“เอ๊ะ! ดิ้นจัง ไม่งั้นจะปล่อยให้ตกบันไดไปเลย” เขาดุอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอยังดิ้นแบบไม่พูดไม่จา“พิ้งค์ก็ไม่ได้บังคับให้คุณต้องจูงนี่คะ” เธอว่าน้ำเสียงหม่นระคนด้วยความหวานเล็กน้อย“ก็ต้องจูง เผื่อกระโดดลงบันได อีกอย่างเดี๋ยวจะพาไปดูห้องทำงาน” ห้องทำงานอย่างนั้นหรือ เธอคิดพลางมองใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์ที่เจือด้วยรอยยิ้มมุมปากจางๆ จากที่เมื่อครู่นี้ตึงเครียดเหลือเกิน“ห้องทำงานอยู่ข้างบนนี้เหรอคะ” เธอถามอย่างซื่อๆ ทว่าเขาไม่ตอบ แต่กลับจูงมือเธอขึ้นไปจนถึงด้านบนและมีแต่ประตูห้องนอนตรงด้านหน้ามันบานใหญ่ที่สุดคาดว่าจะเป็นห้องนอนของคาเมรอนหรือเปล่า “โน่นห้องทำงานคุณ” เขาใบ้หน้าไปทางเดียวกับที่เธอเข้าใจนั่นแหละ จากนั้นจึงได้เดินนำเข้าไปและเปิดประตูอย่างช้าๆ เขาเดินเข้าไปก่อน เวียงพิงค์จึงได้ตามและต้องอึ้ง ตื่นตา กับภายในที่ถูกจัดตกแต่งราวกับห้องนอนเจ้าชาย มีสัดส่วนแบ่งเป็นห้องทำงาน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น สีสันภายในห้องคือสีขาว ฟ้า และสีทองของเฟอร์นิเจอร์“เอ่อ ห้องนี้มันไม่ใช่ห้องทำงาน” เธอเอ่ยลอยๆ เพราะยังคงทึ่ง และไม่คิดว่าเขาจะมีแผนหรอก“ถูก นี่ไม่ใช่ห้องทำงาน มานี่” พูดจบเขาก็คว้าแขนเธอให้เดิน
ความเป็นชายแข็งแกร่งพร้อมทะยานสู่จุดหมาย ขึงขังตั้งตัวอยู่ชิดกับบั้นท้ายของหญิงสาวพอดี ทำให้เธอตกใจไม่น้อย ทั้งวาบหวามและหวาดกลัวกับบทรักที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น บั้นท้ายสวยๆ ถูกจับให้แนบกับกายแกร่ง เรียวขาขยับแยกจากกันโดยอัตโนมัติ ทำให้แผ่นหลังของเธอแอ่นโก้งโค้งนิดหน่อยเพื่อที่เขาจะนำพาส่วนนั้นเข้าสู้เส้นทางรักอันแสนคุ้นเคย“พิ้งค์กลัว อย่าทำแบบนี้ได้ไหมค่ะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นขณะที่เขากำลังใช้กายแกร่งถูไถกับบั้นท้ายอย่างพอใจ“อืม แล้วคุณจะรู้ว่ามันยอดเยี่ยมมาก” เขากระซิบแผ่วเบาเสียงพร่า และพยายามกดส่วนนั้นบดเบียดช่อกุหลาบนุ่ม“พิ้งค์ไม่... พิ้งค์ไม่เคย” เธอบอกตรงๆ เพราะ... ให้ตายสิจะว่าเธอไม่เคยเห็นในคลิปก็ไม่ใช่ แต่ไม่เคยเจอกับตัว “จ๋าครับ มันไม่น่ากลัวหรอกนะ ไม่คิดจะทำแบบนั้น” เมื่อเห็นว่าเธอหวาดกลัวเขาจำต้องใช้ไม้อ่อนด้วยการเรียกอย่างออดอ้อน“แต่ว่า...” เธอกำลังจะเอ่ยแต่ไม่ทันจบคำ เขาก็พลิกตัวเธอให้หันกลับไปหา พร้อมกับขยี้จูบอย่างดูดดื่มอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงเดินถอยหลังมาที่ปลายเตียงและประคองให้นอนลงไป แต่ริมฝีปากยังคงจูบแนบแน่นเหมือนเดิม “ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายไปกับผม แล้ว
“ตอบว่า... ตอบว่าอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ค่ะ มันเหมือน... คงชินแล้วสิท่า แล้วที่เจ็บเนี่ยคงเพราะไม่ได้ทำมันนานแล้วใช่ไหม” ให้ตายสิ ทำไมความคิดของเขามันสกปรกนัก ทั้งที่รู้ว่าเธอมีเขาเป็นคนแรก“ใช่ค่ะ ไม่ได้ทำมันนานแล้ว” เธอตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพื่อให้ความคิดสกปรกของเขาเป็นจริงและแน่นอนว่าเขาโกรธมาก พลางกัดกรามแน่นจนเส้นเลือดนูนเป็นสัน “งั้นคงต้องทำบ่อยๆ มันจะได้ไม่ต้องเจ็บ” พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงขยี้จูบเธออย่างรุนแรง หนักหน่วง เร่าร้อนจนปากแทบพัง ลิ้นอุ่นซ่านสอดแทรกสู่โพรงปากหวานอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอารมณ์โกรธที่อยู่ๆ ก็ถาโถมสู่จิตใจ เพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าประชดถึงเพียงนี้ทั้งที่รู้ว่าเป็นคนแรกของเธอ ทว่าครั้งนี้เวียงพิงค์ไม่ยอมให้เขารุกเร้าได้ง่ายนัก จึงพยายามพลักใสและดิ้นรนขัดขืน แต่ยิ่งต่อต้านเขาก็ยิ่งชอบเพราะมันเร่าร้อน ฉะนั้นอารมณ์บรรเจิดบังเกิดขึ้นทันที เขาจึงรีบขยับตัวขึ้นทาบทับเธอเอาไว้พร้อมกับขึงมือทั้งสองของเธอตรึงลงไปบนที่นอน สะโพกแกร่งแทรกอยู่ระหว่างขาเรียวสวย ก่อนจะขยับออกทำให้เธอต้องแยกขาออกจากกันอัตโนมัติ“อืม” เธอบิดเร้าดิ้นรนขัดขืนแต่เขากลับชอบและพอใจมาก“อย่า! พอแล้วค่ะ”
“ขอโทษค่ะท่านดาเองค่ะ” กานดา เลขานุการหน้าห้องเป็นโทรศัพท์มานั่นเอง“มีอะไร” น้ำเสียงของเขาดุเข้ม ราวกับอารมณ์ไม่ดี ลำบากคนโทรมาสิคราวนี้“คือว่า ท่านไม่ได้ เอ่อ... ผู้บริหารท่านอื่นถามถึงท่านว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่ ดาตอบไม่ได้ค่ะ”“ผมไม่เข้า เพราะถ้าเข้าคุณได้เห็นหน้าผมแล้ว มีอะไรเอาไว้คุยพรุ่งนี้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงดุเข้มขึ้น“ก็... ก็ได้ค่ะ แล้วท่านเอ่อ... คือว่าเผื่อมีคนถามดาจะได้ตอบถูกว่าท่านติดธุระหรือเปล่า”“ผมไม่สบาย ลุกไม่ไหว เพิ่งลุกจากเตียงเมื่อกี้นี้เอง” เขาแสร้งโกหกแต่เรื่องลุกจากเตียงเมื่อกี้นั้นเขาพูดความจริง“อ้าว! ท่านไม่สบาย ต้องไปหาหมอหรือเปล่าคะ” ให้ตายสิถามยาวอีกต่างหาก“ผมโอเคแล้ว แค่นี้ก็แล้วกันเดี๋ยวผมจะพักผ่อนต่อ” เขารีบตัดบททันทีเพราะไม่อยากตอบคำถาม และแน่นอนว่าเลขาฯ ของเขาก็ถามซักไซ้เหลือเกิน“ค่ะ สวัสดีค่ะท่าน” กานดารีบวางสายทันที ขณะที่คาเมรอนชักสีหน้าเรียบตึงไม่พอใจเล็กน้อย แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังรบกวนอีก คราวนี้เขารับสายโดยที่ไม่ได้มองเบอร์โทรเลย “มีอะไรอีก!” เขารับสายด้วยน้ำเสียงดุดัน“เฮ้! ฉันเอง วิล รับสายเพื่อนแบบนี้เหรอวะคาเมล” เพื่อนฝรั่งโทรมา แต่เพราะ
ภายในโรงแรมหรู ระดับห้าดาวแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คลาคล่ำไปด้วยสื่อมวลชนคับคั่ง เหล่าคนดังไฮโซและนักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทยที่ต่างตบเท้ากันมาร่วมงานประกวดการออกแบบเครื่องประดับ เพื่อเฟ้นหาดีไซเนอร์มาประดับวงการพร้อมทั้งเซ็นสัญญาร่วมงานกับบริษัทเพชรยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยอย่างบริษัท Grey&M Jewelry จำกัด(มหาชน) โดยการจัดงานครั้งนี้ เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดของประธานบริษัทคนใหม่อย่าง คาเมรอน เกรย์ มหัทธนวงศ์สกุล ผู้บริหารหนุ่มวัยสามสิบเอ็ดปี ที่เพิ่งจะมารับตำแหน่งได้ไม่นาน ด้วยความที่เป็นคนตั้งใจทำงาน เก่ง ไฟแรง จึงอยากได้ดีไซเนอร์เป็นคนรุ่นใหม่ และไฟแรงพอๆ กันมาร่วมงานด้วย เพื่อจะได้มีไอเดียร์แปลกๆ ไม่ซ้ำใครในการตีตลาดอัญมณีเมืองไทย สู่ระดับเอเชีย ไปจนถึงระดับโลก และการประกวดก็ได้ค้นพบเพชรเม็ดงามสิบคนสุดท้าย เพื่อที่จะขึ้นโชว์ผลงานจริงในค่ำคืนนี้ โดยการสวมใส่ของนางแบบแถวหน้าของเมืองไทย เวียงพิงค์ ขวัญคำ สาวน้อยเมืองเชียงใหม่ หนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขันและเข้ารอบสิบคนสุดท้าย จากการคัดเลือกกว่าหนึ่งร้อยคนผ่านผลงานการวาดภาพในรอบแรก หญิงสาวอายุยี่สิบเอ็ดปีและเพิ่งจะคว้าปริญญาหมาดๆ ทางด้านการออกแบบอ
แต่ด้วยนิสัยส่วนตัว คาเมรอนเป็นคนที่มีบุคลิก ดุ น่ากลัว น่าเกรงขาม เย็นชา บางครั้งเอาแต่ใจตัวเองและหยิ่งจองหองถือตัวเอามากๆ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงตัวได้ง่ายๆ คนที่คาเมรอนจะเรียกเข้าห้องทำงานเพื่อไปคุยงานด้วยนั้น จะมีแต่ระดับผู้จัดการขึ้นไปเท่านั้น ส่วนพนักงานตัวเล็กๆ นั้นรอรับคำสั่งจากผู้จัดการอีกต่อหนึ่ง แต่เพราะคาเมรอนเป็นคนที่มีเสน่ห์ ยิ่งเก็บตัวเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้คนทั่วไปอยากจะรู้จักและอยากเข้าถึงตัวมากยิ่งขึ้น ยิ่งได้รู้จากปากต่อปากว่าคาเมรอนหล่อเหลาระดับพระเอกฮอลลีวู้ด ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ราวกับนายแบบด้วยส่วนสูง 189 เซนติเมตร ก็ยิ่งทำให้นักข่าวอยากขอสัมภาษณ์ อยากเห็นหน้า เพราะคาเมรอนคือความลงตัวของสามเชื้อชาติ นั่นคือ ไทย – จีน - อเมริกัน เพราะเจ้าสัวหัสนัยน์เป็นลูกครึ่งไทย - จีน ส่วนมารดานั้นเป็นชาวอเมริกันแท้ๆ แต่มาอยู่เมืองไทยนานนับสามสิบปีทำให้พูดไทยได้คล่องปร๋อ คาเมรอนเป็นทายาทเพียงคนเดียวและมีองค์ประกอบบนใบหน้าครบจนน่าอิจฉา ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณที่ขาวเหมือนคนจีน ใบหน้าเกลี้ยงเกลา หล่อเหลาแบบหนุ่มอเมริกัน คิ้วหนาเข้ม ดวงตาคมกริบสีน้ำตาลอ่อน แต่เปลือกตาเล็กแบบคนจีน จมูกโด่งเป็นสั
“ลำดับที่สิบผู้เข้าประกวดคนสุดท้าย นางสาวเวียงพิงค์ ขวัญคำ กับชื่อชุดฤดูผลิรัก” พิธีกรประกาศชื่อเวียงพิงค์เป็นคนสุดท้าย หญิงสาวจึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วจึงเดินขึ้นเวทีพร้อมกับนางแบบรูปร่างสูงเพรียว ผิวสีน้ำผึ้ง แต่ไม่สามารถบดบังรัศมีความสวย ขาว น่ารักของเธอได้เลย แม้จะตัวเล็กแต่เวียงพิงค์เด่นราวกับดารา เพราะเธอสวยเหมือนดาราอยู่แล้ว จากนั้นเสียงเซ็งแซ่พูดคุยกันเรื่องหน้าตาของเวียงพิงค์ก็ฮอตพอๆ กับการวิจารณ์ความสวยของคอลเล็คชั่นที่เธอออกแบบ พร้อมกับเสียงปรบมือเกรียวกราว เวียงพิงค์ส่งยิ้มหวานโปรยให้กับแขกในงานอย่างอ่อนโยนและเขินอายในที แต่นาทีนี้เองที่เธอได้เห็นคาเมรอนเต็มๆ ใกล้ๆ และต้องรีบหุบยิ้มเพราะไม่อยากให้ใครมองว่าอ่อยประธานบริษัท แม้ในหัวใจจะเต้นตูมตามแทบจะทะลุออกมานอกอก แต่จังหวะเดียวกันนั้นคาเมรอนก็มองมาที่เวียงพิงค์ด้วยดวงตาคมกริบวาวโรจน์ สลับกับมองเครื่องประดับและนางแบบ แต่นางแบบเองก็น่าสนใจไม่น้อย และเช่นเดียวกันเมื่อกรรมการได้เห็นเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายเรียบร้อยทุกคนก็ก้มหน้าให้คะแนน เมื่อโชว์เครื่องประดับเสร็จเวียงพิงค์กลับเข้าหลังเวทีพร้อมกับนางแบบเพื่อพักผ่อนและรอฟั
ทว่าหลังจากเสร็จสิ้นการประกวด คาเมรอนไม่ได้กลับบ้าน แต่กลับขึ้นไปพักในโรงแรมเพราะมีกิจกรรมหลังจากนี้ที่เร่าร้อนกว่า เขาหมายตาเอาไว้แล้วว่าคืนนี้ใครถูกใจมากที่สุด ไม่ใช่ว่าเขาจะซื้อคอลเลคชั่นของผู้เข้าประกวดเท่านั้น แต่ผู้สวมใส่คอลเลคชั่นก็ไม่พลาดที่จะซื้อตัวมาสังเวยตัณหา เพราะผู้ชายที่เคยนอนกับผู้หญิงทุกคืนอย่างเขามันขาดไม่ได้ ยิ่งได้เห็นนางแบบแต่ละคนเซ็กซี่ ขยี้ใจ มันก็ยิ่งกระตุ้นอารมณ์บางอย่างที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายในใจให้ลุกโชนออกมาบนเตียงนอนนุ่มภายในพักสุดหรู ในความมืดสลัวนั้น มีเพียงแสงสว่างจากภายนอก สาดผ่านกระจกบานใหญ่แบบเลื่อนๆ เข้ามาถึงห้องนอนที่เปิดผ้าม่านเอาไว้ จึงทำให้มองเห็นสองร่างเปลือยไร้เสื้อผ้าของคาเมรอนและนางแบบสาวลูกครึ่ง กำลังนั่งโอบกอดคลอเคลียแนบแน่น พร้อมกับเสียงครางงึมงำในลำคออย่างพอใจ เรือนกายแสนเย้ายวนของเทย่านางแบบสุดเซ็กซี่ ซึ่งเดินแบบให้กับเครื่องเพชรของเวียงพิงค์ กำลังขยับโยกกายเร่าร้อนราวกับพายุ บดเบียดสะโพกกลมกลึงกับกายแกร่งแห่งชายชาตรีแนบแน่น ขณะที่เขาปล่อยให้เธอนั่งอยู่บนตัก พร้อมกับขยับรับจังหวะของหญิงสาวอย่างรุนแรง สองแขนแข็งแกร่งโอบกอดเธอไว้ พลางเล
“ขอโทษค่ะท่านดาเองค่ะ” กานดา เลขานุการหน้าห้องเป็นโทรศัพท์มานั่นเอง“มีอะไร” น้ำเสียงของเขาดุเข้ม ราวกับอารมณ์ไม่ดี ลำบากคนโทรมาสิคราวนี้“คือว่า ท่านไม่ได้ เอ่อ... ผู้บริหารท่านอื่นถามถึงท่านว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่ ดาตอบไม่ได้ค่ะ”“ผมไม่เข้า เพราะถ้าเข้าคุณได้เห็นหน้าผมแล้ว มีอะไรเอาไว้คุยพรุ่งนี้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงดุเข้มขึ้น“ก็... ก็ได้ค่ะ แล้วท่านเอ่อ... คือว่าเผื่อมีคนถามดาจะได้ตอบถูกว่าท่านติดธุระหรือเปล่า”“ผมไม่สบาย ลุกไม่ไหว เพิ่งลุกจากเตียงเมื่อกี้นี้เอง” เขาแสร้งโกหกแต่เรื่องลุกจากเตียงเมื่อกี้นั้นเขาพูดความจริง“อ้าว! ท่านไม่สบาย ต้องไปหาหมอหรือเปล่าคะ” ให้ตายสิถามยาวอีกต่างหาก“ผมโอเคแล้ว แค่นี้ก็แล้วกันเดี๋ยวผมจะพักผ่อนต่อ” เขารีบตัดบททันทีเพราะไม่อยากตอบคำถาม และแน่นอนว่าเลขาฯ ของเขาก็ถามซักไซ้เหลือเกิน“ค่ะ สวัสดีค่ะท่าน” กานดารีบวางสายทันที ขณะที่คาเมรอนชักสีหน้าเรียบตึงไม่พอใจเล็กน้อย แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังรบกวนอีก คราวนี้เขารับสายโดยที่ไม่ได้มองเบอร์โทรเลย “มีอะไรอีก!” เขารับสายด้วยน้ำเสียงดุดัน“เฮ้! ฉันเอง วิล รับสายเพื่อนแบบนี้เหรอวะคาเมล” เพื่อนฝรั่งโทรมา แต่เพราะ
“ตอบว่า... ตอบว่าอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ค่ะ มันเหมือน... คงชินแล้วสิท่า แล้วที่เจ็บเนี่ยคงเพราะไม่ได้ทำมันนานแล้วใช่ไหม” ให้ตายสิ ทำไมความคิดของเขามันสกปรกนัก ทั้งที่รู้ว่าเธอมีเขาเป็นคนแรก“ใช่ค่ะ ไม่ได้ทำมันนานแล้ว” เธอตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพื่อให้ความคิดสกปรกของเขาเป็นจริงและแน่นอนว่าเขาโกรธมาก พลางกัดกรามแน่นจนเส้นเลือดนูนเป็นสัน “งั้นคงต้องทำบ่อยๆ มันจะได้ไม่ต้องเจ็บ” พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงขยี้จูบเธออย่างรุนแรง หนักหน่วง เร่าร้อนจนปากแทบพัง ลิ้นอุ่นซ่านสอดแทรกสู่โพรงปากหวานอย่างรวดเร็ว พร้อมกับอารมณ์โกรธที่อยู่ๆ ก็ถาโถมสู่จิตใจ เพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าประชดถึงเพียงนี้ทั้งที่รู้ว่าเป็นคนแรกของเธอ ทว่าครั้งนี้เวียงพิงค์ไม่ยอมให้เขารุกเร้าได้ง่ายนัก จึงพยายามพลักใสและดิ้นรนขัดขืน แต่ยิ่งต่อต้านเขาก็ยิ่งชอบเพราะมันเร่าร้อน ฉะนั้นอารมณ์บรรเจิดบังเกิดขึ้นทันที เขาจึงรีบขยับตัวขึ้นทาบทับเธอเอาไว้พร้อมกับขึงมือทั้งสองของเธอตรึงลงไปบนที่นอน สะโพกแกร่งแทรกอยู่ระหว่างขาเรียวสวย ก่อนจะขยับออกทำให้เธอต้องแยกขาออกจากกันอัตโนมัติ“อืม” เธอบิดเร้าดิ้นรนขัดขืนแต่เขากลับชอบและพอใจมาก“อย่า! พอแล้วค่ะ”
ความเป็นชายแข็งแกร่งพร้อมทะยานสู่จุดหมาย ขึงขังตั้งตัวอยู่ชิดกับบั้นท้ายของหญิงสาวพอดี ทำให้เธอตกใจไม่น้อย ทั้งวาบหวามและหวาดกลัวกับบทรักที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น บั้นท้ายสวยๆ ถูกจับให้แนบกับกายแกร่ง เรียวขาขยับแยกจากกันโดยอัตโนมัติ ทำให้แผ่นหลังของเธอแอ่นโก้งโค้งนิดหน่อยเพื่อที่เขาจะนำพาส่วนนั้นเข้าสู้เส้นทางรักอันแสนคุ้นเคย“พิ้งค์กลัว อย่าทำแบบนี้ได้ไหมค่ะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นขณะที่เขากำลังใช้กายแกร่งถูไถกับบั้นท้ายอย่างพอใจ“อืม แล้วคุณจะรู้ว่ามันยอดเยี่ยมมาก” เขากระซิบแผ่วเบาเสียงพร่า และพยายามกดส่วนนั้นบดเบียดช่อกุหลาบนุ่ม“พิ้งค์ไม่... พิ้งค์ไม่เคย” เธอบอกตรงๆ เพราะ... ให้ตายสิจะว่าเธอไม่เคยเห็นในคลิปก็ไม่ใช่ แต่ไม่เคยเจอกับตัว “จ๋าครับ มันไม่น่ากลัวหรอกนะ ไม่คิดจะทำแบบนั้น” เมื่อเห็นว่าเธอหวาดกลัวเขาจำต้องใช้ไม้อ่อนด้วยการเรียกอย่างออดอ้อน“แต่ว่า...” เธอกำลังจะเอ่ยแต่ไม่ทันจบคำ เขาก็พลิกตัวเธอให้หันกลับไปหา พร้อมกับขยี้จูบอย่างดูดดื่มอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงเดินถอยหลังมาที่ปลายเตียงและประคองให้นอนลงไป แต่ริมฝีปากยังคงจูบแนบแน่นเหมือนเดิม “ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายไปกับผม แล้ว
“เอ๊ะ! ดิ้นจัง ไม่งั้นจะปล่อยให้ตกบันไดไปเลย” เขาดุอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอยังดิ้นแบบไม่พูดไม่จา“พิ้งค์ก็ไม่ได้บังคับให้คุณต้องจูงนี่คะ” เธอว่าน้ำเสียงหม่นระคนด้วยความหวานเล็กน้อย“ก็ต้องจูง เผื่อกระโดดลงบันได อีกอย่างเดี๋ยวจะพาไปดูห้องทำงาน” ห้องทำงานอย่างนั้นหรือ เธอคิดพลางมองใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์ที่เจือด้วยรอยยิ้มมุมปากจางๆ จากที่เมื่อครู่นี้ตึงเครียดเหลือเกิน“ห้องทำงานอยู่ข้างบนนี้เหรอคะ” เธอถามอย่างซื่อๆ ทว่าเขาไม่ตอบ แต่กลับจูงมือเธอขึ้นไปจนถึงด้านบนและมีแต่ประตูห้องนอนตรงด้านหน้ามันบานใหญ่ที่สุดคาดว่าจะเป็นห้องนอนของคาเมรอนหรือเปล่า “โน่นห้องทำงานคุณ” เขาใบ้หน้าไปทางเดียวกับที่เธอเข้าใจนั่นแหละ จากนั้นจึงได้เดินนำเข้าไปและเปิดประตูอย่างช้าๆ เขาเดินเข้าไปก่อน เวียงพิงค์จึงได้ตามและต้องอึ้ง ตื่นตา กับภายในที่ถูกจัดตกแต่งราวกับห้องนอนเจ้าชาย มีสัดส่วนแบ่งเป็นห้องทำงาน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น สีสันภายในห้องคือสีขาว ฟ้า และสีทองของเฟอร์นิเจอร์“เอ่อ ห้องนี้มันไม่ใช่ห้องทำงาน” เธอเอ่ยลอยๆ เพราะยังคงทึ่ง และไม่คิดว่าเขาจะมีแผนหรอก“ถูก นี่ไม่ใช่ห้องทำงาน มานี่” พูดจบเขาก็คว้าแขนเธอให้เดิน
“อืม” เวียงพิงค์สะดุ้งและเสียวแปลบๆ จนต้องรีบหนีบเข้าหากัน ทว่ามือหนาของเขากลับสร้างความเสียวซ่านให้กับเธอด้วยการบดเบียดฝ่ามือและนิ้วแกร่งกับช่อกุหลาบนุ่มอย่างหนักหน่วงมีชั้นเชิง ทำให้ร่างบางสะท้านไปทั้งกายและเผลอขยับขาออกจากกัน คาเมรอนได้ใจ ด้วยการขยับริมฝีปากออกมาจูบซุกไซ้ไปตามซอกคอ พร้อมกับมือที่กำลังถอดกางเกงชั้นในเธอลงมาไว้ที่ใต้สะโพก แล้วจึงเคลื่อนฝ่ามือลูบไล้เนื้อนุ่มอวบอย่างสุดจะห้ามใจ “อ่า... คุณ... พอแล้วค่ะ นี่มันบนรถ” เธอห้ามปรามเสียงพร่าเมื่อปากเป็นอิสระแต่กายส่วนล่างถูกจู่โจมอย่างหนัก“บนรถผมก็ทำได้ ถ้าเรามีเวลา” เขาพูดพลางซุกไซ้ใบหน้าฝังไปตามเนินอกอวบ พร้อมกับมือหนากำลังบดเบียดเค้นคลึงช่อกุหลาบหวานที่กำลังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำอุ่นๆ ไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ “ได้โปรด พิ้งค์กลัวคนได้ยิน” เธอกระซิบแผ่วเบาอีกครั้ง พลางแอ่นกายรับสัมผัสจากฝ่ามือร้อน“ไม่ได้ยินหรอกน่า แปบเดียว ผมทำเร็ว” เขากระซิบเช่นเดียวกันและไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าใครจะได้ยินหรือเปล่า “แต่มัน อืม...” เธอเผลอครางออกมาด้วยความลืมตัวเมื่อเขาสอดแทรกนิ้วแกร่งเข้าสู่เส้นทางรักที่ไหลลื่น ทว่ามันกลับโอบรัดนิ้วเขาเอาไว้ พร้อมกับ
“คุณ เราลงลิฟต์คนละครั้งได้หรือเปล่าคะ” เวียงพิงค์หันมากระซิบถามเขาเบาๆ ทว่าเขากลับปรายตามองด้วยแววตาเฉยชา นั่นคงหมายความว่าไม่ได้สินะ เมื่อได้คำตอบทางสายตาเธอจึงต้องเดินก้มหน้าต่อไป จนลิฟต์เปิดออกและทุกคนลงไปพร้อมกัน พอลงมาถึงชั้นล่างคาเมรอนจึงให้พีระเป็นคนไปจัดการเช็คเอ้าท์ให้เฉพาะห้องที่คาเมรอนพักเท่านั้นเพราะห้องอื่นๆ นั้นจัดการเรียบร้อยแล้วรวมทั้งค่าจัดงาน “พิ้งค์ขอไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าตรงรีเซฟชั่นได้หรือเปล่าคะ พี่รัชฝากเอาไว้ให้น่ะค่ะ” เวียงพิงค์เอ่ยกับคาเมรอนด้วยน้ำเสียงแสนเบาหวาดหวั่นเพราะเขากลายเป็นคนนิ่งเฉยไปในทันที เมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก “เดี๋ยวให้การ์ดไปเอาให้” คาเมรอนตอบเสียงเรียบขณะที่กำลังจูงเธอมานั่งรอที่โซฟารับแขกของโรงแรม จากนั้นจึงหันไปบอกบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งไปเอาให้ “ไปเอากระเป๋าให้คุณพิ้งค์ทีไป บอกว่ามีคนฝากไว้ให้” คาเมรอนสั่งเสียงเรียบ “ครับผม” บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งรับคำก่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์โรงแรม “ความจริงพิ้งค์ไปเอาเองก็ได้ค่ะ” ดูเหมือนว่าเธอกำลังพยายามใช้น้ำเสียงเรียบๆ ข่มเขาสินะ คงไม่รู้ตัวว่าเสียงของเธอมันหวานเหมือนลูกแมว “ไม่ได้! ผู้หญิงข
“อุ้ย! ว้าย!” หญิงสาวสะดุ้งและร้องอุทานด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆ วงแขนของเขาก็ตวัดรัดรอบเอวแล้วรั้งเข้าไปสวมกอดจากทางด้านหลัง“นี่ พิ้งค์บอกให้ไปอาบน้ำ” เธอว่าและดิ้นจนสุดแรงแต่เขาก็กอดรัดเสียแน่น“ผมต่างหากที่สมควรจะสั่งคุณ และอย่างที่คุณบอก ทำให้คุ้มซิ” เขาพูดและกัดกรามแน่นพลางเอื้อมมือลูบไล้ไปตามร่างกายของเธอผ่านชุดคลุมพร้อมกับซุกไซ้ใบหน้าลงไปตรงบริเวณซอกคอและดูดเม้มหนักๆ “นี่! หยุดนะ! คนไม่รักษาคำพูด” เธอว่าพลางวาดฝ่ามือหนักๆ ลงไปตามแขนของเขา แถมด้วยการทุบหนักๆเพียะ! เพียะ! เพียะ! เธอฟาดที่หลังมือของเขาไม่ยั้งแต่มือหนาแทบไม่สะทกสะท้าน“ผมไม่รักษาคำพูดตรงไหน” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้“ก็ตรงนี้แหละ อืม ปล่อย คน... บ้า...” “ตีไปเถอะผมไม่เจ็บหรอก เพราะผมกำลังจะได้ขึ้นสวรรค์แทนความเจ็บปวด” พูดจบเขาก็ถลกชายเสื้อคลุมเธอขึ้นและสอดแทรกฝ่ามือเข้าไปล้วงลึกถึงด้านใน และก็พบกับความว่างเปล่าที่นวลเนียนน่าสัมผัส“คุณ! ไม่เอา... พอก่อน ให้พิ้งค์แต่งตัวนะคะ” เธอพยายามยกขาขึ้นหนีบกันเอาไว้ เพื่อไม่ให้มือฝ่าหนาเข้าครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของต่อส่วนนั้น“จะแต่งตัวไปไหน ในเมื่อผมบอกว่าพักงานคุ
“สวัสดีค่ะพี่รัช ขอโทษค่ะที่ทำให้รอสายนาน” เวียงพิงค์กดรับสายและทักทายอย่างสุภาพพลางปรายตามองคนใจร้ายที่ยืนจับชายผ้าห่มรอฟังเธอพูด“ไม่เป็นไรจ้ะ พิ้งค์เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง พี่เป็นห่วงนอนไม่หลับเลยกลัวท่านประธานจะไม่พอใจเอามากๆ” น้ำเสียงปลายสายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“คือ...ใช่ค่ะ ท่านก็...” เวียงพิงค์ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรดีว่าท่านประธานไม่พอใจแค่ไหน “ท่านดุมากไหมพิ้งค์ ฮืม” พิรัชถามน้ำเสียงหม่น“ก็... ค่ะ... ดุ... ดุเหมือน... ดุเหมือนหมา! กัดมั่วไปหมด” คำว่าดุเหมือนหมาเธอตั้งใจหันมาว่าให้เขาชัดๆ แถมยังลั้กคิ้วหลิ่วตาใส่ จนเขาขึงตาจ้องมองเธอราวกับจะเอาเรื่องเลยทีเดียว“แล้วพิ้งค์กำลังมาทำงานหรือเปล่า” “เอ่อ พี่รัช... คือพิ้งค์ พิ้งค์คงยังไปทำงานไม่ได้ในตอนนี้ พิ้งค์...” “ว่าไงนะ! เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า นี่โดนดุนิดหน่อยถึงกับไม่อยากมาทำงานเลยเหรอ ไม่เอาน่าพี่รออยู่นะ” “เปล่าค่ะพี่รัช เขาสั่งพักงานพิ้งค์หนึ่งอาทิตย์ เพื่อทบทวนตัวเอง”“พักงาน! ให้ตายสิ โอ้ยพิ้งค์พี่ขอโทษที่ทำให้เป็นแบบนี้ แล้วจะทำไงละจ้ะ หืม”“พี่รัชไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวพิ้งค์ก็จะไปทำงานตามเดิม เจอกันอาทิตย์หน้านะค
“เห็นผู้หญิงไร้ค่า และคุณกำลังเห็นพิ้งค์เป็นแบบนั้น ไร้ค่าใต้อานัสของคุณและเงินคุณ” “รู้ไว้ก็ดี และทำให้ดีที่สุดจำไว้” พูดจบเขาก็ก้มลงจูบเธอเสียดื้อๆ จนแทบตั้งตัวไม่ทัน“อืม” เพราะความตกใจทำให้เวียงพิงค์ร้องอู้อี้และดิ้นนิดหน่อย แต่เมื่อเขามอบความอ่อนโยนให้เธอจึงหยุดดิ้นและจูบตอบเขาตามอารมณ์ที่กำลังก่อตัว อยากเกลียดตัวเองที่กำลังหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้ “พอแล้วค่ะ พอแล้ว” เธอผลักเขาออกและห้ามเบาๆ ก่อนจะเมินหน้าหนี“น้ำเสียงไม่หนักแน่น” เขาบอกอย่างเป็นต่อและยิ้มบางๆ“คุณ... จูบบ่อยเกินไปแล้ว ปากพิ้งค์แทบจะ...” เธอจำเป็นต้องบอกความจริงและอยากรู้เหลือเกินว่าเขาทำกับคนอื่นแบบนี้บ้างหรือไม่ แต่คำตอบอาจจะทำให้เธอเจ็บปวดก็เป็นได้ “ก็ปากมีไว้จูบนี่ ฮืม หรืออยากให้ผมทำอย่างอื่น เอาอีกไหมจ๊ะจ๋า” ทำไมคำว่า จ๊ะจ๋ะของเขามันทำให้เธอเขินอายหน้าแดงขนาดนี้ บ้าจัง“ไม่ ไม่เอาแล้ว ง่วงแล้วค่ะ” เธอแสร้งโกหกไปอย่างนั้นเอง เพราะไม่อยากจะดื้อดึงกับเขาอีกแล้ว แต่เอาไว้พรุ่งนี้ก่อนเถอะเธอจะแผลงฤทธิ์ให้ดู“งั้นเรียกจ๋าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นไม่ให้นอน ขอเพราะๆ นะครับ” เขาเองก็ไม่ได้พูดเพราะกับเธอเสียหน่อย“พิ้งค์ไม่..