ตอนที่ 6
แต่ก่อนที่จะเผามันจนกลายเป็นเถ้าธุลี หลู่ อวิ๋นเซียงก็คิดวิธีหยามเกียรติคนตายมาได้หนึ่งวิธี ในเมื่อมันตายแล้วแต่ทำให้ความรักของนางกับมู่หรงจิ่งร้าวฉาน เช่นนั้นนางก็จะทำให้ดวงวิญญาณของหลู่อวี้หลิงได้เห็นนางกับบุรุษที่มันรักนักรักหนาร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนถึงพริกถึงขิงที่ข้างโลงบรรจุศพของมันเสียเลย
เช่นนี้ไม่เรียกว่าถึงมันตายเป็นผีไปแล้ว นางก็ไม่คิดให้ดวงวิญญาณของมันได้สงบสุขหรอกหรือ แต่หากจะขอความร่วมมือกับมู่หรงจิ่ง ไม่ใช่เพียงยาก แต่คาดว่ามิอาจเป็นไปได้เลยมากกว่า ยิ่งช่วงหลังมานี้เขาดูเหมือนจะไม่อยากมองหน้าของนางด้วยซ้ำ หากนางเดินไปชักชวนเขาทำเรื่องบัดสีเช่นนั้นนอกจากไม่คิดทำตาม เกรงว่ามู่หรงจิ่งจะยิ่งมองนางไปในด้านลบเพิ่มขึ้นเสียอีกด้วย
ดังนั้นคงมีเพียงวางยาปลุกกำหนัดจนมู่หรงจิ่งขาดสติเท่านั้นแผนร่วมรักข้างโลงของนางจึงจะสำเร็จ พอคิดแผนชั่วช้าราวกับมิใช่คนออกมาได้เป็นฉากๆ เป็นขั้นเป็นตอนแล้ว หลู่อวิ๋นเซียงก็อดทนรอเวลาอยู่อีกหลายวันนางจึงมีโอกาสลงมือ ราตรีนี้ทุกคนที่เฝ้าอยู่โถงบรรพชนสกุลหลู่นั้นล้วนถูกวางยานอนหลับจนหมด ยกเว้นแต่มู่หรงจิ่งที่หลู่อวิ๋นเซียงไม่วางยานอนหลับเขาแน่นอน แต่เลือกจะวางยาปลุกกำหนัดเขาแทน
แน่นอนว่าในจวนจิ้งหนานโหวคือถิ่นของนาง มีแต่คนของนางกับมารดา ดังนั้นทุกแผนจึงสำเร็จราบรื่น ราตรีนี้นางก็จะสมใจได้ทำการร่วมรักข้างโลงศพของนังพี่สาวตัวดี รอเวลาไม่นานยาปลุกกำหนัดออกฤทธิ์ มู่หรงจิ่งก็กลายเป็นดังสัตว์ร้ายกระหายการผสมพันธุ์ มิใช่บุรุษผู้หนึ่งซึ่งบังเกิดอารมณ์กำหนัดทั่วไป
แควก! แควก! แควก!
เสียงอาภรณ์ถูกฉีกขาดดังบาดหูแต่กลับไม่บาดเนื้อหนังของผู้ถูกกระทำ ถึงจะเจ็บ ถึงจะปวด แต่หลู่ อวิ๋นเซียงก็ไม่ใส่ใจ นางสนใจเพียงตนเองได้สมใจแล้ว นางได้หยามเกียรติเหยียบหัวใจของคนที่ตายไปแล้ว สาแก่ใจนางยิ่งนัก!
ยิ่งมู่หรงจิ่งกระทำต่อนางรุนแรงเพียงใดหลู่ อวิ๋นเซียงกลับยิ่งกรีดร้องครวญครางเสียงดังทุกจังหวะหยาบโลนที่มู่หรงจิ่งสาดซัดตัวตนเข้ามาหานางรองรับเอาไว้ทั้งหมด ยิ่งนางกรีดร้องสันดานดิบของบุรุษที่ถูกวางยาจนจำไม่ได้แม้แต่ตัวเองก็ยิ่งสำแดง และยิ่งเขารุนแรงหลู่อวิ๋นเซียงนั้นก็ยิ่งกรีดร้อง และเร่งเร้า ในขณะที่ร่วมรักราวกับสัตว์ตัวผู้และตัวเมียอยู่นั้นดวงตาของนางกลับไม่เคยละจากโลงศพไปได้นาน เพราะนางรู้สึกสาแก่ใจ รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ชนะ!
แต่ที่หลู่อวิ๋นเซียงคงไม่ทราบก็คือ มู่หรงจิ่งนั้นถึงเขาจะถูกฤทธิ์ยารุนแรงจนควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้ก็จริง แต่เขามิได้ขาดสติจนจำอันใดมิได้ ตรง กันข้ามเขากลับจำได้ และชาตินี้ถึงตายไปแล้วเขาจะลืมเหตุการณ์อัปยศอดสูและบัดสีในครั้งนี้ได้หรือไม่ก็ตอบได้ยากยิ่ง
และเพราะมู่หรงจิ่งนั้นจำได้ จากที่เคยเหลือเยื่อใยกับหลู่อวิ๋นเซียงอยู่บ้าง จนเขาคิดเอาไว้ว่าหลังจบงานศพของหลู่อวี้หลิงแล้วรอสักหลายเดือนหน่อยก็จะรับคุณหนูสามหลู่เข้าจวนเฉินกั๋วกงในฐานะอนุภรรยาผู้หนึ่ง โดยให้เหตุผลว่าตนเองยังตัดใจในรักระหว่างพี่สาวของหลู่อวิ๋นเซียงมิได้ จนต้องรับน้องสาวมาทดแทนพี่สาว แค่นี้ผู้คนก็จะไม่ตำหนิเขาได้แล้ว
แต่พอเจอฤทธิ์เจอเดชของหลู่อวิ๋นเซียงเช่นนี้ มู่หรงจิ่งตัดใจในทันใด อย่างไรตนเองก็จะไม่มีวันนำสตรีจิตใจโสมมเช่นนี้เข้าจวนเฉินกั๋วกงเด็ดขาด ไร้มโนธรรม จิตใจหยาบช้า คิดแค้นแม้แต่คนที่ตายไปแล้วกลับไม่ยอมให้ดวงวิญญาณไปอย่างสงบ สตรีเช่นนี้แต่งเข้าไปสุดท้ายอาจเป็นตัวเขาและคนสกุลมู่หรงที่จะวิบัติฉิบหายเท่านั้น
และพอคิดได้ดังนั้นมู่หรงจิ่งก็หวนย้อนไปถึงหลู่อวี้หลิง ต้องเป้นสตรีเช่นนั้นจึงคู่ควรจะเป็นภรรยา เป็นมารดา และเป็นสะใภ้แสนประเสริฐ แต่กลับเป็นเขาเองที่รู้ตัวว่าสูญเสียของล้ำค่าไปก็ในวันที่สายเสียแล้ว เจ็บใจเหลือเกิน...
ความในใจของมู่หรงจิ่งนั้นจะคิดอันใดแน่นอนว่าเจี่ยอวี้หลันย่อมไม่รู้แจ้งและไม่คิดจะอยากรู้อีกด้วย แต่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นจวนจิ้งหนานโหวและจวนเฉินกั๋วกงนางกลับได้รับรู้จนสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฉากร่วมรักด้านหลังโลงศพแสนร้อนแรงอย่างถึงพริกถึงขิง
หรือหลังจากนั้นที่โถงบรรพชนสกุลหลู่เกิดเพลิงไหม้ แต่เพลิงนั้นกลับเผาไหม้เพียงโลงศพและข้าวของใกล้เคียงเท่านั้น แค่ฟังอย่างคนนอกยังสงสัย แล้วเจี่ยอวี้หลันจะคิดไม่ได้หรือ หลู่อวิ๋นเซียงผู้นั้นช่างเป็นสตรีชั่วช้าอย่างถึงแก่นเสียจริง
“น้องสาวของเจ้านี่ดูจะรักพี่สาวเช่นเจ้ามากจริงๆ ขนาดซากศพ นางยังไม่คิดจะให้หลงเหลือเอาไปฝังอย่างสงบ หากใจไม่ผิดปกติ สติปัญญาของนางคงมีปัญหาแน่ หากมู่หรงจิ่งยังจะหน้ามืดตามัวเอานางเข้าจวนก็ไม่สมควรจะเป็นเฉินกั๋วกงแล้ว”
แต่แทนที่เจี่ยอวี้หลันจะแสดงอารมณ์โกรธแค้นออกมา นางกลับยกยิ้มเย็นออกมาหนึ่งสาย ราวกับว่านางฟังเรื่องราวของผู้อื่นมิใช่เรื่องราวของตนเองอย่างไรอย่างนั้น เพราะสำหรับนางแล้วหลู่อวิ๋นเซียงยิ่งแสดงสันดานชั่วช้าออกมาเท่าใด กลับยิ่งส่งผลกับนางมากเท่านั้น
“เหตุใดไม่โกรธ?” ซ่างกวนไท่เอ่ยถามอย่างกังขาจากใจจริง เพราะหากเป็นเขาเองคงไม่แต่ฟังแล้วนิ่งเฉยแน่ดีไม่ดีเขาอาจแล่นไปแล่เนื้อของชายหญิงคู่นั้นแล้วเป็นแน่ เพราะขนาดคนตายไปแล้วใจคอต้องชั่วช้าเพียงใดจึงคิดทำบัดสีเช่นนั้นได้ลงคอ ไม่ใช่คนชั่วโดยสายเลือดคงยากจะทำได้จริงๆ
“เพราะหม่อมฉันทราบดีถึงนิสัยลึกๆ ของบุรุษเช่นมู่หรงจิ่งดีเพคะ คนเช่นเขาถึงจะดูเหมือนใจดีและเข้าใจอันใดง่ายก็จริง หากแต่ความจริงเขามิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ความสัมพันธ์คราวนี้คงมิอาจเหมือนเดิมได้แล้วเป็นแน่ อวิ๋นเซียงลงมือตามใจตนเองคราวนี้นางเองย่อมต้องมีราคาให้จ่ายเพคะ”
เพราะรักมากในอดีตเจี่ยอวี้หลันนั้นจึงใส่ใจในทุกรายละเอียด สองปีจะว่านานก็ไม่เชิงแต่ก็นับว่ามากพอที่นางจะรู้นิสัยใจคอของมู่หรงจิ่งอย่างลึกซึ้งพอสมควร ภายนอกเขาแสดงออกอย่างไร ภายในใจของเขาต้องการอันใดคนที่ใส่ใจเช่นนางย่อมทราบดี ส่วนหลู่อวิ๋นเซียงเพราะมีแต่เป็นฝ่ายให้เฉินกั๋งกงเอาใจ แน่นอนนางย่อมไม่เคยรู้แจ้งถึงนิสัยลึกๆ ของมู่หรงจิ่งเช่นที่เจี่ยอวี้หลันรู้แจ้ง ลงมือคราวนี้นับว่าหลู่อวิ๋นเซียงเป็นผู้ตัดขาดเยื่อใยที่ยังมีระหว่างตนเองกับมู่หรงจิ่งจนไม่เหลือแล้วจริงๆ หึ!
นี่แหละแผนเอาคืนอย่างแนบเนียนของนาง...
ฝ่ายซ่างกวนไท่เขานั้นไม่ใช่คนโง่ได้ฟังดังนั้นเขาย่อมกระจ่าง ชินอ๋องหนุ่มจึงหรี่ดวงตาหงส์ของตนเองมองใบหน้าที่บัดนี้กลับมางดงามอีกครั้งหนึ่งด้วยใบหน้าของซือถูเจินจูมิได้อัปลักษณ์ด้วยรอยแผลขนาดใหญ่กินไปครึ่งแถบนิ่ง ครู่หนึ่งจึงค่อยยิ้มมากเล่ห์ออกมาหนึ่งสาย
“น่าสนใจยิ่งนัก”
การได้มองดูคนมีความแค้นค่อยๆ คิดแผนและเดินไปแก้แค้นทีละก้าวสำหรับเขาช่างน่าสนใจจริงๆ โดยเฉพาะกับเด็กสาวตรงหน้าที่มักชอบทำหน้าตายดูเข้าถึงอารมณ์อื่นใดของนางได้ยากยิ่ง ซ่างกวนไท่ยิ่งรู้สึกว่านางยิ่งน่าสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกหลายส่วน
“คนเช่นหลู่อวิ๋นเซียง หากไร้มารดาเช่นโจวอี้เหนียงก็เป็นได้เพียงสวะน่ารังเกียจเท่านั้น ยังจะมีค่าอันใดได้อีก ที่หม่อมฉันอยากรบกวนชินอ๋องคือเรื่องของจิ้งหนานโหวเพคะ หม่อมฉันอยากทราบถึงอาการป่วยของเขา”
เพราะเช่นไรจิ้งหนานโหว หลู่ฮั่นเหลียง ก็คือบิดาและอาจเป็นสายเลือดแท้ของนางเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ ถึงจะน้อยอกน้อยใจที่ในวันนั้นบิดามิได้เข้ามาช่วยนางและคนของนาง แต่พอผ่านมาถึงวันนี้ เจี่ยอวี้หลันกลับเริ่มสะดุดใจสงสัยบางประการขึ้นมาแล้ว
นับจากที่นางกระโดดหน้าผาบิดาที่เคยแข็งแรงและแข็งแกร่งยิ่งกลับล้มป่วยติดเตียงพูดไม่ได้เดินก็ไม่ได้ ออกจะแปลกไปสักหน่อย แต่เหตุใดคนมากปัญญาเช่นคุณชายหลู่ หลู่ฮ่าวอวี่กลับไม่สงสัย หรือแท้จริงเพราะรู้อยู่ก่อนแล้วจนบัดนี้จึงไม่สงสัยกันแน่เรื่องนี้เจี่ยอวี้หลันติดใจสงสัยอย่างยิ่ง
“ได้”
ซ่างกวนไท่รับปากง่ายดายเพราะเรื่องแค่สืบข่าวภายในจวนผู้อื่นนั้นแค่เขาพยักหน้าก็ได้แล้ว ต่างจากเจี่ยอวี้หลันเป็นอย่างยิ่ง ที่นางไร้กำลังคนมีแค่สติปัญญาหากคิดจะลงมือทำสิ่งใดออกจะยากเกินความสามารถไปสักหน่อย
“อีกสองเดือนจะถึงงานแต่งแล้วเจ้าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว”
พอจบเรื่องแก้แค้นของเจี่ยอวี้หลันแล้วต่อไปย่อมเป็นเรื่องงานของเขาบ้าง และงานของซ่างกวนไท่ก็อาจสำคัญเสียยิ่งกว่าการแก้แค้นของนางมากนัก เจี่ยอวี้หลันย่อมมิอาจละเลยได้ ทั้งศึกษาตำรา ทั้งฝึกฝนกิริยามารยาท หนึ่งเดือนที่ผ่านมานับว่าก้าวหน้าไปไม่น้อย
“ยังเหลือชุดแต่งงานเพคะ ชินอ๋องอยากให้หม่อมฉันตัดเย็บและปักลวดลายเสื้อคลุมยาวให้หรือไม่”
ชาวต้าเซี่ยมีธรรมเนียมว่าชุดเจ้าบ่าวนั้นหากเป็นเจ้าสาวตัดเย็บจะนับว่าภายหน้าลูกหลานคนแรกส่วนใหญ่จะเกิดเป็นชายมากกว่าหญิงแต่นางเองไม่ได้สนใจอันใดนักกับความเชื่อดังกล่าว เพราะขนาดงานแต่งของนางกับมู่หรงจิ่งนางตั้งใจทำทุกสิ่งทุกอย่างสุดท้ายงานแต่งก็มิอาจสำเร็จและเป็นการจากตายอย่างที่เห็น
แต่เช่นไรชินอ๋องซ่างกวนไท่เป็นผู้ใด เขามีอำนาจเป็นรองก็เพียงฉางตี้ฮ่องเต้ อาจอยากให้นางเย็บปักเพียงเสื้อคลุมให้หรืออาจอยากให้นางตัดเย็บและปักให้ทั้งหมดรวมถึงรองเท้าก็เป็นไปได้ไม่แปลกอันใดนางมิอาจคิดแทนอีกฝ่ายนอกจากถามเขาให้กระจ่าง
“เช่นไรเจ้าก็ต้องตัดเย็บอยู่แล้วก็ตัดไปทั้งของเปิ่นหวางและของเจ้านั่นแหละ หากคิดว่าจะทำไม่ทันก็บอกกับหงเหลียนหมัวมัว ประเดี๋ยวนางจะจัดการหาคนมาช่วยเจ้าเอง” เจี่ยอวี้หลันคิดว่าตนเองทำถูกต้องแล้วที่ถามออกไป
“เพคะ”
พูดคุยกันอีกครู่ซ่างกวนไท่ก็เอ่ยปากชักชวนเจี่ยอวี้หลันเดินหมาก เพราะหลายวันก่อนนางร่วมเดินกับเขาแล้ว ซ่างกวนไท่ถึงกับพ่ายแพ้ให้นางไปสองกระดาน ในใจของคนที่แม้แต่ฉางตี้ฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายของตนเองยังไม่เคยเอาชนะเขาได้ พอมาพ่ายแพ้ให้สตรีแน่นอนในใจของซ่างกวนไท่จึงยากจะยินยอม วันนี้เช่นไรเขาก็ต้องแก้มือให้ได้!
“จะดีหรือเพคะ?”
สำหรับนางแล้วเจี่ยอวี้หลันคิดว่าไม่ดี เพราะตนเองนั้นดันไปเอาชนะปีศาจขาวโดยไม่ตั้งใจวันนั้น ยังตำหนิตนเองจนถึงวันนี้ หากวันนี้นางเกิดชนะเขาอีก ชีวิตน้อยๆ ของนางอาจไม่รอด แล้วในยามเดินหมากนางมันก็สันดานเสีย แม้แต่บิดานางยังลืมหน้าเอาชนะอยู่บ่อยครั้ง หากครั้งนี้นางลืมตัวอีกจะทำอย่างไรเล่า
“ดีสิ เปิ่นหวางบอกดีใครยังจะกล้าบอกไม่ดี” ปีศาจขาวก็ยังเป็นปีศาจขาว เอาแต่ใจอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้นยากจะเปลี่ยน
“แต่หม่อมฉันยุ่งเรื่องเตรียมงานแต่งนะเพคะ” แน่นอนว่าเจี่ยอวี้หลันเองก็ต้องพยายามบ่ายเบี่ยงอย่างถึงที่สุดเช่นกัน
หลีกได้เจี่ยอวี้หลันย่อมไม่รอรีที่จะหลีก ทว่า...
“เจ้าเป็นเจ้าสาวนะ จะไม่ทำอันใดก็ยังได้” แต่คนเช่นซ่างกวนไท่มีหรือจะยินยอมให้นางบ่ายเบี่ยงโดยง่าย หากยอมง่ายดายยังจะเป็นปีศาจขาวได้อย่างไร
“อ้าว...”
ก็มิใช่เขาบอกให้นางตัดเย็บชุดเจ้าบ่าวให้เขาหรอกหรือ แค่ชุดของนางก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนก็แทบจะทำให้เสร็จอย่างเฉียดฉิว แล้วในยามนี้ยังมีชุดของเขาเพิ่มมาอีก นางมีแค่เพียงสองมือเท่านั้นนะ! ใครมันจะไปทำทันเวลาเล่า
“หรือเจ้ากล้ามีปัญหา”
แต่ใครมันจะไปกล้ามีปัญหากับผู้มีพระคุณ ยิ่งผู้มีพระคุณคือปีศาจขาวแห่งต้าเซี่ยตัวเป็นๆ นามซ่างกวนไท่!
“มิกล้าเพคะ” เจี่ยอวี้หลันตอบออกไปเสียงอ่อน แต่ในใจแทบต่อว่าปีศาจร้ายไปเสียหลายคำทีเดียว
“ก็แค่นั้น ยังจะปฏิเสธให้เปิ่นหวางอารมณ์เสียไปไย”
คนพูดด้วยกิริยาเหนือกว่าจนน่าหมั่นไส้ แต่คิดไปคิดมาเจี่ยอวี้หลันก็ต้องยอมรับว่า คนเช่นซ่างกวนไท่ เขามีอำนาจจริง ต่อให้น่าหมั่นไส้เพียงใด นางก็ต้องเก็บเอาไว้เพียงในใจเท่านั้น
...นี่คือผู้มีพระคุณนะ ผู้มีพระคุณของเจ้าเอง เจ้าจะอยากทุบตีผู้มีพระคุณมิได้โดยเด็ดขาดนะอาเจี่ย!...
เจี่ยอวี้หลันแอบกัดฟันและท่องประโยคเหล่านี้เพื่อเตือนสติตนเอง เอาไว้ ทั้งที่คันมือคันไม้อยากทุบตีคนตรงหน้าแทบตายแล้วก็ตาม นางก็นับว่าเป็นสตรีที่มีความอดทนสูงผู้หนึ่ง แต่เมื่อมาเจอคนเช่นปีศาจขาว บางครั้งเจี่ยอวี้หลันก็รู้สึกว่าเส้นความอดทนของตนเองนั้นเบาบางเสียยิ่งกว่าเส้นด้ายหมดอายุ!!!
ตอนที่ 7ผลของการเดินหมากจบลงที่ผลัดกันแพ้และชนะอยู่คนละสองกระดาน เจี่ยอวี้หลันจึงรอดตัวไปได้ เพราะไม่ได้เสแสร้งพ่ายแพ้จนอีกฝ่ายมองว่านางดูหมิ่นเขา เรียกว่าจริงเท็จวันนี้นางดึงออกมาผสมผสาน เรื่องนี้ถึงซ่างกวนไท่จะรับรู้ได้แต่เขาก็มิได้คิดโกรธเคือง เพราะถูกใจสติปัญญาของเจี่ยอวี้หลันมากกว่า เรียกว่ายิ่งนับวันที่ได้ใกล้ชิดกันซ่างกวนไท่ยิ่งพึงใจในตัวของเจี่ยอวี้หลันมากขึ้นและมากขึ้นทุกวัน และอดจะสมน้ำหน้ามู่หรงจิ่งเสียมิได้ที่อีกฝ่ายทำสตรีเช่นนี้หลุดมือมาแล้วจริงๆแต่เรื่องที่ชินอ๋องเดินหมากเสมอกับองค์หญิงจากเผ่ากั๋วเซาตัวปลอมนี้กลับไปถึงหูของฉางตี้ฮ่องเต้เข้าจนได้ ฮ่องเต้หนุ่มวัยยี่สิบหกปีถึงกับอยากพบหน้าสตรีที่เดินหมากครั้งแรกก็สามารถเอาชนะขาดลอยเจ้าน้องชายตัวแสบของเขาได้แล้ว ครั้งที่สองก็ยังเสมอขึ้นมาอีกนี่ยังไม่ชวนให้เขาอยากจะใส่ใจได้อย่างไร ก็ขนาดตัวเขาเองจนอายุขนาดนี้แล้วเดินหมากกับซ่างกวนไท่ผู้นั้นกลับไม่เคยชนะ พอทราบว่าอีกฝ่ายถึงกับพ่ายแพ้ให้สตรีที่อดีตเป็นเพียงคุณหนูจวนโหวที่ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัวจะไม่ให้เขาอยากไปดูให้เห็นกับตาได้อย่างไร“ไปตำหนักเจ้าเจ็ดกันเถอะโม่กงกง”แน่นอน
ตอนที่ 8แต่ถึงจะคิดเช่นนั้นแต่ให้เลือกเจี่ยอวี้หลันย่อมเลือกเช่นเดิมอีกครั้ง ก็นางตัวคนเดียว อำนาจไม่มี เงินทองติดกายยิ่งไม่มี อดีตเมื่อครั้งที่นางตัดสินใจกระโดดหน้าผานับว่านางโง่เขลาจริงๆ แต่พอนางรอดตายมาได้จึงค่อยกระจ่าง โลกใบนี้มิได้สวยงามแม้แต่น้อย ชีวิตดำรงอยู่ได้ต้องมีเงินไม่มีเงินแค่กินข้าวยังทำไม่ได้เลย แล้ววันนั้นนางหนีออกมาตัวเปล่านอกจากเครื่องประดับไม่กี่ชิ้นก็ไม่มีเงินติดกายแม้แต่อีแปะเดียว แค่คิดก็ไม่รอดแล้ว หากไม่ได้ชินอ๋องช่วยเหลือป่านนี้หากไม่ตายก็อาจถูกจับไปขายหอนางโลมไม่ก็ถูกจับไปเป็นทาสค้าแรงงานก็ได้ใครจะคาดเดาได้ ดังนั้นที่นางกระโดดลงมาพบชินอ๋อง นับว่าสวรรค์ประทานพรให้เช่นนี้หากราคาที่นางต้องจ่าย จึงคุ้มค่าแล้ว คิดอีกกี่ครั้งหากไม่มีซ่างกวนไท่ฉุดดึงนางขึ้นมาจากปากแม่น้ำลืมเลือน ป่านนี้นางจะเป็นตัวอะไรไปแล้วใครจะรู้ รักคนผิดมาแล้วหนึ่งครั้ง เกือบไม่เหลือแม้แต่ชีวิต บทเรียนที่จ่ายไป แพงเหลือเกิน...“อวี้หลันถวายพระพรฝ่าบาทขอทรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆ ปีเพคะ” เพราะฉางตี้ฮ่องเต้มาอย่างกะทันหัน เจี่ยอวี้หลันจึงออกมาต้อนรับเขาด้วยทั้งที่ยังต้องรีบร้อนงานในมือค้างคาอยู่ แ
ตอนที่ 9คิ้วเรียวที่ไม่ได้ถูกวาดด้วยดินสอถ่านขมวดน้อยๆ บางคราวเรียวปากจิ้มลิ้มก็เผลอเม้มเป็นเส้นตรง แววตาคู่นั้นก็เคลื่อนไหวราวกับแม่น้ำในยามราตรีที่สะท้อนแสงดาว บางครั้งดูคล้ายจะมุ่งมั่นเด็ดขาด แต่ อีกครู่เหมือนนางรู้สึกตัวจึงยอมถอยกลับเพื่ออ่อนข้อ แต่ ก็มิได้อ่อนแอและโง่เขลา รู้จักว่ายามใดนางสามารถเดินหน้าและรู้ว่าจังหวะไหนนางสมควรถอยหลังกลับแล้วจะไม่ดูหมิ่นเกียรติของบุรุษผู้เป็นใหญ่เหนือผู้คนแห่งต้าเซี่ยเช่นฉางตี้ฮ่องเต้เรียกว่าเสน่ห์ของเจี่ยอวี้หลันเกิดขึ้นเพราะใบหน้าของนางมีหลากหลายอารมณ์เช่นนี้มิใช่เพราะนางรูปโฉมงดงามปานล่มเมืองจากใบหน้าของซือถูเจินจู แต่เพราะนางมีแววตาเฉลียวฉลาด ยิ่งยามที่นางมองหมากของฝ่ายตรงข้ามขาดแล้วว่าผลจะออกมาอย่างไรมุมปากของนางจะมีรอยยิ้มล้ำลึกเกิดขึ้นความงามของนางยิ่งมากจนหัวใจของเขาพลันสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน“หม่อมฉันแพ้แล้วเพคะฝ่าบาท”สำหรับชินอ๋องซ่างกวนไท่แล้วเดินหมากกับเขาแล้วเจี่ยอวี้หลันถึงกับปวดสมองเพราะเขาเป็นบุรุษที่คาดเดาความคิดได้ยากนักในยามเดินหมากนางจึงต้องใช้สมองมาก แต่เล่นกับฉางตี้ฮ่องเต้ผ่านไปแค่สองเค่อเจี่ยอวี้หลันก็พอเข้าใจว
จริงสินะ… นางมองเห็นวิญญาณแล้วตอนนี้ที่สองแม่ลูกยังไม่ยอมไปไหนนางก็คาดว่าวิญญาณคงมีห่วงใหญ่หลวงคงอยากจะพบหน้าชายคนรักกับบิดาของบุตรในครรภ์สักครั้งเป็นแน่ ดังนั้นคาดว่าห่วงใหญ่หลวงที่ว่าคงจะเป็นบุรุษผู้เป็นพ่อของดวงวิญญาณน้อยจริงๆ หากเขาปรากฏกายดวงวิญญาณสองดวงนี้ย่อมต้องมาวนเวียนอยู่ใกล้ เช่นนั้นนางก็รู้แล้วมิใช่หรือ ไม่นับว่าเป็นปัญหาจริงเสียด้วย“อวี้หลันโง่เขลาแล้วเพคะ”เจี่ยอวี้หลันเผยสีหน้าละอายใจออกมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นเช่นนี้ซ่างกวนไท่จึงรู้สึกพึงใจอยู่มาก ที่เขารำคาญใจที่สุดกับสตรีผู้นี้ก็คือนางชอบทำสีหน้าเหมือนคนตายไร้ความรู้สึกมันดูเข้าถึงยากเหมือนนางกันตนเองไปอยู่ในโลกของนางเพียงคนเดียว แต่ก็พอจะเข้าใจได้ อายุนางยังน้อย แต่กลับเจอแต่คนทรยศจะไม่วางใจใครอีกเลยยังแปลกอันใด“ช่างเถอะ เจ้ารอบคอบเอาไว้ก่อนย่อมดีแล้ว ว่าแต่ดึกดื่นเหตุใดจึงออกมาฝึกกระบี่” เกิดมายี่สิบสามเกือบยี่สิบสี่ปีก็เพิ่งเคยเห็นคืนพระจันทร์เต็มดวงงดงามสตรีกลับออกมาออกท่าทางฝึกกระบี่ก็มีนางเป็นคนแรก“ดวงจันทร์งามนักเพคะ หม่อมฉันยิ่งมองก็ยิ่งคิดถึงท่านแม่และจางเหลียนหมัวมัวผู้เป็นแม่นมที่จากไปและเพื่อระลึกถึงเลยร่าย
ตอนที่ 11เพียงแต่ย้ายไปตำหนักฉางเซินแล้ว เจ้าของตำหนักกลับไม่ได้รั้งอยู่ให้เจี่ยอวี้หลันได้ทำความคุ้นเคยดังที่เขาเอ่ยเอาไว้เท่านั้นเอง เพราะช่วงยามเฉินของวันต่อมาซ่างกวนไท่ก็มีงานเร่งด่วนให้ต้องรีบกลับไปค่ายทหารเฮ่ยหลงที่อยู่นอกเสียนหยางอย่างเร่งด่วน ทั้งที่ใกล้งานแต่งเข้ามาทุกวันแล้วแท้ๆ ตัวเจ้าบ่าวกลับจากไกลไปเสียได้แต่สำหรับเจี่ยอวี้หลันเช่นนี้จึงค่อยหายใจหายคอสะดวกขึ้นมาหน่อยเพราะนางจะทำใจแล้วว่าแต่งงานคราวนี้ซ่างกวนไท่มิใช่แต่งเพื่อการเมือง แต่เขาพูดเองกับปากว่าจะแต่งนางเป็นสามีภรรยาจริงๆ แต่ทำใจ นั่นก็ส่วนทำใจ ทว่าทำได้หรือไม่ช้าเร็วก็ว่ากันไป ซึ่งต่อให้เขาเป็นผู้มีพระคุณ แต่อย่างไรชินอ๋องสำหรับนางแล้วเขาก็ยังเป็นบุรุษแปลกหน้าสำหรับนางอยู่ดี ดังนั้นเขาจากไปไกลหน่อยสำหรับนางแล้วก่อนพิธีแต่งงานจะเริ่มจึงค่อยสบายใจขึ้นมาไม่น้อยจริงๆ“เจี่ยกงจู่อย่าทรงว้าวุ่นใจไปเลยเพคะ ปกติแล้วนายท่านของพวกเราก็มีงานรัดตัวเช่นนี้อยู่แล้ว”“ถูกต้องเพคะ ปกตินายท่านของพวกเราก็มีงานรัดตัวเช่นนี้”หากแต่หงจูกับหงห
ตอนที่ 12แต่ก็นั่นแหละลางเนื้อชอบลางยา ใครยังไม่เคยมาเผชิญหน้ากับความโหดและเหี้ยมของสองจอมปีศาจขาวและดำด้วยตนเองก็ยังคงอยากมาทดลองดูสักครั้งอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะสตรีที่ตัดสินบุรุษด้วยรูปโฉมอันหล่อเหลา เช่นเดียวกับมู่หรงเจียวบุตรสาวลำดับที่ห้าของอดีตเฉินกั๋วกงที่ก็แอบหลงรักชินอ๋องหนุ่มเพราะเคยพบหน้าเขาอยู่ไกลๆ อีกฝ่ายทั้งหล่อเหลาทั้งองอาจ ยิ่งในยามเขาอยู่บนหลังอาชาในชุดเกราะพร้อมจะออกรบ ยิ่งรูปงามจนมู่หรงเจียวเก็บมาเพ้อฝันอยู่หลายเดือนดังนั้นเมื่อนางได้ยินข่าวว่าบุรุษที่ตนเองแอบรักแอบฝันถึงกำลังจะแต่งงานไปกับสตรีอื่น คุณหนูห้าหรือก็น้องสาววัยสิบแปดปีของเฉินกั๋วกงมู่หรงจิ่งนั้นกลับไม่พึงใจอย่างยิ่ง เพราะสำหรับนางแล้วนับจากอายุสิบสี่ปีเป็นต้นมามู่หรงเจียวก็ผูกใจรักมั่นคงกับชินอ๋องซ่างกวนไท่เสียแล้ว ดังนั้นนางจะเดือดร้อนใจเพราะข่าวงานวิวาห์ใกล้เข้ามาย่อมไม่แปลกนางรักเขามานานขนาดนั้นจนตอนนี้อายุสิบแปดใกล้สิบเก้าปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว มันใกล้จะเลยวัยออกเรือนของสตรีชาวต้าเซี่ยเต
ตอนที่ 13แต่เรื่องราวเหล่านี้กลับมาถึงหูของเจี่ยอวี้หลันผ่านสายสืบของหงเหมยองครักษ์หญิงที่ชินอ๋องซ่างกวนไท่มอบให้นางแต่แรกที่รับปากจะแต่งกับเขาคราวนั้น ซึ่งหงเหมยก็ไม่เคยทำหน้าที่ให้เจี่ยอวี้หลันผิดหวัง เพราะขนาดหลู่อวิ๋นเซียงไม่เคยเปิดปากบอกใครนอกจากสาวใช้คนสนิท แต่สาวใช้ใกล้ชิดเหล่านั้นนั่นเองที่ขายนายของตนเองเพียงมีเงินมากพอพอคิดมาถึงตรงนี้เจี่ยอวี้หลันยิ่งคิดว่าตนเองโชคดีมากกว่าร้ายที่ได้พบกับชินอ๋องซ่างกวนไท่ เพราะหากไม่พบเขานางคงไม่มีทั้งเงิน อำนาจ และคนรับใช้รองมือรองเท้า หรือชีวิต นางก็อาจจะไม่มีแล้วก็เป็นไปได้เช่นนี้นางช่างโชคดีจริงๆ มิใช่หรือไร“ขอบใจเจ้ามากนะองครักษ์หงเหมย แล้วเรื่องการล้มป่วยของจิ้งหนานโหวพอจะคืบหน้าหรือไม่”ผ่านมานานพอสมควรแล้วที่ซ่างกวนไท่รับปากนางเรื่องข่าวคราวของบิดาไม่คืบหน้าเท่าใดเจี่ยอวี้หลันรู้สึกร้อนใจอยู่พอสมควร ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือบิดา จะน้อยใจ เสียใจแต่นางก็อยากไปเยี่ยมเขา แต่ด้วยฐานะของตนเองยากจะทำตามใจตนเองได้จึงได้แต่อยากรู้ว่าอาการป่วยของบิดาบัดนี้เป็นอย่างไ
ตอนที่ 14เป็นประโยคบอกเล่าที่ทำเอามือที่กำลังตั้งอกตั้งใจบีบนวดของเจี่ยอวี้หลันหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่รู้เพราะอันใด แต่ซ่างกวนไท่รู้สึกชอบเหลือเกิน ที่ตนเองทำให้คนที่เหมือนจะไม่สนใจใต้หล้ามีอาการผิดปกติได้เช่นนี้ เขาชอบใบหน้าและแววตาที่มีอารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้แล้วเจี่ยอวี้หลันดูงดงามและมีชีวิตชีวา มิใช่ภาพวาดบนผนังวิหารนักบวช ดังหลายเดือนที่นางมาพักร่วมตำหนักของเขา“ผลออกมาก็เป็นดังเช่นที่เจ้าสงสัย จิ้งหนานโหว ถูกทำให้ล้มป่วย แต่มิได้ใช้พิษร้ายอันใดเลย บิดาของเจ้าถูกให้กินยาบำรุงมากเกินไป พอร่างกายคนเราได้รับของดีมากเกินไปก็ใช่จะส่งผลดี ของชั้นเลิศหากกินถูกส่วนผสมก็เกิดคุณอนันต์แต่หากกินร่วมกับสิ่งต้านกันร่างกายก็รับไม่ไหวเปิ่นหวางเองก็อธิบายให้เจ้าฟังได้ไม่กระจ่างนักหรอก เอาไว้จะให้หยวนหย่งฉ๊มาชี้แจงให้เจ้าฟังในคราวหน้า”ซ่างกวนไท่บอกกล่าวไปตาของเขาก็ยังคงมองไปที่ม้วนตำราในมือของตนเองไป เจี่ยอวี้หลันได้สติคืนกลับมาก็เริ่มนวดต่อไป“เป็นผู้ใดเพคะ เป็นผู้ใดที่ทำเช่นนั้นกับจิ้งหน
ตอนที่ 30จบมื้อค่ำวันนี้ก็เป็นการลงสีเก็บรายละเอียดตรงข้อมือต่อให้เสร็จ อีกสามวันจะถึงกำหนดพิธีฝังศพของอดีตจิ้งหนานโหวแล้ว ส่วนศพของหลู่อวิ๋นเซียงนั้น ตามประเพณีของชาวต้าเซี่ย หนึ่งปลิดชีพตนเอง สองแท้งบุตรโดยมิได้แต่งงาน สามคบชู้ สี่กบฏ ห้าต้องโทษหนัก คนเหล่านี้ตายแล้วห้ามฝังในสุสานของตระกูลๆ เด็ดโดด เช่นนั้นพอสิ้นใจแล้วไม่เกินสามชั่วยาม ศพของหลู่ อวิ๋นเซียงกับเด็กในครรภ์จะต้องถูกนำไปฝังในสุสานไร้แซ่ไร้นามทันทีนับว่าสาแก่ใจของเจี่ยอวี้หลัน ครั้งหนึ่งหลู่ อวิ๋นเซียงก็ตั้งใจให้นางตายไร้ที่ฝัง หรือจะกล่าวให้ถูกก็คือตายไปอย่างไร้คนจดจำ ไร้ป้ายวิญญาณ พอถึงวันนี้สิ่งที่หลู่อวิ๋นเซียงคิดทำกับนางกลับย้อนกลับไปคืนสนอง ที่สำคัญ คนลงมือยังเป็นบิดาของบุตรในครรภ์และบุรุษที่อีกฝ่ายรักปักใจอีกด้วยสาแก่ใจจริงๆ!...“มีความสุขหรือ?”ขณะกำลังเก็บรายละเอียด บังเอิญที่ซ่างกวนไท่เหลือบสายตาขึ้นไปสังเกตสีหน้าของเจี่ยอวี้หลัน ด้วยกังวลว่านางจะเจ็
ตอนที่ 29“จุมพิตของข้ามันแย่ถึงเพียงนั้น?” ซ่างกวนไท่อดใจไม่ไหวจึงต้องถามออกไป“หามิได้เพคะ”พอถูกถามเจี่ยอวี้หลันจึงได้สติ รีบร้อนปฏิเสธออกไปทันที ส่ายหัวส่ายหน้ายกมือวุ่นวายเห็นแล้วซ่างกวนไท่จึงคลายกังวลกลับเป็นรู้สึกหมั่นไส้ปนเอ็นดูแทน“ไม่มีผู้ใดถึงแก่ความตายด้วยจุมพิตมาก่อน เผื่อเจ้าไม่รู้”กล่าวออกไปแล้วก็ยอมปล่อย ให้ร่างน้อยเป็นอิสระ อย่างตัดใจ เพราะเห็นว่าหากเขายังจะจุมพิตนางต่อไป คืนนี้ที่ตั้งใจจะลบรอยแผลเป็นและปานแดง คงไปจบบนเตียงแทนเสียเป็นแน่เขารู้ความต้องการของตนเองดี ยามที่ยังไม่ได้แตะต้องลึกซึ้งก็พอจะหักห้ามใจตนเองได้ไหวอยู่ ทว่ายามใดที่เขาล้ำลึกกับนางไปแล้วความอดทนคงไม่มี และเขาเป็นพวกที่กินแล้วยากจะอิ่ม เพียงครั้งเดียวยากจะจบลง แล้วหากเขาเริ่ม เจี่ยอวี้หลันคงลุกไม่ไหวอย่างน้อยก็สองถึงสามวัน แล้วที่เขารับปากจะให้นางไปร่วมพิธีฝังศพบิดาคงต้องล้มเลิกเป็นแน่แต่ถึงจะปล่อยนางแล้วไม่โอบกอด แต่ถึงอย่างนั้นซ่างกวนไท่ก็ยังคง
ตอนที่ 28หลังจากเตรียมข้าวของสำหรับสักลบรอยทั้งแผลเป็นและปานแดงซึ่งนับได้ว่าค่อนข้างเร่งร้อนแล้วซ่างกวนไท่จึงกลับมาหาเจี่ยอวี้หลันในช่วงใกล้ค่ำ ที่ต้องกล่าวว่าต้องเร่งร้อนเพราะมันเร่งร้อนอยู่มากจริงๆ เร่งร้อนเพราะหากมีผู้ใดสักคนสังเกตเห็นถึงจะทำเป็นนิ่งเฉยไม่ยอมรับอย่างไรทว่ามันก็บ่มเพาะความสงสัยให้ผู้คนขึ้นมาแล้ว ซ่างกวนไท่แต่เดิมก็ไม่ชอบเรื่องยุ่งยากในภายหลังมาแต่ไหนแต่ไร แต่ที่เขาทำเป็นมองข้ามปัญหาเล็กน้อย เช่นรอยแผลเป็นกับรอยปานแดงนั้นคงเพราะเกิดใจอ่อนขึ้นมากับเจี่ยอวี้หลัน หาไม่แค่ปัญหาเล็กเท่าขี้ตามดอย่างไรหากมองแล้วว่าจะยุ่งยากในภายหลัง มีหรือจะยอมปิดหูปิดตาทำเป็นมองไม่เห็นมาแต่แรกเริ่ม“เจี่ยเอ๋อร์…”เสียงห้าวดังมาก่อนตัว แต่ที่ลอยมาก่อนเสียงคงเป็นกลิ่นคาวโลหิตกลิ่นที่นางคุ้นเคยไม่หวาดกลัวนานแล้ว เจี่ยอวี้หลันที่เพิ่งอาบน้ำแต่งกายเสร็จจึงรีบออกมาจากฉากกั้นแต่งกายออกมายืนรออยู่ก่อนแล้ว“พี่ฉุนไป๋จะอาบน้ำก่อนหรือไม่”คนตัวเล็กถามขึ้นเพราะเห็
ตอนที่ 27ส่วนเจี่ยอวี้หลันนอกจากไม่รู้สึกสงสารแล้วยังสมน้ำหน้าทั้งสามแม่ลูกอสรพิษอีกด้วย คนชั่วพบเจอคนชั่วกว่านี่จึงนับว่านรกส่งเสริมวาสนาพวกมันแล้ว“หากเจี่ยเอ๋อร์เดาไม่ผิด ทั้งเฉินกั๋วกงผู้เฒ่าและเฉินกั๋วกงคงวางแผนบางอย่างเอาไว้แต่แรกแล้วกระมังจึงต้องการแต่งงานกับบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินเอกจิ้งหนานโหว”ซ่างกวนไท่พอได้ฟังความคิดเห็นที่เจี่ยอวี้หลันกล่าวออกมาก็อดจะกดจุมพิตนางที่หน้าผากนวลเนียนเสียมิได้ เพราะผ่านมาจนถึงวันนี้ เด็กสาวไร้เดียงสาให้อดีตเติบโตขึ้นมา นางเท่าทันคนแล้ว“ที่เจ้ากล่าวมาถูกต้องแล้ว ทั้งหมดนั้นคือภาพที่มู่หรงจิ่งกับเฉินกั๋วกงผู้เฒ่าสร้างขึ้น เพราะแท้จริง สกุลมู่หรงหาได้สนับสนุนข้ากับพี่ห้า หากแต่แอบช่วยเหลือ เสด็จอา ซ่างกวนเหยา หรือก็คือโซ่วอ๋อง ที่บัดนี้ปกครองแคว้นอิ๋งโจว และที่ข้าหายไปก่อนงานแต่งงานก็เพราะไปสืบข่าวที่โซ่วอ๋องแอบสะสมกำลังทหารกับเสบียงหวังก่อกบฎโค่นล้มพี่ห้า”เจี่ยอวี้หลันเงยหน้าขึ้นมองสบตากับคนที่โอบกอดนางเอาไว้หลวมๆ พลา
ตอนที่ 26พอกลับถึงตำหนักแทนที่จะได้พักผ่อน กลับพบว่าคณะทูตจากเผ่ากั๋วเซามารอเข้าเฝ้า ชินอ๋องและชินหวางเฟยอยู่ก่อนแล้ว เรื่องนี้ถึงไม่อยู่เหนือความคาดหมายเท่าใดนัก แต่ก็ออกจะมาอย่างฉุกละหุกไปสักหน่อยกับการมาเยือนของคณะทูต ยังดีว่าเจี่ยอวี้หลันนั้นเตรียมตัวมานานกว่าหลายเดือนเรื่องจึงไม่ยุ่งยากมากนัก พอจะรับมือได้ ถึงภายในใจของนางจะไม่สงบเท่าใดนัก แต่ด้วยภาระหน้าที่เจี่ยอวี้หลันก็จัดการอารมณ์ของตนเองได้“น้องหญิงเก้า ดูสบายดีนี่”ซือถูเจียงหว่าน ธิดาของหัวหน้าเผ่าลำดับที่หกของเผ่ากั๋วเซาแต่ดูแล้วอายุคงมากกว่าซือถูเจินจูไม่น่าจะเกินสองปี ทักขึ้นหลังจากคารวะชินอ๋องซ่างกวนไท่ตามประเพณีของชนเผ่ากั๋วเซาและของต้าเซี่ยแล้ว เจี่ยอวี้หลันซึ่งกำลังมองเลยไปยังบุรุษผู้หนึ่งที่ตนเองเคยเห็นว่าดวงจิตของซือถูเจินจูล่องลอยอยู่ใกล้ๆ เมื่อสิบกว่าวันก่อนและเขาเองก็กำลังมองตรงมาที่นางแน่วนิ่งเช่นกัน รีบดึงสายตาหันมาสนใจน้องสาวตามฐานะเสียก่อน“แน่นอน พี่ฉุนไป๋ หมายถึงชินอ๋องดูแลข้าดีมาตลอดจ
ตอนที่ 25“บังอาจ! นี่คือชินหวางเฟย จงถอยออกไป”จากที่สงสัยเพราะเกิดจดจำแววตาของหลู่อวี้ หลิงได้เมื่อแลเห็นระยะใกล้ มู่หรงจิ่ง จึงต้องพิสูจน์ รอยแผลเป็นตรงหลังมืออาจบังเอิญได้แต่ปานแดงตรงเลยข้อมือขึ้นไปเล็กน้อยที่เขาพลิกดูเมื่อครู่ช่วงที่นางล้มมาทางเขานั้นยากจะมีใครเหมือนเป็นคนที่สองแน่ เขามั่นใจ!“เฉินกั๋วกงจะไปที่ใด?!”หลู่ฮ่าวอวี่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดพอเห็นมู่หรงจิ่งรีบร้อนจะพุ่งตามติดชินอ๋องไปเขาจึงรีบทักท้วงเอาไว้ เนื่องจากใครบ้างอยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับปีศาจขาวแห่งต้าเซี่ยผู้นั้น“ไม่ต้องยุ่ง!!!” ตวาดออกไปแล้วก็วิ่งตามไปทันที ในใจของมู่หรงจิ่งแม้แต่ความตายก็ลืมสิ้น เพราะอยากได้คนของเขาคืน และนี่อาจเป็นสันดานเสียเดียวของเฉินกั๋วกง ที่อยากได้อันใดก็ต้องได้ สันดานเสียเดียวที่จะนำพาเขาไปสู่จุดจบก่อนวัยอันสมควร“เสียสติอันใดของเขากัน คนเช่นชินอ๋องซ่างกวนไท่ใครล่วงเกินได้หรือไร บัดซบเอ๊ย!”หลู่ฮ่าวอวี่คาดไม่ถึงว่าคนที่ระวังตัวดีมาตลอดเช่นมู่หรงจิ่งจะทำ
ตอนที่ 24“บังอาจ นี่คือชินหวางเฟย จงถอยออกไป”พอตั้งสติได้และสองบุรุษโผล่ออกมาหงเหมยรีบชักกระบี่ออกมาขวางคนทั้งสอง โดยที่เจี่ยอวี้หลันนั้นยังคงยืนหันหลังให้กับบุรุษทั้งสอง กิริยาสงบนิ่งมั่นคงและสูงศักดิ์จนมู่หรงจิ่งกับหลู่ฮ่าวอวี่ยังหายใจสะดุด“อย่าเสียมารยาทหงเหมย จิ้งหนานโหวเปิ่นหวางเฟยเพียงรู้สึกไม่สบายจึงออกมาเดินผ่อนคลายมิคาดว่ากลับหลงทาง ล่วงล้ำเรือนชั้นในของจิ้งหนานโหวแล้ว ต้องขออภัยจริงๆ”เรือนกายอรชรในอาภรณ์หรูหราค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้ากับบุรุษที่ตนเองชิงชังจนอยากจะฆ่าให้ตายด้วยมือตนเองช้าๆ เจ็บใด แค้นใด เจี่ยอวี้หลันจำต้องกลืนมันลงท้องไป แล้วเสแสร้งสวมบทบาทของพระชายาเจี่ยเอาไว้อย่างแนบเนียน เย่อหยิ่ง ไว้ตัว สูงศักดิ์ เหล่านี้นางไม่ต้องพยายามเพราะโดยปกติ หลู่อวี้ หลิงก็มีกิริยาดังกล่าวกับคนแปลกหน้ามาตลอดอยู่แล้ว“ชินหวางเฟย...”หลู่ฮ่าวอวี่พึมพำออกมาราวกับคนหลงละเมออยู่ในห้วงฝัน เพราะโฉมของสตรีตรงหน้างดงามราวกับเทพธิดาลงมาเยือนปฐพีมิ
ตอนที่ 23เท้าเรียวแต่ไม่ได้เล็กราวกับดอกบัวเช่นคุณหนูในห้องหอสกุลสูงศักดิ์ทั่วไปในแผ่นดินต้าเซี่ยเพราะในวัยเด็กมารดาของนางมิอาจทำใจทรมานร่างกายบุตรสาวด้วยธรรมเนียมรัดเท้าให้เป็นทรงดอกบัว ส่วนบิดาเองก็คิดว่ามิได้สำคัญถึงเพียงนั้น เพราะด้วยฐานะจวนจิ้งหนานโหวย่อมไม่กลัวบุตรสาวที่เกิดจากฮู หยินเอกนั้นจะไม่มีสกุลที่ดีมาสู่ขออยู่แล้วมีหรือจะคิดทรมานบุตรสาวโดยไม่จำเป็นดังนั้นในยามก้าวเดินนางจึงเดินได้อย่างมั่นคงเช่นเดียวกับหงเหมยที่องครักษ์ซึ่งน้อยยิ่งนักที่คุณหนูสูงศักดิ์ในต้าเซี่ยจะมีเท้าเช่นคุณหนูรองหลู่และนี่คือข้อดีอีกข้อที่ซ่างกวนไท่เลือกเจี่ยอวี้หลันมาสวมบทบาทเป็นซือถูเจินจูไม่ใช่ใครก็ได้ เพราะใช่จะมีใครมีเท้าเป็นธรรมชาติเช่นนี้มากนักในเมืองเสียนหยางนี้ลัดเลาะครู่เดียวก็ติดตามไปทัน นั่นก็ต้องยกความดีให้กับสัมผัสหลังจากที่นางฟื้นขึ้นมาจากประตูผี กลิ่นของโลหิต...กลิ่นนี้ชักนำให้นางตามติดหลู่ฮ่าวอวี่กับมู่หรงจิ่งจนพบในเวลาแสนสั้น จนหงเหมยอดจะแปลกใจเสียมิได้ว่าเหตุใดพระชา
ตอนที่ 22แต่หว่านเสน่ห์ไปก็เท่านั้นคนเช่นซ่างกวนไท่เขามิได้อับจนหญิงงาม กับคนเช่นมู่หรงเจียวแค่มองคาดว่ายังไม่มองให้เสียสายตาด้วยซ้ำ เจี่ยอวี้หลันกวาดสายตาไปยังครอบครัวสกุลมู่หรง แต่ก็ต้องมีอันสะดุ้งกับสายตาของมู่หรงเจียว ที่ส่งสายตาฟาดฟันมาทางตนเอง…ผีเข้าหรือไรกัน? …เจี่ยอวี้หลันคิดในใจทันที ปกติสมัยที่นางยังเป็น หลู่อวี้หลิง คุณหนูห้ามู่หรงผู้นั้นก็ไม่ค่อยญาติดีกับนางนักชอบนินทาทั้งต่อหน้าและลับหลัง เรียกว่าปากร้ายมาก ทว่าก็ไม่ถึงกับมองกันด้วยสายตาราวกับจะฉีกเนื้อเช่นในยามนี้ เฮ้อ! มีสามีหล่อเหลานี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่มันความผิดของนางหรือซ่างกวนไท่หรือก็หาไม่ ในอดีตอีกฝ่ายหวงพี่ชายกับนางก็ว่ามู่หรงเจียวร้ายกาจแล้ว พอมาหึงหวงสามีของนางกลับน่ารังเกียจนัก“ห้ามมองมันนาน ข้าหึงหวงยิ่ง”อยู่ดีๆ คนด้านข้างกลับชะโงกหน้ามากระซิบดุดันเสียอย่างนั้น ก็มิใช่ว่าเมื่อเช้าเขายังบอกว่าตนเองเป็นผู้มีเหตุผลพอ บัดนี้แค่นางมองไปทางครอบครัวสกุลมู่หรงนานหน่อยกลับมาส่งกลิ่นอายสังหารเข้มข้นข่มเหงนางเส