดหนึ่งที่เป็นตัวสีขาวราวกับหิมะ พวกมันทั้งสองกำลังร่ายรำเหมือนกำลังเกี้ยวพาราสีกันยังไงอย่างงั้น สัตว์อสูรทั้งสองร่ายรำพร้อมกับปล่อยอนุภาคที่รุนแรงออกมาอย่างต่อเนื่อง มนตราทั้งหลายปะทะออกมาจากร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งสอง องค์ชายหกลุกขึ้นยื่นพร้อมกับจะท่องบทพิชิตมังกร"อย่า!! นั้นมันสัตว์อสูรของน้องข้า"เสียงจางหยงและซิงอีร้องขึ้นพร้อมกัน พวกเขามองหน้ากัน ทุกคนที่ตกใจอยู่ตั้งใจปกป้องตัวเองด้วยเกาะวรยุทธของตัวเอง ทางด้านในหลังจากทั้งสองนั้นหมดสติด้วยความเจ็บปวดพลันตื่นขึ้นมาซึ่งความเจ็บปวดนั้นได้หายไปหมดสิ้นแล้ว ทั้งสองตื่นมามองหน้ากันพวกเขาทั้งสองไม่รู้ว่าสำเร็จเคล็ดวิชาแฝดมิติแล้วหรือยังด้วยซ้ำ ไม่นานทั้งสองก็รับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตในมิติติดกายของตัวเองเคลื่อนไหว จินเป่าหันเข้าไปมองในมิติก็เห็นจิ้งจอกเก้าหางขนสีน้ำผึ้งของนาง ที่ตอนนี้ได้ผสมผสานกับหัวใจหิมะแล้วจึงทำให้ขนขอ
องค์ชายหกที่วิ่งเข้ามาคนสุดท้ายยืนตะลึงกับภาพที่เห็นซิงอีกำลังวิ่งเข้าไปกอดจินเป่า และอีกมือก็ดึงสตรีอีกคนที่สวมชุดขาวราวหิมะยืนอยู่ด้านข้างเข้าไปกอด สตรีนางนี้มีใบหน้าที่สวยคมคายผิวสีออกเหลืองน้ำผึ้งนวลไม่ขาวมาก ปากนิดจมูกหน่อยดังองค์เทพออกมาจากนิยาย แต่เขาก็คิดได้ว่าทำไมอยู่ๆดีๆจะมีสตรีสองคนเพิ่มขึ้นมา อีกคนนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าจางซิน ซึ่งสตรีนางนั้นใส่ชุดสีแดงเพลิงที่ตัดกับผิวขาวๆของนางช่างดูหน้ามองเหลือเกิน"สตรีสองคนนี้มาจากที่ใดกันหรือทำไมมาอยู่ในตำหนักร้างแห่งนี้ได้"องค์ชายหกกล่าวขึ้นเมื่อรู้สึกตัว เขากำลังมองไปที่ลีหลินที่กำลังกอดอยู่กับจินเป่าและซิงอี"ไม่ใช่ว่าองค์ชายหกก็ไม่รู้หรือว่าแม่นางสองคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ และเหมือนกับท่านกำลังสนใจสัตร์อสูรของพวกนางอยู่"ห่าวอู๋มูลี่กล่าวขึ้น"เจ้าทำสำเร็จกันแล้วหรือทำไมเมื่อตะกี้พวกข้าเห็นสัตว์อสูรสองตนนั้น กำลังต่อสู้กันอยู่บนตำหนัก"ซิงอีถามขึ้นเมื่อพละออกจากจินเป่าและลี่หลิน"ซินเออร์สัตว์อสูรของเจ้ามันแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้แล้วหรือ เจ้าทำอย่างไรกับมันถึงแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ข้านึกว่าฟินิกซ์เพลิงของเจ้าจะเป็นตัวผู้เสียอีกทดูท่าทางม
หลังจากวางแผนกันเสร็จทุกคนก็ออกจากตำหนักพร้อมกัน หลังจากแยกกันออกเดินทางทั้งสามกลุ่มก็ถูกโจมตี แผนของพวกเขาคือล่อให้ทั้งกลุ่มกระจายตัวกันเพื่อจะต่อสู้ได้ง่าย และเป้าหมายคือเมืองขมิ้น ทั้งสามกลุ่มทำท่าต่อสู้เล็กน้อยก็ล่าถอยออกไปตามทางที่วางแผนไว้ ซิงอีกับจางหยงมุ่งไปเมืองขมิ้นกลุ่มเขาต่อสู้กับนักยุทธ์ราวๆสิบคน ทั้งสองไม่ได้ต่อสู้เอาจริงเอาจังพวกเขาหลอกล่อสู้บ้างถอยบ้าง แกล้งถอยให้พวกเขาไล่ตาม ไม่นานทั้งสองก็หลอกล่อพวกนักยุทธ์จากมิตินิมิตไปได้ไกล หนึ่งในกลุ่มจึงคิดขึ้นได้"ทำไมคนพวกนั้นมันแปลกๆจังเลย แยกกลุ่มกันออกเดินทางเหมือนหลอกล่อเรายังไงยังงั้น"บุรุษผู้หนึ่งถามสหายขึ้นเพราะรู้สึกแปลก"จะไปสนใจอะไรล่ะจับตัวพวกมันแล้วพามันไปรวมตัวกันก็สิ้นเรื่อง"บุรุษผู้หนึ่งพูดขึ้น"แต่ข้าว่ามันไม่ใช้ทางที่พวกมันต้องการไปหรือป่าว คนพวกนั้นต้องการกลับวังหลวง ไม่ใช่ว่าสองคนนี้แค่หลอกล่อแล้วให้องค์ชายหกกลับไปยังวังหลวงก่อนหรอกหรือ เราน่าจะไล่ตามจับองค์ชายหกไม่ดีกว่าหรอกหรือ"บุรุษคนเดิมยังไม่วายที่จะคิดถึงเรื่องที่คุ้มกว่ากัน จึงให้บุรุษอีกคนที่ตั้งใจจะจับทั้งสองที่หลบหนีมาฝั่งนี้ให้ได้คล้อยตามแล้ว
ทางด้านคุณชายใหญ่ตระกูลห่าวอู๋กับจางซิน เมื่อออกจากตำหนักร้างได้ ก็มุ่งหน้าไปทางทิศตรงข้ามกับเมืองขมิ้นทันที พวกเขาทั้งสองต่อสู้และล่อนักยุทธราวๆสิบกว่าคนให้ออกห่างจากองค์ชายหก ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าทิศที่องค์ชายหกไปคือทางล่อที่อันตรายที่สุด ถึงแม้แผนนี้จะดีที่สุดในเวลานี้แล้ว แต่เขาก็อดเป็นห่วงน้องชายตัวเองไม่ได้อยู่ดี มิติแห่งนี้ช่างเหนื่อยล้าเหลือเกินเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงครั้งแรกก็เหมือนจะสบายแต่พอรับรู้แล้ว ว่าพวกตนถูกไล่ล่าจากผู้มีระดับหนึ่งของมิติห่าวอู๋มู่ลี่เองก็วุ่นวายใจไม่น้อย ในการประมือกับนักยุทธแห่งมิตินิมิตนี้ ทำให้ทั้งสองเสียพลังไปมาก พอจะถึงเวลาใกล้เพี้ยงพร้ำทั้งสองก็ต้องขยันหลบหนีให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะให้นักยุทธกลุ่มนี้ราวๆสิบคนตามพวกเขามา แต่นักยุทธกลุ่มนี้มีฝีมือยิ่งนัก ยิ่งมีกำลังคนที่น้อยกว่าก็เพลี้ยงพล้ำเข้าจริงๆ ห่าวอู๋มู๋ลี่ถูกซัดเข้าที่หน้าอกอย่างจังเมื่อเขาเห็นคนจะทำร้ายจางซินจึงเข้าไปปกป้องนาง วรยุทธที่พึ่งร่ำเรียนมาถูกใช้ไปจนหมด แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะนักยุทธกลุ่มนั้นได้เลย ห่าวอู๋มู๋ลี่สลบไปทันที จางซินพลักห่าวอู๋มู๋ลี่ออกไปและต่อสู้เพียงลำพัง หลังต่อสู้จ
ทางด้านห่าวอู๋มู๋ลี่เมื่อถูกจับมาก็ยังสลบอยู่ทั้งที่พวกเขาจะเดินทางกลับไปหากลุ่มก็ช้าขึ้นเนื่องจากต่อสู้กับชาวบ้านทำให้พวกเขาบาดเจ็บไม่น้อย กลุ่มชาวบ้านนั้นมีคนมากและก็มีพลังเยอะด้วยเขาจึงไม่รู้ว่ากลุ่มนั้นคือกลุ่มใดกันแน่ทำไมช่างเก่งกาจขนาดนี้"เราพักที่นี่กันก่อนแล้วกัน อย่างไรเราก็จับนักยุทธจากมิติสามัญผู้นี้ได้แล้วสตรีผู้นั้นก็ปล่อยนางไปเถอะเราเอาบุรุษผู้นี้ไปต่อรองกับองค์ชายหกก็น่าจะได้แล้วล่ะเหมือนพวกเขาจะสนิทกับองค์ชายหกอยู่ไม่น้อย"บุรุษผู้หนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้น"ข้าได้ข่าวว่าบุรุษผู้นี้มาจากนิติสามัญ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นท่านประมุขคงจะเดือดร้อนไม่น้อย เพราะอาจจะทำให้มีสงครามระหว่างมิติเกิดขึ้นก็ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าบุตรผู้นี้ที่มาจากมิติสามัญ เขาเป็นคนสำคัญของมิติสามัญหรือไม่ ทำไมเราไม่จัดการฆ่าบุรุษผู้นี้แล้วแพร่ข่าวออกไปให้คนจากมิติสามัญมาล้างแค้นท่านประมุขกันล่ะ"บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น"บุรุษผู้นี้มาจากมิติสามัญก็จริง แต่เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าเดิมทีเขาเป็นคนของมิติสามัญ ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนของมิติเชื่อมจิตหรอกหรือ เพราะผู้ที่มาจากมิติสามัญนั้นทำไมถึงจะเก่งกาจขนาดนี้ ไม่ใช่ว่
หลังที่สตรีทั้งสี่แบบแคร่ออกไปได้ไม่นาน นักยุทธเหล่านั้นที่มีวรยุทธที่สูงก็ตื่นขึ้น และรับรู้ว่าพวกเขาถูกหลอกเสียแล้ว และทุกอย่างก็ถูกคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขามีวรยุธทที่สูง มนต์กล่อมนี้จะไม่สามารถอยู่ได้นาน แคร่ของคุณชายใหญ่จริงถูกส่งต่อไปยังลูกน้องของพี่ชายไป๋อวิ้น ส่วนตัวเขาเองก็ต้องสู้รบกับพวกนักยุทธเพื่อที่จะยื้อเวลาให้พวกนั้นพาคุณชายใหญ่ไปถึงเรือน"ทุกคนตื่นขึ้นลุกขึ้นได้แล้วพวกเราโดนหลอกแล้วแม่นางทั้งสี่นั้นมาช่วยบุรุษจากมิติสามัญแล้วเราต้องรีบตามไปจับบุรุษผู้นั้นกลับคืนมาไม่แน่เราอาจจะเจอสตรีผู้นั้นด้วยรีบๆเร็ว"เสียงผู้หนึ่งดังขึ้นเพื่อปลุกสหายให้ตื่น หลังจากที่ทุกคนตื่นแล้วก็ไม่รู้ว่าสตรีทั้งสี่นั้นพาบุรุษที่นอนอยู่บนแคร่ไปทิศทางใด ได้แต่เดาไปต่างๆนานาเนื่องจากเป็นเวลากลางคืนจึงไม่สามารถที่จะหาร่องรอยได้ และสตรีพวกนี้ก็ฝีเท้าเบาเสียเหลือเกิน จึงไม่รู้ว่าพวกนางมุ่งหน้าไปทางไหนกันแน่ ทั้งสิบจึงแยกย้ายกันติดตามไปคนละทิศคนละทาง ผู้คนที่คอยส่องอยู่จึงรู้ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าสตรีทั้งสี่คนนั้นไปทิศทางใด จึงดักบุรุษที่มาทางทิศของตนซึ่งเป็นจำนวนสองคนเท่านั้น พวกเข้าปะมือกันยกใหญ่
ทางด้านจินเป่าเมื่อพุ่งตัวออกจากตำหนักร้างทั้งสามก็พุ่งตัวหนีอย่างรวดเร็วราวกับจะไม่ได้หลอกล่อให้ศัตรูตามไป ยิ่งทำให้นักยุทธที่ตามไปมากกว่าทิศทางอื่นเสียอีก เป็นไปตามคาดพวกเขากะอยู่แล้วถ้าองค์ชายหกไปทิศใดทิศนั้นจะมีผู้ติดตามไล่ล่ามาก นักยุทธราวๆยี่สิบคนพุ่งเข้าใสพวกเขา ห่าวอู๋อวี่ไม่รอช้าซัดพลังใสผู้ที่ใกล้ที่จะถึงกลุ่มของตัวเองที่สุด จนสิ้นใจตายไปหนึ่งคน เดิมที่องค์ชายหกนั้นกล้าหาญยิ่งนักแต่พอเจอกับศัตรูเข้าจริงๆก็ไม่สามารถที่จะต้านทานได้ เพราะในชีวิตจริงเขาไม่เคยที่จะพบศัตรูขนาดนี้ การฝึกก็คือการฝึกธรรมดาของพวกเขาไม่ถึงขั้นต้องเอาชีวิตของคน เป็นจื่ออี้เฉินที่ต้องคอยอารักขาเขาและลากเขาออกจากวงต่อสู้ นักยุทธที่ไล่ล่าพวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าบุรุษจากมิติล่างจะเก่งกาจถึงขึ้นนี้ จึงลดความระวังตัวทำให้จบชีวิตลง หลังจากสหายในกลุ่มนั้นตายไป 5 คนจึงทำให้กลุ่มของนักยุทธจากมิตินิมิตนี้ล่าถอยออกไป กลุ่มของจินเป่าจึงรีบหลบหนีไปได้ชั่วคราว ทำให้ทั้งสิบห้า คนต้องไปวางแผนกันใหม่"บุรุษที่มาจากมิติล่างนั้นน่าจะปล่อยไว้ไม่ได้แล้วล่ะ "ตงหมิงกล่าวด้วยความเดือดร้อน ลำพังถ้าเป็นเพียงแค่องค์ชายหกป่านนี้เข
"เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้ากับองค์ชายหกจะรอจัดการพวกเขาด้านหลังข้าอยากให้องค์ชายหกกับเจ้าหนีไปก่อนด้วยซ้ำ"ห่าวอู๋อวี่ลืมตาขึ้นแล้วพูดทันที เพราะแผนการนี้มันอันตรายกับจินเป่ากับองค์ชายหกมากเกินไป"ข้าไหวแต่ข้าไม่แน่ใจว่าองค์ชายหกไหวหรือป่าว"จินเป่ากล่าวขึ้นพลางมองไปยังองค์ชายหก ที่ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าทั้งสองพูดคุยถึงแผนอะไรกัน"ข้าอยากให้จื้ออี้เฉินคอยปกป้องเจ้ามากกว่าที่จะให้มันตามข้าไป"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น"ทางนั้นมันอันตรายกว่าทางข้าเป็นไหนๆ หากท่านต่อกรกับพวกเขาได้พวกข้าก็แทบไม่ต้องออกแรงเลย"จินเป่ากล่าวขึ้น"มันเรื่องอันใดกัน พวกเจ้ามีแผนอันใดทำไมข้าไม่รับรู้ไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเจ้าพูดคุยกันเลย"องค์ชายหกที่พึ่งหายจากอาการสะเอียดสะเอียนนั่งฟังทั้งสองคุยกัน"แผนของเราก็คือเราสองคนจะซุ่มโจมตีพวกเขาอยู่ ณ จุดแถวๆนี้และให้อวี่กับสัตว์อสูรเดินทางไปก่อนเมื่อพวกเขาเกิดการปะทะกันแล้วย้อนกลับมาทางทิศเรา เราค่อยลงมือ"จินเป่ากล่าวขึ้น"ทำไม่เจ้าทั้งสองคนช่างมีแผนการมากเสียเหลือเกิน เราถูกใจยิ่งนัก ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงแต่ดีกว่าที่พวกเราจะไปด้านหน้าอย่างเดียวยังไงพวกเขาก็ต้องไล่ตามเราอยู่ดีถ้
เพื่อพวกเขาเข้ามาเสร็จแล้วก็ต้องพบกับความประหลาด ด้านในนี้มีแก้วแหวนเงินทองอยู่มากมาย ตรงกลางโถงกว้างมีไข่ขนาดใหญ่หนึ่งใบวางอยู่ ลวดลายของใข่ใบนั้นมีลวดลายที่งามวิจิตรยิ่งนัก และไอวิเศษที่เข้มข้นก็ไหลออกมาจากไข่ใบนี้นี้เอง แต่ช่างแปลกเมื่อพวกเขาทั้งเจ็ดเข้ามาในนี้แล้ว ไอวิเศษนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายใดๆกับพวกเขาทั้งเจ็ดนั้นได้ "ไข่นั้นมันเป็นไข่อะไรกัน ลวดลายแปลกตาจัง"ซิงอีถามขึ้นเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน"มันน่าจะเป็นไข่มังกรข้าเคยศึกษามา น่าจะเป็นไข่มังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ รวดลายของมันช่างมากมายขนาดนี้ มันน่าจะเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในขั้นที่สูงๆเป็นแน่ แต่เราจะนำมันออกจากไข่ได้อย่างไรกัน หรือว่าเราจะพามันออกจากถ้ำนี้ได้อย่างไร"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น ซิงอีจึงพยายามลองเก็บของที่อยู่ในนี้ดู เหมือนของเหล่านี้จะไม่ยอมเข้ามาในมิติของนางเลยสักชิ้น รวมถึงไข่ที่ต้าเหว่ยบอกว่าเป็นไข่มังกรด้วย มันไม่ยอมเข้ามาเลยสักนิด "ข้าเกรงว่าสมบัติที่อยู่ในนี้พวกเราไม่สามารถที่จะครอบครองมันได้ รวมทั้งไข่มังกรที่เจ้าว่าด้วย"จางซินกล่าวขึ้น ด้านข้างนอกนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงของพญาวานรนั้นกำลังอาละวาดอยู่ เพร
ความเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรตัวใหญ่นั้นเงียบลงแล้ว แสดงว่ามันน่าจะสงบลงพวกเขาจึงวางแผนกันใหม่ว่าจะเข้าไปยังถิ่นที่อยู่ของมันได้อย่างไรเนื่องจากไอวิเศษที่เข้มข้นพวกเขาไม่สามารถที่จะทนกลับไอวิเศษที่อยู่รอบๆตัวของมันได้เลย "ข้าว่าหากพวกเราเข้าไปใกล้ๆมันแล้วไอวิเศษนั้นมันเข้มข้นมากพวกเราจะไม่ตายเพราะไอวิเศษนั้นหรอกหรือ มันมีสิ่งใดบ้างที่จะทำให้ไอวิเศษนั้นลดน้อยลงได้หรือว่าเราสัมผัสกับไอวิเศษนั้นได้น้อยลงล่ะ"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น"มันไม่น่าจะลดไอวิเศษนั้นได้เนื่องจากว่าเรานั่งเสพไอวิเศษนั้นอยู่สามวันมันก็ยังไม่ลดเลยใครมีวิธีดีๆบ้างล่ะ"ไป๋อวิ้นกล่าวถามคนอื่น"เราใช้วิธีหลอกล่อดีหรือไม่ ให้คนกลุ่มนึงอยู่ฝั่งด้านในโน้น หากว่าคนกลุ่มหนึ่งหลอกล่อมันออกไปยังจุดนี้แล้ว คนกลุ่มที่อยู่ด้านในนั้นก็เคลื่อนตัวเข้าไปดูว่าข้างในมีสิ่งใด วิธีนี้พวกเราจะแบ่งกันเป็นสามคนและสี่คนดีหรือไม่"จางหยงกล่าวขึ้น"แล้วมันจะไม่รู้หรือว่ายังมีอีกกลุ่มที่อยู่ด้านในถ้ำนี้ไม่ได้หลอกล่อมันออกไปนอกถ้ำ"ต้าเหว่ยถามขึ้น"ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่ามันตาบอดเพียงแค่เราอยู่ด้านไหนและกบกินกายของเราแล้วเราอยู่เฉยๆอะไรการเคลื่อนไหว
ทางด้านทั้งหกและสัตว์อสูรหนึ่งตนที่ตอนนี้กำลังนั่งบำเพ็ญอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเขารับรู้ได้ถึงพลังงานภายในห่างพวกเขาออกไปหากเดินทางเข้าไปไม่เกินครึ่งก้านผู้พวกเขาต้องเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่มีแรงกดดันมหาศาล อยู่ในนั้นพวกเขาเลือกจุดนี้เพราะว่าไอวิเศษนั้นมาถึงกลุ่มของพวกเขาทำให้พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากไอวิเศษของสิ่งเหล่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปส่มวันจู่ๆก็รู้สึกว่าตัวของเขานั้นเย็นวูบน่าจะสามครั้งได้ นางยิ้มด้วยความดีใจเพราะวรยุทธของนางอยู่เฉยๆก็เพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพราะผู้เป็นนายของเขานั้นมีวรยุทธเพิ่มขึ้นก็ได้ ทุกคนมองหันมาที่ลี่หลินเพียงคนเดียวเพราะพวกเขาทุกคนสามารถรับรู้ถึงแรงกดดันก่อนที่วรยุทธนั้นจะเพิ่มขึ้น"ไม่ใช่ว่าเจ้าจะบรรลุวรยุทธอีก 3 ขั้นแล้วหรือ"ไป๋อวิ้นถามขึ้น"ข้านั่งฝึกวรยุทธภายในอยู่สามวัน ข้าไม่คิดว่าร่างกายของข้าจะเพิ่มวรยุทธขึ้นได้มากขนากนี้ ข้าคิดว่าผู้เป็นนายของข้าน่าจะมีวรยุทธเพิ่มขึ้นข้าถึงได้ผลประโยชน์ขนาดนี้"ลี่หลินพูดด้วยความดีใจ"ลี่หลินเจ้าเสื่อกับผู้เป็นนายของเจ้าได้แล้วหรือ พวกเขาอยู่ที่ใดกัน พวกเราจะรีบตามพวกเขาไป"ซิงอีกล่าวขึ้น ลี่หลินได้แต่ส่ายหัวมันรับ
หลังจากกลุ่มของจินเป่าไปตกอยู่สถานที่หนึ่งนั้นราวๆสามวันพวกเขาทั้งสามนั้นก็รู้สึกตัว พวกเขาเหี่ยวสถานที่หนึ่งเหมือนเป็นกองฟางและมีแอ่งตรงกลางแต่กองฟางที่พวกเขานอนนั้นมองแล้วลักษณะเป็นสีขาวไข่มุก ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ห่าวอู๋อวี่ลุกขึ้นได้จึงนั่งขับเคลื่อนวรยุทธของตัวเอง เส้นลมปานของเขานั้นเสียหายไปสามส่วน เลือดยังคลั่งอยู่ที่สมองเขาก็กระอักเลือดออกมาคำตอบ เจ้าอีกาดำสามขาจื่ออี้เฉินงั้นถึงกับปีกหักและขาที่สามของมันก็หักเลยทีเดียว ร่างกายของมันกระทบกับของแข็งประเภทใดตัวมันเองก็ยังไม่รู้ จินเป่าเมื่อลืมตาขึ้นมาก็รับรู้ได้ถึงคลื่นมหาศาลถาโถมเข้าตัวของตัวนางเอง นางรู้สึกเย็นวูบวาบสามครา นางลืมตาแล้วมองมือของตัวเองทั้งสองข้างวรยุทธของนางนั้นเพิ่มขึ้นอีกแล้วตั้งสามขั้น แต่นางสงสัยยิ่งนักวรยุทธของผู้อื่นนั้นสูงขึ้นนั้นจะเกิดทัฑคาด แต่ทำไมนางซึ่งวรยุทธสูงเลยระดับมามหาศักดิ์สิทธิ์มาเกินสามขั้นแล้ว นางยังไม่ถูกทัณฑฆาตเสียเลย นางมองไปรอบๆก็เห็นเจ้าอีกาดำสามขาที่นอนหมดแรงอยู่กับฟางสีขาวไข่มุกนั้น นางจึงหยิบยาสมุนไพรรักษาเส้นลมปราณธรรมดาออกมาให้มันกินไปพลางๆ และยื่นน้ำอมฤตให้ นางมองดูหน้าข
พญาหงส์ขาวที่กำลังต่อสู้นั้นหยุดชะงักและม้วนตัวพุ่งไปหาต้นขจีทันที ห่าวอู๋อวี่เองยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ พญาหงส์ขาวที่ต่อสู้กันอยู่ดีๆก็พุ่งไปหาจินเป่า จินเป่าที่ตอนนี้เห็นท่าไม่ดีเขากำลังอยู่ใกล้ต้นขจีเพียงนิดเดียวหากเขาหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว เจ้าต้นขจีก็มัวแต่พลักดันนักยุทธให้ถ่อยกลับไปแต่มันไม่ได้ใช้ตามองจินเป่า เนื่องจากว่ากลิ่นอายของนางนั้นเป็นต้นหลิวต้องแสงจันทร์ในเมื่อนางนั้นได้กลืนกินพลังของต้นหลิวต้องแสงจันทร์แล้ว นางก็ปล่อยพลังของมันออกมา จึงทำให้ต้นขจีซึ่งเป็นพืชวิเศษเหมือนกันไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นมนุษย์มันจึงไม่ได้ระวังตัวจากจินเป่าเลย แต่พญาหงส์ขาวรับรู้การไปของจินเป่าดีจึงพุ่งไปหานางและพ่นไฟใสทันที นางแบมือเก็บไฟดังเดิม แต่คราวนี้เจ้าพญาหงส์ขาวนั้นพุ่งเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทันระวังและเก็บมันเข้าไปในมิติทันที หลังจากที่มันเข้าไปในมิติแล้วจินเป่าจึงใช้กริชที่กรีดเลือดของตัวเองนั้นแทงเข้าไปยังรากของต้นขจีทันที "วี้ดๆๆๆๆๆๆ วี้ดๆๆๆๆ วี้ดๆๆๆๆๆ"เสี่ยงต้นขจีกรีดร้องและเอนไปเอนมาตอนนี้รากของมันถอนขึ้นจากดินเสียแล้ว จินเป่าได้ทีจึงโบกมือและเก็บต้นขจีก่อนที่มันจากอาละ
ทั้งสองคุยกันอยู่สักพักก็เข้าใจกันส่าตะจัดการเช่นไร"นั่นไงทั้งสองคนอยู่ตรงนั้นกำลังคุยกันอยู่แล้วแผนของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อล่ะลี่หลิน"จางซินกล่าวถาม"แผนของพวกเขาคือให้พวกเราทุกคนระวังตัวเองและแก้ไขสถานการณ์ไปตามเหตุการณ์ต่างๆ"ลี่หลินกล่าวขึ้น ทุกคนก็มองไปยังลี่หลินเพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่านางได้สื่อสารกับผู้เป็นนายจริงหรือไม่ เนื่องจากพอถามพบนางก็ตอบทันที "งั้นพวกเราก็ต้องดูแลตัวเองและปกป้องด้วยให้ได้ เพื่อที่จะไม่เป็นตัวถ่วงของพวกสองคนนั้น"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น"แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ข้าสงสัยยิ่งนัก ทำไมข้าที่อยู่มิติแห่งนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องนี้เลยล่ะ เรื่องที่มีผลขจีสุกอะไรนั่น ทำไมหรือพอดูดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสัตว์อสูรต่างๆก็รายล้อมเข้ามา และนักยุทธต่างๆก็เหมือนสนใจสิ่งเหล่านี้ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่ามันเป็นสิ่งใด"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น"ข้าเองก็สงสัยว่าทางราชสำนักไม่ได้ส่งผู้ใดมาเข้าชิงผลขจีเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าทางราชสำนักนั้นไม่สนใจกับสมุนไพรชนิดนี้ เจ้าที่อยู่ในเมืองหลวงนั้นจึงไม่รู้ว่ามีของดีแบบนี้"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น ทุกคนขอพยักหน้าพร้อมที่จ
เมื่อถึงยามเที่ยงคืนแล้วสัตว์อสูรตนนั้นก็ออกมาจากต้นขจีมันเป็นสัตว์อสูรสีขาวสว่างไสว มองไกลๆราวกลับนกกินรีสีขาวแต่พอมองดีๆก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่กินรีแต่อย่างใด"นั่นมันพญาหงส์นิสัตว์มหาอสูรที่เฝ้าอยู่ต้นขจีมันคือพญาหงส์นี่เอง"บุรุษกลุ่มที่จับตัวทั้งสองคนมากล่าวขึ้น "พวกเจ้าแกะมัดมือข้าทั้งสองได้แล้วกระมังข้าจะได้หาวิธีที่จะเอาชนะสัตว์มหาอสูรตนนั้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น กลุ่มคนที่จับตัวพวกเขามาจึงปรึกษากันไม่นานเขาก็แกะเชือกวิญญาณนั้นออก "ข้าทั้งสองจำเป็นที่จะต้องโจมตีพร้อมๆกันแล้วพวกเจ้ามีใครที่ต้องการที่จะลงมือบ้าง ข้าจะได้วางแผนเผื่อพวกเจ้า"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น ทั้งหมดที่จับตัวทั้งสองคนมานั่นนั่งเงียบทันทีไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดเพราะไม่มีใครต้องการที่จะลงมือ "ทำไมพวกท่านไม่คิดที่จะลงมือเลยหรอ ในเมื่อต้องการของแต่ถ้าไม่ลงมือพวกท่านจะมีหน้ารับของพวกนี้ได้อย่างไร"จินเป่าถามขึ้ม"เอาเป็นว่าพวกข้าไม่ลงมือต่อสู้กับสัตว์มหาสูรแต่พวกข้าจะลงมือแย่งชิงกับผู้มียุทธเหล่านั้นเอง ถ้าพวกข้าได้ผลขจีมามากพอพวกข้าจะแบ่งให้พวกเจ้า "บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น"ข้าเองจะไปสู้กับสัตว์อสูรเหล่านั้นแต่ข้าเอง
เมื่อยามค่ำคืนเข้ามากล้ำกรายในห้องห่าวอู๋อวี่กับจินเป่านอนด้วยกันบนเตียงนอน"ข้าอยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไปจังที่เราสองคนได้นอนกอดกันบนเตียงนุ่มแบบนี้ หากเราช่วยท่านพ่อตากับแม่ยายได้แล้วเราแต่งงานกันนะ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวออกมาอย่างหยอกล่อและจิงจังในท่าที จินเป่าไม่ได้กล่าวอะไรนางได้ยินเสียงกุกกักนอกประตูนางรู้ดีว่าห่าวอู่อวี่รับรู้ได้ก่อนนางเสียอีกแต่เขาก็แกล้งพูดไปต่างๆนานา เมื่อด้านนอกได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน เขาก็ไม่กล้าที่จะบุกเข้ามา ห่าวอู๋อวี่สังเกตเห็นถึงข้อนี้"ข้านอนแล้วนะเจ้าเองก็นอนเถอะ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น เพื่อจะได้เดินตามแผนของกลุ่มคนที่มาดักจับสองคนเขา สักพักใหญ่ๆเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องก็สงบลง บุรุษผู้หนึ่งโบกมือเป็นสัญญาณให้ผู้ที่อยู่ด้านหลังค่อยๆเปิดประตูโรงเตี้ยมให้ แล้วค่อยๆบุกเข้าไปจับตัวทั้งสองได้ เมื่อถูกจับทั้งสองคนก็แกล้งทำเป็นหลับไหลไม่ได้สติ จินเป่าทำท่าทางตกใจตื่นขึ้นมา"หวกเจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงมาจับพวกข้าเช่นนี้ พวกข้าทั้งสองไปทำอะไรให้พวกเจ้าโกรธเคืองกัน"จินเป่าพูดขึ้น"แม่นางอย่าดิ้นรนเลย อย่าต่อรองกับการจับกุมในครั้งนี้ พวกเราวางแผนมานานแล้ว แล้วคนที่จับต
ป่ากระดังงาที่พวกเขาเดินทางเข้าไปนั้นร่มรื่นมีต้นไม้ใหญ่เล็กประปรายกันอยู่ มีโขดหินใหญ่โขดหินเล็กและมีเสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากมาย เสียงนกร้องสักพักและบินจากไปเพื่อหาอาหาร"เราจะอยู่ผจญภัยอยู่ที่ป่าอัสดงกันจนจะมีวรยุทธเพิ่มขึ้นเท่าใดดี เราต้องตั้งเป้าหมายและล่ะ"จางซินกล่าวขึ้น"ข้าไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรเท่าไหร่หรอก เอาเป็นว่าจนกว่าพวกเราทั้งจะพอใจกันดีกว่า"ห่าวอู๋มูลี่กล่าวขึ้น"แล้วต้าเสว่ยล่ะท่านคิดว่ามาผจญภัยยังภายนอกแล้วท่านยังคิดว่ายังอยากติดตามพวกเราต่อหรือไม่"จินเป่าถามขึ้น"ถ้าไปกับพวกเจ้าแน่นอน ข้ารู้สึกสนุกรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกท้าทายแล้วพวกเจ้าก็มีจิตใจที่ดีช่วยเหลือชาวบ้านถ้าคิดว่าข้าต้องติดตามพวกเจ้าไปให้ถึงที่สุด"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น พวกเขาเดินทางในป่ากระดังงาราวๆเจ็ดวันก็ออกจากป่ากระดังงา เดินทางด้วยความราบรื่นตอนกลางวันเดิน กลางคืนก็พักผ่อนพวกเขาไปถึงหมู่บ้านอัสดงในเวลาเที่ยงของวันที่เจ็ด เมื่อพวกเขาไปถึงก็หาโรงเตี้ยมเพื่อนั่งกินอาหารกัน และจะได้ฟังข่าวจากนักยุทฑท่านอื่นด้วย พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะกลางสุดเพราะจะได้ฟังเสียงข้างๆได้สะดวกยิ่งขึ้น "ป่าอัสดงทุกวันนี้ทำไมข้าไม