จักรพรรดิหมิงหยวนพูดอย่างเคร่งขรึม "เจ้าถูกใส่ร้ายรึ? แม้ว่าไม่ใช่เจ้า แต่คนในจวนของเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าก็หนีไม่พ้นความผิดนี้ ถ้าเจ้าไม่มีความคิดเช่นนี้ คนใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเสี่ยงชีวิตวางแผนเพื่อเจ้ารึ?”อ๋องอันนึกอะไรบางอย่างออกและพูดว่า "เสด็จพ่อ พระองค์ตรัสถูกแล้ว กระหม่อมหนีความผิดไม่ได้ แต่เรื่องนี้ทุกอย่างมันดูแปลก ได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยพ่ะย่ะค่ะ"“แปลกอย่างไร?” จักรพรรดิหมิงหยวนตรัสอย่างโกรธเกรี้ยวอ๋องอันยกมือเช็ดเลือดที่ไหลลงมาจากหน้าผากของเขาแล้วพูดว่า "เสด็จพ่อไม่คิดว่ามันแปลกหรือพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อจิ้งโฮ่วบอกเจ้าห้าเรื่องที่บัณทิตฮุ่ยบงการเรื่องนี้ ทำไมเจ้าห้าถึงไม่ทูลเสด็จพ่อ แล้วยังให้จิ้งโฮ่วพาหลานชายไปเสี่ยงแบบไม่กลัวอันตรายใด ๆ นอกจากนี้ แม้ว่าบัณทิตฮุ่ยจะเป็นคนของกระหม่อม แต่กระหม่อมก็ไม่ไว้ใจเขามากนัก และไม่ได้ให้รับผิดชอบงานสำคัญมากด้วย เสด็จพ่อถามหน่อยเถิด หลายปีมานี้เคยให้เขาทำเรื่องที่สำคัญหรือไม่ เหตุใดจึงลักพาตัวหลานไปกัน ซึ่งเรื่องนี้อาจส่งผลกับชีวิตกระหม่อม กระหม่อมจะไปให้เขาไปจัดการได้อย่างไร? กระหม่อมถูกใส่ร้าย เสด็จพ่อให้ความเป็นธรรมแก่ลูกด้วย"จ
หลังจากที่ไท่ซ่างหวงเข้าไปข้างใน เขาก็นั่งลงบนที่ประทับ และแม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ทำได้เพียงยืนเคียงข้างปรนิบัติรับใช้เขาไท่ซ่างหวงมองอ๋องอันอย่างเย็นชาและถามว่า "คนของเจ้าก่อเรื่องชั่วช้ามา เจ้ามีอะไรจะพูดอีก?"ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อ๋องอันไม่ค่อยได้ติดต่อพูดคุยกับไท่ซ่างหวง ท่านตาของเขาตี้เหว่ยหมิงจะเล่าความเคลื่อนไหวของไท่ซ่างหวงให้เขาฟัง เขารู้เพียงว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องใหญ่และเรื่องยุมยิมทั้งภายในและภายนอกดังนั้นตอนนี้เขาจึงยังพูดหว่านล้อมต่อไปว่า "เสด็จปู่ ให้ความเป็นธรรมแก่หลานด้วย เรื่องนี้หลานถูกใส่ร้าย"“ใส่ร้ายอย่างไร?” ไท่ซ่างหวงถามอ๋องอันโต้เถียงอย่างมีเหตุผล "เสด็จปู่ พระองค์ลองพิจารณาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งดูสิพ่ะย่ะค่ะ จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน น้องห้าปล่อยลูกตัวเองไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นได้อย่างไร? และจิ้งโฮ่วเองก็เป็นพ่อตาของเขา ... "ไท่ซ่างหวงขัดเขาอย่างหยาบคาย "อย่าพูดเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะมีใครใส่ร้ายหรือหักหลัง ย่อมต้องมีใครสักคนสอบสวน เจ้าแค่พูดว่าตอนนี้คนในจวนเจ้าวางแผนร้ายลักพาตัวหลานไป เจ้าเป็นเจ้านาย มีอ
เขาอยากจะโต้เถียงกลับไป แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมและเย็นชาของไท่ซ่างหวง เขาก็เก็บความไมพอใจของเขาเอาไว้ และน้อมรับพระอาญาพร้อมกับทูลลาไปเขาพลาดแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดี แต่เขาไม่คิดว่าจะสะดุดล้มลงครั้งใหญ่แบบนี้ได้หลังจากกลับมาที่จวน เขาสั่งให้คนมาตรวจสอบทันที และพบว่าเป็นขุนพลหลัวจากกององค์รักษ์เงาที่เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ เขาจึงสั่งให้คนไปเชิญตี้เหว่ยหมิง ท่านตาของเขามาทันทีเขาไม่เคยระวังกององครักษ์เงา และท่านตาเองก็รู้ความเคลื่อนไหวของกององครักษ์เงาทั้งหมดอยู่แล้วเขาเคลื่อนไหวสองครั้ง ครั้งแรกที่คำนวนพลาดไปก็คือหยวนชิงหลิงครั้งที่สองได้พิจารณาสถานการณ์ทั้งหมด รวมไปถึงความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นก็ล้วนได้คำนวนเอาไว้แล้ว อย่างมากบัณทิตฮุ่ยจะถูกโยนให้รับข้อกล่าวหาทั้งหมดไปคนเดียว ส่วนทางจิ้งโฮ่ว เขากำจุดอ่อนเอาไว้ เขาไม่กล้าพูดเหลวไหลอย่างแน่นอน คนผู้นี้นั้นกลัวตาย เห็นแก่ตัว ไม่สนใจคนอื่น และไม่สนครอบครัว ทำทุกอย่างได้เพื่อผลประโยชน์แต่คราวนี้ได้คำนวณไปหลายพันครั้ง และไม่คาดคิดว่าจะเกิดความผิดพลาดในฝั่งของกององค์รักษ์เงาขึ้นมาเมื่อตี้เหว่ยหมิงมาถึงจวนอ๋องอัน อ๋องอันและอาหรูไป
เมื่อนึกถึงท่าทีของไท่ซ่างหวง อ๋องอันยังตกใจไม่หาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่จ้องมองมาที่เขา เขายังเสียวสันหลังวาบอยู่เลยเขากล่าวว่า "ท่านตา เสด็จปู่ได้เพิกเฉยต่อเรื่องราวในราชสำนักไปแล้ว ท่านว่าครั้งนี้ที่พระองค์ออกมาเพื่อเจ้าห้า เป็นไปได้ไหมว่าพระองค์จะแทรกแซงเรื่องในราชสำนักอีกครั้ง"ตี้เหว่ยหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า "ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าดูเหมือนพระองค์จะไม่ทำอะไรเลยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่พระองค์มีกององค์รักษ์เงา และให้ความสนใจกับทุกการเคลื่อนไหวภายนอก แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้เข้าไปยุ่งบ่อยนัก เมื่อถึงคราวคับขัน ระวังไว้ก่อนเป็นการดีกว่า”อ๋องอันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล เสด็จพ่อทรงยุ่งอยู่เสมอและบางครั้งการหลอกเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่ไท่ซ่างหวงมีเวลาว่างและกำลังคนที่เพียงพอ หากเขาจับตามองใคร เขาย่อมมีกำลังพอที่จะจัดการอีกฝ่ายจนสิ้นซากได้เมื่อนึกถึงจุดนี้ ความโหดเหี้ยมเลือดเย็นก็เกิดขึ้นมาในใจเขา "ทำไมพระองค์ถึงยังไม่ตาย?"ตี้เหว่ยหมิงเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที "เจ้า... เจ้าหมายความว่าอะไร"ความคิดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เมื่อเห็นว่าท่านตาเองก็มีความคิดแ
นางข้าหลวงสี่รีบพูดว่า "เฮ้อ ถือว่าออกมาได้แล้ว องค์รัชทายาทเพคะ เช่นนั้นแล้วทรงไปรอให้องค์หญิงอาบน้ำก่อน ไม่รู้ว่าเหล้าหกรดใส่ตัวนางไปแล้วกี่แก้ว"อวี่เหวินห่าวมองไปที่เสื้อผ้าของนาง มีทั้งกลิ่นเหล้าและยังเปียกจริง ๆ ใบหน้าของนางทั้งแดงและดำ หน้าแดงเพราะดื่มเหล้า หน้าดำก็เพราะเปื้อนฝุ่นใต้เตียง สภาพเมาเละเทะไม่ต่างจากคนเมาที่กองอยู่ข้างถนน อวี่เหวินห่าวโกรธจนพูดไม่ออก "นางดื่มหรือเทเหล้ากัน?"นางข้าหลวงสี่บ่น "ดื่มได้สนุกมากเพคะ นางปีนขึ้นไปเหยียบเก้าอี้ มืออีกข้างยกกาเหล้าขึ้นกรอกปากดื่ม นางก็ทำหกใส่หน้าดื่มไม่ได้สักหยด เกือบสำลักตายแล้วเพคะ"อวี่เหวินห่าวลองจินตนาการถึงฉากนั้น หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้น คืนนี้เขารอนานแค่ไหนแล้ว? นางไม่รู้จริง ๆ หรือ? หรือว่านางจงใจ?"เฮ้อ ชื่อเสียงดี ๆ ขององค์หญิงรัชทายาทในคืนนี้ถูกทำลายหมดแล้ว วันนี้มีพระญาติตั้งกี่องค์ พรุ่งนี้จะต้องมีเรื่องซุบซิบมากมายไปทั่วทั้งตลาดแน่" แม่นมฉีกล่าวอวี่เหวินห่าวไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มองไปที่หยวนชิงหลิงหายใจพะงาบ ๆ เหมือนจะตาย โกรธจนนิ้วชาไปหมด แล้วคืนนี้เขาจะทำอย่างไรดี? เขาเตรียมการมานานพังหมดแล้วจริ
อวี่เหวินห่าวมองไปที่หมอหลวงเฉา "หาวิธีสิ"หมอหลวงเฉารีบคิดอย่างรวดเร็ว เขากัดฟันและพูดว่า "ช่วยไม่ได้ งั้นล้วงคอ""ไม่ได้ มันจะปวดท้องเอาน่ะสิ" อวี่เหวินห่าวทนไม่ได้หมอหลวงเฉาผายมือออก "เช่นนั้นพานางออกไปเดินเล่น ให้นางได้เคลื่อนไหวขยับร่างกาย ให้เหงื่อออกเล็กน้อย แล้วค่อนเช็ดตัวด้วยน้ำร้อน หลังจากเหงื่อออก แบบนี้จะช่วยขจัดฤทธิ์เหล้าได้บางส่วน อย่างน้อยก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้น”อวี่เหวินห่าวร้อนใจมาก เขาทำอะไรไม่ถูก แต่หากทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาก็เป็นอันใช้ได้แล้วในช่วงกลางดึก เขาช่วยประคองนางออกไปเดินเล่น ตัวเป่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายหญิงของมัน จึงเดินตามไปตลอดทางอวี่เหวินห่าวประคองหยวนชิงหลิงที่เมาจนเดินเทน้ำหนักทั้งหมดลงมาที่เขา นางรู้สึกตัว แต่นางเมามากจนตาลายไปหมด อาเจียนออกมาก็ไม่ได้ และนางก็รู้สึกอึดอัดมากด้วยหลังจากเดินไปสักพัก อวี่เหวินห่าวก็สร่างเมา และฤทธิ์เหล้าก็จางไปแล้วเขาอุ้มหยวนชิงหลิงขึ้นกลับไปที่ห้อง และให้คนเตรียมน้ำร้อนมาให้เขาให้นางข้าหลวงสี่และแม่นมฉีกลับไปพักผ่อน เขาจะดูแลหยวนชิงหลิงเองหลังจากถอดเสื้อผ้าออกแล้ว เขาก็เช็ดตัวนางด้วยผ้าร้อน เช็ดม
“ชิงเอ๋อร์ ทำไมนอนที่นี่ล่ะ? กลิ่นเหล้าแรงเชียว หนูดื่มมาหรือเปล่า?”ท่ามกลางความสับสน หยวนชิงหลิงได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเธอ เธอเวียนศีรษะมากและพึมพำว่า "หนูเวียนหัว"“หนูไปดื่มกับใครมา?” ผู้พูดถอนหายใจเบา ๆ “เคยบอกแล้วไงว่าห้ามดื่ม ยังจะดื้ออีก”เสียงฝีเท้าค่อย ๆ จางหายไป และหลังจากนั้นไม่นาน ผ้าร้อนก็ถูกนำมาประคบที่หน้าผากของเธอหยวนชิงหลิงลืมตาขึ้นทันทีในดวงตาที่พร่ามัว ใบหน้าค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น หยวนชิงหลิงตกใจมากจนน้ำตาคลอเบ้า "แม่?"“เป็นอะไรไป ไม่รู้จักแม่แล้วเหรอ” หญิงสาวยิ้ม หยิบผ้าที่วางบนหน้าผากออกให้ และช่วยเธอเช็ดหน้า “ดื่มกับใครมาจ๊ะ?”หยวนชิงหลิงตกใจสุดขีด ค่อย ๆ ลุกขึ้นมามองแม่ด้วยสายตางุนงง แม่ผอมและซีดเซียวขนาดนี้ได้อย่างไร?แม่หยวนเข้าห้องน้ำพร้อมผ้าเช็ดตัว เธอดีดตัวขึ้นทั้งที่ยังรู้สึกวิงเวียน แต่โซฟา ทีวี โต๊ะ ตู้ และหน้าต่างสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน...สวรรค์ นี่คือในบ้าน เธอกลับบ้านแล้วเหรอ?เธอวิ่งเข้าไปในห้อง ตู้เสื้อผ้าของห้องที่มีกระจกติดอยู่ เธอเห็นตัวเองในกระจก กางเกงยีนส์ เสื้อยืด มัดผมหางม้า และสวมสร้อยคอทองคำขาวประดับเพชรอย่างประณีตที่คอ นี่เป็นของ
แม่หยวนกอดเธอร้องไห้ด้วยความเสียใจหยวนชิงหลิงตบหน้าตัวเองอย่างแรง เธอทำให้แม่เสียใจ และทำให้ครอบครัวของเธอต้องเสียใจเธอปล่อยแม่แล้วรีบถามไปว่า “พ่ออยู่ไหน? พี่ชายล่ะ? คุณย่าด้วย”แม่หยวนเช็ดน้ำตามองเธอแล้วบอกว่า "ทุกคนไปทำงาน คุณย่าอยู่โรงพยาบาล หลังจากที่หนูจากไปแล้ว สุขภาพของย่าก็ไม่ดี และอยู่ในโรงพยาบาลเกือบตลอดทั้งปี""โอ้สวรรค์" หยวนชิงหลิงลุกขึ้นยืนทันที "หนูจะไปโรงพยาบาล ไปหาคุณย่า ย่าอยู่โรงพยาบาลไหน?"“อยู่ในโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในเมือง โอเค ๆ แม่จะพาไปนะ” แม่หยวนไปหยิบโทรศัพท์ “แม่จะโทรหาพ่อกับพี่ชาย บอกพวกเขาว่าหนูกลับมาแล้ว หนูรอแปปนะลูก…”หยวนชิงหลิงรู้สึกวิงเวียน เสียงที่ได้ยินก็ค่อย ๆ หายไป แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจดังว่า "ชิงเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์อยู่ที่ไหน หนูอยู่ไหน?"“แม่!” เธอตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ"หยวน หยวน ตื่น รีบตื่นสิ ร้องไห้ทำไม? ฝันร้ายหรือเปล่า?" อวี่เหวินห่าวกอดนางไว้ เห็นนางร้องไห้เสียงแห้ง และตะโกนมาจากในความฝันหยวนชิงหลิงลืมตาขึ้น และเห็นสีหน้ากังวลของอวี่เหวินห่าว นางรู้สึกเคว้งคว้างราวกับว่าได้เสียโลกอีกใบไป "เจ้าห้า? แม่อยู
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม