รอยยิ้มบนใบหน้าของหูเม่ยเอ๋อร์เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆเธอปรบมือ จากนั้นหญิงสาวในชุดกี่เพ้าหลายคนก็ถือขวดเหล้าเดินเข้ามาเซี่ยซิ่วซิ่วหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยทันทีที่เห็นขวดเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ทั้งหมดเป็นเหล้าขาวและความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่ระบุไว้ข้างขวดคือห้าสิบสองดีกรีครั้งเดียวนำเข้ามาถึงห้าสิบขวดหนึ่งขวดหนักครึ่งกิโลกรัมเพียงแค่มองการต่อสู้ครั้งนี้ เซี่ยซิ่วซิ่วก็รู้สึกเหมือนจะเมาเข้าให้แล้วหูเม่ยเอ๋อร์มีรอยยิ้มบนใบหน้า “นายน้อยเย่ เราอย่าใช้แก้วเลย ดื่มจากขวดกันเลยดีกว่า เริ่มที่สามขวดก่อนเป็นไงคะ?”“ได้สิ” เย่ซิวตอบตกลงทันทีหรูฮว่ารีบเปิดเหล้าหกขวดอย่างรวดเร็วด้านหน้าของทั้งสองมีเหล้าวางอยู่คนละสามขวด “ดื่มนี้ถือเป็นเกียรติ!”หูเม่ยเอ๋อร์หยิบขวดเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มแม้จะดื่มจากขวด แต่ท่วงท่าของเธอก็ยังคงสง่างามเหล้าขาวห้าสิบสองดีกรีถูกเธอดื่มหมดในเวลาไม่ถึงยี่สิบวินาทีสีหน้าของเธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เลยราวกับการดื่มน้ำเปล่าเซี่ยซิ่วซิ่วกำมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างที่วางอยู่บนเข่าแน่นโดยไม่รู้ตัวหูเม่ยเอ๋อร์แข็งแกร่งมากจนเธออดไม่ได้ที่
เย่ซิวมองดูท่าทางของหูเม่ยเอ๋อร์ และเตือนเธอด้วยความหวังดีว่า “คุณเกือบจะถึงขีดสุดแล้ว ยอมแพ้เถอะ”หูเม่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรง ท่าทางน่าสงสาร “ไม่มีทาง ฉันจะยอมแพ้ไม่ได้”พูดจบเธอก็หยิบเหล้าขาวขึ้นมาอีกหนึ่งขวดก่อนจะกระดกเข้าปาก มันหกออกมาไม่น้อยเธอใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะดื่มจนหมดขวดเย่ซิวส่ายหัว ในเมื่อผู้หญิงคนนี้เป็นประเภทไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา อย่างนั้นจะมาโทษเขาไม่ได้เขาหยิบเหล้าขาวขึ้นมาดื่มติดต่อกันห้าขวดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าทันทีที่ดื่มเข้าไป เขาก็ใช้กำลังภายในสลายมัน ขับมันออกผ่านรูขุมขนของร่างกายจนหมดสิ้น หรูฮว่าและเซี่ยซิ่วซิ่วต่างชาไปทั้งตัวความแข็งแกร่งของเย่ซิวนั้นน่าตกใจมากแอลกอฮอล์ปริมาณมากขนาดนี้ สามารถล้มเสือได้หลายตัวเลยแต่เย่ซิวกลับยังคงดูปกติหูเม่ยเอ๋อร์ตกอยู่ในความสิ้นหวัง เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเสียใจและไม่อยากจะเชื่อนี่เป็นด้านที่เธอถนัดที่สุด แต่กลับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงจนมองไม่เห็นโอกาสชนะ“ฉัน…ยอมแพ้แล้ว…”หูเม่ยเอ๋อร์พูดขึ้นอย่างยากลำบากพูดจบเธอก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หรูฮว่าอุทานด้วยความตกใจเธออุ้มหูเม่ยเอ๋อร์ขึ้นมาทันที ก่
“พี่คะ พี่มีเงินพอไหม ถ้าไม่พอฉันยังมีอยู่หลายสิบล้าน พี่เอาไปใช้ก่อนได้นะคะ”“ไม่ต้อง ฉันจะเอาเงินของเธอมาใช้ได้ยังไง?” หูเม่ยเอ๋อร์ส่ายหัวแล้วลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก “มันก็แค่เพิ่มมาสองร้อยล้านหยวนเท่านั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร แค่กำไรในอนาคตลดลงเล็กน้อยเท่านั้น”หรูฮว่ายื่นแก้วน้ำอุ่นให้เธอเม่ยเอ๋อร์รับมันไปจิบ แล้วพูดต่อ“ชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าวรยุทธ์ของเขาจะสูงกว่าฉันด้วยซ้ำ”หรูฮว่าพยักหน้า เรื่องนี้เธอก็พึ่งคิดได้เมื่อครู่นี้ การที่สามารถดื่มเหล้าขาวได้หลายสิบขวดแต่ยังคงไม่เป็นอะไร ก็น่าจะมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น“พี่คะ พี่ว่าเขาเป็นจอมยุทธระดับหกหรือเปล่าคะ? สูงกว่าพี่หนึ่งระดับ!”หูเม่ยเอ๋อร์คิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาน่าจะเป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับห้าเหมือนกัน เพียงแต่ทักษะที่เขาฝึกฝนนั้นอาจสูงกว่า ดังนั้นกำลังภายในของเขาจึงแข็งแกร่งกว่าฉันมาก”พอคิดดูแล้วหรูฮว่าคิดว่าก็จริง “ที่พี่พูดก็มีเหตุผล เขายังเด็กมาก ถ้าเป็นจอมยุทธระดับหกก็เท่ากับเป็นปรมาจารย์ระดับตำนานแล้ว มันคงจะน่ากลัวน่าดู”หูเม่
เย่ซิวแสดงความจริงใจออกมาแล้ว หูเม่ยเอ๋อร์ไม่มีทางเพิกเฉยได้ เธอจึงตอบตกลงทันที “ตกลงค่ะ เมื่อถึงตอนนั้นก็ส่งข้อความมาบอกฉันได้เลย”“ตกลงตามนั้น” เย่ซิวลุกขึ้นยืน “งั้นเราก็ขอตัวกลับก่อน”“เอ่อ เดี๋ยวก่อนสิคะ” หูเม่ยเอ๋อร์มองเย่ซิวด้วยใบหน้าน้อยใจ “พูดคุยกันมาตั้งนาน คุณไม่คิดจะทิ้งช่องทางการติดต่อไว้เลยเหรอคะ”เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หูเม่ยเอ๋อร์มีความสงสัยในเสน่ห์ของตัวเองแม้ว่าเย่ซิวจะดูไม่เหมือนคนธรรมดา แต่เขาก็ยังคงเป็นผู้ชายและแม้ว่าเขาจะไม่แสดงสีหน้าหลงใหลออกมาเลยก็ตาม แถมเขาไม่คิดจะขอหมายเลขโทรศัพท์ของเธอไว้เลยด้วยมันจะมากเกินไปแล้ว สายตาแปลก ๆ แวบขึ้นในดวงตาของเซี่ยซิ่วซิ่วเท่าที่เธอรู้หูเม่ยเอ๋อร์ไม่เคยขอช่องทางการติดต่อของผู้ชายคนไหนเลยสิ่งนี้ทำให้เซี่ยซิ่วซิ่วอดระแวงไม่ได้ด้วยเสน่ห์ของหูเม่ยเอ๋อร์ หากเธอสนใจผู้ชายคนไหนขึ้นมา อีกฝ่ายก็ยากที่จะต้านทานโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีเสน่ห์อย่างหูเม่ยเอ๋อร์ เธอสามารถทำให้ใคร ๆ หลงรักเธอได้ในทุกการเคลื่อนไหวเย่ซิวยิ้มและให้เบอร์โทรศัพท์ของเขาแก่เธอจากนั้นหูเม่ยเอ๋อร์และหรูฮว่าก็ออกไปส่งเขาที่นอกคลับเมื่อเห็นว่าทั้งสอง
พวกเธอทุกคนสวมกระโปรงสั้นจิ๋ว แต่งหน้าจัดและทำสีผมแสบตา มองแวบแรกก็รู้ว่าเป็นพวกสาวอันธพาลพวกเธอดึงดูดผู้ชายที่เดินผ่านไปมาให้หยุดมองแม้ว่าพวกเธอจะดูแหวกแนวไปบ้าง แต่ก็ยังดูอ่อนเยาว์และสวยงาม ขาเรียวยาว และผิวขาวราวกับหิมะ ดูแล้วน่าหลงใหลชายคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปจีบ แต่ก็ถูกหญิงสาวตบ“ไสหัวไป คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้ามาจีบเพื่อน ๆ ของฉัน!”ชายคนที่ถูกตบหน้ารู้สึกอับอายขายขี้หน้าอย่างยิ่ง เขาตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ “นางเด็กนี่ รนหาที่ตายเองนะ เชื่อไหมว่าฉันสั่งให้คนมาฆ่าเธอได้!”“ก็มาสิ ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายต้องกลัว ฉันเซี่ยชิงชิง หลานสาวประธานต้าเซี่ยกรุ๊ป มาแก้แค้นฉันได้ทุกเมื่อ!”ประโยคนี้ทำให้ชายคนนั้นกลัวจนถอยไปทันที และมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตกใจ“อะไรนะ? เธอเป็นหลานสาวของประธานเซี่ยกรุ๊ปอย่างงั้นเหรอ?!”ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตกใจ“ใช่!” เซี่ยชิงชิงยืดอกตอบ “ถ้าไม่พอใจ ก็มาดวลกับฉันสิ ดูว่าฉันจะกลัวนายไหม?!”กลุ่มเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังส่งเสียงเชียร์“พี่ชิงชิงเท่สุด ๆ ไปเลย!”“พี่ชิงชิงทรงพลังที่สุด!”“ฮ่าฮ่า ดูตาลุงนั่นสิ กลัวไปแล้ว แค
เย่ซิวเปิดประตูห้องน้ำออกมาตอนนี้เขาไม่สบอารมณ์เอามาก ๆ เขาสัมผัสได้ตั้งแต่ที่เซี่ยชิงชิงเปิดประตูเข้ามาแล้ว เพียงแต่เขาเพิ่งอาบน้ำไปได้ครึ่งทาง ก็เลยไม่ได้ออกมาข้างนอกในทันทีเมื่อเซี่ยชิงชิงเห็นเย่ซิว เธอก็ตกตะลึง ก่อนที่ความโกรธจะแผดเผา “ไอ้คนบ้านนอก กล้าดียังไงมาขโมยของในอะพาร์ตเมนต์ของฉัน แถมยังกล้าใช้ห้องน้ำของฉันอาบน้ำอีก!”เย่ซิวพูดอย่างเย็นชา “ออกไป ที่นี่คือบ้านของฉัน!”เซี่ยชิงชิงหัวเราะด้วยความโกรธ “นายนี่เองไอ้บ้านนอก นายมันไร้ยางอายถึงขีดสุดจริง ๆ ที่นี่คือบ้านของพี่สาวฉัน ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก!”“พี่สาวของเธอขายที่นี่ให้ฉันแล้ว”แน่นอนว่าเซี่ยชิงชิงไม่เชื่อคำพูดเหล่านี้ “คนจนแบบนายเนี่ยนะ แม้ว่าจะให้เวลานายห้าร้อยปีก็ไม่มีทางหาเงินซื้อห้องนี้ได้!”เมื่อกลุ่มเด็กสาวเห็นสถานการณ์นี้ พวกเธอก็ช่วยเซี่ยชิงชิงโจมตีเย่ซิวทันที“ไอ้หนู นายกล้ามาก!”“แอบเข้าไปในห้องของพี่ชิงชิง นอกจากจะไม่ยอมรับผิดแล้วยังกล้าผยองแบบนี้อีก!”“ให้โอกาสนายคุกเข่าแล้วเลียเท้าฉัน บางทีหากฉันอารมณ์ดีอาจปล่อยนายไปก็ได้!”......“พอได้หรือยัง?!” ใบหน้าของเย่ซิวเย็นชา “บอกแล้วไงว่าฉันซื
มีรถมอเตอร์ไซต์ทั้งหมดห้าสิบหรือหกสิบคันการรวมตัวครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก มีคนทั้งหมดราว ๆ หนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดสิบคนเมื่อเห็นพวกของตัวเองมาถึง เซี่ยชิงชิงและคนอื่น ๆ ก็ยืดหลังเยาะเย้ยเย่ซิว“นายเสร็จแน่!”“วันนี้อย่างน้อยขาทั้งสองข้างของนายก็ต้องเป็นอัมพาต!”“ไอ้โง่เอ๊ย กล้าที่จะไม่โทรเรียกพวกมา คิดว่าตัวเองเป็นจอมยุทธในสมัยโบราณรึไง!”…… “พี่ชิงชิง พวกเรามาแล้ว!”“หมอนี่เหรอที่กล้ารังแกพวกพี่?”เหล่าอันธพาลลงจากรถทีละคน หยิบท่อเหล็ก ประแจและสิ่งอื่น ๆ ออกมา เอียงหัวพลางคีบบุหรี่ไว้ในปาก และมองเย่ซิวอย่างเย็นชาเซี่ยชิงชิงพูดอย่างดุเดือด “จัดการซะ ตีมันให้หนักๆ!”อันธพาลผมสีเขียวคนหนึ่งควงท่อเหล็กในมือ ท่าทางโหดเหี้ยม ก่อนจะฟาดไปที่ศีรษะของเย่ซิวไม่มีทีท่าว่าจะออมแรงแม้แต่น้อยคนปกติทั่วไปหากถูกทุบแบบนี้ หากไม่ตายก็พิการแสงเย็นวาบในดวงตาเย่ซิวคนพวกนี้หยิ่งผยองมากดูจากท่าทางนี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำแบบนี้แน่นอนผู้คนที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างส่งเสียงเชียร์อย่างชอบใจ ราวกับว่ากำลังดูละครสนุก ๆแต่ครู่ต่อมา ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงเย่ซิวจับท่อเหล็กไว้อย่างมั่นคง
ภายใต้การถูกโจมตีสองครั้ง อันธพาลเหล่านี้ก็ไม่ผยองอีกต่อไป หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนถึงขีดสุดต่อไปเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาคิดจะทำชั่ว ภาพวันนี้ก็จะปรากฏขึ้นในใจและทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะทำเรื่องเลวร้ายอีกจากนั้นเย่ซิวก็เดินเข้าไปหาเซี่ยชิงชิงและคนอื่น ๆพวกเธอเห็นแล้วว่าเย่ซิวนั้นน่ากลัวเพียงใด เขาสามารถเอาชนะอันธพาลกว่าร้อยคนได้ต่อหน้าพวกเธอโดยที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เลยถ้าพวกเธอไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ฆ่าให้ตายยังไงก็คงจะไม่มีวันเชื่อ “นาย...อย่าเข้ามานะ...ไปให้พ้น...ถ้านายกล้าเข้ามาอีก ฉันจะตะโกนแน่” เซี่ยชิงชิงถอยหลังไม่หยุด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเย่ซิวเดินเข้าไปหาพวกเธออย่างไม่รีบร้อน และพวกเธอก็รู้สึกกดดันในทุกย่างก้าวของเขาเซี่ยชิงชิงกรีดร้องเสียงดัง “ช่วยด้วยค่ะ มีคนคิดจะทำมิดีมิร้ายพวกเรา!”แต่น่าเสียดายที่สายตาของทุกคนกระจ่างชัดเจนคุณลุงและคุณป้าหลายคนในบริเวณใกล้เคียงต่างก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เมื่อได้ยินเซี่ยชิงชิงบิดเบือนความจริงจึงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นทันที“เด็กน้อยพวกนี้ไร้คุณธรรมจริง ๆ”“ใช่ ตัวเองเป็นฝ
ทั้งความรู้ที่เคยได้รับรวมถึงทักษะการกลั่นโอสถต่าง ๆ ก็ควรจะเหนือกว่าตัวเขาแบบทิ้งห่างสิแต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังห่างชั้นจากเขาอยู่เยอะเลย?เย่ซิวยังคิดว่าตัวเองอาจจะคิดไปเองจึงตั้งใจดูต่ออีกสักพักจนสุดท้ายก็มั่นใจเต็มร้อยว่าทักษะการกลั่นโอสถของผู้หญิงคนนี้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเขาด้วยซ้ำแค่ฝีมือระดับนี้ก็ยังยืนหยัดอยู่ในโลกของผู้ฝึกตนได้ด้วยเหรอ?หรือโลกของผู้ฝึกตนมันหากินง่ายขนาดนั้นเลย?ความคิดสารพัดผุดขึ้นมาในหัวเย่ซิว แต่สีหน้าเขาก็ยังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาเลยหนึ่งชั่วโมงผ่านไป โอสถก็กลั่นเสร็จเรียบร้อยรั่วอวิ๋นเปิดฝาเตาก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว ๆ หนึ่งเตาได้โอสถมายี่สิบเจ็ดเม็ด ระดับกลางหกเม็ด ถือว่าสมบูรณ์แบบ”จากนั้นเธอก็หันไปมองเย่ซิวแม้ใบหน้าจะดูเรียบเฉย แต่เย่ซิวก็พอจะจับความหมายแฝงได้ไม่ยากก็แค่รอให้เขาชมเธอนั่นแหละหากพูดตรง ๆ การกลั่นโอสถของรั่วอวิ๋นรอบนี้ถือว่าสอบตกสำหรับเย่ซิว เพราะวัตถุดิบที่ใช้ไปทั้งหมด ถ้าเป็นเขากลั่นเองอย่างน้อยจะได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวแถมยังเป็นโอสถระดับสูงทั้งหมดด้วยซ้ำเมื่อเห็นโ
เย่ซิวรู้สึกหมดคำจะพูดทำไมทุกทีที่เขากำลังจะเข้าสู่จุดสำคัญ ผู้หญิงคนนี้ต้องโผล่มาขัดจังหวะตลอดเลยนะเขาไม่อยากเสียเวลาเถียงจึงเลือกกลืนเม็ดยาลงไปตรง ๆจากนั้นก็เริ่มเดินกำลังเดินกำลังภายในเพื่อกลั่นพลังโอสถพลังโอสถอันหนักแน่นและทรงพลังแผ่กระจายออกมาภายในร่างเขาราวกับภูเขาไฟขนาดยักษ์ระเบิดออกในพริบตาสำหรับเย่ซิว ระดับนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือรากฐานพลังของเขาลึกเกินไปจนต้องใช้โอสถไปถึงห้าเม็ดถึงจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตได้สำเร็จพลังวิญญาณในร่างกลายเป็นของเหลวหนืดเหนียวสุดขีด วิญญาณก่อกำเนิดก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่าทั้งพลังบำเพ็ญและความสามารถในการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นพร้อมกันสิบเท่าเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันรุนแรงที่แผ่กระจายอยู่ทั้งภายนอกและภายใน เย่ซิวก็รู้สึกว่าดวงตาตัวเองสว่างวาบต่อให้ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักอีกครั้ง แม้จะยังไม่ใช่คู่มือที่แท้จริง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไม่มีทางสู้เหมือนเมื่อก่อนแล้วอย่างน้อยถ้าคิดจะหนีก็หนีรอดแน่นอนการทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตยังส่งผลเสริมพละกำลังร่างกายของเย่ซิวอีกด้ว
เย่ซิวอายุแค่นี้เองนะ!แต่กลับสามารถกลั่นโอสถระดับสุดยอดออกมาได้ถ้าให้เวลาเขาอีกหน่อย แบบนี้ไม่บินขึ้นฟ้าไปเลยเหรอเจ้าสำนักกับภรรยาหันไปมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเห็นความจริงจังและความตกตะลึงในแววตาของกันและกันดูเหมือนต้องประเมินเย่ซิวใหม่เสียแล้วจางเสี่ยวอวี๋ถึงกับหยิกเนื้อแขนตัวเองแรง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่ดี“ไม่จริงน่า เขาจะกลั่นสุดยอดโอสถได้ยังไง…ถึงว่าทำไมวันนั้นฉันไปหาเขา เขาถึงได้ทำตัวเย็นชาใส่ ที่แท้ในสายตาเขาฉันก็เป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่ง”ในขณะที่คนทั้งสนามกำลังตะลึงอยู่ สีหน้าของหนานกงอู๋ซวงกับเฉินเยียนจือก็เริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ทุกคนได้รับโอสถกันหมด มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ไม่มีมันชัดเจนมากว่าเย่ซิวตั้งใจเมินพวกเขาเฉินเยียนจือโกรธจนตัวสั่น ก่อนชี้หน้าเย่ซิวพลางตะโกน “นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมทุกคนมีกันหมด แต่ฉันกับพี่อู๋ซวงไม่มี!”เย่ซิวไหล่ตกก่อนจะทำหน้าไร้เดียงสา “อ๋อ พวกคุณก็อยู่ด้วยเหรอ ขอโทษที พอดีโอสถหมดพอดีเลยเอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกคุณทั้งคู่มาหาผมสิ เดี๋ยวผมจะกลั่นให้ส่วนตัวเลย”เฉินเยียนจือไม่พูดอะไรอีก แต่จ้องเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบส
เสาไอพลังโอสถพุ่งขึ้นฟ้าด้วยแรงมหาศาลราวกับค้อนยักษ์ที่มองไม่เห็นทุบกระแทกลงกลางใจของทุกคนอย่างแรงรั่วอวิ๋นแทบล้มทั้งยืน ปากสวย ๆ ของเธออ้าค้างจนสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปได้หลายฟองเธอมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีเย่ซิวโบกมือเบา ๆ จากนั้นโอสถจำนวนมหาศาลก็ลอยออกมาจากเตากลั่นและพุ่งขึ้นไปลอยเหนือศีรษะของเขาดูแล้วมีไม่ต่ำกว่าหมื่นเม็ดโอสถจำนวนมากขนาดนั้นรวมตัวกันจนกลายเป็นเมฆโอสถที่ปกคลุมอยู่เหนือหัวไม่ต้องพูดถึงบรรดาศิษย์ แต่ละคนถึงกับอ้าปากค้างไปแล้วแม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่เคยเห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้มาก่อนทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวโบกมืออีกครั้งโอสถกว่าหมื่นเม็ดแยกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ลอยกระจายไปตรงหน้าของทุกคนในสนามจากนั้นก็ได้ยินเสียงเย่ซิวพูดว่า “ในเมื่อผมมาอยู่ที่นี่แล้ว เราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันโอสถพวกนี้ก็ถือเป็นของขวัญแนะนำตัวจากผมก็แล้วกันผมเป็นคนคุยง่ายนะ ถ้าคุณให้เกียรติผม ผมก็จะให้เกียรติคุณแต่ถ้าคิดจะเล่นสกปรกกับผม ผมก็จะขยี้ให้แหลกไม่เหลือเหมือนกัน”เด็กสาวหน้ากลมคนหนึ่งมองเย่ซิวอย่างไม่แน่ใจ “ศิษย์พี่เย่พู
เพียงแต่ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ เขาย่อมไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาตรง ๆ ได้“เอาล่ะ การประลองครั้งนี้ถือว่าจบลงตรงนี้ เหล่าศิษย์ใหม่ทั้งหลายกลับไปพักผ่อนเถอะ อีกหนึ่งถึงสองวันจะมีประกาศว่าพวกนายจะได้เป็นศิษย์ของท่านอาวุโสท่านใด”“เดี๋ยวก่อนครับ”จู่ ๆ เย่ซิวก็พูดขึ้นมาอีกครั้งเจ้าสำนักเริ่มหมดความอดทนแล้ว ก่อนจะมองเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบ “นายยังมีอะไรอีก”เขาเริ่มหมดความอดทนกับเจ้าหมอนี่ที่ทำให้เขาเสียหน้า แถมยังทำให้เขาเสียหายหลายอย่างด้วยเย่ซิวทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าที่เย็นยะเยือกน่ากลัวของอีกฝ่าย ยังคงยิ้มแล้วหันไปเอ่ยกับทุกคนว่า“พวกคุณอาจจะลืมไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือผมเป็นนักปรุงยา”เฉินเยียนจือที่ตอนนี้ไม่ว่าจะมองเย่ซิวยังไงก็ไม่ชอบใจเอาเสียเลยทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบแย้งขึ้นมา “นายเพิ่งจะได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสรั่วอวิ๋นเอง ยังไม่ทันได้เป็นนักปรุงยาฝึกหัดด้วยซ้ำ กล้าพูดจาแบบนี้ได้ยังไง”เย่ซิวมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อายุแค่นี้ทำไมพูดมากนักล่ะ พ่อแม่ไม่สอนเรื่องมารยาทรึไง? ไร้การอบรมเสียจริง!”เจ้าสำนักที่อยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าบึ้งอย่างเห็นได้ชัดเขาอยากจะตบเจ้าเด
สีหน้าของเจ้าสำนักเริ่มบึ้งตึงเล็กน้อยความรู้สึกที่มีต่อเย่ซิวแย่ลงทันตาจนถึงขั้นรู้สึกขยะแขยงเรื่องที่ทุกคนในที่นี้ก็ดูออกกันหมด ไม่รู้ว่าเขาแกล้งโง่หรือไม่รู้จริง ๆคนที่มีไหวพริบหน่อยก็ควรจะแกล้งทำเป็นไม่รู้และปล่อยให้เรื่องผ่านไปเงียบ ๆแต่เย่ซิวกลับพูดออกมาตรง ๆ ต่อหน้าทุกคน ไม่มีการไว้หน้าเลยแม้แต่น้อยแถมยังจะเหมารางวัลสิบอันดับแรกไปคนเดียว มันช่างโลภเสียจริงแต่เขาก็ไม่คิดย้อนดูตัวเองบ้างว่าเป็นคนตอบตกลงไปก่อนเอง แล้วตอนนี้จะมาขอเปลี่ยนใจได้ยังไงเฉินเยียนจือลุกพรวดขึ้นมาทันที ก่อนจะใช้นิ้วชี้หน้าเย่ซิวแล้วตะโกนด่าอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย “นายนี่ชักจะเกินไปแล้ว นายพูดกับเจ้าสำนักแบบนี้ได้ยังไง? ไม่มีสัมมาคารวะเลยสักนิด รีบคุกเข่าขอโทษเดี๋ยวนี้!”เย่ซิวไม่หันไปมองเฉินเยียนจือเลยแม้แต่น้อยเขาได้ยินคำพูดที่ผู้หญิงคนนี้พูดก่อนหน้านี้ชัดเจนทุกคำ ได้ยินทั้งคำพูดหยาบคายและดูถูกเขาแบบไม่ตกหล่นสักคำเย่ซิวเกาหูเบา ๆ แล้วเงยหน้ามองฟ้า “แปลกแฮะ ทำไมได้ยินเสียงหมาเห่าล่ะ?”“นาย!!!” เฉินเยียนจือหน้าแดงก่ำ พลางจ้องเย่ซิวตาไม่กะพริบ “ไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับฉันมาก่อนเลยนะ
“อาคมธาตุลมที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ คนทั่วไปไม่มีทางใช้ได้แน่นอน หรือว่าเขาจะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์หายาก!”“ให้ตายเถอะ ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะได้เห็นคนที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์กับตา!”“รากวิญญาณแบบนี้มีศักยภาพสูงมาก อาจจะกลายเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสทะลวงถึงระดับมหายานในอนาคตเลยนะ”“เย่ซิวคงถึงคราวลำบากแล้ว ต่อให้เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่น่าจะสู้กับคนที่มีรากวิญญาณธาตุลมได้หรอก”……สายตาของหนานกงอู๋ซวงลุกวาวขึ้นมาทันทีเขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่เปล่งประกายอยู่บนเวทีอย่างไม่กะพริบตา “ในที่สุดก็เจอคนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากสู้ด้วยสักที”เย่ซิวยิ้มมุมปาก “ที่โอหังแบบนี้ก็เพราะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์สินะ”ท่ามกลางอาคมลมอันรุนแรงที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา เย่ซิวก็กำหมัดขวาแน่น พลังโลหิตในร่างพลุ่งพล่านแล้วชกออกไปหมัดหนึ่งทันทีที่หมัดถูกปล่อยออกไปก็เหมือนกับมีเสียงกลองยักษ์ดังสนั่นขึ้นมาจนทำให้หลายคนลมหายใจติดขัด สีหน้าตกใจสุดขีดจากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าลมทั้งหมดที่อยู่บนเวทีถูกหมัดนั้นกวาดหายไปหมดเด็กหนุ่มคนนั้นถูกแรงปะทะของหมัดที่ทรงพลังจนถอยกรูดไปไกลเป็นร้อยเมตรใบหน้าเขาขาวสลับแดง หัวใจรู้สึกตื่นตระ
เย่ซิววิ่งพุ่งเข้าไปหาศิษย์คนสุดท้ายเขาต่อยออกไปหมัดหนึ่ง แต่ในวินาทีนั้นเอง แววตาของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปทันทีเหมือนจากคนธรรมดากลายเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ในพริบตาอีกฝ่ายใช้ฝีเท้าอันแปลกประหลาดก้าวไปบนเวทีและทิ้งเงาร่างไว้เป็นสาย พลางหลบหลีกการโจมตีของเย่ซิวไปได้อย่างหวุดหวิดปัง! ปัง! ปัง!เสียงของผู้เข้าแข่งขันอีกแปดคนที่ร่วงจากเวทีเพิ่งจะดังขึ้นในตอนนั้นตูม!เสียงที่เหมือนมีฟ้าผ่าลั่นกลางลานประลองทำเอาทุกคนในสนามรวมถึงเหล่าผู้อาวุโสถึงกับตกตะลึงเดิมทีต่างก็คิดว่าเย่ซิวแค่ทำตัวเด่นและเรียกร้องความสนใจทว่าเมื่อเขาเผยพลังเพียงเล็กน้อยออกมา ทุกคนถึงได้รู้ว่าที่แท้เขาไม่ได้เย่อหยิ่งโอหัง แต่เป็นเพราะเขามีพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างแท้จริงต่างหากทันใดนั้นเอง สายตาของผู้คนที่มองเขาก็เปลี่ยนไปชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ“โห ศิษย์พี่เย่ซิวเก่งมากเลย” “แถมในอนาคตยังจะได้เป็นนักปรุงยาอีก หน้าตาก็หล่อเหลาสุด ๆ” “เขาคือคู่ชีวิตในฝันของฉันเลย” “เขาแต่งงานแล้วหรือยังนะ?” “อยากแต่งงานกับเขาจังเลย”……แววตาของหนานกงอู๋ซวงวาววับขึ้นมาส่วนเฉินเยียนจือที่นั่งข้
และผู้อาวุโสสองคนนั้นก็นั่งหลับตาพริ้มราวกับไม่สนใจสถานการณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อยดูจากท่าทีแล้วน่าจะเป็นคนจากฝ่ายอนุรักษนิยมทุกครั้งที่มีการประลองระหว่างศิษย์ใหม่แบบนี้ สิบอันดับแรกมักจะถูกดึงตัวไปอยู่สายเซียนกระบี่ทุกครั้งพอนานเข้าฝ่ายอนุรักษ์ก็เลยเริ่มจะปลง ๆแต่ละปีจึงส่งแค่ผู้อาวุโสสองคนมาร่วมงานเท่านั้นส่วนที่เหลือจะไปปิดด่านบำเพ็ญตนหรือไม่ก็ออกเดินทางโดยหวังจะไปเจอศิษย์ฝีมือดีสักคนแค่นี้ก็พอมองออกแล้วว่าฝ่ายอนุรักษ์กำลังอยู่ในจุดลำบากแค่ไหนเย่ซิวพลันมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาเพียงแต่ความคิดนี้ยังไม่สมบูรณ์เขาเดินกลับมาที่ด้านหลังรั่วอวิ๋นรั่วอวิ๋นหันไปมองเขาตาขวาง “เจ้าเด็กนี่ ชอบหาเรื่องให้ปวดหัวจริง ๆ”เย่ซิวยิ้ม ๆ ไม่ได้เถียงอะไรกับเธอท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้รั่วอวิ๋นโมโหเข้าไปใหญ่เหมือนเธอเป็นคนงี่เง่าอยู่ฝ่ายเดียวยังไงยังงั้นการแข่งขันยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆยิ่งเวลาผ่านไป ศิษย์ใหม่หลายคนก็เริ่มเผยความสามารถจนดึงดูดความสนใจจากเหล่าผู้อาวุโสได้ไม่น้อยจากนั้นก็เริ่มผ่านการคัดออกทีละรอบ ๆ จากกว่าห้าร้อยคนจนเที่ยงวันเหลืออยู่เพียงยี่สิบคนอีกไม่นานก็จะไ