คำพูดเหล่านั้นไม่เพียงแต่ทำให้หลัวฮุ่ยหมิ่นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่ยังทำให้เย่ซิวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรในขณะนั้น“นี่พ่อหนุ่ม ไม่ต้องอายไปหรอก ป้าน่ะเปิดกว้าง ขอแค่ตระกูลของพ่อหนุ่มไม่มีประวัติด่างพร้อยและไม่ทำตัวเกียจคร้าน ป้าก็ยอมให้พวกเธอทั้งสองคนคบกันแล้ว”แล้วก็ไม่จำเป็นต้องหาเงินเก่งมากหรอก ป้ากับลุงต่างก็เกษียณแล้ว และแต่ละเดือนพวกเราก็ได้รับเงินบำนาญหลายหมื่น พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงพวกป้าหรอกนะในตอนนี้ หลัวฮุ่ยหมิ่นเองก็ทำงานกับหน่วยงานสำคัญ และเงินเดือนของเธอก็ไม่ใช่น้อย ๆ ต่อไป ถ้าเธอสองคนขยันทำงาน ชีวิตคู่ก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เอง”หลัวฮุ่ยหมิ่นปิดหน้าด้วยสองมือ เธอรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นท่าทางเช่นนั้น แม่ของเธอจึงคิดว่าเธอกำลังรู้สึกเขินอายเย่ซิวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขืนไม่อธิบายตอนนี้ เธออาจจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ “เอ่อ คุณป้าครับ คุณป้าเข้าใจผิดแล้วครับ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมมาพบท่านผู้ว่าหลัว และที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อรักษาอาการให้กับท่านผู้ว่า” แม่ของเธอชะงักไปชั่วครู่ “รักษาอะไรกัน? เอ๊ะ ว่าแต่คุณพ่อเข้านอนแล
ปีนี้อายุของหลัวฮ่าวสี่สิบห้าปี ซึ่งห่างกับน้องสาวสิบห้าปีเมื่อเขากลับมาถึงบ้านแล้วเห็นเย่ซิว ผู้ชายที่มีสีหน้าแข็งกร้าวแบบเขาก็โค้งคำนับต่อเย่ซิวด้วยความจริงใจ“ขอบคุณคุณเย่ที่ช่วยชีวิตคุณพ่อของผม บุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่มีวันลืม ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยคุณได้ ตราบใดที่ไม่ขัดต่อกฎหมายของประเทศ ผมก็เต็มใจทั้งนั้น บอกมาได้เลย!”เย่ซิวยกมือขึ้นและพูดว่า “คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ ที่ผมช่วยท่านผู้ว่าหลัวเพราะผมเองก็มีธุระส่วนตัวที่ต้องการให้ท่านช่วยเหมือน”หลัวฮ่าวแสดงสีหน้าจริงจัง “ ไม่ว่ายังไงผมก็จะจำใส่ใจเอาไว้ว่า คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม!”เย่ซิวส่ายหัวและไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้ต่อแม่ของหลัวฮ่าวที่ได้ยินเสียงจึงวิ่งออกมา เมื่อเห็นหลัวเฟิงเปลี่ยนไปมาก เธอไม่สนใจว่ามีคนอยู่เยอะหรือไม่ เธอโผพุ่งเข้าไปกอดหลัวเฟิงทันที“ที่รัก คุณไม่เป็นไรอะไรแล้ว มันวิเศษมาก! ต่อไปห้ามทำงานหนักอีกนะได้ยินไหม? ถ้าคุณกล้าทิ้งฉันแล้วหนีไปคนเดียว ฉันจะไปหาผู้ชายคนอื่นสักสิบคนยี่สิบคน ฉันจะสวมเขาให้คุณอายไปเลย! ”สีหน้าของหลัวเฟิงเข้มขึ้น “คุณกล้าเหรอ? เอาสิ คอยดูละกันว่าผมจะจัดการคุณยังไง!”หลัวฮุ่ยหมิ่นเ
หลัวฮ่าวรู้สึกเขินอายมาก เขาพูดกับเย่ซิวว่า “ลูกสาวของฉันตอนนี้อยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่สาม เธออยู่ในช่วงวัยต่อต้าน เรื่องเรียนเธอก็รู้สึกกดดันมาก เธอจึงมีท่าทีแบบนั้น คุณอย่างรังเกียจเลยนะครับ”เย่ซิวยิ้ม “ไม่มีปัญหา ทานข้าวกันเถอะครับ”โดยปกติแล้ว เขาจะไม่โต้เถียงกับเด็กนิสัยเสียเช่นนี้ที่โต๊ะอาหารเย็น แม่ของหลัวฮ่าวตักอาหารให้เย่ซิวอย่างต่อเนื่องด้วยความกระตือรือร้น“นี่ ๆ ลองชิมขาหมูนี่ดู”“เนื้อเผ็ดนี้ก็ค่อนข้างดีเลย”“นี่ น่องไก่ใหญ่ ๆ เลยนะ”……หลังจากนั้นไม่นาน ถ้วยของเย่ซิวก็กองสูงขึ้นเป็นเนินหลัวฮุ่ยหมิ่นทำหน้าบูดบึ้งและพูดอย่างอิจฉาว่า “แม่ ทำไมแม่ต้องตักอาหารให้เขาด้วย แล้วหนูล่ะ? หรือว่าหนูไม่ใช่ลูกของแม่แล้วใช่ไหม?”“ใช่ ฉันไม่รักแกแล้ว แกพาแฟนมาบ้านเมื่อไหร่ แกค่อยมาเป็นลูกของฉัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย”“เห็นได้ชัดว่าลูกสาวของฉันประพฤติตนดีและเชื่อฟังมาตั้งแต่เด็ก ขยันเรียน ไม่เคยคบค้าสมาคมกับคนชั้นต่ำ ไม่เคยไปไนต์คลับเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมเด็กผู้หญิงดี ๆ แบบนี้ถึงหาแฟนไม่ได้?”แววตาคู่นั้นสื่อความหมายอย่างลึกซึ้งหลัวฮุ่ยหมินหยุดพูดและกินอย่างเชื
สิ่งที่ทำให้หลัวเฟิงและหลัวฮ่าวประหลาดใจก็คือ แม้ว่าเย่ซิวจะดูเด็กมาก แต่ความรู้ของเขาก็กว้างขวางมาก ไม่ว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่องอะไรเขาก็ตามทันได้ทุกการสนทนากว่าจะรู้ตัวก็สี่ทุ่มแล้วเย่ซิวเตือนหลัวเฟิง “นายท่าน ถึงเวลาที่คุณจะต้องพักผ่อนแล้วนะครับ”หลัวเฟิงหัวเราะเบา ๆ “ฉันเกือบลืมไปแล้ว คุณจะอยู่ต่ออีกสักสองสามวันก็ได้นะ ยังไงที่บ้านก็มีห้องว่างอยู่แล้ว”เย่ซิวส่ายหัว “ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่โรงแรมข้างนอกก็ได้”หวังเหม่ยลี่แม่ของหลัวฮ่าวออกมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ไม่ได้ ๆ โรงแรมจะสะอาดเหมือนบ้านได้ยังไง ฉันเตรียมห้องไว้ให้แล้ว คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”หลัวฮ่าวยังกล่าวอีกว่า “ใช่ อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเองเถอะ”“ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับ”อยู่ต่อก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน สำหรับเย่ซิว อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันอยู่แล้วหลังจากพูดคุยกันสักพัก พวกเขาก็กลับไปพักผ่อน ส่วนเย่ซิวเองก็กลับเข้าไปในห้องรับรองด้วยเช่นกันและเช่นเคย เขาส่งข้อความถึงหลิ่วเมิ่งอิ๋น เซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์เดิมทีโทรศัพท์ของลู่เสวี่ยเอ๋อร์ถูกยึดไปนานแล้ว ต่อมาเย่ซิวก็ได้ซื้อ
“โอเค ได้สิ นายจะพาฉันไปที่ไหนเหรอ?”เธอยังไม่เคยพบเจอกับความรุนแรงของสังคม ดังนั้น เมื่อเธอได้ยินว่า เพื่อนออนไลน์คนนี้ต้องการพาเธอไปที่ไหนสักแห่ง เธอก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ลังเลเลยเย่ซิวส่ายหัวผู้หญิงคนนี้ไร้เดียงสาเกินไป เรียกว่าโง่งมเลยก็ว่าได้ ไม่รู้จักระมัดระวังเลยสักนิดดวงตาของเด็กหนุ่มคนนั้นฉายแววมีเลศนัย เขาพาหลัวอีอีเดินไปตามริมทางเดินของถนนหลังจากเดินไปได้สักพักหนึ่งก็มาถึงหน้าบ้านที่ดูทรุดโทรมพอสมควรหลัวอีอีกะพริบตา “ที่นี่ที่ไหน? มันดูค่อนข้างน่าขนลุกนิดหน่อยนะ”“ที่นี่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียวล่ะ ตามฉันมา รับรองได้เลยว่า อีกประเดี๋ยว เธอจะได้เจอเซอร์ไพรส์ใหญ่แน่นอน"เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มพูดเช่นนี้ ดวงตาของหลัวอีอีก็แสดงความคาดหวังมากขึ้นเล็กน้อย เธอเดินตามเขาเข้าไปข้างในจากนั้น เด็กหนุ่มก็เปิดประตูเหล็กและหันไปด้านข้างพร้อมผายมือเชิญชวนหลัวอีอี“เทพธิดาของฉัน เชิญครับ”“เทพธิดาอะไรของนายเล่า? บ้าแล้ว”หลัวอีอีพูดอย่างมีความสุขขณะที่เธอย่างก้าวเดินเข้าไปด้านในทว่า สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีที่เธอเข้ามามีเด็กหนุ่มวัยรุ่นแปดหรือเก้าคนอยู่ในห้อง คนพวกนั้นสวมเสื้อผ
เด็กหนุ่มรูปร่างแข็งแกร่งคนหนึ่งยื่นมือออกไปเพื่อที่จะคว้าตัวหลัวอีอีปัง!อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มือของเขากำลังจะแตะต้องตัวของหลัวอีอี ก็มีก้อนหินก้อนหนึ่งบินเข้ามาจากหน้าต่างและกระแทกเข้ากับข้อมือของเขาเด็กหนุ่มกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เขายกมืออีกข้างจับข้อมือไว้แล้วมองไปรอบ ๆ“ใครมันแอบซุ่มทำร้ายฉัน รีบออกมาสิวะ!”กลุ่มวัยรุ่นต่างก็มองไปรอบ ๆปัง! ปัง! ปัง!จากนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากทุกทิศทางได้เลยหินทุกก้อนกระแทกเข่าอย่างแม่นยำ พวกเขาคุกเข่าลงต่อหน้าหลัวอีอีหลัวอีอีที่แต่เดิมสิ้นหวัง กลับตกตะลึงจนลืมร้องไห้ เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าเป็นฝีมือใครจากนั้น เธอก็เบิกตากว้าง เมื่อประตูเหล็กถูกเปิดออก เย่ซิ่วก็เดินเข้ามา“คุณ เป็นไปได้ยังไง!”เพียะ!เย่ซิวก้าวไปข้างหน้าและตบหน้าเธอเสียงที่คมชัดทำให้หลัวอีอีตะลึงค้างไป มือของเธอกุมแก้มที่ถูกตบและจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา“คุณตบฉันเหรอ? คุณตบฉันทำไม?!”“ตบครั้งนี้ เพื่อสอนบทเรียนแทนพ่อแม่ของคุณ!” น้ำเสียงของเย่ซิวเปลี่ยนเป็นเย็นชา“มันไม่ง่ายเลยที่พ่อแม่เลี้ยงดูคุณมา แทนที่จะตั้งใจเรียนเป็นการตอ
หลังจากรู้ว่าหลัวอีอีเป็นหลานสาวของผู้ว่าราชการหวู่เฉิง วัยรุ่นเหล่านี้ก็แข้งขาอ่อนแรงจนทรุดลงไปกับพื้นโดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาจะต้องตอบทุกสิ่งที่เย่ซิวถามโดยไม่กล้าปิดบังอะไรแม้แต่น้อย“พวกเราติดตามคนที่ชื่อพี่หนาน เขาเป็นคนที่มีอำนาจมาก เขาเป็นเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัย มีลูกน้องหลายร้อยคน พวกเราเป็นแค่ลูกน้องตัวเล็ก ๆ ของเขาเท่านั้น”เย่ซิวลากเก้าอี้มานั่งหลัวอีอียืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเชื่อฟังมีเพียงการยืนข้างเย่ซิวเท่านั้นที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย“เรียกเขามา ไม่ว่าต้องใช้วิธีไหนก็ตาม จำไว้ว่าอย่าให้เขาสงสัยเด็ดขาด”หนึ่งในนั้นกลืนน้ำลาย “ผมโทรเรียกเองครับ ผมโทรเอง”เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออกทันที จากนั้นเขาก็เปิดลำโพงเสียงรอสายดัง “ตู๊ด” เป็นครั้งที่สองและสายก็ถูกรับ เสียงที่หยาบกร้านดังมาจากอีกด้านหนึ่ง “ไอ้พวกบ้า แกจะเอาอะไรจากฉัน?”“พี่หนาน ตอนนี้พี่ยุ่งอยู่ไหมครับ? วันนี้น้องชายคนนี้ได้เจอกับสาวสวย ๆ ด้วยนะ ขาวสวยหมวยอึ๋ม เรียวขายาว ไร้เดียงสาสุด ๆ ที่สำคัญกว่านั้น เธอยังบริสุทธิ์อยู่ด้วยนะครับ ผมไม่กล้าสนุกคนเดียวหรอก เลยคิดว่าจะให้เกียรติลูกพี่ก่อนซะหน
“แกเป็นใคร? ไอ้หนู เห็นพี่หนานแล้วยังนั่งนิ่งไม่ขยับอีก รีบลุกขึ้นมาสิวะ!”ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังพี่หนานเห็นเย่ซิวนั่งนิ่งสงบอย่างนั้นก็ตำหนิเขาทันทีเย่ซิวมองไปที่พี่หนานด้วยสายตาที่ล้ำลึก “คุณคงทำเรื่องเลวร้ายมาไม่น้อยเลยสินะ ในที่อย่างหวู่เฉิง คุณทำตัวอวดดีได้ขนาดนี้ แสดงว่าจะต้องมีคนหนุนหลังคุณ”“นี่” พี่หนานเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา เขามองเย่ซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไอ้หนู ดูไม่คุ้นเคยเลยนะ แกมาจากแก๊งไหนล่ะ?”“คุณไม่คู่ควรที่จะรู้หรอก”คำพูดของเย่ซิวทำให้ลูกน้องของพี่หนานมีอารมณ์ขึ้นทีละคน พวกเขาพับแขนเสื้อขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปหาเย่ซิว“ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กนี่ แกกล้ามากนะ กล้าดียังไงมาพูดกับพี่หนานแบบนี้วะ!”“คอยดูเถอะ ฉันจะจัดการกับแกด้วยตัวเอง!”…..กลิ่นอายของพวกเขาดุร้าย ดวงตาของพวกเขาฉายแววโหดเหี้ยมหลัวอีอีกรีดร้อง เธอไม่เคยผ่านประสบการณ์การต่อสู้เช่นนี้มาก่อน และใบหน้าของเธอก็ซีดลงด้วยความหวาดกลัวดวงตาของวัยรุ่นสองสามคนเบิกกว้าง พวกเขาอยากจะดูว่า เย่ซิวจะจัดการคนที่แข็งแรงกว่าพวกนี้อย่างไรเย่ซิวนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น เมื่อคนเหล่านี้กำลังจะเข้ามาใกล้ วินาทีนั้น เขาเ
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ขวัญกำลังใจของพวกเขาได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงการทุ่มกำลังคนและอาวุธมากมายขนาดนี้ นอกจากจะไม่สามารถจับตัวเย่ซิวได้ แต่ผู้บัญชาการสูงสุดยังถูกสังหารอีก เรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้อย่างยับเยินเรื่องที่เหลือต่อจากนี้ก็จะง่ายขึ้นแล้วผู้อาวุโสมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่กล้าทิ้งกำลังทหารไว้ที่ชายแดนอีกต่อไปและต่อให้พวกเขากล้า ผู้อาวุโสเพียงขู่พวกเขาก็เพียงพอแล้วเช่นการพูดว่า ถ้าในบรรดาผู้นำระดับสูงของพวกแกมีคนที่จะต้านทานการลอบสังหารของเย่ซิวได้ก็จงอยู่ต่อไปเถอะเย่ซิวมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดไหน ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ทุกคนก็ได้เห็นกับตาแล้วดังนั้น วิกฤตครั้งนี้นอกจากจะถูกคลี่คลาย แต่ยังทำให้แต่ละประเทศเกรงกลัวประเทศหลงเถิงมากยิ่งขึ้นอย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะจัดการกับภัยแฝงที่ชื่อว่าเย่ซิวได้สำเร็จ คงไม่มีใครกล้าลงมือกับประเทศหลงเถิงง่าย ๆ แน่ เพราะผลลัพธ์ที่ตามมาคงจะร้ายแรงมาก“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ผู้อาวุโสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งลูกน้องข้างกายว่า “เอาภาพเหตุการณ์ตอนเย่ซิวต่อสู้เมื่อกี้ไปจัดเรียง แล้วเผยแพร่ทั่วทั้งอินเทอร์เน็ต”ลูกน้องตกใจ “จะไ
“ฮ่า ๆ ๆ สมแล้วที่เป็นตัวทดลองที่ประสบความสำเร็จที่สุดในช่วงหลายปีมานี้ พลังต่อสู้แข็งแกร่งมากจริง ๆ น่าเสียดายที่มันมีชีวิตอยู่ได้แค่สามถึงห้าปีเท่านั้น” โซโลเอ่ยด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นขณะมองเย่ซิวที่ถูกขวางไว้“ไม่เล่นแล้ว จบกันเสียที!”ดวงตาของเย่ซิวเปล่งประกายเย็นเยียบ ก่อนจะฟาดกระบี่ออกไปและใช้วิชาอัดปราณกระบี่หกชั้นในทันทีกระบี่พุ่งทะลุร่างของกระบี่คลั่งอย่างจัง พร้อมทั้งทำลายกุญแจมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ข้อมือและข้อเท้าของเขาจนแหลกละเอียดร่างยักษ์ของเขาทรุดตัวลงช้า ๆ ความโกรธเกรี้ยวในดวงตาค่อย ๆ เลือนหายไปและแทนที่ด้วยความสับสนทันใดนั้น ภาพความทรงจำในอดีตพลันผุดขึ้นมาในหัวของเขา ก่อนที่น้ำตาสีเลือดจะไหลออกมาจากดวงตาเขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ กับพ่อแม่มีภรรยาที่เขารัก และลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก ครอบครัวของเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจนกระทั่งวันหนึ่งก็มีกลุ่มคนบุกเข้ามา พวกมันจับตัวเขาไป และสังหารพ่อแม่ ภรรยา และลูกสาวของเขาต่อหน้าต่อตาความเกลียดชังที่ไร้จุดสิ้นสุดพวยพุ่งออกมาจากร่างของกระทิงคลั่ง แม้แต่เย่ซิวก็อดไม่ได้ที่จะหันไปม
เย่ซิวมองดูอาวุธที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น จากนั้นแสงจากแหวนผนึกของก็ส่องสว่างขึ้น เขากวาดเอาอาวุธในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดไม่ว่าจะสภาพดีหรือเสียหายใส่เข้าไปในแหวนยังไงอาวุธพวกนี้ก็พอขายทำเงินได้บ้าง อย่างน้อยก็ช่วยชดเชยความเสียหายจากครั้งนี้ได้บางส่วน“อ๊าวว…”เสี่ยวปิงถอยกลับมา ก่อนที่ร่างกายหดเล็กลงจนเหมือนลูกสุนัขอีกครั้ง ทั่วตัวมันเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดไหลไม่หยุดเพราะมันยังไม่เข้าสู่ระดับจินตานจึงไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เต็มที่แต่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ก็ช่วยให้เย่ซิวฟื้นพลังวิญญาณกลับมาได้ครึ่งหนึ่งแล้วส่วนเสี่ยวปิงเองก็สามารถสังหารทหารแนวหน้าได้หกถึงเจ็ดร้อยคน ผลลัพธ์นี้ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้วเย่ซิวเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงทันทีพร้อมกับปลุกพลังเปลวไฟลุกท่วมร่าง เขากำลังจะเตรียมพุ่งทะลวงแล้วเมื่อโซโลเห็นสายตาของเย่ซิว เขาก็ทั้งตกใจทั้งโมโหในเวลาเดียวกัน ก่อนจะหันไปมองเงามืดด้านหลัง “กระทิงคลั่ง คราวนี้ถึงตาแกแล้ว ต่อให้ต้องเผาผลาญยีนของแก แกก็ต้องหยุดมันให้ได้!”จากเงามืดนั้นปรากฏชายร่างยักษ์ที่ดูแข็งแกร่งเกินมนุษย์กล้ามเนื้อของเขาแน่นหนาราวกับ
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เย่ซิวก็บุกทะลวงไปได้กว่าสองพันเมตรระหว่างทางเขาได้ทำลายรถถัง ทหารระดับแนวหน้า และอาวุธต่าง ๆ กว่าหลายพันชิ้นเพียงชายหนึ่งคนกับกระบี่หนึ่งเล่ม แต่กลับแสดงพลังการต่อสู้ที่น่าทึ่ง!พร้อมทั้งปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ฝูงโดรนจำนวนมากบินมาเป็นระลอกเหนือตัวเขา ก่อนจะระเบิดใส่เย่ซิวจากทุกทิศทาง แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยเย่ซิวเหวี่ยงกระบี่ดาวตกในมือออกไปแสงกระบี่พุ่งออกไปราวสายรุ้ง ทุกสิ่งที่สัมผัสถูกทะลวงอย่างไร้ความปรานีจากนั้นเขาก็วางมือทั้งสองลงบนพื้น พลางเอ่ยเสียงต่ำ “หอกมังกรดิน!”หนามดินขนาดมหึมาผุดขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะแทงทะลุเหล่าทหารแนวหน้าทันที อาคมปกคลุมไปทั่วพื้นที่กว้างกว่าหมื่นเมตรเย่ซิวจับกระบี่ดาวตกที่บินกลับมาได้อย่างแม่นยำ ก่อนจะทะยานต่อไปอีกสองพันเมตรการโจมตีเริ่มถี่ขึ้นเรื่อง ๆ ฝ่ายศัตรูก็เข้าสู่โหมดโกรธจัด ก่อนจะปล่อยท่าไม้ตายที่รุนแรงทุกชนิดออกมา ทำให้เย่ซิวต้องใช้พลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเขาเรียกกระบี่หงส์โบยบินออกมาและใช้พลังจิตควบคุมกระบี่สองเล่มให้พุ่งทะลวงซ้ายขวาเข้าโจมตีศัตรูดาบ
“นายคิดว่าตัวเองไร้เทียมทานงั้นเหรอ? ดี งั้นฉันจะคอยดูว่าแกจะไปได้สักกี่น้ำ ทุกหน่วยเตรียมพร้อม ล็อกเป้าหมาย เปิดฉากยิงเต็มกำลัง!”ตูม! ตูม! ตูม!ลูกระเบิดจำนวนมหาศาลถูกยิงออกมาเหมือนพายุที่ถาโถมใส่เย่ซิวอย่างบ้าคลั่งการโจมตีรุนแรงจนยากจะหาคำมาบรรยายในภาพจากห้องควบคุมของทั้งสองฝ่าย ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเปลวไฟที่ปกคลุมไปทั่วผู้อาวุโสแห่งประเทศหลงเถิงทุบหมัดลงบนแผงควบคุมอย่างแรง “น่ารังเกียจนัก ถ้าพวกเราแข็งแกร่งกว่านี้อีกหน่อย พวกมันจะกล้าท้าทายเราขนาดนี้ได้ยังไง!”เขารู้สึกผิดอย่างมาก คิดว่าเป็นเพราะความอ่อนแอของประเทศที่ทำให้เย่ซิวต้องเสียสละตัวเองเขาจ้องมองหน้าจอที่เต็มไปด้วยเปลวไฟ ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “เจ้าเด็กบ้านี่ต้องรอดกลับมาให้ได้นะ นายคือความหวังของพวกเรา”ผู้อาวุโสรู้ความลับบางอย่างที่คนธรรมดาไม่อาจล่วงรู้เดิมทีเขาตั้งใจจะหาโอกาสเล่าเรื่องนี้ให้เย่ซิวฟัง แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก่อนโซโลหัวเราะลั่น “โจมตีไปขนาดนี้ ต่อให้แก…”เขาพูดยังไม่ทันจบก็ต้องหยุดชะงักทันทีเย่ซิวพุ่งออกมาจากจุดศูนย์กลางของการระเบิดพร้อมกับฟาดกระบี่ออกไปคลื่นกระบี่ยาวนับพันเมต
หลังจากเย่ซิวออกมาจากห้องของหยางชิงเสวี่ย เขาก็ตรงไปยังสวนสมุนไพรทันทีจากนั้นก็ไปหาหลี่อวี่ถงและขอให้เธอคัดลอกผลงานวิจัยล่าสุดมาให้เขาชุดหนึ่งจากนั้นก็รีบไปหาถังเขอเข่อต่อช่วงนี้ถังเข่อเข่อกำลังยุ่งอยู่กับการวิจัยเทคโนโลยีต่าง ๆ เลยยังไม่รู้เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นภายนอกเมื่อเห็นเย่ซิวมา เธอจึงสงสัยเล็กน้อยว่าเกิดอะไรขึ้น?เย่ซิวไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามตรง ๆ ทันทีว่า “ตอนนี้คุณสร้างหุ่นยนต์ไปได้กี่ตัวแล้ว? เอาแบบที่ติดอาวุธด้วยนะ”“ตัวที่สามเพิ่งออกจากสายการผลิต ทำไมเหรอ?”“พาผมไปดูหน่อย”เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเย่ซิว ถังเขอเข่อเองก็เริ่มรู้สึกตึงเครียดไปด้วย เธอรีบพาเขาไปยังที่เก็บหุ่นยนต์ทันทีหุ่นยนต์สามตัวสูงสิบกว่าเมตรตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่นตัวเกราะถูกพ่นสีดำล้วน มือข้างหนึ่งถือดาบมังกรครองจันทร์ ส่วนมืออีกข้างถือโล่ด้านหลังติดตั้งอาวุธปืนหกกระบอก และที่หัวไหล่ทั้งสองข้างมีส่วนที่นูนขึ้นมาถังเขอเข่ออธิบายว่าส่วนนูนนี้บรรจุโดรนขนาดเล็กสามตัว ซึ่งสามารถใช้ทั้งการสอดแนมและการโจมตีแบบแม่นยำได้ เรียกได้ว่าอาวุธครบครันลยทีเดียวเย่ซิวเก็บหุ่นยนต์ทั้งสามตัวเข้าไปในแหวน
หากเกิดสงครามขึ้น ผลที่ตามมาย่อมยากจะคาดเดาแม้พลังของเย่ซิวในตอนนี้จะแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่หากประเทศเหล่านั้นยิงขีปนาวุธเข้ามาพร้อมกันหมด ลำพังตัวเขาเองคงไม่มีทางสกัดกั้นได้ทั้งหมดแน่นอนเพียงแค่พลาดไปลูกเดียว ก็อาจสร้างความเสียหายมหาศาลแก่ประชาชนในประเทศหากมันตกลงในเมืองใหญ่ ชีวิตของผู้คนนับล้านอาจสูญสิ้นในชั่วพริบตาเย่ซิวยิ้มบาง “จะให้ทำยังไงได้? คงไม่ถึงขั้นปล่อยให้คนจำนวนมากต้องตายไปพร้อมกับผมหรอก”เขาหันกลับมาหาหยางชิงเสวี่ย แล้วยื่นมือออกไป “เอามาสิ”“อะไรเหรอ?”“ของสำคัญที่แสดงถึงตัวตนของผู้นำสำนักเยียนอวี่ อย่าบอกนะว่าไม่มีของแบบนั้น”หยางชิงเสวี่ยพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินไปที่ตู้ จากนั้นก็ก้มลงเปิดมันจากมุมมองของเย่ซิวในตอนนี้ จังหวะที่หยางชิงเสวี่ยก้มตัวลงนั้นทำให้เห็นส่วนโค้งกลมกลึงเขารู้สึกวูบวาบเล็กน้อยจึงเบือนสายตาไปทางอื่นผู้หญิงคนนี้ช่างดึงดูดจนทำให้ใครก็ยากจะถอนตัวจากเธอได้หยางชิงเสวี่ยหยิบเหรียญตราที่ทำจากวัสดุบางอย่างจากตู้แล้วส่งให้เย่ซิวตรานั้นให้สัมผัสอบอุ่น บนพื้นผิวมีตัวอักษรสองตัวสลักไว้ว่า ‘เยียนอวี่’เย่ซิวเก็บตราไว้อย่างระมัดระวัง ก
การจุติจากเปลวเพลิง!ความสามารถนี้คือการที่เย่ซิวสามารถคืนชีพจากเปลวเพลิงได้หลังจากถูกสังหารนับเป็นความสามารถที่เหนือธรรมชาติและทรงพลังถึงขีดสุด ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เกิดใหม่ พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้นด้วยข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวคือความสามารถนี้สามารถใช้ได้เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้นเมื่อเย่ซิวได้รับความสามารถนี้ เขาก็ถึงกับตกตะลึงอยู่พักใหญ่เขาก้มมองหยางชิงเสวี่ยที่ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง ในใจของเขาเริ่มคาดเดาถึงภูมิหลังและตัวตนที่แท้จริงของเธอแต่สำหรับข้อสันนิษฐานนั้น เขาไม่มีทางพิสูจน์ได้ และแม้จะถามเธอ เธอก็คงไม่พูดอะไรอยู่ดีเย่ซิวนั่งขัดสมาธิ ก่อนจะรวบรวมสมาธิ และสำรวจร่างกายหลังจากถูกเปลวไฟเผาผลาญจิตวิญญาณก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในทันทีพลังวิญญาณของเย่ซิวเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลราวกับเป็นผลลัพธ์จากการบำเพ็ญตนอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาหนึ่งถึงสองปีเขาค่อย ๆ ใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับพลังที่เพิ่มขึ้นก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆหยางชิงเสวี่ยดูเหมือนมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป แต่เย่ซิวอธิบายไม่ได้ว่าเปลี่ยนตรงไหนแต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจ
“คุณค่อย ๆ ดูไปก่อนนะ ฉันจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือจะไปรอฉันที่ห้องนอนก็ได้”เธอพูดด้วยน้ำเสียงสงบเหมือนกำลังคุยเรื่องอาหารเย็นว่าจะกินอะไร“คุณไปเถอะ”เย่ซิวตอบก่อนจะตั้งใจอ่านเอกสารทั้งหมด โดยจดจำข้อมูลทุกอย่างลงในสมองสำหรับข้อมูลองค์กรขนาดใหญ่เช่นนี้ หากให้เย่ซิวสร้างขึ้นด้วยตัวเอง คงใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกปีกว่าจะสำเร็จได้แต่ชื่นชมว่าอาจารย์เขาช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!อีกด้านหนึ่ง หยางชิงเสวี่ยเดินกลับไปที่ห้องนอนก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าสายตาเธอจับจ้องที่ชุดเดรสตัวยาวสีแดงชุดหนึ่งบนเดรสตัวนั้นปักลายหงส์กางปีกโบยบินด้วยด้ายทองอย่างวิจิตรบรรจงหงส์ตัวนั้นดูเหมือนมีชีวิตจริง ๆ ราวกับสามารถโบยบินออกมาจากชุดได้ทุกเมื่อหยางชิงเสวี่ยลูบชุดเดรสนั้นเบา ๆ ภาพความทรงจำบางอย่างปรากฏขึ้นในหัวของเธอ จากนั้นเธอก็หยิบชุดและเดินเข้าไปในห้องน้ำทันทีปกติแล้วหยางชิงเสวี่ยมักจะแต่งตัวอย่างเรียบร้อยและสุภาพเสมอแต่เมื่อเธอปลดพันธนาการออกจากร่างกายแล้ว ความงดงามสมบูรณ์แบบของเธอก็เผยออกมา ต่อให้นางแบบระดับโลกมาอยู่ตรงหน้าเธอก็ยังเทียบไม่ติดเสียงน้ำจากฝักบัวไหลรินลงมาชโลมร่างกายของ