เมื่อมาถึงบ้านพักของหลัวเฟิงบ้านพักของเขาค่อนข้างเรียบง่าย การตกแต่งก็ดูเรียบ ๆ ซึ่งดูไม่เข้ากับสถานะของเขา“น้องชาย เชิญนั่งก่อน”หลังจากหลัวเฟิงเชิญเย่ซิวให้นั่งลง เขาก็จัดการชงชาให้เย่ซิวด้วยตัวเองความรู้สึกที่สามารถดูแลตัวเองได้แบบนี้ มันทำให้เขา กลับมามีความสุขอีกครั้งเมื่อทั้งสองนั่งลง เย่ซิวไม่พูดจาอ้อมค้อมให้เสียเวลาและเอ่ยความต้องการของเขาออกมาทันทีหลัวเฟิงมองเขาด้วยความชื่นชม “ไม่เลวเลยนะ คุณเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ทำอะไรไม่ปิดบัง นี่แหละถึงจะเรียกว่าชายชาตรี”ยิ่งได้มองเย่ซิวมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกถูกใจมากขึ้นเท่านั้นเย่ซิวยิ้มและพูดขึ้นว่า “ท่านผู้ว่าครับ เนื่องจากร่างกายของท่านยังไม่หายดีเต็มที่ ผมจึงจะขออยู่ที่นี่อีกสักห้าวันและในทุก ๆ วัน ผมจะใช้กำลังภายในช่วยฟื้นฟูร่างกายของท่าน รักษาควบคู่ไปพร้อมกับยาที่ผมให้ไป และอีกไม่นานท่านก็จะหายดีอย่างสมบูรณ์ครับ”หลัวเฟิงรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง “ฉันจะไม่พูดขอบคุณให้มันมากละกัน แต่น้องชาย คุณวางใจได้เลย ฉันจะไม่ยอมให้คุณได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน!”เขาไม่สามารถให้การดูแลพิเศษหรือให้สิทธิพิเศษได้แต่
สายตาของสองพ่อลูกที่มองไปทางเย่ซิวราวกับกำลังมองสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวใช้เวลานานพอสมควรกว่าสติของสองพ่อลูกจะกลับมาหลัวฮุ่ยหมิ่นส่ายหัวเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า “ฉันอายุมากกว่าคุณนิดหน่อย ถ้างั้นฉันจะเรียกคุณว่าน้องชายก็แล้วกัน คืนนี้ต้องอยู่ทานข้าวด้วยกัน คุณห้ามปฏิเสธนะ”เมื่อพูดจบ เธอก็ไม่ให้เย่ซิวได้มีโอกาสตอบและปรี่ไปที่ประตูเพื่อเก็บอาหารที่ตกอยู่บนพื้น จากนั้นเธอก็ปิดประตูลงแล้วรีบไปที่ครัวหลัวเฟิงเป็นคนทำงานรวดเร็วและเด็ดขาด เนื่องจากตอนนี้เขาหายดีแล้ว เมื่อเขาได้ยินความกังวลของเย่ซิว เขาจึงลุกขึ้นทันทีและพูดว่า“คุณนั่งรอตรงนี้ก่อน ฉันจะไปที่หน่วยงานเพื่อเตือนสติให้จางต้งเหลียงไม่กล้าเล่นเล่ห์กับคุณ”เย่ซิวพยักหน้า “รบกวนด้วยนะครับ”หลัวจากหลัวเฟิงเดินจากไปได้ไม่นาน บอดี้การ์ดคนที่ออกไปร้านขายยาก็ได้ซื้อเครื่องยาสมุนไพรที่เย่ซิวต้องการกลับมาแล้วเย่ซิวนำยาสมุนไพรเหล่านั้นไปที่ห้องครัว เพื่อเตรียมที่จะสอนสูตรต้มยากับหลัวฮุ่ยหมิ่น“โอ๊ย!”หลัวฮุ่ยหมิ่นที่กำลังหั่นผักอยู่ ทันใดนั้น เธอก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเธอทิ้งมีดลงและจับนิ้วของตัวเองไว้นิ้วมือถูก
“เอาล่ะ การประชุมในวันนี้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ทุกคนแยกย้ายกันได้ครับ”ภายในห้องประชุม จางต้งเหลียงเอ่ยประกาศปิดการประชุมตำแหน่งนี้ เดิมทีควรเป็นของหลัวเฟิง แต่ตอนนี้กลายเป็นของเขาไปแล้วและข้อเสนอต่าง ๆ ที่หลัวเฟิงเคยปัดตกไป เมื่อเปลี่ยนมือแล้ว จางต้งเหลียงก็อนุมัติข้อเสนอเหล่านั้นใหม่อีกครั้งหลัวฮ่าวลูกชายของหลัวเฟิงโกรธมาก แต่เขารู้ว่ากำลังของตัวเองในตอนนี้ ไม่สามารถต่อกรกับจางต้งเหลียงได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่อดทนอย่างเงียบ ๆ จางต้งเหลียงมองดูท่าทางโกรธเกรี้ยวของหลัวเฟิง พร้อมกับแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจบนใบหน้าตอนนี้อำนาจในองค์กรเกือบทั้งหมดตกในอยู่ในมือของเขาแล้วเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างในหวู่เฉิง เปรียบดั่งท้องฟ้าที่ปกคลุมทุกสิ่ง และพื้นดินที่รองรับทุกอย่าง ใครก็ตามที่กล้าต่อกรกับเขา ย่อมต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถในขณะที่เขากำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จ ทันใดนั้น ประตูก็ถูกผลักเปิดออกทุกคนหันไปมองที่ประตูโดยไม่รู้ตัว จากนั้น แต่ละคนก็เผยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาออกมาจางต้งเหลียงถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจหลัวเฟิงเดินเข้ามาอย่างสง่าด้วยร่างกา
ท่านหวังวางมาดอย่างสง่า “เรื่องทานข้าวเอาไว้ก่อนเถอะ รบกวนคุณเรียกเพื่อนร่วมงานไปดูที่ไซต์งานของบริษัทสตาร์รี่สกายหน่อย ผมสงสัยว่าพวกเขาอาจจะลดคุณภาพวัสดุ“ได้ครับท่าน เราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย”เขาได้เรียกผู้บริหารระดับสูงของเมืองเจียงเฉิงเป็นจำนวนมาก เพื่อไปยังไซต์งานก่อสร้างพร้อมกันรถเจ็ดถึงแปดคันมุ่งหน้าไปยังไซต์งานที่กำลังส่งเสียงดังครึกโครมและยังมีหน่วยลาดตระเวนจำนวนมากเดินตรวจตราอยู่ข้างหน้าไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหน้าไซต์งาน ท่านหวังลงจากรถ มองไปที่ประตูไซต์งาน มุมปากเผยให้เห็นความโหดเหี้ยมเขายกขาขึ้นเตรียมจะก้าวเข้าไป ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นจางต้งเหลียงที่โทรมา ทันใดนั้น เขาก็มีสีหน้าจริงจังขึ้น เขารีบรับสายทันทีพร้อมกับก้มตัวเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพนอบน้อม“ท่านจาง ท่านมีคำสั่งอะไรหรือเปล่าครับ?”ปลายสาย เสียงของจางต้งเหลียงฟังดูเร่งรีบมาก “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนแล้ว?”“ตอนนี้ผมถึงหน้าประตูไซด์งานแล้วครับท่าน อีกสักพักหนึ่ง ผมก็จะสั่งให้พวกเขาหยุดการทำงาน ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ท่านวางใจได้เลยครับ”“รีบกลับไปเดี๋ยว
คำพูดเหล่านั้นไม่เพียงแต่ทำให้หลัวฮุ่ยหมิ่นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่ยังทำให้เย่ซิวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรในขณะนั้น“นี่พ่อหนุ่ม ไม่ต้องอายไปหรอก ป้าน่ะเปิดกว้าง ขอแค่ตระกูลของพ่อหนุ่มไม่มีประวัติด่างพร้อยและไม่ทำตัวเกียจคร้าน ป้าก็ยอมให้พวกเธอทั้งสองคนคบกันแล้ว”แล้วก็ไม่จำเป็นต้องหาเงินเก่งมากหรอก ป้ากับลุงต่างก็เกษียณแล้ว และแต่ละเดือนพวกเราก็ได้รับเงินบำนาญหลายหมื่น พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงพวกป้าหรอกนะในตอนนี้ หลัวฮุ่ยหมิ่นเองก็ทำงานกับหน่วยงานสำคัญ และเงินเดือนของเธอก็ไม่ใช่น้อย ๆ ต่อไป ถ้าเธอสองคนขยันทำงาน ชีวิตคู่ก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เอง”หลัวฮุ่ยหมิ่นปิดหน้าด้วยสองมือ เธอรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นท่าทางเช่นนั้น แม่ของเธอจึงคิดว่าเธอกำลังรู้สึกเขินอายเย่ซิวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขืนไม่อธิบายตอนนี้ เธออาจจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ “เอ่อ คุณป้าครับ คุณป้าเข้าใจผิดแล้วครับ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมมาพบท่านผู้ว่าหลัว และที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อรักษาอาการให้กับท่านผู้ว่า” แม่ของเธอชะงักไปชั่วครู่ “รักษาอะไรกัน? เอ๊ะ ว่าแต่คุณพ่อเข้านอนแล
ปีนี้อายุของหลัวฮ่าวสี่สิบห้าปี ซึ่งห่างกับน้องสาวสิบห้าปีเมื่อเขากลับมาถึงบ้านแล้วเห็นเย่ซิว ผู้ชายที่มีสีหน้าแข็งกร้าวแบบเขาก็โค้งคำนับต่อเย่ซิวด้วยความจริงใจ“ขอบคุณคุณเย่ที่ช่วยชีวิตคุณพ่อของผม บุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่มีวันลืม ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยคุณได้ ตราบใดที่ไม่ขัดต่อกฎหมายของประเทศ ผมก็เต็มใจทั้งนั้น บอกมาได้เลย!”เย่ซิวยกมือขึ้นและพูดว่า “คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ ที่ผมช่วยท่านผู้ว่าหลัวเพราะผมเองก็มีธุระส่วนตัวที่ต้องการให้ท่านช่วยเหมือน”หลัวฮ่าวแสดงสีหน้าจริงจัง “ ไม่ว่ายังไงผมก็จะจำใส่ใจเอาไว้ว่า คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม!”เย่ซิวส่ายหัวและไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้ต่อแม่ของหลัวฮ่าวที่ได้ยินเสียงจึงวิ่งออกมา เมื่อเห็นหลัวเฟิงเปลี่ยนไปมาก เธอไม่สนใจว่ามีคนอยู่เยอะหรือไม่ เธอโผพุ่งเข้าไปกอดหลัวเฟิงทันที“ที่รัก คุณไม่เป็นไรอะไรแล้ว มันวิเศษมาก! ต่อไปห้ามทำงานหนักอีกนะได้ยินไหม? ถ้าคุณกล้าทิ้งฉันแล้วหนีไปคนเดียว ฉันจะไปหาผู้ชายคนอื่นสักสิบคนยี่สิบคน ฉันจะสวมเขาให้คุณอายไปเลย! ”สีหน้าของหลัวเฟิงเข้มขึ้น “คุณกล้าเหรอ? เอาสิ คอยดูละกันว่าผมจะจัดการคุณยังไง!”หลัวฮุ่ยหมิ่นเ
หลัวฮ่าวรู้สึกเขินอายมาก เขาพูดกับเย่ซิวว่า “ลูกสาวของฉันตอนนี้อยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่สาม เธออยู่ในช่วงวัยต่อต้าน เรื่องเรียนเธอก็รู้สึกกดดันมาก เธอจึงมีท่าทีแบบนั้น คุณอย่างรังเกียจเลยนะครับ”เย่ซิวยิ้ม “ไม่มีปัญหา ทานข้าวกันเถอะครับ”โดยปกติแล้ว เขาจะไม่โต้เถียงกับเด็กนิสัยเสียเช่นนี้ที่โต๊ะอาหารเย็น แม่ของหลัวฮ่าวตักอาหารให้เย่ซิวอย่างต่อเนื่องด้วยความกระตือรือร้น“นี่ ๆ ลองชิมขาหมูนี่ดู”“เนื้อเผ็ดนี้ก็ค่อนข้างดีเลย”“นี่ น่องไก่ใหญ่ ๆ เลยนะ”……หลังจากนั้นไม่นาน ถ้วยของเย่ซิวก็กองสูงขึ้นเป็นเนินหลัวฮุ่ยหมิ่นทำหน้าบูดบึ้งและพูดอย่างอิจฉาว่า “แม่ ทำไมแม่ต้องตักอาหารให้เขาด้วย แล้วหนูล่ะ? หรือว่าหนูไม่ใช่ลูกของแม่แล้วใช่ไหม?”“ใช่ ฉันไม่รักแกแล้ว แกพาแฟนมาบ้านเมื่อไหร่ แกค่อยมาเป็นลูกของฉัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย”“เห็นได้ชัดว่าลูกสาวของฉันประพฤติตนดีและเชื่อฟังมาตั้งแต่เด็ก ขยันเรียน ไม่เคยคบค้าสมาคมกับคนชั้นต่ำ ไม่เคยไปไนต์คลับเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมเด็กผู้หญิงดี ๆ แบบนี้ถึงหาแฟนไม่ได้?”แววตาคู่นั้นสื่อความหมายอย่างลึกซึ้งหลัวฮุ่ยหมินหยุดพูดและกินอย่างเชื
สิ่งที่ทำให้หลัวเฟิงและหลัวฮ่าวประหลาดใจก็คือ แม้ว่าเย่ซิวจะดูเด็กมาก แต่ความรู้ของเขาก็กว้างขวางมาก ไม่ว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่องอะไรเขาก็ตามทันได้ทุกการสนทนากว่าจะรู้ตัวก็สี่ทุ่มแล้วเย่ซิวเตือนหลัวเฟิง “นายท่าน ถึงเวลาที่คุณจะต้องพักผ่อนแล้วนะครับ”หลัวเฟิงหัวเราะเบา ๆ “ฉันเกือบลืมไปแล้ว คุณจะอยู่ต่ออีกสักสองสามวันก็ได้นะ ยังไงที่บ้านก็มีห้องว่างอยู่แล้ว”เย่ซิวส่ายหัว “ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่โรงแรมข้างนอกก็ได้”หวังเหม่ยลี่แม่ของหลัวฮ่าวออกมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ไม่ได้ ๆ โรงแรมจะสะอาดเหมือนบ้านได้ยังไง ฉันเตรียมห้องไว้ให้แล้ว คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”หลัวฮ่าวยังกล่าวอีกว่า “ใช่ อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเองเถอะ”“ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับ”อยู่ต่อก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน สำหรับเย่ซิว อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันอยู่แล้วหลังจากพูดคุยกันสักพัก พวกเขาก็กลับไปพักผ่อน ส่วนเย่ซิวเองก็กลับเข้าไปในห้องรับรองด้วยเช่นกันและเช่นเคย เขาส่งข้อความถึงหลิ่วเมิ่งอิ๋น เซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์เดิมทีโทรศัพท์ของลู่เสวี่ยเอ๋อร์ถูกยึดไปนานแล้ว ต่อมาเย่ซิวก็ได้ซื้อ
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ขวัญกำลังใจของพวกเขาได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงการทุ่มกำลังคนและอาวุธมากมายขนาดนี้ นอกจากจะไม่สามารถจับตัวเย่ซิวได้ แต่ผู้บัญชาการสูงสุดยังถูกสังหารอีก เรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้อย่างยับเยินเรื่องที่เหลือต่อจากนี้ก็จะง่ายขึ้นแล้วผู้อาวุโสมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่กล้าทิ้งกำลังทหารไว้ที่ชายแดนอีกต่อไปและต่อให้พวกเขากล้า ผู้อาวุโสเพียงขู่พวกเขาก็เพียงพอแล้วเช่นการพูดว่า ถ้าในบรรดาผู้นำระดับสูงของพวกแกมีคนที่จะต้านทานการลอบสังหารของเย่ซิวได้ก็จงอยู่ต่อไปเถอะเย่ซิวมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดไหน ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ทุกคนก็ได้เห็นกับตาแล้วดังนั้น วิกฤตครั้งนี้นอกจากจะถูกคลี่คลาย แต่ยังทำให้แต่ละประเทศเกรงกลัวประเทศหลงเถิงมากยิ่งขึ้นอย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะจัดการกับภัยแฝงที่ชื่อว่าเย่ซิวได้สำเร็จ คงไม่มีใครกล้าลงมือกับประเทศหลงเถิงง่าย ๆ แน่ เพราะผลลัพธ์ที่ตามมาคงจะร้ายแรงมาก“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ผู้อาวุโสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งลูกน้องข้างกายว่า “เอาภาพเหตุการณ์ตอนเย่ซิวต่อสู้เมื่อกี้ไปจัดเรียง แล้วเผยแพร่ทั่วทั้งอินเทอร์เน็ต”ลูกน้องตกใจ “จะไ
“ฮ่า ๆ ๆ สมแล้วที่เป็นตัวทดลองที่ประสบความสำเร็จที่สุดในช่วงหลายปีมานี้ พลังต่อสู้แข็งแกร่งมากจริง ๆ น่าเสียดายที่มันมีชีวิตอยู่ได้แค่สามถึงห้าปีเท่านั้น” โซโลเอ่ยด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นขณะมองเย่ซิวที่ถูกขวางไว้“ไม่เล่นแล้ว จบกันเสียที!”ดวงตาของเย่ซิวเปล่งประกายเย็นเยียบ ก่อนจะฟาดกระบี่ออกไปและใช้วิชาอัดปราณกระบี่หกชั้นในทันทีกระบี่พุ่งทะลุร่างของกระบี่คลั่งอย่างจัง พร้อมทั้งทำลายกุญแจมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ข้อมือและข้อเท้าของเขาจนแหลกละเอียดร่างยักษ์ของเขาทรุดตัวลงช้า ๆ ความโกรธเกรี้ยวในดวงตาค่อย ๆ เลือนหายไปและแทนที่ด้วยความสับสนทันใดนั้น ภาพความทรงจำในอดีตพลันผุดขึ้นมาในหัวของเขา ก่อนที่น้ำตาสีเลือดจะไหลออกมาจากดวงตาเขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ กับพ่อแม่มีภรรยาที่เขารัก และลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก ครอบครัวของเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจนกระทั่งวันหนึ่งก็มีกลุ่มคนบุกเข้ามา พวกมันจับตัวเขาไป และสังหารพ่อแม่ ภรรยา และลูกสาวของเขาต่อหน้าต่อตาความเกลียดชังที่ไร้จุดสิ้นสุดพวยพุ่งออกมาจากร่างของกระทิงคลั่ง แม้แต่เย่ซิวก็อดไม่ได้ที่จะหันไปม
เย่ซิวมองดูอาวุธที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น จากนั้นแสงจากแหวนผนึกของก็ส่องสว่างขึ้น เขากวาดเอาอาวุธในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดไม่ว่าจะสภาพดีหรือเสียหายใส่เข้าไปในแหวนยังไงอาวุธพวกนี้ก็พอขายทำเงินได้บ้าง อย่างน้อยก็ช่วยชดเชยความเสียหายจากครั้งนี้ได้บางส่วน“อ๊าวว…”เสี่ยวปิงถอยกลับมา ก่อนที่ร่างกายหดเล็กลงจนเหมือนลูกสุนัขอีกครั้ง ทั่วตัวมันเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดไหลไม่หยุดเพราะมันยังไม่เข้าสู่ระดับจินตานจึงไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เต็มที่แต่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ก็ช่วยให้เย่ซิวฟื้นพลังวิญญาณกลับมาได้ครึ่งหนึ่งแล้วส่วนเสี่ยวปิงเองก็สามารถสังหารทหารแนวหน้าได้หกถึงเจ็ดร้อยคน ผลลัพธ์นี้ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้วเย่ซิวเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงทันทีพร้อมกับปลุกพลังเปลวไฟลุกท่วมร่าง เขากำลังจะเตรียมพุ่งทะลวงแล้วเมื่อโซโลเห็นสายตาของเย่ซิว เขาก็ทั้งตกใจทั้งโมโหในเวลาเดียวกัน ก่อนจะหันไปมองเงามืดด้านหลัง “กระทิงคลั่ง คราวนี้ถึงตาแกแล้ว ต่อให้ต้องเผาผลาญยีนของแก แกก็ต้องหยุดมันให้ได้!”จากเงามืดนั้นปรากฏชายร่างยักษ์ที่ดูแข็งแกร่งเกินมนุษย์กล้ามเนื้อของเขาแน่นหนาราวกับ
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เย่ซิวก็บุกทะลวงไปได้กว่าสองพันเมตรระหว่างทางเขาได้ทำลายรถถัง ทหารระดับแนวหน้า และอาวุธต่าง ๆ กว่าหลายพันชิ้นเพียงชายหนึ่งคนกับกระบี่หนึ่งเล่ม แต่กลับแสดงพลังการต่อสู้ที่น่าทึ่ง!พร้อมทั้งปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ฝูงโดรนจำนวนมากบินมาเป็นระลอกเหนือตัวเขา ก่อนจะระเบิดใส่เย่ซิวจากทุกทิศทาง แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยเย่ซิวเหวี่ยงกระบี่ดาวตกในมือออกไปแสงกระบี่พุ่งออกไปราวสายรุ้ง ทุกสิ่งที่สัมผัสถูกทะลวงอย่างไร้ความปรานีจากนั้นเขาก็วางมือทั้งสองลงบนพื้น พลางเอ่ยเสียงต่ำ “หอกมังกรดิน!”หนามดินขนาดมหึมาผุดขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะแทงทะลุเหล่าทหารแนวหน้าทันที อาคมปกคลุมไปทั่วพื้นที่กว้างกว่าหมื่นเมตรเย่ซิวจับกระบี่ดาวตกที่บินกลับมาได้อย่างแม่นยำ ก่อนจะทะยานต่อไปอีกสองพันเมตรการโจมตีเริ่มถี่ขึ้นเรื่อง ๆ ฝ่ายศัตรูก็เข้าสู่โหมดโกรธจัด ก่อนจะปล่อยท่าไม้ตายที่รุนแรงทุกชนิดออกมา ทำให้เย่ซิวต้องใช้พลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเขาเรียกกระบี่หงส์โบยบินออกมาและใช้พลังจิตควบคุมกระบี่สองเล่มให้พุ่งทะลวงซ้ายขวาเข้าโจมตีศัตรูดาบ
“นายคิดว่าตัวเองไร้เทียมทานงั้นเหรอ? ดี งั้นฉันจะคอยดูว่าแกจะไปได้สักกี่น้ำ ทุกหน่วยเตรียมพร้อม ล็อกเป้าหมาย เปิดฉากยิงเต็มกำลัง!”ตูม! ตูม! ตูม!ลูกระเบิดจำนวนมหาศาลถูกยิงออกมาเหมือนพายุที่ถาโถมใส่เย่ซิวอย่างบ้าคลั่งการโจมตีรุนแรงจนยากจะหาคำมาบรรยายในภาพจากห้องควบคุมของทั้งสองฝ่าย ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเปลวไฟที่ปกคลุมไปทั่วผู้อาวุโสแห่งประเทศหลงเถิงทุบหมัดลงบนแผงควบคุมอย่างแรง “น่ารังเกียจนัก ถ้าพวกเราแข็งแกร่งกว่านี้อีกหน่อย พวกมันจะกล้าท้าทายเราขนาดนี้ได้ยังไง!”เขารู้สึกผิดอย่างมาก คิดว่าเป็นเพราะความอ่อนแอของประเทศที่ทำให้เย่ซิวต้องเสียสละตัวเองเขาจ้องมองหน้าจอที่เต็มไปด้วยเปลวไฟ ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “เจ้าเด็กบ้านี่ต้องรอดกลับมาให้ได้นะ นายคือความหวังของพวกเรา”ผู้อาวุโสรู้ความลับบางอย่างที่คนธรรมดาไม่อาจล่วงรู้เดิมทีเขาตั้งใจจะหาโอกาสเล่าเรื่องนี้ให้เย่ซิวฟัง แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก่อนโซโลหัวเราะลั่น “โจมตีไปขนาดนี้ ต่อให้แก…”เขาพูดยังไม่ทันจบก็ต้องหยุดชะงักทันทีเย่ซิวพุ่งออกมาจากจุดศูนย์กลางของการระเบิดพร้อมกับฟาดกระบี่ออกไปคลื่นกระบี่ยาวนับพันเมต
หลังจากเย่ซิวออกมาจากห้องของหยางชิงเสวี่ย เขาก็ตรงไปยังสวนสมุนไพรทันทีจากนั้นก็ไปหาหลี่อวี่ถงและขอให้เธอคัดลอกผลงานวิจัยล่าสุดมาให้เขาชุดหนึ่งจากนั้นก็รีบไปหาถังเขอเข่อต่อช่วงนี้ถังเข่อเข่อกำลังยุ่งอยู่กับการวิจัยเทคโนโลยีต่าง ๆ เลยยังไม่รู้เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นภายนอกเมื่อเห็นเย่ซิวมา เธอจึงสงสัยเล็กน้อยว่าเกิดอะไรขึ้น?เย่ซิวไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามตรง ๆ ทันทีว่า “ตอนนี้คุณสร้างหุ่นยนต์ไปได้กี่ตัวแล้ว? เอาแบบที่ติดอาวุธด้วยนะ”“ตัวที่สามเพิ่งออกจากสายการผลิต ทำไมเหรอ?”“พาผมไปดูหน่อย”เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเย่ซิว ถังเขอเข่อเองก็เริ่มรู้สึกตึงเครียดไปด้วย เธอรีบพาเขาไปยังที่เก็บหุ่นยนต์ทันทีหุ่นยนต์สามตัวสูงสิบกว่าเมตรตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่นตัวเกราะถูกพ่นสีดำล้วน มือข้างหนึ่งถือดาบมังกรครองจันทร์ ส่วนมืออีกข้างถือโล่ด้านหลังติดตั้งอาวุธปืนหกกระบอก และที่หัวไหล่ทั้งสองข้างมีส่วนที่นูนขึ้นมาถังเขอเข่ออธิบายว่าส่วนนูนนี้บรรจุโดรนขนาดเล็กสามตัว ซึ่งสามารถใช้ทั้งการสอดแนมและการโจมตีแบบแม่นยำได้ เรียกได้ว่าอาวุธครบครันลยทีเดียวเย่ซิวเก็บหุ่นยนต์ทั้งสามตัวเข้าไปในแหวน
หากเกิดสงครามขึ้น ผลที่ตามมาย่อมยากจะคาดเดาแม้พลังของเย่ซิวในตอนนี้จะแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่หากประเทศเหล่านั้นยิงขีปนาวุธเข้ามาพร้อมกันหมด ลำพังตัวเขาเองคงไม่มีทางสกัดกั้นได้ทั้งหมดแน่นอนเพียงแค่พลาดไปลูกเดียว ก็อาจสร้างความเสียหายมหาศาลแก่ประชาชนในประเทศหากมันตกลงในเมืองใหญ่ ชีวิตของผู้คนนับล้านอาจสูญสิ้นในชั่วพริบตาเย่ซิวยิ้มบาง “จะให้ทำยังไงได้? คงไม่ถึงขั้นปล่อยให้คนจำนวนมากต้องตายไปพร้อมกับผมหรอก”เขาหันกลับมาหาหยางชิงเสวี่ย แล้วยื่นมือออกไป “เอามาสิ”“อะไรเหรอ?”“ของสำคัญที่แสดงถึงตัวตนของผู้นำสำนักเยียนอวี่ อย่าบอกนะว่าไม่มีของแบบนั้น”หยางชิงเสวี่ยพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินไปที่ตู้ จากนั้นก็ก้มลงเปิดมันจากมุมมองของเย่ซิวในตอนนี้ จังหวะที่หยางชิงเสวี่ยก้มตัวลงนั้นทำให้เห็นส่วนโค้งกลมกลึงเขารู้สึกวูบวาบเล็กน้อยจึงเบือนสายตาไปทางอื่นผู้หญิงคนนี้ช่างดึงดูดจนทำให้ใครก็ยากจะถอนตัวจากเธอได้หยางชิงเสวี่ยหยิบเหรียญตราที่ทำจากวัสดุบางอย่างจากตู้แล้วส่งให้เย่ซิวตรานั้นให้สัมผัสอบอุ่น บนพื้นผิวมีตัวอักษรสองตัวสลักไว้ว่า ‘เยียนอวี่’เย่ซิวเก็บตราไว้อย่างระมัดระวัง ก
การจุติจากเปลวเพลิง!ความสามารถนี้คือการที่เย่ซิวสามารถคืนชีพจากเปลวเพลิงได้หลังจากถูกสังหารนับเป็นความสามารถที่เหนือธรรมชาติและทรงพลังถึงขีดสุด ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เกิดใหม่ พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้นด้วยข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวคือความสามารถนี้สามารถใช้ได้เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้นเมื่อเย่ซิวได้รับความสามารถนี้ เขาก็ถึงกับตกตะลึงอยู่พักใหญ่เขาก้มมองหยางชิงเสวี่ยที่ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง ในใจของเขาเริ่มคาดเดาถึงภูมิหลังและตัวตนที่แท้จริงของเธอแต่สำหรับข้อสันนิษฐานนั้น เขาไม่มีทางพิสูจน์ได้ และแม้จะถามเธอ เธอก็คงไม่พูดอะไรอยู่ดีเย่ซิวนั่งขัดสมาธิ ก่อนจะรวบรวมสมาธิ และสำรวจร่างกายหลังจากถูกเปลวไฟเผาผลาญจิตวิญญาณก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในทันทีพลังวิญญาณของเย่ซิวเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลราวกับเป็นผลลัพธ์จากการบำเพ็ญตนอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาหนึ่งถึงสองปีเขาค่อย ๆ ใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับพลังที่เพิ่มขึ้นก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆหยางชิงเสวี่ยดูเหมือนมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป แต่เย่ซิวอธิบายไม่ได้ว่าเปลี่ยนตรงไหนแต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจ
“คุณค่อย ๆ ดูไปก่อนนะ ฉันจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือจะไปรอฉันที่ห้องนอนก็ได้”เธอพูดด้วยน้ำเสียงสงบเหมือนกำลังคุยเรื่องอาหารเย็นว่าจะกินอะไร“คุณไปเถอะ”เย่ซิวตอบก่อนจะตั้งใจอ่านเอกสารทั้งหมด โดยจดจำข้อมูลทุกอย่างลงในสมองสำหรับข้อมูลองค์กรขนาดใหญ่เช่นนี้ หากให้เย่ซิวสร้างขึ้นด้วยตัวเอง คงใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกปีกว่าจะสำเร็จได้แต่ชื่นชมว่าอาจารย์เขาช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!อีกด้านหนึ่ง หยางชิงเสวี่ยเดินกลับไปที่ห้องนอนก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าสายตาเธอจับจ้องที่ชุดเดรสตัวยาวสีแดงชุดหนึ่งบนเดรสตัวนั้นปักลายหงส์กางปีกโบยบินด้วยด้ายทองอย่างวิจิตรบรรจงหงส์ตัวนั้นดูเหมือนมีชีวิตจริง ๆ ราวกับสามารถโบยบินออกมาจากชุดได้ทุกเมื่อหยางชิงเสวี่ยลูบชุดเดรสนั้นเบา ๆ ภาพความทรงจำบางอย่างปรากฏขึ้นในหัวของเธอ จากนั้นเธอก็หยิบชุดและเดินเข้าไปในห้องน้ำทันทีปกติแล้วหยางชิงเสวี่ยมักจะแต่งตัวอย่างเรียบร้อยและสุภาพเสมอแต่เมื่อเธอปลดพันธนาการออกจากร่างกายแล้ว ความงดงามสมบูรณ์แบบของเธอก็เผยออกมา ต่อให้นางแบบระดับโลกมาอยู่ตรงหน้าเธอก็ยังเทียบไม่ติดเสียงน้ำจากฝักบัวไหลรินลงมาชโลมร่างกายของ