ที่ข้าอยากพูดคือสิ่งนี้หรือ? ข้าขาดเงินแค่นี้หรือ?ฮ่องเต้น้อยเบะปาก ก่อนจะไปนั่งบนม้านั่งหินตรงกันข้าม “ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านนี่ช่างน่าเบื่อจริง ๆ ไม่มีความตลกขบขันเลยสักนิด ฟังไม่ออกกระทั่งคำพูดล้อเล่น”น้ำเสียงของเฉินเยี่ยนซูเย็นชา “กษัตริย์ตรัสคำไหนคำนั้น”ฮ่องเต้น้อยจุกอยู่ในลำคอ สายตาตกไปบนตั๋วเงินแผ่นนั้น หนึ่งหมื่นตำลึงทองเขา ‘จุ๊’ ขึ้นมาเสียงหนึ่ง “พวงดอกไม้แค่สองสามพวก ใช้เงินมากมายขนาดนี้ ท่านเสนาดีไม่เสียดายหรือ?”เฉินเยี่ยนซู “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หย่งอัน “...”ท่านอัครมหาเสนาบดีมีเพียงจุดนี้ที่ไม่ดี พูดน้อยเกินไป ตนอยากจะพูดกับอีกฝ่ายให้มากสักหน่อย ทว่าก็มักหาหนทางไม่เจอเขากะพริบตามองเฉินเยี่ยนซูร้อยพวงดอกไม้จนเสร็จอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านคงไม่ได้เป็นคนสวมใส่พวงดอกไม้เองแน่ ๆ หรือว่าท่านจะมอบให้กับสตรีที่ชอบหรือ?”เฉินเยี่ยนซู “...”เขามิได้ตอบกลับทว่าฮ่องเต้น้อยไม่เห็น หูของเสนาบดีนั้นแดงระเรื่อไปหมดแล้ว ฮ่องเต้น้อยคิดว่าตนไขคดีได้แล้ว ต้องให้สตรีที่ชอบเป็นแน่ฮ่องเต้ฮึกเหิมขึ้นมา เขารีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านอัครมหาเสนา
เฉินเยี่ยนซู “เช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? ตำราประวัติศาสตร์เล่มไหน ที่สอนฝ่าบาทว่าต้องตามจีบสตรีอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้น้อยนั่งไม่ติดแล้วเขาทำคอตก ก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางก้มหน้าราวกับทำเรื่องผิดก็มิปานจากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ขอโทษนะ ท่านอัครมหาเสนาบดี! วันก่อนข้าเห็นนางกำนัลผู้หนึ่งแอบอ่านนิยาย อ่านไปใบหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความสุข เอาแต่แอบยิ้ม ข้าสงสัยนิดหน่อย ก็เลยเอามาอ่าน”“ข้าไม่กล้าอ่านตำราเบ็ดเตล็ดเหล่านั้นอีกแล้ว ข้าจะตั้งใจอ่านฎีกา อ่านม้วนเสนอนโยบายการปกครอง ไม่ทำให้ท่านอัครมหาเสนาบดีผิดหวังในตัวข้าอีก”หากรู้เช่นนี้คงไม่มาอวดเก่งต่อหน้าท่านอัครมหาเสนาบดีแล้วไม่คิดเลยว่าแค่ไม่กี่ประโยคก็ถูกท่านอัครมหาเสนาบดีมองออกแล้วว่า ตนอ่านอะไรที่ไม่ควรอ่านในตอนนี้ขันทีอาวุโสหยางเองก็ปาดเหงื่อตรงหน้าผากเช่นกัน ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างอิหลักอิเหลื่อว่า “ท่านเสนาบดี ฝ่าบาทเองก็ไม่ได้อ่านนานมาก อ่านเพียงครึ่งชั่วยามก็อ่านจบแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ใช้ให้ข้าน้อยไปหานิยายเล่มอื่นกลับมาอีก...”เขาเองก็เป็นกังวลเช่นกัน ในฐานะบ่าวรับใช้ข้างกายของฝ่าบาท หากไม่ดูแลฝ่าบาทให้ดี ทำให้
สุดยอดไปเลย ข้ามีอนาคตแล้ว ข้าก้าวหน้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าข้าจะเริ่มด่านายบ้านตัวเองว่าไร้รสนิยมแล้ว!ข้าไม่ควรชื่อเซิ่งเฟิง ข้าควรชื่อว่าพ้นทุกข์ เพราะผู้ที่พ้นทุกข์ถึงจะได้ไปแดนสุขาวดีหลังพ่อบ้านหวงได้รับคำสั่ง ก็รีบไปหาอัญมณี หลายปีมานี้ท่านเสนาบดีสร้างความดีความชอบไว้ไม่น้อย พอให้แต่งตั้งเป็นเสนาบดีมอบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีได้เจ็ดแปดรอบเนื่องด้วยจวนเสนาบดีได้รับประทานรางวัลมหาศาลนับไม่ถ้วน เบื้องล่างท่านเสนาบดีก็มีบุคคลเก่งกาจผู้หนึ่งนามว่าเฉียนว่านเชียน ช่วยท่านเสนาบดีดูแลทรัพย์สมบัติอย่าเห็นว่าจวนเสนาบดีของพวกเขามีคนเพียงไม่กี่คนนี้ ทว่าอันที่จริงเรียกได้ว่ามั่งคั่งทัดเทียมทรัพย์สินในคลังหลวงฉะนั้นใช้เวลาไม่นาน อัญมณีที่ด้านนอกขายออกได้ในราคามิธรรมดาเหล่านั้น ก็ถูกพ่อบ้านหวงสั่งให้คนย้ายมาห้าหีบแววตาพ่อบ้านหวงเปล่งประกายราวคบเพลิง จ้องอัญมณีเหล่านี้เขม็ง จะให้ตกหล่นแม้แต่เม็ดเดียวก็ไม่ได้ทว่าเฉินเยี่ยนซูกลับทำราวกับพวกนี้ไม่ใช่อัญมณี แต่เป็นเพียงหินทั่วไปก็มิปาน ลวดมือไปคว้าออกมาสองสามกำมือ แล้ววางไว้บนโต๊ะ ตรึกตรองเลือกที่เรียบ ๆ หน่อย จากนั้นก็ใส้ไปในพวงดอกไม้พวงนั้น
...จวนสกุลฉี เรือนหลันหรงจือจือกำลังนั่งชงชาอยู่ จู่ ๆ ก็เห็นแมวตัวหนึ่ง วิ่งอุตลุตเข้ามาวางพวงดอกไม้ที่คาบไว้ในปากบนตักของนางแตกต่างจากนกแก้วรู้จักแต่กลอกตาขาวก่อนหน้านี้ตัวนั้น ไม่คิดเลยว่ามันจะจีบปากจีบคอร้องเหมียวเหมียวเรียกหรงจือจือ แถมยังใช้ศีรษะถูมือของหรงจือจืออีกด้วยเจาซีตกใจ “เจ้าแมวมาจากไหน?”หรงจือจือสะบัดมือ ก่อนจะส่งสัญญาณบอกเจาซีว่าไม่จำเป็นต้องตอบสนองรุนแรง แมวตัวนี้มิได้มีแจตนาร้ายกับตน มิหนำซ้ำท่าทีที่มีต่อตนยังอ่อนโยนและเชื่องเป็นอย่างมากและแมวตัวนั้นยังปีนขึ้นไปบนโต๊ะ แล้วใช้ใบหน้าน้อย ๆ แนบเข้ากับใบหน้าของหรงจือจืออีกด้วยเซิ่งเฟิงที่คอยตามดูมาตลอดทาง ในวินาทีนี้หลบอยู่บนหลังคา อึ้งจนเบิกตาโพลง!ในมือเขาบีบอัญมณีที่หล่นบนพื้นขณะคุณชายหลีเดินมาสองสามเม็ด ท่านเสนาบดีไม่สนใจอัญมณีเลยแม้แต่น้อย แต่เขาเสียดาย!เพียงแต่ในวินาทีนี้ เขาแทบอยากจะจิ้มตาตัวเอง!เนื่องจากคุณชายหลีที่บางทีปกติดูแล้วเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง แต่มันกลับรู้ว่าผู้ใดต่างหากที่มันควรเอาใจ ความอวดฉลาดนี้...ควรค่าให้เซิ่งเฟิงสังเกตและเลียนแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังถูไถหรงจือจือเสร็จ จิ่นหลีก็เด
ครั้นสายตาของหรงจือจือตกไปที่ปากประตู ก็เห็นฉีจื่อฟู่ดื่มจนเมาไม่ได้สติ ข้างเท้าเป็นขวดสุราที่ตกแตก ในวินาทีนี้กำลังประคองขอบประตูอยู่ “จือจือ...”ใบหน้าของบ่าวรับใช้เองก็เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ กล่าวอยู่ตรงปากประตูว่า “คุณหนูขอรับ คุณชายเขาจะบุกเข้ามาให้ได้ เราเองก็ไม่กล้าลงมือ...”อย่างไรก็เป็นบ่าวรับใช้ทั้งสิ้น ตอนนี้ฉีจื่อฟู่ดื่มเยอะเกินไป ไม่ว่ากันด้วยเหตุผล หากลงไม้ลงมือขึ้นมาจริง ๆ และเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาสักเล็กน้อย บ่าวรับใช้เหล่านี้คงไม่มีผู้ใดรับมือได้ในแขนเสื้อของหรงจือจือมัดยากล่อมประสาทอย่างอ่อนเอาไว้ห่อหนึ่ง ชนิดที่ว่าออกฤทธิ์ทันที กำลังคิดจะทำให้ฉีจื่อฟู่หมดสติ และเรียกให้คนมาหามเขาออกไปทว่าฉีจื่อฟู่มองนางทั้งดวงตาแดงก่ำ “จือจือ ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้า...”หรงจือจือเงียบไปครู่หนึ่งอันที่จริงนางรู้สึกว่าระหว่างตนกับฉีจื่อฟู่ ไม่มีอะไรต้องคุยกันนานแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เห็นท่าทีของเขา อย่างไรก็มีความสงสัยอยู่สองสามส่วน คนผู้นี้พอเมา จะพูดแตกต่างออกไปหรือไม่?อย่างไรในมือนางก็มียา ฉีจื่อฟู่เองก็ทำร้ายนางไม่ได้ นางมองบรรดาบ่าวรับใช้ “พวกเจ้าออกไปก่อน”บรรดาบ่าวรับใช้ถอน
ผิดที่นางยืนด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอด ผิดที่นางแต่งงานมาเป็นภรรยา วางตัวเองเป็นนายหญิง รักและเคารพในตัวเอง ไม่รู้จักใช้มารยาสาไถยกับบุรุษแบบที่อนุทำกันฉีจื่อฟู่หลุบตาลง “ไม่ใช่ ไม่ใช่…ข้าเองก็ผิด…”หรงจือจือเลิกคิ้วขึ้น คิดในใจว่านี่ช่างเป็นคำพูดที่หาได้ยากยิ่งในช่วงที่ผ่านมา เคยมีผู้ใดในสกุลฉี ที่ไม่วางตัวว่าตนเป็นฝ่ายถูกต้องกับนางด้วยหรือ? แม้ว่าช่วงแรกฉีจื่อฟู่จะยอมรับว่าทำผิดต่อนาง แต่ไม่นานก็กลับมายืดหลังตรง ใช้ถ้อยคำไร้ยางอายกับนางเหมือนเดิมท่าทีเสียใจของเขาในวันนี้จึงนับเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงฉีจื่อฟู่กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้วจริงๆ! แม้ว่ายามนั้นเจ้าจะทำดีต่อข้า แต่ข้าก็เอาแต่รู้สึกว่าเจ้าสมบูรณ์แบบจนเหมือนไม่ใช่คน เจ้าคล้ายจะรักข้า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รักข้าขนาดนั้น”“นอกจากนี้ ทุกคนก็เอาแต่ชื่นชมเจ้า บอกว่าเจ้าดีอย่างโน้นอย่างนี้ บอกว่าเจ้าเก่งกาจมากความสามารถ เป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบที่สุดในใต้หล้า เสมือนว่าการที่ข้าแต่งงานกับเจ้ าเป็นอะไรที่เกินเอื้อมไปจากตัวข้าอย่างไรอย่างนั้น”“เสมือนว่าข้าไม่คู่ควรกับเจ้าแม้แต่น้อย”
หรงจือจือมองฉีจื่อฟู่ด้วยความดูแคลนปนรังเกียจ ให้โอกาสเขาอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?เช่นนั้นผู้ใดให้โอกาสท่านย่าของนางบ้าง?ฉีจื่อฟู่เห็นว่าไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการก็ลุกขึ้นเดินโซเซไปหาหรงจือจือ “จือจือ เดิมทีวันนี้ข้าควรอยู่กับผิงถิง แต่ภายในใจข้ามีแต่เจ้า…”หรงจือจือไม่สนใจที่จะฟังเขาพูดอีกนางโบกมือโปรยผงสีขาว นางกินโอสถต้านพิษตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจพูดคุยกับฉีจื่อฟู่ตามลำพังแล้วฉีจื่อฟู่รู้สึกหมดแรงและวิงเวียนศีรษะโดยพลัน ประกอบกับเมาเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงล้มหมดสติลงกับพื้นทันทีหรงจือจือไม่รู้สึกห่วงว่าเขาจะเป็นหวัดแต่อย่างใด ยิ่งไม่สนใจที่จะประคองเขาขึ้นมาพูดเสียงดังว่า “บอกให้อวี้ม่านหวามารับเขา!”เจาซีรับคำสั่ง “เจ้าค่ะ!”จากนั้นสั่งให้บ่าวรับใช้ซึ่งเป็นสมุนของตนเองไปตามคนมาหลังจากที่หรงจือจือถูกฉีจื่อฟู่ทำร้ายบาดเจ็บเมื่อครั้งก่อน ทั่วทั้งเรือนหลันก็ไม่มีผู้ใดอยากให้เขาอยู่ค้างแรมที่นี่ต่อ ไม่โน้มน้าวให้หรงจือจือรั้งเขาให้อยู่ที่นี่ต่ออีกแต่อวี้หมัวมัวกังวลใจเล็กน้อย “คุณหนู พวกเราส่งตัวฉีจื่อฟู่กลับไปดีหรือไม่? อวี้ม่านหวาเป็นคนเรื่องมาก หากประเดี๋ยวมารับตัวเขา เกรง
“ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะด้านการแพทย์ของข้าก็ไม่ได้แย่ ยามที่ข้าพบท่านพี่ฟู่ นั่นเป็นยามที่กองทัพต้าฉีของพวกท่านกำลังจะบุกยึดเมืองหลวงของแคว้นเจา”“โอสถที่ใช้รักษาท่านพี่ฟู่ ล้วนเป็นของที่ข้าต้องเสี่ยงต่อการถูกเสด็จพี่จับได้ ขโมยมาจากสำนักหมอหลวงทั้งสิ้น อีกทั้งบาดแผลของเขาก็เป็นตัวข้าเองที่ค่อยๆ รักษาด้วยความระมัดระวัง!”หรงจือจือเผยสีหน้าแสดงความเข้าใจ “โอ้? ที่แท้ก็เป็นแบบนั้นนี่เอง!”อวี้ม่านหวาพูดด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องใจ จบแล้วก็แสดงท่าทีเหมือนคร้านจะคุยกับหรงจือจืออีก นางเรียกให้คนมาแบกฉีจื่อฟู่ออกไป หรงจือจือไม่ขัดขวางแม้แต่น้อยหลังจากที่อวี้ม่านหวาออกไปเจาซีก็พูดด้วยความตกใจ “คุณหนู อนุอวี้นาง…เมื่อครู่นี้นางว่ากระไรนะเจ้าคะ? คงมีเพียงผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์แม้แต่น้อยเท่านั้น ที่จะเข้าใจสรรพคุณของเปลือกไม้เหอฮวนผิด?”“แม้แต่เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้ ทว่านางกลับบอกว่าตัวเองเป็นผู้รักษาฉีจื่อฟู่อย่างนั้นหรือ?”“ซ้ำยังไปขโมยโอสถจากสำนักหมอหลวงอีก? นางไม่กลัวหรือว่าจะใช้โอสถผิดตัวจนทำให้ฉีจื่อฟู่ตาย?”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “ไม่ใช่แค่นั้น ยากล่อมประสาทอย่างอ่อนที่ข้
ทว่าฮูหยินหลี่กลับไม่รู้วิธีปฏิบัติและกฎของสกุลดังในเมืองหลวงเลย หนำซ้ำตอนนี้ยังคิดว่าตนจัดงานเลี้ยงได้ดีอย่างยิ่งอีกฉีกยิ้มพร้อมกล่าวกับหรงเจียวเจียวว่า “ข้ายังต้องออกไปรับแขก พวกเจ้าเข้าไปเล่นกันก่อน พวกฮูหยิน พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ จากแต่ละจวนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าไปสนุกกันเองเถอะ”ส่วนพวกผู้ใหญ่ พวกบัณฑิต ย่อมอ่านกวีแต่งบทกลอน พูดคุยเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองอยู่อีกที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่มีทางอยู่รวมกับพวกเด็ก ๆ เหล่านี้งานเลี้ยงเขียนกวีของแคว้นต้าฉี แต่ไหนแต่ไรมาก็จัดเช่นนี้หรงเจียวเจียวฉีกยิ้มหวานพลางตอบกลับ “ท่านป้าไปเถิด พวกข้าจะดูแลตัวเองให้ดีเจ้าค่ะ”ฮูหยินหลี่เรียกหลี่เซียงเหยาบุตรสาวของตนมา “เหยาเหยา เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงสามของเจ้าให้ดี อย่าให้คนมาล่วงเกิน จำขึ้นใจหรือยัง?”หลี่เซียงเหยามองหรงจือจือทีหนึ่ง ในตอนนี้ถึงกล่าวว่า “จำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”ครั้นสิ้นเสียง ก็เดินฉีกยิ้มไปกอดแขนของหรงเจียวเจียว ทำทีท่าสนิทกันเป็นอย่างมากตอนหลี่เซียงเหยายังไม่มาเมืองหลวง ก็ได้ยินว่าพี่หญิงใหญ่ของตนโดดเด่นอย่างไร ในใจของนางโหยหาเป็นอย่างมากแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อตนมา
เหวินหมัวมัว “นี่...เจ้าค่ะ! บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”นางหวังยังรีบไปกำชับข้างหูนางอีกว่า “ถ้าไม่สะดวกจะเรียกกลับมา ก็อย่าให้พวกนางพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปเป็นอันขาด”เหวินหมัวมัว “เจ้าค่ะ”นางลุกลี้ลุกลนออกไปจากจวน นางหวังร้อนใจกระวนกระวายดั่งด้ายพันกัน หากไม่ใช่เพราะนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังไว้ทุกข์อยู่ ไม่สะดวกจะไปงานเลี้ยงเขียนกวี นางแทบอยากจะรุดหน้าไปด้วยตัวเองแล้ว...ในขณะนี้ จวนสกุลหลี่จวนสกุลหลี่แม้จะเป็นจวนที่ซื้อมาใหม่ ทว่าในหลายวันนี้ก็ซ่อมแซมอย่างดีไปยกหนึ่ง ฮูหยินหลี่เสียแรงตกแต่งไปอย่างมากครั้นเห็นพวกเด็ก ๆ จากสกุลหรงมาถึงท่านลุง ท่านป้าสะใภ้สกุลหลี่ ก็ฉีกยิ้มออกมารับหน้า “ท่านพี่มีใจแล้วจริง ๆ ถึงให้พวกเจ้ามา นับเป็นเกียรติกับเราจริง ๆ”หรงจือจือในฐานะพี่สาวคนโต ย่อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นสิ่งสมควรเจ้าค่ะ งานเลี้ยงเขียนกวีของจวนท่านป้าสะใภ้ ก็ต้องมาร่วมงานอยู่แล้ว”ฮูหยินหลี่มองนางทีหนึ่ง ทว่าในสายตากลับมีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อยหากไม่ใช่เพราะนางหวังส่งจดหมายมา บอกให้นางให้ความร่วมมือพูดฉีกหน้าหรงจือจือสักครา ทำให้ต่อไปนางไม่กล้าทำตัวบ้าคลั่งต่อหน้า
“ครั้งนี้เจ้าจะได้พูดกับนางให้เข้าใจด้วยพอดี ให้นางพิจารณาตัวเองเสีย เหตุใดเป็นลูกสาวของข้าเช่นกัน พี่สาวนางแต่งงานครั้งที่สองแล้ว อัครมหาเสนาบดีเฉินมาสู่ขอแล้ว แต่นางกลับยังทำให้ข้าไม่รู้จะเอาหน้าเหี่ยว ๆ ไปซุกไว้ที่ไหน!”ครั้นนางหวังได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเพียงราวกับบนหน้าตนถูกคนฟาดสองฉาด เจ็บปวดแสบปวดร้อนไปหมดสิ่งเดียวที่เจียวเจียวกับจือจือแตกต่างกัน ก็คือคนหนึ่งตนอบรมสั่งสอนมาเองกับมือ ส่วนอีกคนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนอบรมสั่งสอนมานี่ไม่เท่ากับกำลังว่าตนสั่งสอนลูกสาวได้ไม่ดีเท่ายายแก่ที่ตายไปแล้วนั่นหรอกหรือ?มหาราชครูหรงพูดจบ ก็ยังกล่าวต่อทั้งสายตาเคร่งขรึมว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถูก ในเมื่อจะแต่งงานกับท่านเสนาบดี สินเดิมจะน้อยไม่ได้ ไม่รวมกับสินติดตัวเจ้าสาวที่ท่านแม่ให้จือจือในก่อนหน้านี้ เจ้าก็เตรียมเพิ่มให้นางอีกหน่อยแล้วกัน”นางหวังเดือดดาลจนเสียงหาย “ท่านพี่! การแต่งงานดี ๆ ของเจียวเจียวถูกจือจือแย่งไป ท่านยังให้ข้าเตรียมสินเดิมให้จือจือเพิ่มอีก ท่านอยากบีบเจียวเจียวให้ตายหรืออย่างไร?”มหาราชครูหรง “พอได้แล้ว! พูดจาเพ้อเจ้อแย่งงานแต่งอะไรกัน เจ้าอย่าได้พูดอีกเชียวนะ ลูกสาวท
เห็นนางหวังดีอกดีใจ และพูดจามั่นอกมั่นใจเช่นนี้คำพูดที่มหาราชครูหรงอยากจะกล่าว แทบจะติดอยู่ที่คอหอยพูดไม่ออกนางหวังยังพูดเป็นต่อยหอย “ท่านพี่ ข้าว่า เราต้องให้สินเดิมเจียวเจียวเพิ่มอีกหน่อย จะให้น้อยกว่าจือจือไม่ได้ อย่างไรก็แต่งงานกับท่านเสนาบดี จะให้คนดูถูกได้อย่างไร...”มหาราชครูหรงอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ “พอได้แล้ว”นางหวังอึ้งไป ครั้นเห็นว่าสีหน้าของมหาราชครูหรงไม่ดีจริง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพี่ มีอะไรหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”ในตอนนี้มหาราชครูหรงถึงตอบกลับว่า “จับคู่ผิดแล้ว! คนที่อัครมหาเสนาบดีเฉินอยากแต่งงานด้วย ไม่ใช่เจียวเจียว!”นางหวังฉงนไปเลย “ฮะ? ท่านพี่ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร ไม่ใช่เจียวเจียวแล้วจะเป็นผู้ใดได้? หรือว่าในใต้หล้านี้ยังมีสตรีที่ดีกว่าเจียวเจียวของเราอีกหรือ?”นางหวังยิ่งกล่าว ก็ยิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็คลี่ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านพี่กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”มหาราชครูหรงลูบหว่างคิ้วพลางตอบกลับ “ข้าไม่มีทางเอาเรื่องใหญ่เช่นนี้มาล้อเล่นเป็นอันขาด! คนที่ท่านเสนาบดีต้องการคือจือจือ ไม่
เฉินเยี่ยนซูแทบจะเดือดดาลจนโพล่งขำ “เช่นนั้นท่านมหาราชครูเคยคิดหรือไม่ เป็นบุตรสาวของท่านเหมือนกันแท้ ๆ เหตุใดคนหนึ่งไร้เดียงสาใสซื่อได้ แต่อีกคนกลับไม่เข้มแข็งไม่ได้?”“ท่านหญิงก็เป็นเพียงแม่นางน้อยอายุยี่สิบปีผู้หนึ่ง ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมามากมายขนาดนี้ ลำบากมามากมายขนาดนี้ มหาราชครูยังคิดจะให้นางเข้มแข็งอย่างไร?”มหาราชครูหรงพูดไม่ออก ได้แต่เอ่ยขึ้นพร้อมเปลี่ยนเรื่องว่า “ที่จริงก็เป็นเพราะข้าหวังดีกับท่านเสนาบดี อย่างไรจือจือก็เคยผ่านการหย่ามาก่อน สู้สตรีบริสุทธิ์อย่างเจียวเจียวได้เสียที่ไหน? นี่ถึงได้...”เฉินเยี่ยนซูพูดแทรกขึ้นมา “ท่านมหาราชครู นายหญิงผู้เฒ่าหรงให้ท่านดูแลท่านหญิงให้ดี ข้าคิดว่าที่เรียกว่าดูแล นอกจากเป็นห่วงในด้านการใช้ชีวิตแล้ว ก็น่าจะมีเรื่องการเคารพในด้านตัวตนด้วย”“ในในของท่านดูถูกท่านหญิงแล้ว คิดว่านางสู้คุณหนูสามของจวนท่านไม่ได้ หรือว่านี่ไม่ใช่ความอัปยศอย่างหนึ่งสำหรับนาง?”“นางก็แค่แต่งงานผิดคน ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวงอะไร ตามที่ข้ารู้ การแต่งงานในตอนแรกนั้นนางไม่ได้เป็นคนเลือกด้วยตัวเอง”“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่นางเป็นเหยื่อ และยิ่งเป็นค
เฉินเยี่ยนซูราวกับเดือดดาลจนขำ เขาวางจอกชาในมือลง “เยี่ยมจริง ๆ มหาราชครูหรงยกบุตรสาวให้หมั้นหมายกับข้า แล้วก็คิดจะให้นางแต่งงานกับคนอื่นอีกด้วย”“ที่ข้ามาเพราะอยากขอคำอธิบาย มหาราชครูไม่มีเจตนาจะขอโทษไม่พูดถึง แต่ยังจะยัดเยียดบุตรสาวให้ข้าอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เราไปตัดสินกันต่อหน้าฝ่าบาทเถอะ!”ครั้นมหาราชครูหรงได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “จะเรียกว่ายัดเยียดบุตรสาวตามอำเภอใจได้อย่างไร? หรือว่าหากเปลี่ยนเจียวเจียว ท่านเสนาบดีก็ไม่พอใจอีก?”เฉินเยี่ยนซูมองเขาทีหนึ่ง “คนที่ข้าอยากแต่งงานด้วย มีเพียงท่านหญิงแห่งหนานหยางผู้เดียวเท่านั้น”มหาราชครูหรงเริ่มรู้สึกว่า ตนถูกคำของนางหวังหลอกเข้าแล้ว บางทีผู้ที่เฉินเยี่ยนซูต้องการตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นสตรีที่เขาชื่นชม แต่มิใช่สตรีที่มุ่งแต่จะแต่งงานกับเขามหาราชครูหรงที่รู้สึกว่าตนคล้ายตัวตลก ฉีกยิ้มอย่างขมขื่นออกมาทีหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”เฉินเยี่ยนซูเอ่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อเข้าใจแล้ว คิดว่าท่านพ่อตาก็คงจะไม่ถอนหมั้นใช่หรือไม่?”การเรียกท่านพ่อตานี้ แสดงถึงความเคารพออกมาอีกสองสามส่วน ทำให้ในใจของมหาราช
เขาจงใจพูดไล่หลังหรงจือจือด้วยเสียงดังเพื่อให้นางได้ยินหรงเจียวเจียวหน้าแดงด้วยความเขินอายโดยพลัน นางกระทืบเท้าว่า “ท่านพี่!”แต่หรงจือจือราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด นางไม่แม้แต่จะหันมามองนี่ทำให้หรงซื่อเจ๋อโมโหหนักกว่าเดิม เขากัดฟันว่า “นางมีนิสัยแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่สกุลฉีจะรังเกียจ! คงมีแต่ต้องแต่งงานไปอยู่ตระกูลเล็กๆ และพึ่งพาการปกป้องจากท่านพ่อไปจนตาย ข้ารู้สึกสงสารว่าที่พี่เขยในอนาคตด้วยซ้ำ!”แต่พูดถึงตรงนี้ หรงซื่อเจ๋อก็ต้องสำลักคำพูดตัวเองนั่นเพราะนึกถึงเรื่องที่หรงจือจือบอกให้เขาแต่งงานไปอยู่สกุลฉีเมื่อคราก่อน หากนางได้ยินว่าเขาสงสารฉีจื่อฟู่ เกรงว่าคงพูดแบบนั้นให้ตัวเองสะอิดสะเอียนอีก เขารีบปิดปากเงียบหรงเจียวเจียว “พอแล้วๆ ท่านรีบขึ้นรถม้าเถิด! หากไปสาย ท่านพ่อคงตำหนิว่าพวกเราไม่รู้กฎเกณฑ์”หรงซื่อเจ๋อจำใจต้องขึ้นรถม้าเป็นเพราะแผลที่หลังเขายังไม่หายดีและกลัวว่าท่านพ่อจะโบยตีอีกรอบหรอกนะ มิเช่นนั้นเขาจะด่าหรงจือจือชุดใหญ่……รถม้าของพวกเขาเพิ่งจะออกจากสกุลหรงได้ไม่นานรถม้าของจวนราชเลขาธิการก็มาถึงหน้าจวนสกุลหรง มหาราชครูหรงทราบเรื่องแล้วยังคงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอ
หรงจือจือสะกดกลั้นความโมโหในใจ ตอนนี้นางได้ลิ้มรสความรู้สึกที่มีเพียงคนตรงไปตรงมาแบบเจาซีที่จะมีได้!หากไม่ใช่เพราะยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ มันก็มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่นางอยากไปที่จวนราชเลขาธิการเดี๋ยวนี้ ไปบอกว่าตัวเองยินดีแต่งงานกับเฉินเยี่ยนซู หรงเจียวเจียวจะได้เลิกเห่าเสียทีนางยกยิ้มมุมปากมองหรงเจียวเจียว “ได้ เช่นนั้นข้าจะรอดูวันที่เจ้าได้แต่งเข้าจวนราชเลขาธิการ น้องสามต้องพยายามเข้าล่ะ อย่าได้พลาดเด็ดขาด”นางอยากรู้เหมือนกันว่าหรงเจียวเจียวจะมีสีหน้าเช่นไรเมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมดหรงเจียวเจียวแค่นเสียงเบาและวางท่ามั่นอกมั่นใจ “เช่นนั้นเชิญพี่หญิงเบิกตาดูให้ดีได้เลย!”“ถึงเวลานั้นก็อย่าอิจฉาจนร้องไห้ล่ะ ข้าได้ยินว่าบุรุษที่ท่านพ่อหาให้ท่านเป็นแค่เสมียนกรมเล็กๆ นี่ต่างหากที่น่าขัน!”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “หวังว่าพรุ่งนี้ เจ้าจะยังยิ้มออกนะ”ฟังจากที่เฉินเยี่ยนซูพูด เขาจะมาคุยกับท่านพ่อให้ชัดเจนในวันพรุ่งนี้ หลังจากผ่านพรุ่งนี้ไป หรงเจียวเจียวคงทำหน้าเย่อหยิ่งเช่นนี้ไม่ได้อีกหรงเจียวเจียวมีหรือจะรู้ว่าหรงจือจือคิดอะไรอยู่?นางพูดด้วยความดูถูก “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้จะยิ
“แต่ราชเลขาธิการเฉินผู้นี้ เขาเป็นคนประเภทที่ข้ารู้สึกชื่นชมตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน ข้ากลัวว่าหากแต่งงานกับเขาจริงๆ เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตัวข้าจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่อเขาได้”“ความจริงแล้วเขาเป็นตัวเลือกที่อันตรายสำหรับข้า”“หลังจากที่ท่านย่าจากไป ข้าก็ชอบคิดอยู่เสมอ หากข้าไม่สามารถปกป้องอะไรได้เลย แต่อย่างน้อยก็ต้องปกป้องหัวใจตัวเอง ห้ามให้ผู้ใดมีโอกาสกรีดแทงหัวใจข้าเด็ดขาด ข้าไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายไปกว่านี้”ในการพบกันเมื่อสี่ปีก่อน ความจริงแล้วหรงจือจือเคยตะลึงงันกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของเฉินเยี่ยนซู หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันสองสามวัน บทสนทนาที่มีร่วมกับเขาก็ทำให้นางประทับใจเช่นกันแต่ตอนนั้นนางรู้ตัวว่าตัวเองมีการหมั้นหมาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนี้ทว่าบัดนี้นางเป็นอิสระแล้ว ส่วนเขาก็มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อน มีบางครั้งที่นางเผลอมองนานเกินไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนวันนี้ก็มีอาการหน้าแดง จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไร?เคราะห์ดีที่เฉินเยี่ยนซูต้องการแต่งงานกับนางเพื่อให้ช่วยดูแลอาการป่วย ไม่ใช่เพราะพึงใจในตัวนาง มิเช่นนั้น นาง