ในอีกห้องหนึ่งของโรงแรม ดวงตาของลาริสาค่อย ๆ ลืมขึ้น เปลือกตาหนักอึ้ง ราวกับผ่านคืนที่ทั้งร่างกายและหัวใจถูกกดทับจนแทบหายใจไม่ออก เธอขยับตัวเล็กน้อย ก่อนสายตาจะกวาดมองไปรอบห้อง สภาพเตียงที่ยุ่งเหยิง เสื้อผ้าของเธอที่หลุดลุ่ย และกลิ่นจาง ๆ ของน้ำหอมผู้ชายในอากาศ ทำให้หัวใจเธอเต้นระรัว พอเธอก้มลงมองร่างของตัวเอง… รอยแดงที่ต้นคอ และเนินอกที่ปรากฏต่อสายตาตัวเอง เธอชะงัก… มือสั่นระริก ปิดปากตัวเองทันที “ไม่นะ…ไม่…” เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากลำคอ น้ำตาไหลพรากอย่างควบคุมไม่ได้ เธอสั่นทั้งตัว ราวกับกำลังจมน้ำอยู่ในความอับอายและเจ็บปวด ลาริสาพลิกตัวจะลงจากเตียง แต่ขาก็อ่อนแรงจนเกือบล้ม ในจังหวะนั้นเอง เธอเหลือบไปเห็นชุดผู้หญิงพับวางเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ เธอรู้ทันทีว่า…มีใครบางคนจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้ และนั่นทำให้เธออยากจะหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด มือสั่นเทาหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ขึ้นมา เธอเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจว่าจะเรียบร้อยแค่ไหน ไม่แม้แต่จะมองกระจก… เธอเพียงต้องการ หนี ... คฤหาสน์เกริกไกร ในเช้าวันนั้น เสียงประตูหน้าถูกเปิดออกอย่างแรง เสียงฝี
คำพูดนั้นแทงใจของทั้งพ่อและแม่เหมือนคมมีด คุณภาวินีรีบวิ่งขึ้นไปโอบลูกสาวไว้ ขณะที่วิศรุตนิ่งงันไปหลายวินาที ความโกรธที่กำลังจะพุ่งออก กลับถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดรุนแรง เขาค่อย ๆ เดินขึ้นบันได ยกมือวางบนไหล่ลูกสาวเบา ๆ น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาจากดวงตา “พ่อขอโทษนะลูก…พ่อจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายลูกได้อีกแล้ว…พ่ออยู่ตรงนี้ พ่ออยู่ตรงนี้นะลูก อยู่ข้างลูกเสมอ ลูกต้องเข้มแข็ง ห้ามคิดอะไรสั้น ๆ นะลูก...” ทั้งสามคนกอดกันแน่น ภายในห้องโถงที่เคยโอ่อ่า บัดนี้มีเพียงเสียงสะอื้นเบา ๆ กับความเงียบที่เต็มไปด้วยรอยร้าว ขณะที่ลาริสายังคงสะอื้นไห้อยู่ในอ้อมกอดของแม่ คุณภาวินีก็ยังคงปลอบโยนลูกสาวด้วยเสียงอ่อนโยน มือหนึ่งลูบผมของลูกอย่างแผ่วเบา ส่วนอีกมือโอบกอดแน่นราวกับจะปิดบังโลกใบนี้จากเธอ ท่านวิศรุตนั่งนิ่งข้าง ๆ สายตาจับจ้องลูกสาว แววตาที่เคยเฉียบคม มั่นคง และเต็มไปด้วยอำนาจทางการเมือง ตอนนี้กลับปนเปื้อนด้วยความเจ็บปวด…และโทสะที่ค่อย ๆ ลุกไหม้ บรรยากาศภายในห้องเงียบราวกับหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงสะอื้นของลาริสาคนเดียวที่ดังก้องท่ามกลางความเงียบงัน จนกระทั่ง... ก๊อก ๆ ๆ
บนห้องนอนของลาริสา ท่านวิศรุตเปิดประตูเข้าไป เห็นลูกสาวนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ใบหน้าของเธอซีดขาว ดวงตายังแดงก่ำจากการร้องไห้ เขาเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ เธอช้า ๆ มือวางบนไหล่บางเบา น้ำเสียงอ่อนลงกว่าทุกครั้งที่เคยพูดด้วยกัน “ลูกรัก…พ่อไม่อยากให้เรื่องนี้ต้องบีบลูก แต่ลูกพ่อ…จะยอมให้ปกรณ์รับผิดชอบไหม” ลาริสานิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ ดวงตาเอ่อล้นด้วยน้ำตาอีกครั้ง “หนูไม่ยอมค่ะ…หนูเกลียดเขา หนูไม่อยากอยู่กับเขา ไม่ว่าจะยังไง หนูก็ไม่ยอม” “หนูยอมเจ็บ ยอมถูกตราหน้า แต่หนูไม่ยอมใช้ชีวิตอยู่กับคนที่หนูไม่รัก และรู้สึกรังเกียจต่อไปได้” คำพูดนั้นหนักแน่นเกินกว่าที่คนเป็นพ่อจะละเลยได้ ท่านวิศรุตมองลูกสาวนิ่ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เขาลุกขึ้น…เดินลงจากห้องด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แต่ตัดสินใจแล้วในฐานะ ‘พ่อ’ กลับสู่ห้องรับแขก พฤกษ์ไพศาลยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม เมื่อวิศรุตกลับเข้ามา สีหน้าของเขานิ่งสนิท แต่แววตาเด็ดขาด “ฉันถามความเห็นลูกแล้ว” เขาหยุด เว้นจังหวะให้อีกฝ่ายได้เตรียมใจ ก่อนจะเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “คำตอบของลูกฉันคือ…ไม่” “และฉัน…ในฐานะคนเป็นพ่
ปกรณ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล เหลือบตามองพ่ออย่างไม่รู้สึกสลด ใบหน้าเขายังคงเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มอย่างมั่นใจ “แล้วไงล่ะครับ…เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว” “เขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรา เราก็ไม่ต้องง้อ” พฤกษ์ไพศาลแทบจะพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อลูกชาย เสียงของเขาสั่นด้วยความกรุ่นแค้น “แกยังจะกล้าพูดแบบนี้ออกมาอีกเหรอ! แกทำให้พันธมิตรที่สำคัญที่สุดของฉันกลายเป็นศัตรู!” “ต่อจากนี้ความร่วมมือที่เคยมี ความช่วยเหลือทางการเมืองทุกอย่าง…จบ!” “แล้ววันไหนที่บ้านนั้นมันเล่นงานกลับมา อย่าหวังว่าฉันจะกันแกได้!” แต่ปกรณ์กลับหัวเราะเบา ๆ เขาเดินไปหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะอย่างไม่สะทกสะท้าน น้ำเสียงมั่นหน้าและแฝงความเย้ยหยันอย่างชัดเจน “พ่อพูดเหมือนผมต้องพึ่งเขา…” “ตอนนี้ผมกำลังจะได้ดีลกับซาเลียนเข้ามาร่วมทุน” “บริษัทเรากำลังจะก้าวกระโดดขึ้นไปอีกระดับ ธุรกิจของผมจะเติบโตกว่าที่พ่อเคยคิดไว้เสียอีก” เขาหันมาเผชิญหน้าพ่ออย่างตรงไปตรงมา “และผมจะเป็นนักธุรกิจอันดับต้น ๆ โดยไม่ต้องง้อรัฐมนตรีกระจอก ๆ ที่วันไหนจะหมดอำนาจก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเขาดังก้องอยู่กลางห้อง ขณะที่พฤกษ์ไพศา
จนกระทั่งวันหนึ่ง… วิลัยลักษณ์ หญิงสาวจากตระกูลใหญ่เสนอการแต่งงาน พร้อมชื่อเสียง เกียรติยศ และอำนาจที่ยากปฏิเสธ เขารับข้อเสนอนั้นโดยไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะรัก…แต่เพราะเขาอยากได้มากกว่าสิ่งที่สุวิมลมีให้ได้ และเมื่อประตูบ้านเปิดรับวิลัยลักษณ์เข้ามาในฐานะ ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย โลกของสุวิมลก็เหมือนถูกผลักลงเหวในพริบตา จากผู้หญิงที่เคยถูกเรียกว่าคนของเขา กลายเป็นเพียงเงาที่ไร้ตัวตนในบ้านหลังเดิม เขาเห็นภาพชัดเจน… เห็นการถูกกดขี่ ดูแคลน กลั่นแกล้ง ทั้งจากภรรยาใหม่ และลูกชายของเธอ เห็นสุวิมลถูกผลักตกบันได…เห็นธีภพที่ยังเด็กนัก กำลังยืนร้องไห้อยู่ข้างแม่ด้วยความตกใจและไร้ที่พึ่ง เขาเห็นทุกอย่าง แต่เขาเลือกที่จะเงียบ เพราะเขากลัวจะเสียสิ่งที่ได้มา จนวันหนึ่ง… เมื่อสุวิมลบาดเจ็บหนัก และคำว่า “เกือบเอาชีวิตไม่รอด” ถูกเอ่ยจากปากหมอ เขาจึงตัดสินใจแก้ปัญหา ด้วยการส่งเธอไปอยู่บ้านหลังเล็กนอกเมือง เหมือนการโยนความรับผิดชอบทิ้งไว้ข้างหลัง เขาคิดว่าเรื่องจบแล้ว… แต่เขากลับยังแวะเวียนไปหาเธอเสมอ แม้เธอจะไม่ยิ้ม ไม่พูด ไม่เปิดประตูด้วยความยินดี แต่เขาก็ยังไป เ
คุณสุวิมลยิ้มบาง ๆ อย่างเข้าใจ แววตาที่ทอดมองหญิงสาวไม่ได้เอ่ยคำปลอบใด ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความรักแบบที่แม่มีให้ลูกคนหนึ่ง คุณสุวิมลหันกลับไปเปิดเตา ก่อนจะหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ถ้าอย่างนั้น…ต่อไปก็มาทานข้าวที่นี่นะลูก แม่ชอบทำอาหารอยู่แล้ว เดี๋ยวแม่จะทำไว้ให้หนูทุกวันเลย” นาราชะงักไปชั่วครู่ แววตาที่เคยนิ่งไหววูบเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะคำพูดนั้นหรอก…แต่เพราะความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นต่างหาก มันอบอุ่นเสียจนใจเธอเต้นช้าอย่างแปลกประหลาด หลังอาหารเย็นผ่านไป ทั้งสองนั่งเคียงกันตรงระเบียงบ้านเล็ก ๆ ที่เปิดรับลมเย็นยามค่ำ กลิ่นหอมของดอกพุดในสวนลอยมาแตะจมูกเบา ๆ คุณสุวิมลทอดสายตามองออกไปที่ความมืดเบื้องหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งนุ่ม “ตอนธีภพยังเด็ก เขาไม่ใช่เด็กพูดเก่ง แต่เขาเป็นคนตั้งใจ…ตั้งใจจนบางทีแม่ก็สงสาร อะไรที่เขาทำ เขาจะทำให้ดีที่สุด ไม่เคยครึ่ง ๆ กลาง ๆ เขาไม่เคยขออะไรจากแม่เลย…แม้แต่คำเดียว” เธอเงียบไปชั่วขณะ สูดลมหายใจเข้าเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ เสียงของเธอสั่นลงเล็กน้อย…ไม่ใช่เพราะลมเย็น แต่เพราะหัวใจที่ยังอ่อนไหว “ชีวิตเขา…
ผ่านมาแล้วสองไตรมาส… นับจากวันที่ วรเมธินทร์ กรุ๊ป จับมือกับ เดชาสกุลวงศ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ในโครงการร่วมลงทุนขนาดใหญ่ที่หลายฝ่ายจับตามอง บนหน้าข่าวธุรกิจ มันคือความร่วมมือระดับ “พันธมิตรยุทธศาสตร์” แต่ในโลกของตัวเลขจริง ๆ และเอกสารที่ซ้อนกันเป็นตั้งในห้องประชุม มันกลับเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด…ทีละน้อย ปกรณ์ ค่อย ๆ เผยนิสัยที่นาราไม่เคยไว้ใจตั้งแต่แรก เขาเริ่มเข้าถึงการบริหารโครงการอย่างแนบเนียน แต่แทนที่จะช่วยส่งเสริมให้งานรุดหน้า กลับมีบางอย่างแปลกไป ตัวเลขบางชุดไม่ตรง สัญญาย่อยบางฉบับถูกตัดตอน รายการค่าใช้จ่ายบางรายการดูสูงผิดปกติ นาราไม่เคยไว้ใจเขาเต็มร้อย… และเธอเองก็ไม่ใช่คนที่จะรอให้เรื่องเสียหายจนสายเกินไป ในเช้าวันหนึ่ง เธอนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุมของฝ่ายวิเคราะห์และตรวจสอบภายใน เอกสารหนาแน่นวางเรียงรายบนโต๊ะ กระดาษที่ถูกวงปากกาสีแดงไว้หลายจุด “ฉันอยากได้รายงานเต็มจากทุกแผนก โดยเฉพาะฝ่ายบัญชี กับซัพพลายเชน รายการไหนที่ไม่โปร่งใส แยกออกมาให้หมด” น้ำเสียงของนารานิ่งสนิท แต่น้ำหนักในคำสั่งนั้นเด็ดขาดจนทุกคนในห้องรับรู้ได้ เลขาคนสนิทวางแฟ้มข้อมูลเพิ่ม
ปกรณ์หัวเราะในลำคอ ส่ายหน้าอย่างไม่แยแส “ในเมื่อฉันยื่นข้อเสนอผูกมิตรไปแล้วแต่เขากลับปฏิเสธ ก็ไม่เห็นจะต้องแคร์ ลาริสาอ่อนหัดเกินไปสำหรับฉันอยู่แล้ว แม้แต่วันนั้นฉันยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ว่ารสชาติของเธอมันเป็นยังไง" ส่วนพ่อเธอ…ก็ใช่ว่าจะกล้าทำอะไร” เขาขยับตัวเข้าใกล้ โน้มตัวลงเล็กน้อย เสียงของเขาต่ำลง…แต่แฝงไว้ด้วยความโอหัง “จะบอกความลับอะไรให้…เดชาสกุลวงศ์เมื่อก่อนเคยช่วยเขาปิดเรื่องฉาวไว้หลายเรื่อง ท่านรัฐมนตรีวิศรุตคนนี้เบื้องหลังมีแต่เรื่องดำมืด แล้วก็นะ ตอนที่บริษัทเดชาสกุลวงศ์ของเรา ถูกคนปล่อยข่าวและถูกสอบสวนจากหลายๆ หน่วยงานเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ก็รัฐมนตรีคนนี้นั่นแหละที่ใช้เส้นสายทางการเมืองเข้ามาช่วยเหลือ ไม่ใช่เพราะเขาอยากช่วยเหลือหรอกนะ แต่เพราะถ้าหากล้วงลึกเข้าไปจริงๆ แล้ว มันก็จะสาวถึงตัวของเขาด้วย ไม่อย่างนั้น เดชาสกุลวงศ์ไม่มีวันฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้หรอก” ภานุวัฒน์พยักหน้าช้า ๆ น้ำเสียงยังคงนุ่มสงบเหมือนเดิม “แบบนี้…นายก็ถือไพ่เหนือกว่าเขาสินะ” ปกรณ์ยิ้มกว้าง ราวกับเพิ่งชนะอีกเกมหนึ่งในใจตัวเอง เขาเอนหลังพิงพนัก พร้อมกับยกแก้วขึ้นดื่มอย่
“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด
ท่านวิศรุตหรี่ตา ใบหน้าแข็งราวหิน “คุณกำลังจะบอกว่าในประเทศนี้…ไม่มีใครตามรถตู้คันหนึ่งได้เลย?” ไม่มีเสียงตอบ หัวหน้าหน่วยวางซองรายงานสรุปลงเบื้องหน้า “มีข้อมูลชัดเพียงจุดเดียวครับ…” เขาเปิดหน้าแผนที่ขนาดเล็ก “รถคันสุดท้ายถูกพบครั้งสุดท้ายพร้อมศพของชายสองคน ใกล้เขตชายแดนด้านตะวันตก แล้วหลังจากนั้น…ไม่มีร่องรอยอีกเลยครับ” ท่านวิศรุตนิ่งไปครู่ใหญ่ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหายใจ “หมายความว่า…มันหลุดออกนอกประเทศไปแล้ว?” หัวหน้าหน่วยพยักหน้า “ครับ และเรายังไม่รู้ว่า…หลุดไป ในนามใคร” ... ค่ำวันนั้น กระทรวงฯ เริ่มขยับทั้งระบบ เครือข่ายข่าวกรองพิเศษถูกสั่งระดมทันที หน่วยลับชายแดนถูกขยายกำลัง รายชื่อขบวนการลักพาตัวที่เชื่อมโยงกับการค้าคน ถูกสั่งรื้อทุกแฟ้ม แต่ไม่ว่าจะเร่งแค่ไหน…ก็ยังไม่มีคำว่า “เจอ” ... ยามค่ำในห้องทำงานส่วนตัว ไฟเพดานสลัวลง เหลือเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้า รัฐมนตรีวิศรุตนั่งนิ่ง สองมือทับกันบนโต๊ะ แววตาเขา...เปลี่ยนไป จากนักการเมืองผู้เด็ดขาด กลายเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถจะปกป้องสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิต เขาก้มหน้าลงช้า
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ลาริสา ยิ้มบางเบา ขณะพูดขอบคุณเจ้าของร้านขนม เธอเพิ่งแวะซื้อขนมกล่องเล็ก ๆ กลับไปฝากคุณแม่ ก่อนจะก้าวไปยังรถที่รออยู่ริมถนน เธอกำลังเก็บกระเป๋าเงิน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเผลอวางโทรศัพท์ลืมไว้ที่ร้าน เธอหันมาบอกคนขับรถ "ฉันลืมของไว้ เดี๋ยวขอวิ่งกลับไปหยิบก่อนนะคะ” ไม่มีอะไรน่าสงสัย ร้านเงียบ รถราบนถนนมีไม่มาก เสียงบีบแตรเบา ๆ ดังมาจากระยะไกล ขณะที่เธอก้าวหันกลับเพียงไม่กี่ก้าว... ประตูรถตู้สีดำ ก็เปิดออกโดยไร้เสียงเตือน ชายสองคนในชุดเข้ม พุ่งเข้าใส่เธอด้วยความแม่นยำ มือหนึ่งปิดปาก อีกมือรั้งแขนไว้แน่น แรงพอให้เธอทรุดโดยไม่ทันร้อง ลาริสาหายไปในความเงียบ ภายในรถตู้ เธอถูกกดร่างให้นอนราบ แขนขาถูกพันด้วยเทปพันสายไฟอย่างแน่นหนา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว เสียงในลำคอเป็นเพียงอากาศแห้งที่ไม่ออกมาเป็นคำ เธอไม่รู้ว่าใครทำ ไม่รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ... ไม่มีใครได้ยินเสียงเธอเลย ................ ในอีกมุมของเมือง แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ กะพริบเบา ๆ ท่ามกลางความมืดของห้องทำงานใต้ดิน ข่าวปลอมชุดแรก ถ
คุณวิลัยลักษณ์ เดชาสกุลวงศ์ ก้าวลงจากรถแทบจะทันทีที่ประตูเปิด ไม่สนรองเท้าส้นสูง ไม่สนว่าใครอยู่ตรงไหน เธอพุ่งเข้าไปในโกดัง ร่างของหญิงวัยกลางคนวิ่งฝ่าความมืดจนเห็นร่างที่นอนนิ่งอยู่กลางพื้น “ปกรณ์!!” เสียงเธอแทบขาดใจ น้ำเสียงที่เคยสง่างามกลายเป็นเสียงร้องของคนเป็นแม่ ร่างของลูกชายเธอ ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี อวัยวะที่เป็นความภาคภูมิใจ ของสายเลือดชายในตระกูล...ไม่มีอีกแล้ว เธอทรุดตัวลงข้างร่างนั้น สองมือสั่นระริกเมื่อแตะร่างที่ยังอุ่น แต่ไม่ตอบสนอง ริมฝีปากเธอสั่นระรัว...ดวงตาเบิกกว้าง คุณวิลัยลักษณ์ทรุดตัวลงข้างร่างของปกรณ์ สองมือเธอสั่นระริกขณะพยายามแตะไหล่ลูกชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นซีเมนต์แข็ง เลือดไหลซึมเปื้อนพื้นอยู่รอบกายเขา และไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย...นอกจากเธอกับเขา เธอกวาดตามองไปรอบโกดังด้วยดวงตาที่สั่นด้วยทั้งความหวาดกลัวและความสับสน ไม่มีเงาของคนที่ลงมือ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของรถ มีเพียง ความเงียบ ที่ราวกับตะโกนกรอกหูเธอว่า สายเกินไปแล้ว “ปกรณ์…ปกรณ์ลูกแม่...” เสียงเธอพร่าแตกขณะพยายามเรียก แต่ไม่มีคำตอบจากร่างที่นอนนิ่ง เธอหันไปสั่งลูกน้องด้วย