แรงดูดอันแข็งแกร่งแผ่มาจากฝ่ามือของเธอเคล็ดวิชาผันแปรกำลังภายในถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อดูดกลืนเลือดและพลังปราณของจอมยุทธโดยเฉพาะ จากนั้นเปลี่ยนพลังนั้นไปใช้เป็นของตัวเองเป็นศาสตร์หนึ่งที่ทั้งโหดเหี้ยม แต่ก็ทรงพลังเป็นอย่างมากเย่ซิวก้มมองเธอ สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใด ๆหลี่ชิวเยวี่ยนิ่งอึ้งไปแล้ว "เกิดอะไรขึ้น นี่คุณ?"โดยปกติเคล็ดวิชาผันแปรกำลังภายในนี้ของเธอจะมอบพลังที่ไม่สิ้นสุดให้แก่เธอ แต่ครั้งนี้มันกลับล้มเหลวไปเสียอย่างนั้น!ถ้าไม่ใช่เพราะความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากผิวหนังของเย่ซิวในมือของเธอนั้นมันช่างชัดเจน เธอคงคิดว่าเย่ซิวกำลังสวมชุดเกราะเหล็กอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเพิ่มแรงดูดไปอีกประหนึ่งปั๊มน้ำที่ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำแต่ที่ถูกสูบออกมานั้นไม่ใช่น้ำ แต่กลับสูบลมออกมาอย่างต่อเนื่อง!“เป็นไปได้ยังไง? ทำไมถึงไม่ได้ผลล่ะ?!”ดวงตาที่สวยงามของหลี่ชิวเยวี่ยเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและสับสนเป็นอย่างมากทันใดนั้น เธอก็คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง "มีแค่จอมยุทธที่มีระดับพลังสูงกว่าฉันถึงจะทำให้เคล็ดวิชาผันแปรกำลังภายในของฉันล้มเหลว หรือว่าคุณเป็นจอมยุทธระดับหกขั้นสูงอย่างนั้นเหร
หลี่ชิวเยวี่ยลุกขึ้นจากพื้นเธอฟื้นฟูกำลังบางส่วนหยางซิวที่อยู่บนพื้นสูญสิ้นกำลังภายในไปหมดแล้ว เลือดเนื้อแห้งเหี่ยว เหลือเพียงผิวหนังหุ้มกระดูกเท่านั้นเธอลากหยางซิวเข้าไปในห้องน้ำ ถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วสวมให้ตัวเองจากนั้นก็รีบออกไปหลี่ชิวเยวี่ยก้มหน้าลงตลอดทางโรงแรมแห่งนี้มีลิฟต์อยู่ทั้งแปดมุม และเธอก็เลือกมุมที่มีคนน้อยที่สุดเธอกลัวว่าจะมีใครเห็น และหลังจากออกจากโรงแรม เธอก็ไปยังฐานลับแห่งหนึ่งของเธอฝ่าไฟแดงทุกแยกตลอดทางใช้เวลาเพียงห้านาทีก็มาถึงเธอแทบจะคลานขึ้นไปที่ห้องอ่านหนังสือบนชั้นสองเมื่อกดสวิตช์ ชั้นหนังสือก็ขยับออกเผยให้เห็นห้องลับเธอเดินเข้าไปเปิดตู้แล้วหยิบขวดออกมาจากนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วกลืนยาเม็ดสีแดงเลือดทั้งหมดที่อยู่ข้างในลงไปหลี่ชิวเยวี่ยนั่งขัดสมาธิบนพื้น ฝ่ามือและฝ่าเท้าหันหน้าไปทางท้องฟ้าไอร้อนแผ่ออกมาจากศีรษะของเธออย่างต่อเนื่องผิวแห้งเหี่ยวกลับมาดูอวบอิ่มและยืดหยุ่นอีกครั้งเฮ้อ!หลี่ชิวเยวี่ยถอนหายใจออกอย่างแรง และลุกขึ้นไปยืนอยู่หน้ากระจกเธอฟื้นกำลังเต็มที่แล้วในกระจก เธอยังคงเป็นผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์คนเดิมคนนั้น“โชคด
“เสร็จจากที่นี่แล้ว ไปคลับส่วนตัวที่ฉันเปิดไหม? ฉันชวนเลขาของฉันไปด้วย เธอบอกว่าคืนนี้เธอจะเต้นโพลแดนซ์[footnoteRef:0]” [0: เต้นโพลแดนซ์ คือการเต้นรูดเสา] เย่ซิวกำลังจะปฏิเสธ แต่ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นที่ทางเข้าไป๋อวี้เจี๋ยเองก็มองไปทางที่เย่ซิวมองเช่นกัน เธออุทานออกมาทันที "เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? เขาพิการไปแล้วไม่ใช่เหรอ?"ข่าวที่ว่าเย่ขวงถูกทำให้พิการไม่ได้เป็นความลับในแวดวงนี้คนอื่น ๆ ก็ตกใจไม่แพ้กันเย่ขวงสมควรที่จะมีคำว่า "บ้า[footnoteRef:1]" อยู่ในชื่อของเขา [1: ขวงในภาษาจีน หมายถึง บ้า ดุร้าย และรุนแรง] เมื่อมาถึง เขาก็ปล่อยกลิ่นอายแห่งขั้นปรมาจารย์ออกมาทันที!ผู้ชมทั้งหมดต่างตกใจทันที!“ปรมาจารย์!”“โอ้พระเจ้า นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม!”“เกิดอะไรขึ้นกับเขากัน!”……หลังจากตกตะลึงกันแล้ว ผู้มีอิทธิพลจากทุกทิศทางก็รีบรุดไปข้างหน้าราวกับฝูงผึ้งเพื่อพูดคุยกับเขาแม้แต่คนโง่ก็ยังเห็นว่าตอนนี้เย่ขวงได้ทะยานขึ้นไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้วปรมาจารย์หนุ่มขนาดนี้ อนาคตของเขานับว่าเกินคาดเดาแล้ว! สีหน้าไป๋อวี้เจี๋ยดูเคร่งขรึมมากขึ้น เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
ผู้ที่ไม่เคยประสบด้วยตัวเอง จะไม่สามารถเข้าใจความสิ้นหวังที่เกิดจากการ ตกเป็นเป้าหมายของปรมาจารย์เหมือนกับโลกทั้งใบทอดทิ้งโดดเดี่ยวและทำอะไรไม่ถูก หนาวเข้ากระดูก!แต่ในขณะที่ไป๋อวี้เจี๋ยดูเหมือนจะตกสู่นรกที่ไร้ขอบเขต เย่ซิวก็มายืนอยู่ตรงหน้าเธอแผ่นหลังของเขาไม่กว้างมากนัก แต่มันทำให้ไป๋อวี้เจี๋ยรู้สึกปลอดภัยมากพอ!เขาดึงเธอออกจากนรกอันไร้ขอบเขต ทำให้เธอได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งในตอนนี้เองที่หัวใจของไป๋อวี้เจี๋ยได้ละกำแพงน้ำแข็งลงเมื่อมองไปที่ด้านหลังของเย่ซิว ก็รู้สึกเต็มไปด้วยความอ่อนโยนไม่รู้จบบางทีการชนะใจผู้หญิงก็เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจขณะที่เย่ซิวยืนขึ้น ภาพนั้นก็เกิดความโกลาหลทุกคนมองเขาเหมือนคนโง่เง่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากใครกล้าที่จะทำตัวเป็นวีรบุรุษชาวสาวงาม สงสัยว่า คนคนนั้นสมองกระทบกระเทือนหรือเปล่า? เย่ซิวมองไปที่เย่ขวงและพูดอย่างใจเย็น "พอได้แล้ว การกลั่นแกล้งผู้หญิงมันไม่ได้ใช้ความสามารถอะไร"ดวงตาของเย่ขวงฉายแววน่าสะพรึงกลัว "แกเป็นใคร ไสหัวไปซะ!"ราวกับราชสีห์ที่โกรธแค้น ผู้คนโดยรอบเงียบกริบด้วยความหวั่นและไม่กล้าพูดแต่เย่ซิวไม่ได้จริงจังเลย
เธอแอบกัดฟัน "คนไร้หัวใจ อย่าคิดจะหวังอีกเลย!"ในเวลานี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญ/ศิลปินด้านอักษรวิจิตรและภาพวาด กลายเป็นจุดสนใจของงานนอกจากชายสูงอายุที่ได้รับความเคารพอย่างสูงเพียงไม่กี่คนเหล่านั้นแล้ว ยังมีชายวัยกลางคนอีกด้วยหลังจากที่ทุกคนได้เรียนรู้ถึง 'ตัวตน' ของเขาแล้ว พวกเขาต่างก็ชื่นชมกันไม่หยุดปาก“ไม่คิดเลยว่าอาจารย์ต้าวจือยังหนุ่มมากขนาดนี้!”"ฉันเป็นแฟนตัวยงของอาจารย์ต้าวจือเลยนะคะ!"“อาจารย์ต้าวจือ ครั้งนี้คุณได้นำผลงานใหม่มาบ้างไหมครับ?”……‘ต้าวจือ’ ซึ่งได้รับความเคารพและยกย่องอย่างสูง เขายิ้มและตอบคำถามของทุกคนอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ เขายังชื่นชอบผู้หญิงสวยบางคนเป็นพิเศษเย่ซิวยังถามคำถาม "ผมอยากรู้ว่า อาจารย์ต้าวจือเรียนรู้กับใคร?"'ต้าวจือ' ดูภูมิใจ "ฉันเรียนรู้และทำสำเร็จด้วยตนเอง!"จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็พากันสรรเสริญเยินยอต่าง ๆ มากมายทันทีพวกเขาต่างสนใจมูลค่าทางการค้ามหาศาลของ 'ต้าวจือ'ภาพวาดสามารถขายได้มากกว่าหมื่นล้านได้อย่างง่ายดาย มันจะน่าทึ่งยิ่งกว่านี้หากมันเป็นเรื่องของการโฆษณาเกินจริงหลังจากสนุกสนานพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมาพอสมควรแล้ว งานประดิษฐ์
ไป๋อวี้เจี๋ยโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของเย่ซิว เสียงของเธอตื่นเต้นมาก “คุณเห็นไหม นี่คือไอดอลของฉันเลย”“ภาพวาดนี้ไม่มีใครเทียบได้ในโลกแล้ว ไม่ว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ ฉันจะเอามาให้ได้!”ท่าทีของเย่ซิวดูแปลก ๆ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่แนะนำเสร็จพิธีกรก็ประกาศราคาเริ่มต้นทันทีหนึ่งพันล้านบาทเช่นกันที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติศิลปินอาวุโสเท่านั้นทันทีที่เขาพูดจบ ไป๋อวี้เจี๋ยก็เป็นคนแรกที่เสนอราคา“แปดพันล้าน!” เธอดูมุ่งมั่นที่จะชนะอย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ทำให้คนอื่นกลัว“เก้าพันล้าน!”“หนึ่งหมื่นสองพันล้าน!” "หนึ่งหมื่นสามพันล้าน!" ……ย้อนกลับไปในที่เล็ก ๆ เช่นเมืองเจียงเฉิง ผลงานสองชิ้นของเย่ซิวสามารถขายได้ในราคามากกว่าหมื่นล้านบาทเมื่อมาถึงเมืองหลวง มูลค่าของมันย่อมสูงขึ้นเป็นธรรมดาในพริบตาเดียว ราคาเสนอก็ขึ้นเป็นสองหมื่นสามพันล้านบาท! บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งอาจไม่ทำกำไรได้มากขนาดนั้นในหนึ่งปีด้วยซ้ำ!ส่วนต้าวจือตัวปลอมนั้นกำลังพยายามที่จะเก็บอารมณ์ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา“ให้ตายสิ!” ไป๋อวี้เจี๋ยต้องการที่จะเสนอราคา
มุมปากของเย่ขวงกระตุกเดิมทีเขาไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เมื่อคิดทบทวนอีกทีแล้ว หากมันเป็นของปลอมขึ้นมาจริง ๆ เขาคงจะสูญเสียเงินมากกว่าสองหมื่นล้านไปโดยเปล่าประโยชน์ดังนั้นเขาจึงบอกให้คนไปนำน้ำส้มสายชูมานำภาพม้านับหมื่นมารมควันสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ม้วนกระดาษมีเพียงต้าวจือตัวปลอมเท่านั้นที่ดูไม่สบายใจอย่างมาก ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ค้นหาทางหลบหนีน่าเสียดายที่ทางออกทั้งหมดมีคนเฝ้าอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีโอกาสได้หนีม้วนภาพนั้นเมื่อสัมผัสกับน้ำส้มสายชูและรมควันแล้ว ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทันที!“มันเก่าจริง ๆ ด้วย!”“ตายจริง นี่หมายความว่าภาพวาดนี้เป็นของปลอมจริง ๆ ใช่ไหม?”……ผู้อาวุโสขยับเข้ามาใกล้เพื่อสังเกตอย่างละเอียดยิ่งกว่านั้น พวกเขายังได้นำเครื่องมือต่าง ๆ ออกมาเพื่อทำการทดสอบด้วยผลลัพธ์ที่ได้สอดคล้องกันทั้งหมดภาพวาดนี้เป็นของราชวงศ์ก่อนจริง ๆเพียงแต่ว่ามันค่อนข้างคล้ายกับลายมือของเย่ซิว ต้าวจือตัวปลอมแก้ไขมันเล็กน้อยแล้วเขาก็หลอกลวงผู้คนได้มากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเย่ขวง เขาแทบจะกำลังระเบิดด้วยโทสะการกลับมาอย่างทรงพลังของเขาเสียท่าเพราะคนโกงนี่ ทำให้ชื
จากนั้นพวกเขาก็เห็นพู่กันของเย่ซิวเคลื่อนไหวราวกับมังกรบิน จังหวะการลงพู่กันราวกับมีเทพเซียนนำทาง ลื่นไหลไปอย่างอิสระโดยไม่ต้องหยุดแม้แต่น้อยในขณะเดียวกัน ปลายพู่กันก็ไม่เคยออกห่างจากกระดาษเลย!"นี่มัน… หนึ่งจรดเซียน!" “โอ้พระเจ้า ทักษะนี้มันหายไปนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นอีกครั้ง!”“นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?”ชายชราหลายคนวิ่งไปยืนตรงหน้าเย่ซิวอย่างกระตือรือร้น และจ้องเขม็งไปที่โต๊ะมีคนงุนงงเอ่ยถามว่า "หนึ่งจรดเซียนคืออะไรเหรอ?"ผู้รู้ท่านหนึ่งอธิบายว่า “หมายความว่าตั้งแต่เริ่มจนจบทุกอย่างในการจรดพู่กันเพียงครั้งเดียว”“ในช่วงเวลาที่เขียน ปลายพู่กันจะไม่ยกขึ้นจากกระดาษ และจะไม่มีการเติมหมึกเพิ่ม”“ต้องใช้ทักษะการเขียนและการควบคุมที่สูงมากทีเดียวถึงจะบรรลุผลได้”มีอีกคนหนึ่งถามว่า “แล้วท่านอาจารย์ทั้งหลายทำไม่ได้หรือ?”ผู้อาวุโสคนหนึ่งได้ยินสิ่งนี้ก็ส่ายหัว "เราทำไม่ได้ เว้นแต่เราจะฝึกอักษรวิจิตรและวาดภาพอย่างหนักต่อไปอีกสามสิบปี!"ชายชราอีกคนก็เห็นด้วยว่า "การเขียนตัวเขียนสองสามตัวก็ยังพอเป็นไปได้ แต่การวาดภาพนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย"เฮ้อ!ทันใดนั้นก็มีคนพ่นลมหายใจด้
นี่คือคำสัญญาที่เย่ซิวให้ไว้ต่อเธอลู่เสวี่ยเอ๋อร์หลับตาของเธอลงอย่างมีความสุขวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรมากนัก ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เลยบำเพ็ญตนกับเย่ซิวตลอดลากยาวไปจนถึงห้าโมงเย็นถึงได้หยุดห้าโมงเย็น ก็เลิกงานแล้วเย่ซิวขอให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไปก่อน เนื่องจากเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเมื่อมาถึงลานจอดรถ หลางต้าก็รออยู่ข้าง ๆ รถของเย่ซิวแล้วมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่วางอยู่ที่เท้าของเขา“นายน้อย!” หลางต้าโค้งตัวลงแล้วพูด “ทุกสิ่งที่คุณต้องการเตรียมพร้อมหมดแล้วครับ”เย่ซิวพยักหน้า "ได้ นายกลับไปเถอะ"เขาใส่กระเป๋าเดินทางไว้ท้ายรถ จากนั้นขับรถออกไปจุดหมายคือบ้านเช่านอกชานเมืองที่ชูตงอาศัยอยู่เวลาที่ใช้ในการเดินทางไปและกลับจากที่ทำงานถึงที่นี่ ทุกวันคือราวสามสิบหรือสี่สิบชั่วโมงเย่ซิวดูเงินเดือนของชูตงซึ่งมากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทหลังจากหักภาษีในทุกเดือนแล้วราคาบ้านใกล้บริษัทอยู่ที่ประมาณสองหมื่นห้าพันบาท ซึ่งอิงตามหลักการแล้วเธอน่าจะแบกรับไหวถึงจะถูกเมื่อเขามาถึงบ้านเช่าของชูตง เขาก็จอดรถ ยกกระเป๋าเดินทางออกมา แล้วเดินไปที่เขตชุมชนด้านหน้าเขตชุมชนแห่งหนึ่ง ในห้องสามศูนย์แปด
"ตอนนี้คุณมีแฟนหรือยัง?"เมื่อได้ยินแบบนี้ ชูตงก็รู้สึกรังเกียจเธอแอบคิดว่าเย่ซิวประธานใหญ่คนนี้ ดูเหมือนจะซื่อตรงและมีเกียรติ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก็เหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆหลายคนเคยถามคำถามนี้กับเธอเธอรู้ตัวดีว่าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายมากจริง ๆแม้ในใจจะดูแคลน แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย “เรียนท่านประธานคะ มีแล้วค่ะ เป็นคนที่บ้านแนะนำมา ในอีกไม่กี่เดือนก็จะกลับไปหมั้นกันแล้ว”เย่ซิวขานรับอืมหนึ่งที "อืม ออกไปทำงานเถอะ"ชูตงตกตะลึงไปครู่หนึ่งเธอนึกว่าเย่ซิวจะขอให้เธอเป็นคนรักลับ ๆ ของเขาแต่เป็นแบบนี้ก็ดี ตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ยังไม่อยากลาออก อยู่ที่นี่เธอทำงานอย่างมีความสุขมากเซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์บริหารงานเข้มงวด จึงไม่มีความน่ารังเกียจทุกประเภทที่พบในที่ทำงานภายนอกปรากฏขึ้นที่นี่หลังจากที่เธอออกไป เย่ซิวก็นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของเซี่ยซิ่วซิ่ว เปิดรายชื่อพนักงาน และพบข้อมูลของชูตงเธอมาจากชนบทและเพิ่งจะเรียนจบ แต่กลับเปลี่ยนงานมามากกว่าสิบตำแหน่งแล้วในเรซูเม่ระบุว่างานเหล่านั้นทำเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ประธานหรือหัวหน้างาน
ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างด่าบริษัทเครื่องสำอางเหล่านั้นอย่างสาดเสียเทเสียว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็เลยใช้ไม้แข็ง ไร้ศีลธรรมมากเกินไปแล้วเมื่อสักครู่นี้เพิ่งมีข่าวส่งมา ว่ามีผู้คนหลายหมื่นคนของประเทศอวี้ไปซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา"เย่ซิวเตือนไปหนึ่งประโยค "ผลกำไรของเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ต้นทุนที่เพิ่มมาก็ปล่อยให้พวกเขาไปแบกรับแทนอย่างไรเสียพวกเราคือ 'เหยื่อ' และหากมีคำด่าทออะไรก็ให้บริษัทของแต่ละประเทศไปแบกรับกันเอาเอง"เซี่ยซิ่วซิ่วยิ้มอย่างมีความสุขมาก "อืม ฉันรู้แล้วเว้นเสียแต่ประเทศต่าง ๆ จะห้ามไม่ให้ผู้คนเดินทางไปยังประเทศอวี้ ธุรกิจของเราก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก"แต่มันไม่สมจริงเลยที่จะห้ามไม่ให้ผู้คนไปที่ประเทศอวี้ประเทศอวี้เป็นประเทศที่เป็นกลางอย่างยิ่ง ได้รับการคุ้มครองจากหลายร้อยประเทศ แถมยังเป็นเขตปลอดภาษีอีกด้วยใครก็ตามที่แบนมัน จะต้องเผชิญการประท้วงอย่างรุนแรงแน่นอน“จริงสิ ชิงชิงจะมาถึงบ่ายวันนี้ ฉันจะไปรับเธอ นายจะไปไหม?”เกี่ยวกับเซี่ยชิงชิง เซี่ยซิ่วซิ่วบอกเขาเมื่อวานนี้ตอนนี้ตัวหมากนี้มีผลต่อเย่ซิวไม่มากแล้วบวกกับหลังจากที่เซี่ยซิ่วซิ่วติดตามเขาเธอก็ทำง
“นาย...นายท่าน...”ภายใต้การล่อลวงอย่างต่อเนื่องของเย่ซิว น่าหลันเยียนหรานมีเพียง 'ยอมแพ้' ในที่สุดนอกจากความเขินอายที่มีอยู่ น่าหลันเยียนหรานยังรู้สึกถึงความรู้สึกที่พิเศษมาก ซึ่งมาจากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นคือความรู้สึกถูกครอบงำที่แสนประหลาด!หลังจากบำเพ็ญตนจนถึงเที่ยงคืน น่าหลันเยียนหรานก็หลับสนิทไประหว่างที่หลับ ร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้หญิงทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาก็จะขึ้นเป็นปรมาจารย์ทั้งหมดแม้ว่าในอนาคตเขาจะไม่ออกหน้า แต่ผู้หญิงข้างกายเขาเหล่านี้ก็สามารถครองยุทธภพเย่ซิวไม่ได้พักผ่อน แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ น่าหลันเยียนหราน หยิบสุราวิญญาณออกมาดื่มอึกใหญ่ แล้วใช้วิชายุทธเริ่มปรับแต่งมันอย่างเงียบ ๆตอนนี้เป้าหมายของเขาคือการเข้าสู่ขั้นอมตะให้เร็วที่สุด แบบนี้ถึงจะสามารถรู้ความหมายของคำพูดที่หยางชิงเสวี่ยพูดไว้ว่าถ้าเขาได้เธอ ก็จะได้ครอบครองพลังที่ทรงพลังมากเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อน่าหลันเยียนหรานตื่นขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่ามีพลังไหลไปทั่วทั้งร่างกาย หูและสายตาของเธอเฉียบคมขึ้น สภาพดีชนิดที่ว่าเมื่อก่อนเทียบไม่ติด“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเย่”
น่าหลันเยียนหรานหัวเราะคิกคัก "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดื่มเก่งมาก มา ดื่มกันต่อ..."โดยปกติแล้วคนที่ชอบพูดว่าตัวเองดื่มเก่ง ในความเป็นจริงล้วนไม่ค่อยจะเท่าไหร่ยกตัวอย่างเช่นน่าหลันเยียนหราน อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ดื่มไปสามแก้วติดกัน ก็นอนฟุบหมดสติไปกับโต๊ะแล้วเย่ซิวส่ายหัวอย่างหมดคำพูด เดินขึ้นไปแล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้องน่าหลันเยียนหรานดูตัวสูงเพรียว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ตัวหนัก น่าจะสักประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม สำหรับเย่ซิวแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับการอุ้มก้อนสำลีมากนักเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของน่าหลันเยียนหราน กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกมะลิก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานเมื่อได้กลิ่นห้องพักสะอาดมาก ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วต้องหน้าแดงเขาวางเธอลงเบา ๆ ไม่ทันรอให้เย่ซิวดึงมือกลับไป เธอก็ลืมตาที่แดงก่ำขึ้นแล้วพูดอย่างคลุมเครือฟังไม่ค่อยชัดแต่เย่ซิวได้ยินมันอย่างชัดเจนมาก เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "คุณแน่ใจเหรอ? ผมไม่สามารถให้สถานะแก่คุณได้"น่าหลันเยียนหรานค่อย ๆ หลับตาลง ท่าทางเหมือนยอมให้ท่านกระทำได้ทุกอย่างนี่เป็นการตัดสินใจเลือกของเธอเอง เย่ซิวไม่ได้บังค
“วิชาจินตานเบญจมหาธาตุวิถี!”เย่ซิวมองไปที่วิธีบ่มเพาะจินตานที่บันทึกไว้ในหนังสือในมือของเขาด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าการสร้างแก่นจินตาน สามารถมองได้ว่ามนุษย์กับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันโดยใช้กายมนุษย์เป็นเตาหลอม พละกำลัง ลมปราณ และพลังวิญญาณเป็นวัตถุดิบยา หลอมกลั่นมันออกมาตลอดทุกยุคสมัยล้วนมีบันทึกไว้แบบนี้ เมื่อจินตานหนึ่งเม็ดอยู่ในท้องข้า ก็ตระหนักได้แล้วว่าชะตากรรมข้ามิได้ถูกกำหนดโดยฟ้าดินอีกต่อไปและวิธีการสร้างตานในมือของเย่ซิว ก็คือหนึ่งในวิธีที่ยากที่สุดในบรรดาวิธีการต่าง ๆจำเป็นต้องรวบรวมสมบัติแห่งฟ้าดินทั้งห้าธาตุ แล้วกลั่นเป็นตานแห่งเบญจมหาธาตุวิถี!จินตานประเภทนี้จะมีพลังวิญญาณแฝงอยู่เป็นสิบเท่าของจินตานทั่วไป และความเร็วในการฟื้นตัวเองก็มากกว่าหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ในระดับขั้นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญตนที่มีตานแห่งวิถีห้าธาตุ จะสามารถเอาชนะขั้นอมตะทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้แบบข้ามขั้นที่น่ากลัวด้วยแน่นอนว่า ศักยภาพเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน สามารถไปต่อได้ไกลเย่ซิวจดทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จากนั้นนำหนังสือกลับไปคืนที่เดิม ทิ้ง
ในตอนนั้นเอง กระบี่พยัคฆ์ก็รู้สึกได้ว่าจิตสังหารที่รายล้อมรอบตัวเขาได้จางหายไปแล้วเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “ผมกำลังขาดสุนัขที่รู้จักเห่าและกัดเจ็บอยู่ สนใจจะเป็นไหม?”เขามองออกว่ากระบี่พยัคฆ์เป็นคนที่หยิ่งทะนงและไม่ยอมใคร การใช้คำพูดที่สุภาพกับคนแบบนี้คงไม่มีประโยชน์ ต้องใช้พลังที่เหนือกว่าและความเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะควบคุมได้และเป็นดังที่คาดไว้ กระบี่พยัคฆ์ที่เพิ่งโดนพลังของเย่ซิวข่มขวัญก็ยอมจำนนในทันที แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจ เขากลับยิ้มอย่างยินดี “ผมยินดีรับใช้ ขอบคุณที่คุณรับผมไว้ครับ!”ภาพนี้ทำเอานักพรตทั้งสองคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวเดินเข้าไปหานักพรตสาวที่หน้าตางดงามราวกับงานศิลปะ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “พอจะอนุญาตให้ผมเข้าไปดูหนังสือในห้องสมุดของพวกคุณได้ไหม?”นักพรตสาวกลับมาตั้งสติ ก่อนจะมองหน้านักพรตอีกคนนักพรตคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมท่าทีที่นอบน้อมอย่างมาก “ดะ…ได้เลย…เชิญโยมตามอาตมาเข้ามาได้เลย”ตอนนี้เขารู้สึกเกรงกลัวเย่ซิวเป็นอย่างยิ่งชายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเขาโกรธขึ้นมา เกรงว่าทั้งอารามเต๋าอาจถูกทำลายจนไม่เหลือเย่ซิวหันไปมองกระบี่พยัคฆ์ “คุกเข่ารอฉันตรงนี
กระบี่พยัคฆ์มีท่าทีที่ดุดันและแข็งกร้าว แต่ก็สมกับพลังที่เขามีจริง ๆกระบี่ที่เขาฟาดออกไปมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และทรงพลังดั่งมหาสมุทร ราวกับจะผ่าทั้งสวรรค์และปฐพีออกเป็นสองส่วนเด็กสาวที่วิ่งออกมาจากในอารามที่ดูงดงามราวกับตุ๊กตาได้แต่มองกระบี่นี้ด้วยความตกตะลึงเธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ด้วยพลังที่มีไม่พอจึงได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพที่เย่ซิวจะถูกแยกออกเป็นสองท่อนนักพรตหนุ่มถึงกับหน้าซีด คิดจินตนาการถึงภาพที่เย่ซิวต้องเลือดสาดเต็มพื้น“ไม่เลวเลย จอมยุทธ์ระดับแปดขั้นต้นที่สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงขั้นสูงถือว่าหายากทีเดียว”ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ มีเพียงเย่ซิวเท่านั้นที่ยังมีอารมณ์มาวิจารณ์การโจมตีนี้ด้วยท่าทีสงบ กระบี่พยัคฆ์ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน “ตายคาที่แล้วยังจะทำเป็นอวดเก่งอีก!”แต่เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผีเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ เย่ซิวใช้เพียงสองนิ้วคีบหยุดคลื่นกระบี่อันน่าสะพรึงนั้นได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกระบี่พยัคฆ์และนักพรตทั้งสอง เย่ซิวคีบคลื่นกระบี่ไว้ได้ราวกับไม่มีอ
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่เชื่ออย่างแรง “อย่ามาหลอกฉัน ถ้าเจ้าอาวาสไม่ออกมา ฉันก็ไม่ไป และวัดนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมากราบไหว้อีก!”นักพรตหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและหมดหนทาง เมื่อเจอกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งและเล่นไม่ซื่อแบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะรับมือยังไง“เฮ้ พวกเธอสองคน ไสหัวไปซะ!”ชายคนนั้นมองเย่ซิวกับน่าหลันเยียนหรานด้วยสายตาดุดันดั่งสิงโตที่กำลังคำราม ดูน่ากลัวเป็นอย่างมากนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่มาไหว้พระพากันหนีไปหมดเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “นี่เป็นที่สาธารณะ ทำไมผมต้องไปด้วย?”ชายคนนั้นแสยะยิ้ม “ไอ้หนู คิดจะโชว์แมนต่อหน้าแฟนหรือไง? อยากโดนฉันสั่งสอนใช่ไหม!”พูดจบ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเขามีเพียงผู้ที่ผ่านสมรภูมิความเป็นความตายอันโหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะสามารถแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาน่าหลันเยียนหรานตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกไปทั้งร่างชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วแต่ในวินาทีนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือใหญ่ที่อบอุ่นและแข็งแรงมาจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ เธอรู้สึกสงบลง ก่อนจะมองไปที่เย่ซิวด้วยสายตาขอบคุณนักพรตหนุ่มรีบวิ่งลงมาหาเย่ซิวพร้อมเตือนด้วยความกังวล “โย