กลิ่นครีมอาบน้ำหอมฟุ้งลอยแตะจมูก เย่ซิวเงยหน้าขึ้นเนื่องจากมุมมองที่พอดี บวกกับที่หลิ่วเมิ่งอิ๋นโน้มตัวลงมาข้างหน้า คอเสื้อของเธอจึงเปิดกว้าง พอหันไปมอง เย่ซิวก็รู้สึกเลือดลมสูบฉีดทันทีหลิ่วเมิ่งอิ๋นเธอไม่ได้สวม…มันสร้างผลกระทบทางสายตาต่อเย่ซิวอย่างหนักเมื่อเห็นว่าเย่ซิวเอาแต่มองตัวเองเหม่อลอย เธอจึงก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัวจากนั้นก็อุทานเสียงหลงทันที ก่อนจะรีบนั่งตัวตรง ยกมือขึ้นปิดคอเสื้อตัวเองไว้ ใบหน้าของเธอแดงก่ำเห่อร้อนแทบระเหยเป็นไอเย่ซิวเองก็กระอักกระอ่วน และพูดขึ้นอย่างเขินอาย “ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่เห็นอะไรเลย”เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาพูดอะไรขัดต่อความรู้สึกของตัวเองหลิ่วเมิ่งอิ๋นรู้สึกอายมากเช่นกัน เธอก้มหน้างุด ไม่กล้ามองเขาโชคดีที่ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เปิดประตูเดินออกมาพอดี นั่นช่วยคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนลงได้บ้างหลิ่วเมิ่งอิ๋นเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้น และตกตะลึงทันที “พี่เสวี่ยเอ๋อร์ ทำไมพี่ถึงอยู่ที่นี่ได้?”เย่ซิวก็เงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นลู่เสวี่ยเอ๋อร์สวมสายเดี๋ยวที่ดูเย็นสบายในท่อนบน ส
เย่ซิวรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี และนึกในใจว่า ‘คงไม่ใช่ ใช่ไหม?’สายตาของสองสาวก็จับจ้องไปที่ประตูเช่นกัน“ฉันไปเปิดเองค่ะ” หลิ่วเมิ่งอิ๋นลุกขึ้นจากโซฟา และเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่องผ่านตาแมวออกไปจากนั้นเธอก็นิ่งอึ้ง “เป็นพี่ซิ่วซิ่ว”สีหน้าของลู่เสวี่ยเอ๋อร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับว่าเธอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น?เย่ซิวเองก็มีสีหน้าแปลก ๆ หลิ่วเมิ่งอิ๋นเปิดประตู เซี่ยซิ่วซิ่วที่ยืนอยู่นอกประตูใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “น้องหลิ่ว เจอกันอีกแล้วนะ”ข้าง ๆ เซี่ยซิ่วซิ่วมีกระเป๋าเดินทางสองใบหลิ่วเมิ่งอิ๋นถามขึ้น “พี่ซิ่วซิ่ว นี่พี่…”เย่ซิวและลู่เสวี่ยเอ๋อร์ก็เดินมาที่ประตูรอยยิ้มของเซี่ยซิ่วซิ่วยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เธอทักทายทั้งสองคนแล้วพูดว่า “เป็นเพราะอาหารที่เพื่อนนักศึกษาเย่ทำเมื่อครู่ กลับไปแล้วยังติดใจอยู่เลย บางทีฉันอาจไม่สามารถกินอาหารที่คนอื่นทำได้แล้วน่ะสิ”“อีกอย่าง น้องหลิ่วอาศัยอยู่ตามลำพังกับเพื่อนนักศึกษาเย่ เธอเป็นเด็กสาว ดังนั้นจะถูกคนอื่นนินทาได้ง่าย”“ตามคำกล่าวที่ว่าหนึ่งเดียวสู่ทั้งปวง ทั้งปวงสู่หนึ่งเดียว ฉันจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่กับพวกนายด้วย”“ไม่
กล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างกายของเธอเกร็งขึ้น ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เข้ามาครอบงำเธอ“ผ่อนคลาย”เสียงของเย่ซิวดูเหมือนจะมีมนตร์สะกดลู่เสวี่ยเอ๋อร์มองเข้าไปในดวงตาของเขาโดยไม่รู้ตัวดวงตาของเขานั้นแจ่มชัดมาก ซึ่งจู่ ๆ ก็ทำให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าตัวเองคิดมากเกินไป จิตใจของเธอไม่บริสุทธิ์เหมือนกับเพื่อนนักศึกษาเย่เธอค่อย ๆ ผ่อนคลายแม้ว่าขณะยืดกระดูกและเส้นลมปราณจะเจ็บมาก แต่เธอก็ยังทนได้ ไม่นานร่างกายท่อนบนก็ยืดเสร็จ สายตาของเย่ซิวจ้องลงไปที่ขาเรียวงามของเธอที่ภายใต้ถุงน่องสีดำหัวใจมีระลอกคลื่นเล็ก ๆ แต่ก็กลับมานิ่งเฉยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวางมือทั้งสองลงบนนั้นสองนาทีต่อมา เส้นลมปราณและกระดูกของลู่เสวี่ยเอ๋อร์ก็ถูกยืดอีกครั้งเย่ซิวเช็ดเหงื่อ งานนี้ต้องใช้พละกำลังมหาศาลส่วนลู่เสวี่ยเอ๋อร์อ่อนปวกเปียกอยู่ตรงนั้น ไม่มีแม้แต่แรงที่จะกะพริบตาตอนนี้หากเย่ซิวคิดจะทำอะไรกับเธอ เธอก็คงไม่มีแรงจะต่อต้านเลยแม้แต่น้อยหลังจากหายใจเข้าลึก เย่ซิวก็ช่วยพยุงลู่เสวี่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่ง เอนตัวพิงหัวเตียง ก่อนจะจับมือทั้งสองของเธอ ประกบเข้าหากัน ค่อย ๆ ส่งพลังงานภายในของตัวเ
เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของหลิ่วเมิ่งอิ๋นทำให้หัวใจของเซี่ยซิ่วซิ่วสั่นสะท้านความประทับใจที่มีต่อเย่ซิวหายไปแทบจะทันที“น่ารังเกียจ เขาทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!”เธอผลักประตูเข้าไปด้วยความโกรธ และกำลังจะด่าเย่ซิวแต่ทันทีที่ประตูเปิดออก ภาพที่เห็นกลับทำให้เซี่ยซิ่วซิ่วพูดไม่ออก นี่ไม่ใช่ภาพที่เธอจินตนาการไว้ทั้งสามยังคงสวมใส่เสื้อผ้าครบทุกชิ้น เย่ซิวกำลังจัดท่าทางแปลก ๆ ให้กับร่างกายของหลิ่วเมิ่งอิ๋นนี่เป็นท่ายากมาก เพียงแค่มองดู เธอก็รู้สึกปวดตัวแทนแล้วเย่ซิวไม่ได้สนใจเซี่ยซิ่วซิ่ว เขามุ่งความสนใจไปที่การยืดเหยียดร่างกายของหลิ่วเมิ่งอิ๋นเท่านั้นมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยมาจากร่างกายของลู่เสวี่ยเอ๋อร์ พร้อมกับสารสีดำบางอย่างนี่คือสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกมาจากร่างกายเธอและร่างกายของเธอก็ดูผอมลงไปมากเมื่อเห็นเซี่ยซิ่วซิ่วเข้ามา ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ก็อุทานพร้อมกับปีนลงจากเตียง และรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปร่างกายของเธอมีกลิ่นเหม็นมาก จนเธอรู้สึกอยากอาเจียนเซี่ยซิ่วซิ่วตกตะลึงทันที “นี่พวกเธอกำลังทำอะไรกัน?”หลิ่วเมิ่งอิ๋นกำลังเจ็บปวด ส่วนเย่ซิวก็กำลังมีสมาธิมาก จนไม่มีใครให้คำตอบเ
หลังจากที่ทั้งสามได้เห็นหลิ่วเมิ่งอิ๋น ก็มีความคิดที่แตกต่างกันในใจเซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกตกตะลึงส่วนสิ่งที่ลอยเข้ามาในหัวของเย่ซิวคือ ‘แม่พันธุ์ที่ดี’เซี่ยซิ่วซิ่วรีบลงจากโซฟา ก่อนเข้าไปบีบจับลูบคลำร่างกายของหลิ่วเมิ่งอิ๋นด้วยความอิจฉา“ผิวเธอดีมากเลย แถมยังสูงขึ้นด้วย ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนที่เตี้ยที่สุดในสี่คนแล้ว”ที่จริงเธอไม่ได้ถือว่าเตี้ย เพราะเธอสูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองเซนติเมตร แต่ตอนนี้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกเซนติเมตรหลิ่วเมิ่งอิ๋นสูงเกือบหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรเดิมทีทั้งสามคนมีความสูงเท่ากัน แต่ภายในไม่กี่ชั่วโมง เซี่ยซิ่วซิ่วก็ถูกทิ้งห่างในทุกด้านนอกจากช่องว่างขนาดใหญ่ทางจิตใจแล้ว ยังมีความกดดันอีกด้วยหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เย่ซิวจะต้องหลงใหลพวกเธออย่างแน่นอน และเธอก็จะไม่มีโอกาสเอาชนะใจเขาได้เลยหลิ่วเมิ่งอิ๋นรู้สึกอายที่ถูกเซี่ยซิ่วซิ่วทำอย่างนั้น ในขณะเดียวกันก็เหลือบมองเย่ซิวด้วยหางตาเมื่อเห็นว่าเย่ซิวก็มองมาที่ตัวเอง แถมสายตาของเขายังไปหยุดอยู่ที่จุดนั้น หลิ่วเมิ่งอิ๋นก็รู้สึกทั้งเขินและดีใจในเวลาเดียวกัน‘พี่เย่ก็
พวกเขาแวะซื้อซาลาเปาริมถนนลุงคนขายซาลาเปาถูกพวกหลิ่วเมิ่งอิ๋นดึงดูดทันทีภรรยาที่อยู่ด้านข้างดึงหูของเขาด้วยความโกรธ จนคุณลุงร้องออกมาเสียงดัง ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาหัวเราะลั่นเย่ซิวส่ายหัวก่อนจะหยิบซาลาเปามา และเซี่ยซิ่วซิ่วก็ออกตัวจ่ายเงินตอนนี้เธอถูกลู่เสวี่ยเอ๋อร์และหลิ่วเมิ่งอิ๋นแย่งแสงไปหมดแล้ว ในระยะเวลาสั้น ๆ รูปร่างภายนอกของเธอไม่สามารถแข่งกับทั้งสองคนได้ ดังนั้นเซี่ยซิ่วซิ่วจึงต้องทำตัวดี ๆ ให้มากพอ เพื่อที่เย่ซิวจะได้หันมามองเธอด้วยสายตาที่ต่างออกไป ทั้งสี่คนเดินไปยังมหาวิทยาลัยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและทำให้เกิดการจราจรติดขัดตลอดทางผู้ชายที่มีแฟนอยู่แล้วต่างก็จับจ้องมาที่ลู่เสวี่ยเอ๋อร์และหลิ่วเมิ่งอิ๋นทำเอาเหล่าคู่ควงของพวกเขาโกรธเคืองจนต้องหยิกเนื้อพวกเขาแรง ๆ เมื่อไปถึงประตูมหาวิทยาลัย ก็ยิ่งอึกทึกครึกโครมยิ่งขึ้นไปอีกทั้งชายและหญิงต่างก็คลั่งไคล้กันไปหมดลู่เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ถูกล้อมจนไร้ทางไป“พระเจ้า สวยมาก!”“โลกนี้มีผู้หญิงที่สวยและหุ่นดีขนาดนี้ได้ยังไง เหมือนนางฟ้าลงมาจากสวรรค์เลย!”“เมื่อก่อนลู่เสวี่ยเอ๋อร์ก็สวยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ดูเปล่
เย่ซิวมองเวลา และขมวดคิ้ว“อาจารย์ครับ ผมไม่ได้มาสาย ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองนาทีก่อนจะเริ่มเรียน”เมื่ออาจารย์ชาวต่างชาติได้ยินแบบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววโกรธ “มาสายแล้วยังกล้าเถียงอีก แค่มาสายกว่าฉันก็ถือว่าสายแล้ว!”“เป็นนักศึกษาแต่กล้ามาสายกว่าครู เธอยังมีความเคารพครูผู้สอนอยู่ไหม? อย่างเธอคู่ควรจะเป็นนักเรียนอย่างนั้นเหรอ?!”สิ่งที่เขาพูดนั้นฟังดูรุนแรงมาก และดูจะมากเกินไปด้วยซ้ำนักเรียนในห้องหลายคนรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของเย่ซิวอาจารย์ชาวต่างชาติคนนี้ไม่เพียงแต่มีอารมณ์ร้อนเท่านั้น แต่เขายังมีกำลังมากอีกด้วยครั้งหนึ่งมีนักเรียนสามสี่คนรุมเขา แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ กลับกลายเป็นว่านักเรียนเหล่าถูกต่อยจนหน้าตาบวมปูดกันหมดงานนี้เย่ซิวแย่แน่เย่ซิวรู้สึกรำคาญเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้ไร้เหตุผลสิ้นดีเขาขี้เกียจเกินกว่าจะมัวพูดเรื่องไร้สาระ จึงเดินตรงเข้าไปที่ห้องเรียน“อวดดีเกินไปแล้ว!”อาจารย์ชาวต่างชาติตะโกนลั่น และวิ่งเข้าไปหาเย่ซิว พร้อมตั้งท่าเตะเข้าที่หน้าของเขาพลังในลูกเตะนี้น่ากลัวมากดวงตาของเย่ซิววาววับอย่างเย็นชาผู้ชายคนนี้หยาบคายมากจริง ๆ เป็นเพีย
อาจารย์ต่างชาติเดินจากไป และไม่ได้กลับมาอีกคาดว่าคงไม่มีหน้ากลับมาแล้วคาบเรียนนี้จึงดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีใครมารบกวนเขาด้วยเสียงออดดังขึ้น และทุกคนก็ยังคงไม่ขยับเมื่อเห็นว่าเย่ซิวยังอยู่ที่นั่น พวกเขาก็ไม่กล้าออกไปทันใดนั้นใบหน้าที่งดงามก็โผล่เข้ามาจากนอกประตูผมสีดำยาวตรงของเธอตกลงมา นับเป็นภาพที่สวยงามมากฉากนี้ทำให้นักศึกษาทุกคนในห้องตะลึงทันทีสายตาที่เฉียบแหลมของลู่เสวี่ยเอ๋อร์กวาดไปรอบ ๆ ห้องเรียน และเมื่อเธอเห็นเย่ซิว ใบหน้าของเธอก็ดูมีความสุขขึ้นมาทันทีเธอวิ่งเข้าไปนั่งข้างเย่ซิ่ว และวางขวดนมเปรี้ยวลงบนโต๊ะของเขา“เพื่อนนักศึกษาเย่ เรียนคาบหนึ่งแล้วนายคงจะคอแห้งใช่ไหม? ดื่มนี่สิ”เย่ซิวเงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วยิ้ม จากนั้นก็ลูบศีรษะเธอเบา ๆ “เด็กดี” เขาตั้งใจจะให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์อยู่ในฐานะภรรยาของเขา ดังนั้นเขาจึงลูบศีรษะเธอได้อย่างเป็นธรรมชาติแต่การกระทำนี้ทำให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์กระสับกระส่าย ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงราวกับลูกแอปเปิล“เอ่อ...ฉัน...ยังมีธุระอื่น...ขอตัวก่อนนะ...”ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ตะกุกตะกักเล็กน้อย พูดจบก็ก้มหัวต่ำไม่กล้ามองเย่ซิว ก่อนจะรีบออก
แต่ลิลิธกลับมีพรสวรรค์ในศาสตร์ด้านนี้สูงมาก จนสามารถฝึกฝนไปถึงระดับที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนผู้ชายทั่วไปไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับเธอเลยไม่เช่นนั้น วันรุ่งขึ้นมีหวังกลายเป็นซากศพแห้งตายอย่างแน่นอนแม้ว่าลิลิธจะมีชื่อเสียงด้านความงามโด่งดังไปทั่ว แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับเธอเคย์ฟี่ดวงตาเป็นประกาย “ความคิดนี้ไม่เลวเลยนะ ลิลิธต้องเจอกับผู้ชายที่แข็งแกร่งระดับเย่ซิวเท่านั้นถึงจะรับมือไหวพอลิลิธทำสำเร็จแล้วเข้าไปอ้อนเย่ซิวอีกหน่อยลองชวนให้เขามาลองพี่น้องสุดเซ็กซี่ บางทีเขาอาจจะไม่ปฏิเสธก็ได้”พรีเอลล์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบพูดแทรกขึ้นมา “อย่าลืมแม่ลูกสุดแซ่บด้วย”เคย์ฟี่หัวเราะคิกคัก “อันนี้ก็ต้องดูที่ผลงานของลูกในอนาคตแล้วล่ะ”พูทมองด้วยความอิจฉาผู้ชายที่แท้จริงต้องเป็นแบบเย่ซิว ต้องผ่านดงดอกไม้นับไม่ถ้วนโดยไม่ทิ้งร่องรอยน่าเสียดายที่ถึงแม้เขาจะมีฝีมือพอตัว แต่เมื่อเทียบกับเย่ซิวแล้วยังห่างชั้นกันเกินไปแถมสาว ๆ ที่เขาเคยได้มาก็ยังไม่มีคุณภาพดีเท่านี้เลยด้วยซ้ำหลังจากหารือกันเสร็จ เคย์ฟี่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาลิลิธด้วยตัวเองณ เมืองระดับแนวหน้าของประเทศจ้านฉงตี้
เย่ซิวมองสิ่งของที่วางอยู่ตรงหน้าตัวเองโดยไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนักตอนนี้เงินทองพวกนี้ไม่ได้มีผลอะไรมากนักสำหรับเขาแล้วแต่รถยนต์ลอยตัวนั่นนับว่ายังพอมีค่าอยู่บ้างเขาย่อมรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ทำแบบนี้เพราะอะไรต้องยอมรับว่าเธอมีความกล้าหาญไม่น้อยเลยทีเดียวแต่เพียงแค่นี้ยังไม่พอที่จะทำให้เขาเชื่อใจเธอได้อย่างสมบูรณ์“ของพวกนี้ฉันรับไว้ แต่ถ้าพวกเธอยอมย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่สำนักโอสถจะยิ่งดีเข้าไปอีก”หากเป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งของกำไรที่พวกเขาได้รับในแต่ละปีจะต้องเสียภาษีนอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาการพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นของสำนักโอสถได้อีกด้วยที่สำคัญที่สุดคือสามารถใช้เป็นมาตรการควบคุมพวกเขาได้หากในอนาคตพวกเขาไม่เชื่อฟังหรือกระทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อสำนักโอสถเย่ซิวสามารถริบทรัพย์สินทั้งหมดของสำนักงานใหญ่ของพวกเขาไปได้ทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันทีเย่ซิวกำลังกุมจุดอ่อนของพวกเขาไว้อย่างแน่นหนาพูโรหัวเราะเสียงดัง “นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก บริษัทไม่ได้เป็นของผมเพียงคนเดียว ผมยังไม่อาจตอบตกลงได้ทันทีขอให้ผมจัดประชุมผู้ถือหุ้นในวันพรุ่งนี้ก่อน แล้วผมจะหารือก
นั่นคือสายตาที่มองลงมาจากระดับชีวิตที่สูงกว่าราวกับพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเย่ซิวตบไปที่หัวม้าศึกเพลิงน้ำแข็งเบา ๆ มันจึงยอมเก็บพลังของตัวเองกลับไป เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ใต้กีบเท้าก็ค่อย ๆ มอดลงเคย์ฟี่มองเย่ซิวด้วยสายตาร้อนแรงตอนนี้เขาดูสง่างามและทรงอำนาจ ทั้งยังหล่อเหลาเกินบรรยาย เหนือกว่าเจ้าชายขี่ม้าขาวในฝันของเธอเสียอีกเธอถึงกับน้ำลายสอโลกนี้มีผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้อย่างไรเย่ซิวหยิบของจำนวนหนึ่งออกมาจากแหวนผนึกของแล้ววางลงตรงหน้าพรีเอลล์กับพวกพ้อง “นี่คือส่วนแบ่งของพวกเธอในครั้งนี้ เอาไปได้เลย”พรีเอลล์ก้มลงมองของตรงหน้า จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที “ของพวกนี้มันไม่ใช่ของที่พวกเราเคยได้มาจากเรือรบของประเทศจ้านอิงตี้ครั้งก่อนเหรอ?”สิ่งที่เย่ซิวนำออกมาเป็นชุดเกราะและอาวุธต่าง ๆ ที่ได้มาเมื่อนานมาแล้ว“ใช่” เย่ซิวพยักหน้าโดยไม่ปิดบัง “ของที่ฉันได้จากข้างในมีค่ามากเกินไป ไม่สามารถให้พวกเธอได้เลยต้องใช้ของพวกนี้แทน”แม้สองพี่น้องจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาในตอนนี้พูทแววตาเป็นประกายขึ้นมา จากนั้นก็ฉีกเสื้อเป็นผืนเล็ก ๆ แล้วใช้มันมัด
เย่ซิวแสยะยิ้มมุมปาก “แกลองเดาดูสิว่าทำไมฉันถึงมั่นใจกล้าปล่อยแกออกมา”ม้าศึกเพลิงน้ำแข็งรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมาทันทีแต่มันยังไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน เย่ซิวก็เริ่มขยับริมฝีปากร่ายคาถาบางอย่างออกมาทันทีที่เสียงคาถาดังก้องในอากาศ ม้าศึกเพลิงน้ำแข็งก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวดทั่วร่างของมันปรากฏอักขระเรืองแสงผุดขึ้นมาจากผิวหนัง ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นโซ่ตรวนล่องหนที่พันธนาการมันเอาไว้อย่างแน่นหนามันทรุดลงกับพื้นกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความทรมาน“สารเลว เหตุใดเจ้าถึง…พอได้แล้ว หยุดเดี๋ยวนี้ บอกว่าให้หยุดอย่างไรเล่า!”มันส่งเสียงร้องปวดร้าวจนใจแทบแตกสลายความปรารถนาที่จะฆ่าเย่ซิวที่มันเคยมีนั้นก็หายไปหมด ตอนนี้เหลือเพียงความหวาดกลัวอย่างท่วมท้นเท่านั้นเย่ซิวมีสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความเมตตา และเขาไม่คิดจะหยุดแต่อย่างใด เขาสวดคาถาต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสิบนาทีจนม้าศึกเพลิงน้ำแข็งถูกทรมานจนแทบไม่เหลือแรง เขาจึงหยุดลงในที่สุดตอนนี้ลมหายใจของมันสับสนวุ่นวาย ไม่มีท่าทีเย่อหยิ่งโอหังเช่นตอนแรกอีกต่อไปสายตาที่มันมองเย่ซิวเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อเย่ซิวมีคาถานี้อยู่ในมือ เขาก็สามาร
เย่ซิวกำลังจะเดินออกจากห้องไปแต่ทันใดนั้น เขาหันไปมองที่กลางห้องก่อนจะดีดนิ้วส่งปราณกระบี่ออกไปทำลายพื้นด้านล่างปรากฏว่าข้างใต้มีช่องลับซ่อนอยู่ภายในนั้นมีหีบสีดำใบหนึ่งวางอยู่เย่ซิวสร้างร่างแยกขึ้นมาเพื่อเข้าไปเปิดมันภายในมีม้วนหนังสัตว์ปริศนาที่ไม่รู้ว่าทำจากหนังของสัตว์ชนิดใดเขาหยิบขึ้นมาดู พบว่ามีตัวอักษรเรียงรายแน่นหนาอยู่เต็มไปหมดแต่ไม่ใช่ตัวอักษรที่ใช้กันในปัจจุบัน เย่ซิวจึงอ่านมันไม่ออกในทันทีเขาทำได้แค่เก็บมันไว้ก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ไขปริศนาในภายหลังตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ม้าศึกเพลิงน้ำแข็งเท่านั้นจากนั้นเย่ซิวก็เดินไปยังจุดที่มันถูกผนึกไว้ทันทีที่ม้าศึกเพลิงน้ำแข็งสัมผัสได้ถึงการเข้าใกล้ของเขา มันก็เริ่มส่งเสียงโหยหวนขึ้นมา“ข้ายอมแล้วพี่ชาย ท่านเป็นบรรพบุรุษของข้าเลย ปล่อยข้าไปเถอะ อย่าดูดพลังข้าอีกเลย ถ้าดูดต่อไปข้าต้องตายจริง ๆ แน่”มันไม่เคยเจอมนุษย์ที่โหดร้ายบ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของมันแข็งแกร่งแต่กำเนิด ป่านนี้มันคงสลายไปแล้วเย่ซิวไม่คิดจะเสียเวลาคุยไร้สาระกับมัน เขาก้าวไปข้างหน้าโอบกอดหนึ่งในเสาหลักของผนึก ก่
เมื่อเย่ซิวกลับมาที่ห้องอีกครั้งเขาก็เห็นรังไหมหนาทึบที่ห่อหุ้มโซเฟียปรากฏรอยร้าวมากมาย ก่อนจะระเบิดออกในพริบตาร่างของเธอส่องประกายเจิดจ้าเป็นพัน ๆ ลำแสงราวกับดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอันเจิดจรัสกว่าความสว่างจ้านั้นจะค่อย ๆ จางหายไปก็ใช้เวลานานพอสมควร เมื่อแสงสลายลงก็เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในรังไหมรูปลักษณ์ภายนอกของเธอแทบไม่เปลี่ยนไปเลย ดวงตายังคงปิดสนิทแต่ที่แตกต่างออกไปคือด้านหลังของเธอมีปีกสีขาวบริสุทธิ์คู่หนึ่งกางออกมา พร้อมด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งเปล่งออกจากร่างของเธอตู้ม!ในเสี้ยววินาทีที่เธอลืมตาขึ้นมา พลังมหาศาลก็พุ่งออกจากร่างของเธอมันให้ความรู้สึกราวกับภูเขาไฟที่สะสมพลังงานมาหลายร้อยปีแล้วปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ดูน่าเกรงขามถึงขีดสุดฟึ่บ!เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็มีแสงสีทองก็ส่องประกายในดวงตาทั้งสองข้างเดิมทีโซเฟียไม่ได้แสดงพลังอะไรที่แข็งแกร่งออกมาเลยแต่เพียงแค่สองวันผ่านไป กลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมากลับพุ่งขึ้นไปจนถึงระดับจินตานขั้นสมบูรณ์ เทียบเท่ากับเย่ซิวเลยทีเดียวคนที่มีพรสวรรค์ระดับนี้มันช่างน่าอิจฉาจริง ๆไม่ต้องฝึกฝนอะไรให้เหนื่อยยากแค่หลับไปตื่น
หลังจากนั้นเขาก็หยิบโหลใบใหญ่ขึ้นมาแล้วเอ่ยกับชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า“ท่านผู้อาวุโส เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่วันนี้ผมได้รับความเมตตาจากท่าน ผมไม่มีอะไรจะตอบแทนได้จึงขอแสดงความเคารพเพียงเล็กน้อย โดยการเผากระดูกของท่านและหาที่พักพิงให้”กล่าวจบก็จุดไฟเผาซากโครงกระดูกจนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้วนำใส่ลงในไหจากนั้นวางไว้บนโต๊ะในห้องหยิบธูปสามดอกออกมาจุดไฟปักไว้ตรงหน้าก่อนจะเดินจากไปจิตสำนึกเขาเข้าสู่พื้นที่ภายในแหวนผนึกของซึ่งมีขนาดกว่าหมื่นตารางเมตรภายในมีโอสถมากมาย ทว่าพลังโอสถได้จางหายไปหมดสิ้นแล้วจึงไร้ประโยชน์“หืม นี่มัน…”ท่ามกลางโอสถที่ถูกทิ้งร้างมากมาย เย่ซิวพบโอสถที่พิเศษมากอยู่เม็ดหนึ่งมันมีขนาดใหญ่เท่าหินโม่ แถมยังมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ พื้นผิวเต็มไปด้วยรอยบุ๋มรอยเว้า และที่สำคัญคือมันไม่เหมือนโอสถเลยสักนิด กลับดูคล้ายลูกเหล็กขนาดยักษ์มากกว่าเย่ซิวหยิบมันขึ้นมาแล้วเคาะเบา ๆ เสียงที่ดังออกมาชัดเจนและใสแจ๋ว แสดงให้เห็นว่าวัสดุของมันไม่ธรรมดาสัญชาตญาณบอกเขาว่าของสิ่งนี้อาจมีประโยชน์ในอนาคต จึงเลือกที่จะเก็บมันไว้ก่อนการค้นพบครั้งนี้ทำให้เขาพอใจมากจากนั้นเ
สิ่งของชิ้นที่สองในห้องคือกระบี่หนักคมกว้างขนาดมหึมาตัวกระบี่ปักอยู่ในพื้นมีความยาวถึงสองเมตรทั่วทั้งตัวกระบี่ถูกพันด้วยโซ่เหล็กมากมายและข้าง ๆ กระบี่ก็มีศิลาจารึกขนาดใหญ่สลักอักขระโบราณบอกเล่าที่มาของกระบี่เล่มนี้กระบี่หนักห้าขุนเขาคือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จากยุคบรรพกาล สร้างขึ้นจากแก่นแท้แห่งห้าขุนเขาผสานกับแร่ศักดิ์สิทธิ์กว่าพันชนิด ใช้เวลาหล่อหลอมถึงแปดสิบเอ็ดปีจึงสำเร็จมันมีน้ำหนักหนึ่งแสนแปดหมื่นชั่ง หนึ่งฟาดฟันตัดสายน้ำสะบั้น หนึ่งฟาดฟันบดขยี้ดวงดาว ผู้ที่ไม่มีพลังเทพโดยกำเนิดไม่อาจถอนกระบี่ออกได้ดวงตาของเย่ซิวพลันสว่างวาบ กระบี่เล่มนี้ช่างเหมาะกับเขาอย่างยิ่งทั้งเก้าวัจนะลึกลับและวิชาแปรมังกรเสริมพลังร่างกายเขาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้เวลาถือกระบี่หงส์โบยบิน เขารู้สึกเหมือนถือไม้จิ้มฟันเท่านั้นเนื่องจากมันเบาเกินไป จนทำให้เขาไม่สามารถปลดปล่อยพลังของตัวเองออกมาได้เต็มที่แต่ถ้ามีกระบี่ห้าขุนเขาเล่มนี้ มันจะช่วยเติมเต็มข้อบกพร่องนี้ได้พอดีในอนาคตกระบี่ดาวตกและกระบี่หงส์โบยบินจะใช้สำหรับโจมตีระยะไกล ส่วนกระบี่ห้าขุนเขาจะใช้เป็นอาวุธหลักในการต่อสู้ระยะประชิดเขาจั
ม้าศึกเพลิงน้ำแข็งที่เคยดูทรงพลังและน่าเกรงขาม ตอนนี้กลับดูซูบเซียวและอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัดมันรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ดันไปหาเรื่องกับเย่ซิวซึ่งเป็นตัวอันตรายเข้าหากรู้แต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ มันคงเลือกที่จะเงียบและทำตัวเป็นม้าโปร่งแสงไปเสียตั้งแต่ต้นวิชาแปรมังกรขั้นที่สามต้องบำเพ็ญให้เกิดกรงเล็บมังกร หางมังกร และเขามังกรขึ้นมาเย่ซิวไม่มีทางหยุดแน่นอน โอกาสแบบนี้ถ้าพลาดไปก็คงไม่มีวันหาได้อีกหนึ่งวันผ่านไป เขาก็ฝึกขั้นที่สามสำเร็จตอนนี้เขากลายเป็นมังกรทองในร่างมนุษย์ไปแล้วกรงเล็บมังกรสีทองแหลมคมราวกับสุดยอดศาสตราวุธ สามารถฉีกกระชากทุกสิ่งได้อย่างง่ายดายเขามังกรทั้งสองเส้นชี้ขึ้นฟ้า และมันไม่ได้มีไว้แค่ประดับเท่านั้นแต่มันช่วยเพิ่มการรับรู้และเร่งการดูดซับพลังจากฟ้าดินอีกด้วยส่วนหางมังกรก็มีประโยชน์ไม่น้อยมันเปรียบเสมือนแขนที่สามของเขา สามารถใช้เป็นอาวุธลับในสถานการณ์สำคัญได้และพอจะก้าวไปสู่ขั้นที่สี่ เขาก็ต้องใช้พลังงานมากกว่าขั้นที่สามถึงสิบเท่าเย่ซิวก้มลงมองม้าศึกเพลิงน้ำแข็งและพบว่าตอนนี้มันผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก คงใกล้จะหมดสภาพเต็มทีแ