ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะตกใจขนาดนี้แม้ว่าเขาจะต้องการแต่เขาก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะล้มบอดี้การ์ดร่างกำยำพร้อมติดอาวุธพวกนี้ภายในเวลาอันสั้น และยังทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปทันที ดวงตาของหลัวอีอีเป็นประกาย เธอมองดูเย่ซิวด้วยความชื่นชม“โอ้ คุณพระ พี่ชายหล่อเท่สุด ๆ ไปเลยค่ะ นี่สินะยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบได้ พี่ชายสู้ ๆ พี่ชายสุดยอดเลย!”ท้ายที่สุดแล้ว เธอเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และเธอก็ไม่เคยเห็นฉากที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อนนอกจากนี้ เธอยังดื้อรั้นมาก ความชื่นชมของเธอที่มีต่อเย่ซิวก็ถึงระดับที่ลึกซึ้งมากในทันทีเย่ซิวยืนอยู่ตรงกลางกลุ่มบอดี้การ์ดที่ล้มลงไปกองกับพื้น เขาดูโดดเด่นสะดุดตาราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผาเขาจ้องมองไปที่พี่เฟิงด้วยสีหน้าสงบ “ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง ส่งหลักฐานอาชญากรรมของหวังซงมาแล้วผมจะปล่อยคุณไป”ใบหน้าของพี่เฟิงทั้งซีดทั้งระคนทุกข์ และหันไปจ้องเย่ซิวด้วยสีหน้าจริงจัง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเมื่อคิดว่าตนท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายสิบปี แต่ก็ไม่เคยเจอใครที่ประหลาดและน่าขนลุกเท่าเย่ซิวมาก่อนเลยเขารู้สึกอยากจะล่าถอย และไม
และปรมาจารย์หนุ่มขนาดนี้ก็ยิ่งทำให้สิ้นหวังมากขึ้นไปอีกในขณะนี้ เขาไม่กล้าคิดที่จะแก้แค้นอีกแม้แต่น้อยในใจของเขารู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้นและสงสัยว่าทำไมตนถึงยั่วยุเทพแห่งความตายที่น่ากลัวอย่างเย่ซิวได้ ตุ้บ!พี่เฟิงคุกเข่าลงต่อหน้าเย่ซิวแล้วคำนับสามครั้งจากนั้นเขาก็พูดด้วยความเคารพ “ผมจะให้หลักฐานอาชญากรรมของหวังซงกับคุณ ช่วยปล่อยผมไปเถอะครับ”เย่ซิวทอดสายตาลงมองเขาด้วยสีหน้าไม่แยแส “นำทางไปสิ!”พี่เฟิงอดทนต่อความเจ็บปวดที่ฝ่ามือ และลุกขึ้นเดินไปที่ห้องของเขาเย่ซิวตามไป“รอฉันด้วยสิพี่ชาย”หลัวอีอีรีบวิ่งตามไป ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “พี่ชาย คุณสุดยอดจริง ๆ คุณสอนฉันฝึกยุทธด้วยได้ไหม? ฉันก็อยากเป็นฮีโร่หญิงด้วยเหมือนกัน”เย่ซิวพูดอย่างใจเย็น “ไม่”หลัวอีอีขมวดคิ้วด้วยความเสียใจเล็กน้อย “ทำไมล่ะ?”“คุณไม่มีพรสวรรค์”“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่มีพรสวรรค์? คุณยังไม่เคยเห็นเลยนะ ฉันเห็นในโทรทัศน์ว่าต้องสัมผัสกระดูกถึงจะรู้ไม่ใช่เหรอ?”“ไม่จำเป็น มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นกระต่ายหรือเหยี่ยว”ในความเป็นจริง เมื่อกี้เย่ซิวได้เห็นแล้วและพบว่าพรสวรรค์ของหลัวอีอีนั
เส้นเลือดปรากฏบนหน้าผากของเย่ซิวแม้เขาจะฝนตนเองมาอย่างดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึง “เจตนาสังหาร” ต่อเด็กสาวช่างจ้ออย่างหลัวอีอี ดังนั้น เขาจึงฟาดไปที่หลังคอของหลัวอีอีราวกับสายฟ้าทันใดนั้น ร่างกายของเธอก็อ่อนแรงและยวบลงกับพื้นเย่ซิวจับเธอไว้ก่อนจะอุ้มเธอขึ้นมาในอ้อมแขนแล้วเดินไปที่โซฟาในห้องอ่านหนังสือร่างกายของหลัวอีอีนั้นนุ่มมากเหมือนกับก้อนสำลี การได้กอดเธอไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ช่างให้ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยเนื้อสัมผัสค่อย ๆ วางเธอบนโซฟา เย่ซิวมองดูใบหน้าที่บอบบางและไร้เครื่องสำอางของเธอ แล้วส่ายหัวเล็กน้อยสาวสวยขนาดนี้ น่าเสียดายที่ปากยื่นปากยาวเสียจริงโลกทั้งโลกก็เงียบลงเย่ซิวหันไปมองพี่เฟิงขั้นแรก เขาหยิบเอกสารจำนวนหนึ่งออกมาจากตู้เซฟและมอบให้เย่ซิวด้วยความเคารพ “ท่านครับ นี่เป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานทางอาญาของหวังซงที่ผมได้รวบรวมไว้ครับ”“รวมทั้งเรื่องที่เขาปรับปรุงอาคารที่พักอาศัย การใช้วิธีอันน่ารังเกียจเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดิน เรื่องติดสินบนเจ้าหน้าที่คนสำคัญของรัฐบาล แล้วก็ยังมีข้อมูลบางส่วนที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ด้วยครับ”เย่ซิวรับเอกสารมาแล้วทอดสายตามองเนื
ใบหน้าของพี่เฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ผมได้ยินมาว่า มันเป็นโอสถที่ทรงพลังมาก มีสองเม็ด เม็ดหนึ่งสำหรับชีวิตและอีกเม็ดสำหรับความตาย”“จอมยุทธระดับที่ห้าที่ใช้โอสถชีวาอาสัญครั้งแรกจะไปถึงขั้นสูงสุดของระดับห้าในช่วงเวลาสั้น ๆ”“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่า การใช้โอสถสามารถทำให้ทะลวงไปสู่ระดับปรมาจารย์ได้ แต่ว่ากันว่าโอสถประเภทนี้มีข้อจำกัด”“การกลั่นโอสถต้องใช้เลือดของผู้กลั่นโอสถ ดังนั้น หากมีใครกินโอสถนั้นเข้าไป คนผู้นั้นก็จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้กลั่นโอสถไปตลอดชีวิต”“ยิ่งกว่านั้น ตลอดชีวิตนี้ ระดับวิทยายุทธของผมไม่สามารถทะลวงไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว หรือว่า… ท่าน!!!”จู่ ๆ พี่เฟิงก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ทั้งความคิดและจิตใจของเขาสั่นคลอนอย่างรุนแรงเย่ซิวพยักหน้า “คุณเดาได้ถูกแล้ว ผมรู้วิธีกลั่นโอสถชีวาอาสัญ แล้วคุณยินดีที่จะเป็นสุนัขรับใช้เคียงข้างผมไหมล่ะ?”นี่คือการตัดสินใจของเย่ซิวในนาทีสุดท้ายรอบตัวเขานั้นมีปรมาจารย์อยู่น้อยเกินไปเมื่อต้องเผชิญกับเรื่องยุ่งยากบางอย่าง เขาก็ต้องจัดการเรื่องเหล่านั้นด้วยตัวเองพี่เฟิงคนนี้เป็นจอมยุทธระดับห้า และโดยเนื้อแท้ของเขาก็ไม่ใช่
แม้ว่าหลัวอีอีจะเรียนมัธยมปลายเท่านั้น แต่เธอก็อายุเต็มสิบแปดปีแล้วเธอเติบโตมาอย่างดีและมีทุนทรัพย์เพียบพร้อมอย่างไรก็ตาม เย่ซิวไม่มีเจตนาร้ายอะไรต่อเธอ เขาก้าวไปข้างหน้าและตบร่างกายของเธอเบา ๆ เพื่อปลุกเธอให้ตื่นหลัวอีอีตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เธอลืมตาขึ้น ดูสับสนมึนงงเล็กน้อยฉันเป็นใคร ฉันอยู่ที่ไหน ฉันทำอะไรอยู่?ไม่นาน หลังจากนั้นเธอก็ตั้งสติได้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิว และอุทานว่า “ฉันจำได้ ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นคนที่ทำให้ฉันหมดสติ คนชั่ว คุณทำอะไรฉันใช่ไหม?”“ฮือ ฮือ ฮือ ฉันเพิ่งอายุสิบแปดปีเองนะ ทั้งบริสุทธิ์ทั้งบอบบางขนาดนี้ คุณจะทนไม่ลงมือทำได้ยังไง”“จิตสำนึกคุณมีปัญหาใช่ไหม?”เย่ซิวกลอกตามองเธอและหันหลังเดินออกไปเด็กผู้หญิงคนนี้นี่ช่างเป็นเจ้าแม่การละครเสียจริง“นี่ อย่าเพิ่งไป คุณต้องรับผิดชอบฉัน”หลัวอีอีรีบลงไปและตามเขาไปอย่างรวดเร็วเขายืนอยู่บนราวบันได เบื้องล่างมองเห็นเหล่าบอดี้การ์ดที่ถูกเขาคว่ำไปอยู่บนพื้นบางคนเริ่มกลับมาได้สติมีเรี่ยวแรงก็พยายามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาขอความช่วยเหลือเย่ซิวสะบัดนิ้ว กระแสกำลังภายในที่อัดแน่นไปด้วยพลังเข้าโจมตีอย่างแม่นยำ ท
เย่ซิวเมินเฉยต่อเธอเขาคลายมือที่โอบเอวนั้นออก และทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุสลบไปอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกเขาขับรถพาหลัวอีอีออกไปอย่างสบาย ๆในรถ ร่างช่างพูดของหลัวอีอีก็โผล่ออกมาอีกแล้วและพูดไม่หยุด“เราจะไปไหนเหรอ?”“จะกลับแล้วเหรอ?”“คุณจะพาฉันไปเปิดห้องเหรอ? ว่าแล้วเชียว ผู้ชายก็เป็นเหมือนกันหมด หึ ฉันไม่ไปด้วยหรอกนะ ฉันไม่ใช่คนใจง่ายอยู่แล้ว”คราวนี้เย่ซิวได้เรียนรู้บทเรียนเป็นอย่างดีแล้ว เขาจึงสกัดจุดหูทั้งสองข้างของเขา ดังนั้นไม่ว่าเธอจะพูดมากแค่ไหนเขาก็ไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียวผ่านไปประมาณสี่สิบนาที รถก็หยุดจอดเย่ซิวเปิดประตูรถแล้วเดินออกไปที่นี่คือตลาดผักตอนนี้เป็นเวลาตีสี่แล้วหลายคนก็เริ่มทำงานแล้วเช่นกันหลัวอีอีเองก็ลงจากรถมาด้วย ลมหนาวพัดมา และเธอก็กอดรัดร่างตัวเองตามสัญชาตญาณแต่เมื่อเธอเห็นตลาดผักขนาดใหญ่เธอก็ตะลึงเธอเห็นคนมากมายทำงานหนักเพื่อขนส่งสินค้าและยังเห็นคุณตาคุณยายอายุหกสิบเจ็ดสิบปีคอยดูแลแผงขายผักด้วยใบหน้าของพวกเขาแดงด้วยความหนาวเย็นของลมหนาวที่กัดกิน ในขณะนี้ จิตใจของหลัวอีอีได้รับผลกระทบอย่างมากนี่เป็นอีกด้านหนึ่งของเ
ในที่สุดยาในหม้อใบใหญ่ก็ถูกเคี่ยวจนกลายเป็นก้อนสีดำก้อนใหญ่เย่ซิวยังคงเคลื่อนไหวต่อไปโดยใช้กำลังภายในเข้าช่วยด้วยหลังจากผ่านไปสิบนาที ในที่สุดมันก็กลายเป็นยาเม็ดสีดำสนิทเขาเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับยาในมือ และพูดกับพี่เฟิงว่า “รับไปสิ”พี่เฟิงรับมาอย่างระมัดระวัง และกลืนยานั้นลงไปโดยไม่ลังเลรอสักครู่เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เขาคำรามไปมา มีเส้นเลือดปูดขึ้นทั่วร่างกาย และเขาดูน่ากลัวมากเย่ซิวเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆพลังของโอสถอาสัญนี้รุนแรงมาก มันเปลี่ยนร่างของเขาอย่างโหดร้ายจะเห็นได้ว่า กล้ามเนื้อของพี่เฟิงขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เขากลายเป็นชายร่างกำยำ ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็วแต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็กลับสู่สภาพเดิมทั่วร่างกายของเขาส่งกลิ่นเหม็น สิ่งสกปรกมากมายถูกขับออกจากร่างกายของเขา“แข็งแกร่งมาก ความแข็งแกร่งของผมเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหลายเท่าแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!”พี่เฟิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้เขารู้สึกหลงใหลไปกับมันอย่างมากแต่ชั่วขณะต่อมา เมื่อมองไปที่เย่ซิ่ว เขาก็แสดงท่าทีแสดงความเคารพทัน
เขาพูดอย่างเรียบง่าย แต่เมื่อตระกูลหลัวได้ฟังกลับรู้สึกหวาดหวั่น“น้องเย่ ฉันขอบคุณมาก ๆ!” หลัวฮ่าวโค้งคำนับเย่ซิวอย่างจริงจังภรรยาของเขาเองก็โค้งคำนับตามหลัวอีอีเป็นดวงใจของพวกเขาทั้งสองคนหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรหลัวเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเด็กสมัยนี้ ชักจะบังอาจเกินไปแล้ว เราต้องจัดการขั้นเด็ดขาด!”หวังเหมยลี่ก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ควรที่จะจัดการสักที ไม่อย่างนั้น ต่อไปไม่รู้จะมีเด็กผู้บริสุทธิ์อีกกี่คนที่ต้องได้รับความเสียหาย”จากนั้น เย่ซิวก็ส่งหลักฐานอาชญากรรมของหวังซงให้กับหลัวเฟิงเมื่อหลัวเฟิงเห็นหลักฐานพวกนี้ เขาทั้งตกใจและดีใจ“ฮ่าฮ่าฮ่า เยี่ยมมาก คราวนี้หวังซงหนีไม่รอดแน่!”เมื่อคืนพวกเขาคิดว่าเย่ซิวล้อพวกเขาเล่น แต่ใครจะรู้ว่าตอนเช้าจะได้เห็นหลักฐานวางอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ พวกเขาเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรกเย่ซิวพูดกับหลัวเฟิง “ท่านครับ มาให้ผมช่วยฟื้นฟูร่างกายของท่านกัน”……ในขณะเดียวกัน ณ ที่พักของหลินซวงเมื่อถึงเวลาตื่นนอน เธอก็ตื่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้น ก็พบว่ามีข้อความจำน
น่าหลันเยียนหรานหัวเราะคิกคัก "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดื่มเก่งมาก มา ดื่มกันต่อ..."โดยปกติแล้วคนที่ชอบพูดว่าตัวเองดื่มเก่ง ในความเป็นจริงล้วนไม่ค่อยจะเท่าไหร่ยกตัวอย่างเช่นน่าหลันเยียนหราน อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ดื่มไปสามแก้วติดกัน ก็นอนฟุบหมดสติไปกับโต๊ะแล้วเย่ซิวส่ายหัวอย่างหมดคำพูด เดินขึ้นไปแล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้องน่าหลันเยียนหรานดูตัวสูงเพรียว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ตัวหนัก น่าจะสักประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม สำหรับเย่ซิวแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับการอุ้มก้อนสำลีมากนักเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของน่าหลันเยียนหราน กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกมะลิก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานเมื่อได้กลิ่นห้องพักสะอาดมาก ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วต้องหน้าแดงเขาวางเธอลงเบา ๆ ไม่ทันรอให้เย่ซิวดึงมือกลับไป เธอก็ลืมตาที่แดงก่ำขึ้นแล้วพูดอย่างคลุมเครือฟังไม่ค่อยชัดแต่เย่ซิวได้ยินมันอย่างชัดเจนมาก เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "คุณแน่ใจเหรอ? ผมไม่สามารถให้สถานะแก่คุณได้"น่าหลันเยียนหรานค่อย ๆ หลับตาลง ท่าทางเหมือนยอมให้ท่านกระทำได้ทุกอย่างนี่เป็นการตัดสินใจเลือกของเธอเอง เย่ซิวไม่ได้บังค
“วิชาจินตานเบญจมหาธาตุวิถี!”เย่ซิวมองไปที่วิธีบ่มเพาะจินตานที่บันทึกไว้ในหนังสือในมือของเขาด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าการสร้างแก่นจินตาน สามารถมองได้ว่ามนุษย์กับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันโดยใช้กายมนุษย์เป็นเตาหลอม พละกำลัง ลมปราณ และพลังวิญญาณเป็นวัตถุดิบยา หลอมกลั่นมันออกมาตลอดทุกยุคสมัยล้วนมีบันทึกไว้แบบนี้ เมื่อจินตานหนึ่งเม็ดอยู่ในท้องข้า ก็ตระหนักได้แล้วว่าชะตากรรมข้ามิได้ถูกกำหนดโดยฟ้าดินอีกต่อไปและวิธีการสร้างตานในมือของเย่ซิว ก็คือหนึ่งในวิธีที่ยากที่สุดในบรรดาวิธีการต่าง ๆจำเป็นต้องรวบรวมสมบัติแห่งฟ้าดินทั้งห้าธาตุ แล้วกลั่นเป็นตานแห่งเบญจมหาธาตุวิถี!จินตานประเภทนี้จะมีพลังวิญญาณแฝงอยู่เป็นสิบเท่าของจินตานทั่วไป และความเร็วในการฟื้นตัวเองก็มากกว่าหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ในระดับขั้นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญตนที่มีตานแห่งวิถีห้าธาตุ จะสามารถเอาชนะขั้นอมตะทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้แบบข้ามขั้นที่น่ากลัวด้วยแน่นอนว่า ศักยภาพเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน สามารถไปต่อได้ไกลเย่ซิวจดทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จากนั้นนำหนังสือกลับไปคืนที่เดิม ทิ้ง
ในตอนนั้นเอง กระบี่พยัคฆ์ก็รู้สึกได้ว่าจิตสังหารที่รายล้อมรอบตัวเขาได้จางหายไปแล้วเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “ผมกำลังขาดสุนัขที่รู้จักเห่าและกัดเจ็บอยู่ สนใจจะเป็นไหม?”เขามองออกว่ากระบี่พยัคฆ์เป็นคนที่หยิ่งทะนงและไม่ยอมใคร การใช้คำพูดที่สุภาพกับคนแบบนี้คงไม่มีประโยชน์ ต้องใช้พลังที่เหนือกว่าและความเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะควบคุมได้และเป็นดังที่คาดไว้ กระบี่พยัคฆ์ที่เพิ่งโดนพลังของเย่ซิวข่มขวัญก็ยอมจำนนในทันที แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจ เขากลับยิ้มอย่างยินดี “ผมยินดีรับใช้ ขอบคุณที่คุณรับผมไว้ครับ!”ภาพนี้ทำเอานักพรตทั้งสองคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวเดินเข้าไปหานักพรตสาวที่หน้าตางดงามราวกับงานศิลปะ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “พอจะอนุญาตให้ผมเข้าไปดูหนังสือในห้องสมุดของพวกคุณได้ไหม?”นักพรตสาวกลับมาตั้งสติ ก่อนจะมองหน้านักพรตอีกคนนักพรตคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมท่าทีที่นอบน้อมอย่างมาก “ดะ…ได้เลย…เชิญโยมตามอาตมาเข้ามาได้เลย”ตอนนี้เขารู้สึกเกรงกลัวเย่ซิวเป็นอย่างยิ่งชายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเขาโกรธขึ้นมา เกรงว่าทั้งอารามเต๋าอาจถูกทำลายจนไม่เหลือเย่ซิวหันไปมองกระบี่พยัคฆ์ “คุกเข่ารอฉันตรงนี
กระบี่พยัคฆ์มีท่าทีที่ดุดันและแข็งกร้าว แต่ก็สมกับพลังที่เขามีจริง ๆกระบี่ที่เขาฟาดออกไปมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และทรงพลังดั่งมหาสมุทร ราวกับจะผ่าทั้งสวรรค์และปฐพีออกเป็นสองส่วนเด็กสาวที่วิ่งออกมาจากในอารามที่ดูงดงามราวกับตุ๊กตาได้แต่มองกระบี่นี้ด้วยความตกตะลึงเธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ด้วยพลังที่มีไม่พอจึงได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพที่เย่ซิวจะถูกแยกออกเป็นสองท่อนนักพรตหนุ่มถึงกับหน้าซีด คิดจินตนาการถึงภาพที่เย่ซิวต้องเลือดสาดเต็มพื้น“ไม่เลวเลย จอมยุทธ์ระดับแปดขั้นต้นที่สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงขั้นสูงถือว่าหายากทีเดียว”ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ มีเพียงเย่ซิวเท่านั้นที่ยังมีอารมณ์มาวิจารณ์การโจมตีนี้ด้วยท่าทีสงบ กระบี่พยัคฆ์ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน “ตายคาที่แล้วยังจะทำเป็นอวดเก่งอีก!”แต่เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผีเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ เย่ซิวใช้เพียงสองนิ้วคีบหยุดคลื่นกระบี่อันน่าสะพรึงนั้นได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกระบี่พยัคฆ์และนักพรตทั้งสอง เย่ซิวคีบคลื่นกระบี่ไว้ได้ราวกับไม่มีอ
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่เชื่ออย่างแรง “อย่ามาหลอกฉัน ถ้าเจ้าอาวาสไม่ออกมา ฉันก็ไม่ไป และวัดนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมากราบไหว้อีก!”นักพรตหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและหมดหนทาง เมื่อเจอกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งและเล่นไม่ซื่อแบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะรับมือยังไง“เฮ้ พวกเธอสองคน ไสหัวไปซะ!”ชายคนนั้นมองเย่ซิวกับน่าหลันเยียนหรานด้วยสายตาดุดันดั่งสิงโตที่กำลังคำราม ดูน่ากลัวเป็นอย่างมากนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่มาไหว้พระพากันหนีไปหมดเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “นี่เป็นที่สาธารณะ ทำไมผมต้องไปด้วย?”ชายคนนั้นแสยะยิ้ม “ไอ้หนู คิดจะโชว์แมนต่อหน้าแฟนหรือไง? อยากโดนฉันสั่งสอนใช่ไหม!”พูดจบ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเขามีเพียงผู้ที่ผ่านสมรภูมิความเป็นความตายอันโหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะสามารถแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาน่าหลันเยียนหรานตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกไปทั้งร่างชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วแต่ในวินาทีนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือใหญ่ที่อบอุ่นและแข็งแรงมาจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ เธอรู้สึกสงบลง ก่อนจะมองไปที่เย่ซิวด้วยสายตาขอบคุณนักพรตหนุ่มรีบวิ่งลงมาหาเย่ซิวพร้อมเตือนด้วยความกังวล “โย
คนส่วนใหญ่มีทัศนคติที่เกลียดชังคนรวยเหมือนกับตอนนี้ที่แม้น่าหลันเยียนหรานเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเห็นได้ชัดแต่เพียงเพราะเธอขับรถหรูและใส่เสื้อผ้าราคาแพง คนรอบข้างจึงคิดว่าเป็นความผิดของเธอเหตุการณ์แบบนี้ที่แสดงถึงความเกลียดชังคนรวยมีให้เห็นทั่วไปขณะที่น่าหลันเยียนหรานไม่รู้จะทำอย่างไรดี เย่ซิวก็ปรากฏตัวขึ้นมายืนขวางหน้าเธอไว้น่าหลันเยียนหรานยิ้มด้วยความดีใจ “คุณเย่มาที่นี่ได้ยังไงคะ”“ผ่านมาแถวนี้พอดี” เย่ซิวมองหญิงชราที่นอนขวางรถของน่าหลันเยียนหราน แล้วเอ่ยเรียบ ๆ “ลุกขึ้น แล้วไสหัวไปซะ!”หญิงชรายิ้มเยาะ “อะไร พวกเธอสองคนรวมหัวกันจะรังแกคนแก่เหรอ หน้าไม่อาย ถ้าฉันไม่ลุกพวกเธอจะทำอะไรฉันได้!”คนที่ไม่รู้จักอายมักจะได้เปรียบเสมอเย่ซิวจ้องมองเธอด้วยดวงตาที่เปล่งประกายแล้วตวาดใส่หญิงชราคนนั้น “มองฉัน!”หญิงชราหันมามองตาของเย่ซิวโดยไม่ทันรู้ตัวตึง!สมองของเธอว่างเปล่าไปชั่วขณะ ราวกับสติหายไปชั่วคราวเย่ซิวมองเธอ “บอกมาว่าทำไมถึงคิดจะหลอกคนอื่น”หญิงชราเผยความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว“ฉันเล่นไพ่นกกระจอกจนเสียเงินค่าใช้จ่ายสำหรับทั้งปีไป กลัวสามีจะด่าก็เลยคิดจะหลอกเอาเงินจากค
“พี่เป็นคนดีจริง ๆ ฉันรักพี่ที่สุดเลย”จวงเสี่ยงหยิงดีใจจนกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าเย่ซิว“พอแล้ว” เย่ซิวกดไหล่เธอลง “ผู้หญิงไม่ควรกระโดดโลดเต้นต่อหน้าผู้ชายแบบนี้ จะเสียเปรียบเอานะ”จวงเสี่ยงหยิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึง ใบหน้าเธอแดงก่ำ ก่อนจะเอ่ยด้วยความเขินอาย “พี่นี่ลามกจริง ๆ เลย คราวหน้าฉันจะกระโดดแค่ต่อหน้าพี่แค่คนเดียวดีไหมคะ?”จวงเสี่ยงหยิงเปรียบเสมือนดอกไม้ที่ยังตูมรอวันผลิบาน แผ่กลิ่นอายแห่งความสดใสและเยาว์วัยออกมาทุกอณูการได้อยู่กับสาวน้อยแบบนี้ทำให้จิตใจพลอยสดชื่นไปด้วยถ้าไม่ติดว่ายังมีเรื่องรอให้ทำอีกมากมาย เย่ซิวคงจะอยู่กับเธอนานกว่านี้หน่อยหลังจากออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว เย่ซิวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาอารามเต๋าภายในประเทศตอนนี้เขาอยู่ในขั้นสูงของการสร้างรากฐานปราณ อีกไม่นานก็จะถึงขั้นสมบูรณ์ เขาต้องเริ่มเตรียมตัวสำหรับการบ่มเพาะจินตานแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำคือหาวิธีการบ่มเพาะจินตานปัจจุบัน อารามเต๋าในประเทศที่มีอายุมากกว่าร้อยปีนั้นมีอยู่ไม่กี่แห่งเย่ซิวค้นเจออารามเต๋าห้าแห่ง หนึ่งในนั้นมีอยู่ที่เมืองหลวงและระยะทางก็ไม่ไกลมากเมื่อค้นเจอต
เย่ซิวชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะหันกลับมา “ว่าไงครับ?”หยางชิงเสวี่ยเม้มปากเล็กน้อย ดวงตางดงามจับจ้องไปยังเย่ซิวที่ยืนอย่างองอาจ “คุณต้องเร่งบำเพ็ญตนให้มากขึ้น แล้วรีบทะลวงให้ถึงระดับจินตานให้เร็วที่สุด ถึงตอนนั้น…”ประโยคหลังจากนั้นเธอไม่ได้พูดออกมา แต่แค่ขยับริมฝีปากเท่านั้นเย่ซิวเข้าใจอย่างชัดเจน จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากหยางชิงเสวี่ยมีร่างกายที่พิเศษ และต้องรอให้เย่ซิวทะลวงระดับจินตานเสียก่อนจึงจะสามารถมีสัมพันธ์กับเธอได้นี่เป็นกฎที่อาจารย์ของเขากำหนดไว้เมื่อถึงเวลาที่เขาสมหวังกับหยางชิงเสวี่ย เขาจะได้รับพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากเย่ซิวกลับไปที่ศาลา ก่อนจะหยิบจี้หยกสองชิ้นออกมา แล้วสวมให้เธอด้วยมือของเขาเองทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนกลิ่นอายความแข็งแกร่งของเขาแผ่ซ่านเข้ามาจนสัมผัสได้หยางชิงเสวี่ยรู้สึกเหมือนร่างกายถูกจุดไฟ รู้สึกอ่อนแรงและใบหน้าก็แดงระเรื่ออย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจากนั้นเย่ซิวก็คว้ามือเล็กอ่อนนุ่มของเธอไว้ ก่อนจะสวมแหวนลงบนนิ้วของเธอสองวง แล้วบอกวิธีใช้ให้เธอฟัง“ของพวกนี้ล้ำค่าเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก”หยางชิงเสวี่ยส่ายหน้า พยายามจะถอดออก“ไม่เป็นไร ของพว
ชีวิตของเธอในตอนนี้เรียบง่ายมากบางครั้งก็เรียน บางครั้งก็ไปฝึกงานที่บริษัท ชีวิตดูเต็มไปด้วยคุณค่าและมีความหมายมากเย่ซิวลูบหัวเธอเบา ๆ “มาดูว่าเธอเป็นยังไงบ้าง”สายตาของเขามองไปที่ศาลาตรงนั้นมีหญิงสาวที่ดูราวกับนางฟ้ากำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งใจมองจากมุมนี้ ใบหน้าด้านข้างของเธอสวยไร้ที่ติ ทำให้คนใจเต้นแรงแม้เพียงพบเห็น แต่ก็ไม่กล้าคิดลามกกับเธอเธอคือผู้หญิงที่มีเสน่ห์อย่างน่าอัศจรรย์คนหนึ่งเลยทีเดียวดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกถึงสายตาของเย่ซิว เธอจึงหันมองมาแล้วพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับยกมุมปากยิ้มบางเย่ซิวยิ้มตอบจวงเสี่ยวหยิงยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหึงหวง “ที่แท้ก็ไม่ได้มองแค่ฉันนี่นา”เย่ซิวหัวเราะ “เด็กน้อย ยังจะหึงอีกนะ ไปซื้อน้ำให้ฉันหน่อยสิ”“ค่ะ…”จวงเสี่ยวหยิงยู่ปากแต่ก็เดินออกไปอย่างว่าง่ายเย่ซิวเดินเข้าไปในศาลา นั่งลงตรงหน้าชิงเสวี่ยแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “คุณรู้จักที่มาที่ไปของคุณลี่หรือเปล่า?”ชิงเสวี่ยวางหนังสือลง มองเย่ซิวด้วยดวงตากลมโต พลางส่ายหัวเบา ๆ “ไม่เคยได้ยินมาก่อนค่ะ”เย่ซิวจ้องมองเธอด้วยสายตาตรงไปตรงมา จิตใจมั่นคงไม่หวั่นไหว ทำให้รู้ว่าเธอไม