“อืม” เธอกดกลั้นเสียงครางเอาไว้ด้วยการกัดริมฝีปาก ขณะที่เขากำลังลากลิ้นอุ่นสากลงมาตามทรวงอกอวบอิ่มเต่งตึงเย้ายวนใจ พลางเอื้อมมือขึ้นมากอบกุมเอาไว้และบีบนวด กระทั่งร่างบางสั่นสะท้านแอ่นกายเหยียดรับสัมผัสด้วยความทรมาน และยิ่งเสียวซ่านเมื่อลิ้นอุ่นตวัดหยอกเย้าหมุนวนเมล็ดทับทิมสีหวาน“ซี๊ดดดด อ่า...” ความเสียวซ่านทำให้เธอเผลอครางออกมาเบาๆ พลางหลับตาพริ้ม “ชอบหรือเปล่า” เขาถามเสียงพร่าทว่ายังใช้ริมฝีปากครอบครองอกสวย พร้อมกับมือหนาบีบนวดเค้นคลึงเพื่อปลุกอารมณ์ของเธอให้ลุกโชน เนิ่นนานกระทั่งเขาพอใจจึงได้เลื่อนริมฝีปากจูบลงมาตามหน้าท้องแบบราบที่ขยับไหวเพราะหายใจแรง จากนั้นลิ้นอุ่นจึงส่งออกมาตวัดลากวนจนกระทั่งถึงใต้สะดือ“อย่า! อืม” เธอออกปากห้ามปรามทั้งที่สติกำลังจะหลุดลอย แต่เขาไม่รอช้ายิ่งห้ามก็เท่ากับร่างกายกำลังต้องการ เขาจึงลากลิ้นร้อนๆ ต่ำลงมาจนถึงเนินเนื้อนุ่มอวบ แล้วแตะลิ้นลงไปบนกลีบกุหลาบเบาๆ แต่ทำเอาเธอสะดุ้ง“อ๊ะ” เธอครางออกมาด้วยความตกใจพลางยกสะโพกขึ้นอย่างลืมตัว ทว่าเขาตวัดหางตามองชั่วครู่ ก่อนจะส่งลิ้นอุ่นโลมเลียไปตามกลีบกุหลาบที่ปิดแน่นสนิทช้าๆ และลากขึ้นลงอย่างใจเย็น แต่ร่างบ
“หนึ่งอาทิตย์ไม่ได้แปลว่าให้คุณกลับบ้าน และผมไม่ได้หมายความว่าครั้งเดียวจบ ไม่สนุกหรือไง ไม่ชอบเหรอ” ให้ตายสิเขาถามออกมาได้ยังไง ไม่มีใครตอบได้หากไม่ใช่คู่รัก เสร็จแล้วถึงจะถามว่าชอบหรือเปล่า แต่นี่เธอถูกบังคับ จริงอยู่อารมณ์นั้นมันอาจจะชอบ... “ไม่!” เธอตอบอย่างหนักแน่นและเสียงเข้มพร้อมกับดวงตาคู่สวยมองเขาราวกับจะฆ่าเพราะความโกรธ“ไม่ แล้วใครครางลั่นห้อง ใครขอร้องอ้อนวอนผม ยอมรับมาเถอะไม่ต้องอาย เวลาอารมณ์มันพาไปใกล้จะถึงจุดสุดยอดก็เป็นกันทุกคน แต่เสร็จแล้วกรุณายอมรับเสียว่า ชอบ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน แต่นุ่มนวล พลางยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งเธอเกลียดรอยยิ้มนี้“หยาบคาย”“อืม นึกย้อนดู คุณใช้ปากเก่งเหมือนกันนะ เสียดายที่ผมไม่ได้บอกให้... มันคงจะเร่าร้อนไม่น้อยเลย” เขายั่วยุเธอด้วยน้ำเสียงพร่า “คุณมัน...” เธอไม่รู้จะด่าเขาด้วยคำไหนเพราะเสียเปรียบทุกอย่างจึงได้แต่ดิ้นรนเพื่อที่จะให้หลุดพ้นไปจากเงื้อมมือทว่ามือหนาก็แข็งราวกับเหล็ก“ก็ตัวเองครางน่ะ รับไม่ได้เหรอ หืม เอาใหม่ก็ได้นะ” “ไม่ ปล่อยพิ้งค์!” “ผมบอกว่าอย่ามาขึ้นเสียงและผมจะไม่ปล่อย เพราะมันยังไม่จบ” จบคำเขาจึงรั้งเธอเข
“เห็นผู้หญิงไร้ค่า และคุณกำลังเห็นพิ้งค์เป็นแบบนั้น ไร้ค่าใต้อานัสของคุณและเงินคุณ” “รู้ไว้ก็ดี และทำให้ดีที่สุดจำไว้” พูดจบเขาก็ก้มลงจูบเธอเสียดื้อๆ จนแทบตั้งตัวไม่ทัน“อืม” เพราะความตกใจทำให้เวียงพิงค์ร้องอู้อี้และดิ้นนิดหน่อย แต่เมื่อเขามอบความอ่อนโยนให้เธอจึงหยุดดิ้นและจูบตอบเขาตามอารมณ์ที่กำลังก่อตัว อยากเกลียดตัวเองที่กำลังหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้ “พอแล้วค่ะ พอแล้ว” เธอผลักเขาออกและห้ามเบาๆ ก่อนจะเมินหน้าหนี“น้ำเสียงไม่หนักแน่น” เขาบอกอย่างเป็นต่อและยิ้มบางๆ“คุณ... จูบบ่อยเกินไปแล้ว ปากพิ้งค์แทบจะ...” เธอจำเป็นต้องบอกความจริงและอยากรู้เหลือเกินว่าเขาทำกับคนอื่นแบบนี้บ้างหรือไม่ แต่คำตอบอาจจะทำให้เธอเจ็บปวดก็เป็นได้ “ก็ปากมีไว้จูบนี่ ฮืม หรืออยากให้ผมทำอย่างอื่น เอาอีกไหมจ๊ะจ๋า” ทำไมคำว่า จ๊ะจ๋ะของเขามันทำให้เธอเขินอายหน้าแดงขนาดนี้ บ้าจัง“ไม่ ไม่เอาแล้ว ง่วงแล้วค่ะ” เธอแสร้งโกหกไปอย่างนั้นเอง เพราะไม่อยากจะดื้อดึงกับเขาอีกแล้ว แต่เอาไว้พรุ่งนี้ก่อนเถอะเธอจะแผลงฤทธิ์ให้ดู“งั้นเรียกจ๋าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นไม่ให้นอน ขอเพราะๆ นะครับ” เขาเองก็ไม่ได้พูดเพราะกับเธอเสียหน่อย“พิ้งค์ไม่..
“สวัสดีค่ะพี่รัช ขอโทษค่ะที่ทำให้รอสายนาน” เวียงพิงค์กดรับสายและทักทายอย่างสุภาพพลางปรายตามองคนใจร้ายที่ยืนจับชายผ้าห่มรอฟังเธอพูด“ไม่เป็นไรจ้ะ พิ้งค์เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง พี่เป็นห่วงนอนไม่หลับเลยกลัวท่านประธานจะไม่พอใจเอามากๆ” น้ำเสียงปลายสายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“คือ...ใช่ค่ะ ท่านก็...” เวียงพิงค์ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรดีว่าท่านประธานไม่พอใจแค่ไหน “ท่านดุมากไหมพิ้งค์ ฮืม” พิรัชถามน้ำเสียงหม่น“ก็... ค่ะ... ดุ... ดุเหมือน... ดุเหมือนหมา! กัดมั่วไปหมด” คำว่าดุเหมือนหมาเธอตั้งใจหันมาว่าให้เขาชัดๆ แถมยังลั้กคิ้วหลิ่วตาใส่ จนเขาขึงตาจ้องมองเธอราวกับจะเอาเรื่องเลยทีเดียว“แล้วพิ้งค์กำลังมาทำงานหรือเปล่า” “เอ่อ พี่รัช... คือพิ้งค์ พิ้งค์คงยังไปทำงานไม่ได้ในตอนนี้ พิ้งค์...” “ว่าไงนะ! เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า นี่โดนดุนิดหน่อยถึงกับไม่อยากมาทำงานเลยเหรอ ไม่เอาน่าพี่รออยู่นะ” “เปล่าค่ะพี่รัช เขาสั่งพักงานพิ้งค์หนึ่งอาทิตย์ เพื่อทบทวนตัวเอง”“พักงาน! ให้ตายสิ โอ้ยพิ้งค์พี่ขอโทษที่ทำให้เป็นแบบนี้ แล้วจะทำไงละจ้ะ หืม”“พี่รัชไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวพิ้งค์ก็จะไปทำงานตามเดิม เจอกันอาทิตย์หน้านะค
“อุ้ย! ว้าย!” หญิงสาวสะดุ้งและร้องอุทานด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆ วงแขนของเขาก็ตวัดรัดรอบเอวแล้วรั้งเข้าไปสวมกอดจากทางด้านหลัง“นี่ พิ้งค์บอกให้ไปอาบน้ำ” เธอว่าและดิ้นจนสุดแรงแต่เขาก็กอดรัดเสียแน่น“ผมต่างหากที่สมควรจะสั่งคุณ และอย่างที่คุณบอก ทำให้คุ้มซิ” เขาพูดและกัดกรามแน่นพลางเอื้อมมือลูบไล้ไปตามร่างกายของเธอผ่านชุดคลุมพร้อมกับซุกไซ้ใบหน้าลงไปตรงบริเวณซอกคอและดูดเม้มหนักๆ “นี่! หยุดนะ! คนไม่รักษาคำพูด” เธอว่าพลางวาดฝ่ามือหนักๆ ลงไปตามแขนของเขา แถมด้วยการทุบหนักๆเพียะ! เพียะ! เพียะ! เธอฟาดที่หลังมือของเขาไม่ยั้งแต่มือหนาแทบไม่สะทกสะท้าน“ผมไม่รักษาคำพูดตรงไหน” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้“ก็ตรงนี้แหละ อืม ปล่อย คน... บ้า...” “ตีไปเถอะผมไม่เจ็บหรอก เพราะผมกำลังจะได้ขึ้นสวรรค์แทนความเจ็บปวด” พูดจบเขาก็ถลกชายเสื้อคลุมเธอขึ้นและสอดแทรกฝ่ามือเข้าไปล้วงลึกถึงด้านใน และก็พบกับความว่างเปล่าที่นวลเนียนน่าสัมผัส“คุณ! ไม่เอา... พอก่อน ให้พิ้งค์แต่งตัวนะคะ” เธอพยายามยกขาขึ้นหนีบกันเอาไว้ เพื่อไม่ให้มือฝ่าหนาเข้าครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของต่อส่วนนั้น“จะแต่งตัวไปไหน ในเมื่อผมบอกว่าพักงานคุ
“คุณ เราลงลิฟต์คนละครั้งได้หรือเปล่าคะ” เวียงพิงค์หันมากระซิบถามเขาเบาๆ ทว่าเขากลับปรายตามองด้วยแววตาเฉยชา นั่นคงหมายความว่าไม่ได้สินะ เมื่อได้คำตอบทางสายตาเธอจึงต้องเดินก้มหน้าต่อไป จนลิฟต์เปิดออกและทุกคนลงไปพร้อมกัน พอลงมาถึงชั้นล่างคาเมรอนจึงให้พีระเป็นคนไปจัดการเช็คเอ้าท์ให้เฉพาะห้องที่คาเมรอนพักเท่านั้นเพราะห้องอื่นๆ นั้นจัดการเรียบร้อยแล้วรวมทั้งค่าจัดงาน “พิ้งค์ขอไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าตรงรีเซฟชั่นได้หรือเปล่าคะ พี่รัชฝากเอาไว้ให้น่ะค่ะ” เวียงพิงค์เอ่ยกับคาเมรอนด้วยน้ำเสียงแสนเบาหวาดหวั่นเพราะเขากลายเป็นคนนิ่งเฉยไปในทันที เมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก “เดี๋ยวให้การ์ดไปเอาให้” คาเมรอนตอบเสียงเรียบขณะที่กำลังจูงเธอมานั่งรอที่โซฟารับแขกของโรงแรม จากนั้นจึงหันไปบอกบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งไปเอาให้ “ไปเอากระเป๋าให้คุณพิ้งค์ทีไป บอกว่ามีคนฝากไว้ให้” คาเมรอนสั่งเสียงเรียบ “ครับผม” บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งรับคำก่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์โรงแรม “ความจริงพิ้งค์ไปเอาเองก็ได้ค่ะ” ดูเหมือนว่าเธอกำลังพยายามใช้น้ำเสียงเรียบๆ ข่มเขาสินะ คงไม่รู้ตัวว่าเสียงของเธอมันหวานเหมือนลูกแมว “ไม่ได้! ผู้หญิงข
“อืม” เวียงพิงค์สะดุ้งและเสียวแปลบๆ จนต้องรีบหนีบเข้าหากัน ทว่ามือหนาของเขากลับสร้างความเสียวซ่านให้กับเธอด้วยการบดเบียดฝ่ามือและนิ้วแกร่งกับช่อกุหลาบนุ่มอย่างหนักหน่วงมีชั้นเชิง ทำให้ร่างบางสะท้านไปทั้งกายและเผลอขยับขาออกจากกัน คาเมรอนได้ใจ ด้วยการขยับริมฝีปากออกมาจูบซุกไซ้ไปตามซอกคอ พร้อมกับมือที่กำลังถอดกางเกงชั้นในเธอลงมาไว้ที่ใต้สะโพก แล้วจึงเคลื่อนฝ่ามือลูบไล้เนื้อนุ่มอวบอย่างสุดจะห้ามใจ “อ่า... คุณ... พอแล้วค่ะ นี่มันบนรถ” เธอห้ามปรามเสียงพร่าเมื่อปากเป็นอิสระแต่กายส่วนล่างถูกจู่โจมอย่างหนัก“บนรถผมก็ทำได้ ถ้าเรามีเวลา” เขาพูดพลางซุกไซ้ใบหน้าฝังไปตามเนินอกอวบ พร้อมกับมือหนากำลังบดเบียดเค้นคลึงช่อกุหลาบหวานที่กำลังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำอุ่นๆ ไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ “ได้โปรด พิ้งค์กลัวคนได้ยิน” เธอกระซิบแผ่วเบาอีกครั้ง พลางแอ่นกายรับสัมผัสจากฝ่ามือร้อน“ไม่ได้ยินหรอกน่า แปบเดียว ผมทำเร็ว” เขากระซิบเช่นเดียวกันและไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าใครจะได้ยินหรือเปล่า “แต่มัน อืม...” เธอเผลอครางออกมาด้วยความลืมตัวเมื่อเขาสอดแทรกนิ้วแกร่งเข้าสู่เส้นทางรักที่ไหลลื่น ทว่ามันกลับโอบรัดนิ้วเขาเอาไว้ พร้อมกับ
“เอ๊ะ! ดิ้นจัง ไม่งั้นจะปล่อยให้ตกบันไดไปเลย” เขาดุอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอยังดิ้นแบบไม่พูดไม่จา“พิ้งค์ก็ไม่ได้บังคับให้คุณต้องจูงนี่คะ” เธอว่าน้ำเสียงหม่นระคนด้วยความหวานเล็กน้อย“ก็ต้องจูง เผื่อกระโดดลงบันได อีกอย่างเดี๋ยวจะพาไปดูห้องทำงาน” ห้องทำงานอย่างนั้นหรือ เธอคิดพลางมองใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์ที่เจือด้วยรอยยิ้มมุมปากจางๆ จากที่เมื่อครู่นี้ตึงเครียดเหลือเกิน“ห้องทำงานอยู่ข้างบนนี้เหรอคะ” เธอถามอย่างซื่อๆ ทว่าเขาไม่ตอบ แต่กลับจูงมือเธอขึ้นไปจนถึงด้านบนและมีแต่ประตูห้องนอนตรงด้านหน้ามันบานใหญ่ที่สุดคาดว่าจะเป็นห้องนอนของคาเมรอนหรือเปล่า “โน่นห้องทำงานคุณ” เขาใบ้หน้าไปทางเดียวกับที่เธอเข้าใจนั่นแหละ จากนั้นจึงได้เดินนำเข้าไปและเปิดประตูอย่างช้าๆ เขาเดินเข้าไปก่อน เวียงพิงค์จึงได้ตามและต้องอึ้ง ตื่นตา กับภายในที่ถูกจัดตกแต่งราวกับห้องนอนเจ้าชาย มีสัดส่วนแบ่งเป็นห้องทำงาน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น สีสันภายในห้องคือสีขาว ฟ้า และสีทองของเฟอร์นิเจอร์“เอ่อ ห้องนี้มันไม่ใช่ห้องทำงาน” เธอเอ่ยลอยๆ เพราะยังคงทึ่ง และไม่คิดว่าเขาจะมีแผนหรอก“ถูก นี่ไม่ใช่ห้องทำงาน มานี่” พูดจบเขาก็คว้าแขนเธอให้เดิน
“ขอโทษค่ะท่านดาเองค่ะ” กานดา เลขานุการหน้าห้องเป็นโทรศัพท์มานั่นเอง“มีอะไร” น้ำเสียงของเขาดุเข้ม ราวกับอารมณ์ไม่ดี ลำบากคนโทรมาสิคราวนี้“คือว่า ท่านไม่ได้ เอ่อ... ผู้บริหารท่านอื่นถามถึงท่านว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่ ดาตอบไม่ได้ค่ะ”“ผมไม่เข้า เพราะถ้าเข้าคุณได้เห็นหน้าผมแล้ว มีอะไรเอาไว้คุยพรุ่งนี้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงดุเข้มขึ้น“ก็... ก็ได้ค่ะ แล้วท่านเอ่อ... คือว่าเผื่อมีคนถามดาจะได้ตอบถูกว่าท่านติดธุระหรือเปล่า”“ผมไม่สบาย ลุกไม่ไหว เพิ่งลุกจากเตียงเมื่อกี้นี้เอง” เขาแสร้งโกหกแต่เรื่องลุกจากเตียงเมื่อกี้นั้นเขาพูดความจริง“อ้าว! ท่านไม่สบาย ต้องไปหาหมอหรือเปล่าคะ” ให้ตายสิถามยาวอีกต่างหาก“ผมโอเคแล้ว แค่นี้ก็แล้วกันเดี๋ยวผมจะพักผ่อนต่อ” เขารีบตัดบททันทีเพราะไม่อยากตอบคำถาม และแน่นอนว่าเลขาฯ ของเขาก็ถามซักไซ้เหลือเกิน“ค่ะ สวัสดีค่ะท่าน” กานดารีบวางสายทันที ขณะที่คาเมรอนชักสีหน้าเรียบตึงไม่พอใจเล็กน้อย แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังรบกวนอีก คราวนี้เขารับสายโดยที่ไม่ได้มองเบอร์โทรเลย “มีอะไรอีก!” เขารับสายด้วยน้ำเสียงดุดัน“เฮ้! ฉันเอง วิล รับสายเพื่อนแบบนี้เหรอวะคาเมล” เพื่อนฝรั่งโทรมา แต่เพราะ
“ตอบว่า... ตอบว่าอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ค่ะ มันเหมือน... คงชินแล้วสิท่า แล้วที่เจ็บเนี่ยคงเพราะไม่ได้ทำมันนานแล้วใช่ไหม” ให้ตายสิ ทำไมความคิดของเขามันสกปรกนัก ทั้งที่รู้ว่าเธอมีเขาเป็นคนแรก“ใช่ค่ะ ไม่ได้ทำมันนานแล้ว” เธอตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพื่อให้ความคิดสกปรกของเขาเป็นจริงและแน่นอนว่าเขาโกรธมาก พลางกัดกรามแน่นจนเส้นเลือดนูนเป็นสัน “งั้นคงต้องทำบ่อยๆ มันจะได้ไม่ต้องเจ็บ” พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงขยี้จูบเธออย่างรุนแรง หนักหน่วง เร่าร้อนจนปากแทบพัง ลิ้นอุ่นซ่านสอดแทรกสู่โพรงปากหวานอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอารมณ์โกรธที่อยู่ๆ ก็ถาโถมสู่จิตใจ เพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าประชดถึงเพียงนี้ทั้งที่รู้ว่าเป็นคนแรกของเธอ ทว่าครั้งนี้เวียงพิงค์ไม่ยอมให้เขารุกเร้าได้ง่ายนัก จึงพยายามพลักใสและดิ้นรนขัดขืน แต่ยิ่งต่อต้านเขาก็ยิ่งชอบเพราะมันเร่าร้อน ฉะนั้นอารมณ์บรรเจิดบังเกิดขึ้นทันที เขาจึงรีบขยับตัวขึ้นทาบทับเธอเอาไว้พร้อมกับขึงมือทั้งสองของเธอตรึงลงไปบนที่นอน สะโพกแกร่งแทรกอยู่ระหว่างขาเรียวสวย ก่อนจะขยับออกทำให้เธอต้องแยกขาออกจากกันอัตโนมัติ“อืม” เธอบิดเร้าดิ้นรนขัดขืนแต่เขากลับชอบและพอใจมาก“อย่า! พอแล้วค่ะ”
ความเป็นชายแข็งแกร่งพร้อมทะยานสู่จุดหมาย ขึงขังตั้งตัวอยู่ชิดกับบั้นท้ายของหญิงสาวพอดี ทำให้เธอตกใจไม่น้อย ทั้งวาบหวามและหวาดกลัวกับบทรักที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น บั้นท้ายสวยๆ ถูกจับให้แนบกับกายแกร่ง เรียวขาขยับแยกจากกันโดยอัตโนมัติ ทำให้แผ่นหลังของเธอแอ่นโก้งโค้งนิดหน่อยเพื่อที่เขาจะนำพาส่วนนั้นเข้าสู้เส้นทางรักอันแสนคุ้นเคย“พิ้งค์กลัว อย่าทำแบบนี้ได้ไหมค่ะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นขณะที่เขากำลังใช้กายแกร่งถูไถกับบั้นท้ายอย่างพอใจ“อืม แล้วคุณจะรู้ว่ามันยอดเยี่ยมมาก” เขากระซิบแผ่วเบาเสียงพร่า และพยายามกดส่วนนั้นบดเบียดช่อกุหลาบนุ่ม“พิ้งค์ไม่... พิ้งค์ไม่เคย” เธอบอกตรงๆ เพราะ... ให้ตายสิจะว่าเธอไม่เคยเห็นในคลิปก็ไม่ใช่ แต่ไม่เคยเจอกับตัว “จ๋าครับ มันไม่น่ากลัวหรอกนะ ไม่คิดจะทำแบบนั้น” เมื่อเห็นว่าเธอหวาดกลัวเขาจำต้องใช้ไม้อ่อนด้วยการเรียกอย่างออดอ้อน“แต่ว่า...” เธอกำลังจะเอ่ยแต่ไม่ทันจบคำ เขาก็พลิกตัวเธอให้หันกลับไปหา พร้อมกับขยี้จูบอย่างดูดดื่มอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงเดินถอยหลังมาที่ปลายเตียงและประคองให้นอนลงไป แต่ริมฝีปากยังคงจูบแนบแน่นเหมือนเดิม “ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายไปกับผม แล้ว
“เอ๊ะ! ดิ้นจัง ไม่งั้นจะปล่อยให้ตกบันไดไปเลย” เขาดุอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอยังดิ้นแบบไม่พูดไม่จา“พิ้งค์ก็ไม่ได้บังคับให้คุณต้องจูงนี่คะ” เธอว่าน้ำเสียงหม่นระคนด้วยความหวานเล็กน้อย“ก็ต้องจูง เผื่อกระโดดลงบันได อีกอย่างเดี๋ยวจะพาไปดูห้องทำงาน” ห้องทำงานอย่างนั้นหรือ เธอคิดพลางมองใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์ที่เจือด้วยรอยยิ้มมุมปากจางๆ จากที่เมื่อครู่นี้ตึงเครียดเหลือเกิน“ห้องทำงานอยู่ข้างบนนี้เหรอคะ” เธอถามอย่างซื่อๆ ทว่าเขาไม่ตอบ แต่กลับจูงมือเธอขึ้นไปจนถึงด้านบนและมีแต่ประตูห้องนอนตรงด้านหน้ามันบานใหญ่ที่สุดคาดว่าจะเป็นห้องนอนของคาเมรอนหรือเปล่า “โน่นห้องทำงานคุณ” เขาใบ้หน้าไปทางเดียวกับที่เธอเข้าใจนั่นแหละ จากนั้นจึงได้เดินนำเข้าไปและเปิดประตูอย่างช้าๆ เขาเดินเข้าไปก่อน เวียงพิงค์จึงได้ตามและต้องอึ้ง ตื่นตา กับภายในที่ถูกจัดตกแต่งราวกับห้องนอนเจ้าชาย มีสัดส่วนแบ่งเป็นห้องทำงาน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น สีสันภายในห้องคือสีขาว ฟ้า และสีทองของเฟอร์นิเจอร์“เอ่อ ห้องนี้มันไม่ใช่ห้องทำงาน” เธอเอ่ยลอยๆ เพราะยังคงทึ่ง และไม่คิดว่าเขาจะมีแผนหรอก“ถูก นี่ไม่ใช่ห้องทำงาน มานี่” พูดจบเขาก็คว้าแขนเธอให้เดิน
“อืม” เวียงพิงค์สะดุ้งและเสียวแปลบๆ จนต้องรีบหนีบเข้าหากัน ทว่ามือหนาของเขากลับสร้างความเสียวซ่านให้กับเธอด้วยการบดเบียดฝ่ามือและนิ้วแกร่งกับช่อกุหลาบนุ่มอย่างหนักหน่วงมีชั้นเชิง ทำให้ร่างบางสะท้านไปทั้งกายและเผลอขยับขาออกจากกัน คาเมรอนได้ใจ ด้วยการขยับริมฝีปากออกมาจูบซุกไซ้ไปตามซอกคอ พร้อมกับมือที่กำลังถอดกางเกงชั้นในเธอลงมาไว้ที่ใต้สะโพก แล้วจึงเคลื่อนฝ่ามือลูบไล้เนื้อนุ่มอวบอย่างสุดจะห้ามใจ “อ่า... คุณ... พอแล้วค่ะ นี่มันบนรถ” เธอห้ามปรามเสียงพร่าเมื่อปากเป็นอิสระแต่กายส่วนล่างถูกจู่โจมอย่างหนัก“บนรถผมก็ทำได้ ถ้าเรามีเวลา” เขาพูดพลางซุกไซ้ใบหน้าฝังไปตามเนินอกอวบ พร้อมกับมือหนากำลังบดเบียดเค้นคลึงช่อกุหลาบหวานที่กำลังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำอุ่นๆ ไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ “ได้โปรด พิ้งค์กลัวคนได้ยิน” เธอกระซิบแผ่วเบาอีกครั้ง พลางแอ่นกายรับสัมผัสจากฝ่ามือร้อน“ไม่ได้ยินหรอกน่า แปบเดียว ผมทำเร็ว” เขากระซิบเช่นเดียวกันและไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าใครจะได้ยินหรือเปล่า “แต่มัน อืม...” เธอเผลอครางออกมาด้วยความลืมตัวเมื่อเขาสอดแทรกนิ้วแกร่งเข้าสู่เส้นทางรักที่ไหลลื่น ทว่ามันกลับโอบรัดนิ้วเขาเอาไว้ พร้อมกับ
“คุณ เราลงลิฟต์คนละครั้งได้หรือเปล่าคะ” เวียงพิงค์หันมากระซิบถามเขาเบาๆ ทว่าเขากลับปรายตามองด้วยแววตาเฉยชา นั่นคงหมายความว่าไม่ได้สินะ เมื่อได้คำตอบทางสายตาเธอจึงต้องเดินก้มหน้าต่อไป จนลิฟต์เปิดออกและทุกคนลงไปพร้อมกัน พอลงมาถึงชั้นล่างคาเมรอนจึงให้พีระเป็นคนไปจัดการเช็คเอ้าท์ให้เฉพาะห้องที่คาเมรอนพักเท่านั้นเพราะห้องอื่นๆ นั้นจัดการเรียบร้อยแล้วรวมทั้งค่าจัดงาน “พิ้งค์ขอไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าตรงรีเซฟชั่นได้หรือเปล่าคะ พี่รัชฝากเอาไว้ให้น่ะค่ะ” เวียงพิงค์เอ่ยกับคาเมรอนด้วยน้ำเสียงแสนเบาหวาดหวั่นเพราะเขากลายเป็นคนนิ่งเฉยไปในทันที เมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก “เดี๋ยวให้การ์ดไปเอาให้” คาเมรอนตอบเสียงเรียบขณะที่กำลังจูงเธอมานั่งรอที่โซฟารับแขกของโรงแรม จากนั้นจึงหันไปบอกบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งไปเอาให้ “ไปเอากระเป๋าให้คุณพิ้งค์ทีไป บอกว่ามีคนฝากไว้ให้” คาเมรอนสั่งเสียงเรียบ “ครับผม” บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งรับคำก่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์โรงแรม “ความจริงพิ้งค์ไปเอาเองก็ได้ค่ะ” ดูเหมือนว่าเธอกำลังพยายามใช้น้ำเสียงเรียบๆ ข่มเขาสินะ คงไม่รู้ตัวว่าเสียงของเธอมันหวานเหมือนลูกแมว “ไม่ได้! ผู้หญิงข
“อุ้ย! ว้าย!” หญิงสาวสะดุ้งและร้องอุทานด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆ วงแขนของเขาก็ตวัดรัดรอบเอวแล้วรั้งเข้าไปสวมกอดจากทางด้านหลัง“นี่ พิ้งค์บอกให้ไปอาบน้ำ” เธอว่าและดิ้นจนสุดแรงแต่เขาก็กอดรัดเสียแน่น“ผมต่างหากที่สมควรจะสั่งคุณ และอย่างที่คุณบอก ทำให้คุ้มซิ” เขาพูดและกัดกรามแน่นพลางเอื้อมมือลูบไล้ไปตามร่างกายของเธอผ่านชุดคลุมพร้อมกับซุกไซ้ใบหน้าลงไปตรงบริเวณซอกคอและดูดเม้มหนักๆ “นี่! หยุดนะ! คนไม่รักษาคำพูด” เธอว่าพลางวาดฝ่ามือหนักๆ ลงไปตามแขนของเขา แถมด้วยการทุบหนักๆเพียะ! เพียะ! เพียะ! เธอฟาดที่หลังมือของเขาไม่ยั้งแต่มือหนาแทบไม่สะทกสะท้าน“ผมไม่รักษาคำพูดตรงไหน” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้“ก็ตรงนี้แหละ อืม ปล่อย คน... บ้า...” “ตีไปเถอะผมไม่เจ็บหรอก เพราะผมกำลังจะได้ขึ้นสวรรค์แทนความเจ็บปวด” พูดจบเขาก็ถลกชายเสื้อคลุมเธอขึ้นและสอดแทรกฝ่ามือเข้าไปล้วงลึกถึงด้านใน และก็พบกับความว่างเปล่าที่นวลเนียนน่าสัมผัส“คุณ! ไม่เอา... พอก่อน ให้พิ้งค์แต่งตัวนะคะ” เธอพยายามยกขาขึ้นหนีบกันเอาไว้ เพื่อไม่ให้มือฝ่าหนาเข้าครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของต่อส่วนนั้น“จะแต่งตัวไปไหน ในเมื่อผมบอกว่าพักงานคุ
“สวัสดีค่ะพี่รัช ขอโทษค่ะที่ทำให้รอสายนาน” เวียงพิงค์กดรับสายและทักทายอย่างสุภาพพลางปรายตามองคนใจร้ายที่ยืนจับชายผ้าห่มรอฟังเธอพูด“ไม่เป็นไรจ้ะ พิ้งค์เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง พี่เป็นห่วงนอนไม่หลับเลยกลัวท่านประธานจะไม่พอใจเอามากๆ” น้ำเสียงปลายสายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“คือ...ใช่ค่ะ ท่านก็...” เวียงพิงค์ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรดีว่าท่านประธานไม่พอใจแค่ไหน “ท่านดุมากไหมพิ้งค์ ฮืม” พิรัชถามน้ำเสียงหม่น“ก็... ค่ะ... ดุ... ดุเหมือน... ดุเหมือนหมา! กัดมั่วไปหมด” คำว่าดุเหมือนหมาเธอตั้งใจหันมาว่าให้เขาชัดๆ แถมยังลั้กคิ้วหลิ่วตาใส่ จนเขาขึงตาจ้องมองเธอราวกับจะเอาเรื่องเลยทีเดียว“แล้วพิ้งค์กำลังมาทำงานหรือเปล่า” “เอ่อ พี่รัช... คือพิ้งค์ พิ้งค์คงยังไปทำงานไม่ได้ในตอนนี้ พิ้งค์...” “ว่าไงนะ! เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า นี่โดนดุนิดหน่อยถึงกับไม่อยากมาทำงานเลยเหรอ ไม่เอาน่าพี่รออยู่นะ” “เปล่าค่ะพี่รัช เขาสั่งพักงานพิ้งค์หนึ่งอาทิตย์ เพื่อทบทวนตัวเอง”“พักงาน! ให้ตายสิ โอ้ยพิ้งค์พี่ขอโทษที่ทำให้เป็นแบบนี้ แล้วจะทำไงละจ้ะ หืม”“พี่รัชไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวพิ้งค์ก็จะไปทำงานตามเดิม เจอกันอาทิตย์หน้านะค
“เห็นผู้หญิงไร้ค่า และคุณกำลังเห็นพิ้งค์เป็นแบบนั้น ไร้ค่าใต้อานัสของคุณและเงินคุณ” “รู้ไว้ก็ดี และทำให้ดีที่สุดจำไว้” พูดจบเขาก็ก้มลงจูบเธอเสียดื้อๆ จนแทบตั้งตัวไม่ทัน“อืม” เพราะความตกใจทำให้เวียงพิงค์ร้องอู้อี้และดิ้นนิดหน่อย แต่เมื่อเขามอบความอ่อนโยนให้เธอจึงหยุดดิ้นและจูบตอบเขาตามอารมณ์ที่กำลังก่อตัว อยากเกลียดตัวเองที่กำลังหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้ “พอแล้วค่ะ พอแล้ว” เธอผลักเขาออกและห้ามเบาๆ ก่อนจะเมินหน้าหนี“น้ำเสียงไม่หนักแน่น” เขาบอกอย่างเป็นต่อและยิ้มบางๆ“คุณ... จูบบ่อยเกินไปแล้ว ปากพิ้งค์แทบจะ...” เธอจำเป็นต้องบอกความจริงและอยากรู้เหลือเกินว่าเขาทำกับคนอื่นแบบนี้บ้างหรือไม่ แต่คำตอบอาจจะทำให้เธอเจ็บปวดก็เป็นได้ “ก็ปากมีไว้จูบนี่ ฮืม หรืออยากให้ผมทำอย่างอื่น เอาอีกไหมจ๊ะจ๋า” ทำไมคำว่า จ๊ะจ๋ะของเขามันทำให้เธอเขินอายหน้าแดงขนาดนี้ บ้าจัง“ไม่ ไม่เอาแล้ว ง่วงแล้วค่ะ” เธอแสร้งโกหกไปอย่างนั้นเอง เพราะไม่อยากจะดื้อดึงกับเขาอีกแล้ว แต่เอาไว้พรุ่งนี้ก่อนเถอะเธอจะแผลงฤทธิ์ให้ดู“งั้นเรียกจ๋าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นไม่ให้นอน ขอเพราะๆ นะครับ” เขาเองก็ไม่ได้พูดเพราะกับเธอเสียหน่อย“พิ้งค์ไม่..