เมื่อมาถึงบ้านพักของหลัวเฟิงบ้านพักของเขาค่อนข้างเรียบง่าย การตกแต่งก็ดูเรียบ ๆ ซึ่งดูไม่เข้ากับสถานะของเขา“น้องชาย เชิญนั่งก่อน”หลังจากหลัวเฟิงเชิญเย่ซิวให้นั่งลง เขาก็จัดการชงชาให้เย่ซิวด้วยตัวเองความรู้สึกที่สามารถดูแลตัวเองได้แบบนี้ มันทำให้เขา กลับมามีความสุขอีกครั้งเมื่อทั้งสองนั่งลง เย่ซิวไม่พูดจาอ้อมค้อมให้เสียเวลาและเอ่ยความต้องการของเขาออกมาทันทีหลัวเฟิงมองเขาด้วยความชื่นชม “ไม่เลวเลยนะ คุณเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ทำอะไรไม่ปิดบัง นี่แหละถึงจะเรียกว่าชายชาตรี”ยิ่งได้มองเย่ซิวมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกถูกใจมากขึ้นเท่านั้นเย่ซิวยิ้มและพูดขึ้นว่า “ท่านผู้ว่าครับ เนื่องจากร่างกายของท่านยังไม่หายดีเต็มที่ ผมจึงจะขออยู่ที่นี่อีกสักห้าวันและในทุก ๆ วัน ผมจะใช้กำลังภายในช่วยฟื้นฟูร่างกายของท่าน รักษาควบคู่ไปพร้อมกับยาที่ผมให้ไป และอีกไม่นานท่านก็จะหายดีอย่างสมบูรณ์ครับ”หลัวเฟิงรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง “ฉันจะไม่พูดขอบคุณให้มันมากละกัน แต่น้องชาย คุณวางใจได้เลย ฉันจะไม่ยอมให้คุณได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน!”เขาไม่สามารถให้การดูแลพิเศษหรือให้สิทธิพิเศษได้แต่
สายตาของสองพ่อลูกที่มองไปทางเย่ซิวราวกับกำลังมองสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวใช้เวลานานพอสมควรกว่าสติของสองพ่อลูกจะกลับมาหลัวฮุ่ยหมิ่นส่ายหัวเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า “ฉันอายุมากกว่าคุณนิดหน่อย ถ้างั้นฉันจะเรียกคุณว่าน้องชายก็แล้วกัน คืนนี้ต้องอยู่ทานข้าวด้วยกัน คุณห้ามปฏิเสธนะ”เมื่อพูดจบ เธอก็ไม่ให้เย่ซิวได้มีโอกาสตอบและปรี่ไปที่ประตูเพื่อเก็บอาหารที่ตกอยู่บนพื้น จากนั้นเธอก็ปิดประตูลงแล้วรีบไปที่ครัวหลัวเฟิงเป็นคนทำงานรวดเร็วและเด็ดขาด เนื่องจากตอนนี้เขาหายดีแล้ว เมื่อเขาได้ยินความกังวลของเย่ซิว เขาจึงลุกขึ้นทันทีและพูดว่า“คุณนั่งรอตรงนี้ก่อน ฉันจะไปที่หน่วยงานเพื่อเตือนสติให้จางต้งเหลียงไม่กล้าเล่นเล่ห์กับคุณ”เย่ซิวพยักหน้า “รบกวนด้วยนะครับ”หลัวจากหลัวเฟิงเดินจากไปได้ไม่นาน บอดี้การ์ดคนที่ออกไปร้านขายยาก็ได้ซื้อเครื่องยาสมุนไพรที่เย่ซิวต้องการกลับมาแล้วเย่ซิวนำยาสมุนไพรเหล่านั้นไปที่ห้องครัว เพื่อเตรียมที่จะสอนสูตรต้มยากับหลัวฮุ่ยหมิ่น“โอ๊ย!”หลัวฮุ่ยหมิ่นที่กำลังหั่นผักอยู่ ทันใดนั้น เธอก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเธอทิ้งมีดลงและจับนิ้วของตัวเองไว้นิ้วมือถูก
“เอาล่ะ การประชุมในวันนี้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ทุกคนแยกย้ายกันได้ครับ”ภายในห้องประชุม จางต้งเหลียงเอ่ยประกาศปิดการประชุมตำแหน่งนี้ เดิมทีควรเป็นของหลัวเฟิง แต่ตอนนี้กลายเป็นของเขาไปแล้วและข้อเสนอต่าง ๆ ที่หลัวเฟิงเคยปัดตกไป เมื่อเปลี่ยนมือแล้ว จางต้งเหลียงก็อนุมัติข้อเสนอเหล่านั้นใหม่อีกครั้งหลัวฮ่าวลูกชายของหลัวเฟิงโกรธมาก แต่เขารู้ว่ากำลังของตัวเองในตอนนี้ ไม่สามารถต่อกรกับจางต้งเหลียงได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่อดทนอย่างเงียบ ๆ จางต้งเหลียงมองดูท่าทางโกรธเกรี้ยวของหลัวเฟิง พร้อมกับแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจบนใบหน้าตอนนี้อำนาจในองค์กรเกือบทั้งหมดตกในอยู่ในมือของเขาแล้วเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างในหวู่เฉิง เปรียบดั่งท้องฟ้าที่ปกคลุมทุกสิ่ง และพื้นดินที่รองรับทุกอย่าง ใครก็ตามที่กล้าต่อกรกับเขา ย่อมต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถในขณะที่เขากำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จ ทันใดนั้น ประตูก็ถูกผลักเปิดออกทุกคนหันไปมองที่ประตูโดยไม่รู้ตัว จากนั้น แต่ละคนก็เผยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาออกมาจางต้งเหลียงถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจหลัวเฟิงเดินเข้ามาอย่างสง่าด้วยร่างกา
ท่านหวังวางมาดอย่างสง่า “เรื่องทานข้าวเอาไว้ก่อนเถอะ รบกวนคุณเรียกเพื่อนร่วมงานไปดูที่ไซต์งานของบริษัทสตาร์รี่สกายหน่อย ผมสงสัยว่าพวกเขาอาจจะลดคุณภาพวัสดุ“ได้ครับท่าน เราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย”เขาได้เรียกผู้บริหารระดับสูงของเมืองเจียงเฉิงเป็นจำนวนมาก เพื่อไปยังไซต์งานก่อสร้างพร้อมกันรถเจ็ดถึงแปดคันมุ่งหน้าไปยังไซต์งานที่กำลังส่งเสียงดังครึกโครมและยังมีหน่วยลาดตระเวนจำนวนมากเดินตรวจตราอยู่ข้างหน้าไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหน้าไซต์งาน ท่านหวังลงจากรถ มองไปที่ประตูไซต์งาน มุมปากเผยให้เห็นความโหดเหี้ยมเขายกขาขึ้นเตรียมจะก้าวเข้าไป ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นจางต้งเหลียงที่โทรมา ทันใดนั้น เขาก็มีสีหน้าจริงจังขึ้น เขารีบรับสายทันทีพร้อมกับก้มตัวเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพนอบน้อม“ท่านจาง ท่านมีคำสั่งอะไรหรือเปล่าครับ?”ปลายสาย เสียงของจางต้งเหลียงฟังดูเร่งรีบมาก “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนแล้ว?”“ตอนนี้ผมถึงหน้าประตูไซด์งานแล้วครับท่าน อีกสักพักหนึ่ง ผมก็จะสั่งให้พวกเขาหยุดการทำงาน ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ท่านวางใจได้เลยครับ”“รีบกลับไปเดี๋ยว
คำพูดเหล่านั้นไม่เพียงแต่ทำให้หลัวฮุ่ยหมิ่นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่ยังทำให้เย่ซิวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรในขณะนั้น“นี่พ่อหนุ่ม ไม่ต้องอายไปหรอก ป้าน่ะเปิดกว้าง ขอแค่ตระกูลของพ่อหนุ่มไม่มีประวัติด่างพร้อยและไม่ทำตัวเกียจคร้าน ป้าก็ยอมให้พวกเธอทั้งสองคนคบกันแล้ว”แล้วก็ไม่จำเป็นต้องหาเงินเก่งมากหรอก ป้ากับลุงต่างก็เกษียณแล้ว และแต่ละเดือนพวกเราก็ได้รับเงินบำนาญหลายหมื่น พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงพวกป้าหรอกนะในตอนนี้ หลัวฮุ่ยหมิ่นเองก็ทำงานกับหน่วยงานสำคัญ และเงินเดือนของเธอก็ไม่ใช่น้อย ๆ ต่อไป ถ้าเธอสองคนขยันทำงาน ชีวิตคู่ก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เอง”หลัวฮุ่ยหมิ่นปิดหน้าด้วยสองมือ เธอรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นท่าทางเช่นนั้น แม่ของเธอจึงคิดว่าเธอกำลังรู้สึกเขินอายเย่ซิวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขืนไม่อธิบายตอนนี้ เธออาจจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ “เอ่อ คุณป้าครับ คุณป้าเข้าใจผิดแล้วครับ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมมาพบท่านผู้ว่าหลัว และที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อรักษาอาการให้กับท่านผู้ว่า” แม่ของเธอชะงักไปชั่วครู่ “รักษาอะไรกัน? เอ๊ะ ว่าแต่คุณพ่อเข้านอนแล
ปีนี้อายุของหลัวฮ่าวสี่สิบห้าปี ซึ่งห่างกับน้องสาวสิบห้าปีเมื่อเขากลับมาถึงบ้านแล้วเห็นเย่ซิว ผู้ชายที่มีสีหน้าแข็งกร้าวแบบเขาก็โค้งคำนับต่อเย่ซิวด้วยความจริงใจ“ขอบคุณคุณเย่ที่ช่วยชีวิตคุณพ่อของผม บุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่มีวันลืม ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยคุณได้ ตราบใดที่ไม่ขัดต่อกฎหมายของประเทศ ผมก็เต็มใจทั้งนั้น บอกมาได้เลย!”เย่ซิวยกมือขึ้นและพูดว่า “คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ ที่ผมช่วยท่านผู้ว่าหลัวเพราะผมเองก็มีธุระส่วนตัวที่ต้องการให้ท่านช่วยเหมือน”หลัวฮ่าวแสดงสีหน้าจริงจัง “ ไม่ว่ายังไงผมก็จะจำใส่ใจเอาไว้ว่า คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม!”เย่ซิวส่ายหัวและไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้ต่อแม่ของหลัวฮ่าวที่ได้ยินเสียงจึงวิ่งออกมา เมื่อเห็นหลัวเฟิงเปลี่ยนไปมาก เธอไม่สนใจว่ามีคนอยู่เยอะหรือไม่ เธอโผพุ่งเข้าไปกอดหลัวเฟิงทันที“ที่รัก คุณไม่เป็นไรอะไรแล้ว มันวิเศษมาก! ต่อไปห้ามทำงานหนักอีกนะได้ยินไหม? ถ้าคุณกล้าทิ้งฉันแล้วหนีไปคนเดียว ฉันจะไปหาผู้ชายคนอื่นสักสิบคนยี่สิบคน ฉันจะสวมเขาให้คุณอายไปเลย! ”สีหน้าของหลัวเฟิงเข้มขึ้น “คุณกล้าเหรอ? เอาสิ คอยดูละกันว่าผมจะจัดการคุณยังไง!”หลัวฮุ่ยหมิ่นเ
หลัวฮ่าวรู้สึกเขินอายมาก เขาพูดกับเย่ซิวว่า “ลูกสาวของฉันตอนนี้อยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่สาม เธออยู่ในช่วงวัยต่อต้าน เรื่องเรียนเธอก็รู้สึกกดดันมาก เธอจึงมีท่าทีแบบนั้น คุณอย่างรังเกียจเลยนะครับ”เย่ซิวยิ้ม “ไม่มีปัญหา ทานข้าวกันเถอะครับ”โดยปกติแล้ว เขาจะไม่โต้เถียงกับเด็กนิสัยเสียเช่นนี้ที่โต๊ะอาหารเย็น แม่ของหลัวฮ่าวตักอาหารให้เย่ซิวอย่างต่อเนื่องด้วยความกระตือรือร้น“นี่ ๆ ลองชิมขาหมูนี่ดู”“เนื้อเผ็ดนี้ก็ค่อนข้างดีเลย”“นี่ น่องไก่ใหญ่ ๆ เลยนะ”……หลังจากนั้นไม่นาน ถ้วยของเย่ซิวก็กองสูงขึ้นเป็นเนินหลัวฮุ่ยหมิ่นทำหน้าบูดบึ้งและพูดอย่างอิจฉาว่า “แม่ ทำไมแม่ต้องตักอาหารให้เขาด้วย แล้วหนูล่ะ? หรือว่าหนูไม่ใช่ลูกของแม่แล้วใช่ไหม?”“ใช่ ฉันไม่รักแกแล้ว แกพาแฟนมาบ้านเมื่อไหร่ แกค่อยมาเป็นลูกของฉัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย”“เห็นได้ชัดว่าลูกสาวของฉันประพฤติตนดีและเชื่อฟังมาตั้งแต่เด็ก ขยันเรียน ไม่เคยคบค้าสมาคมกับคนชั้นต่ำ ไม่เคยไปไนต์คลับเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมเด็กผู้หญิงดี ๆ แบบนี้ถึงหาแฟนไม่ได้?”แววตาคู่นั้นสื่อความหมายอย่างลึกซึ้งหลัวฮุ่ยหมินหยุดพูดและกินอย่างเชื
สิ่งที่ทำให้หลัวเฟิงและหลัวฮ่าวประหลาดใจก็คือ แม้ว่าเย่ซิวจะดูเด็กมาก แต่ความรู้ของเขาก็กว้างขวางมาก ไม่ว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่องอะไรเขาก็ตามทันได้ทุกการสนทนากว่าจะรู้ตัวก็สี่ทุ่มแล้วเย่ซิวเตือนหลัวเฟิง “นายท่าน ถึงเวลาที่คุณจะต้องพักผ่อนแล้วนะครับ”หลัวเฟิงหัวเราะเบา ๆ “ฉันเกือบลืมไปแล้ว คุณจะอยู่ต่ออีกสักสองสามวันก็ได้นะ ยังไงที่บ้านก็มีห้องว่างอยู่แล้ว”เย่ซิวส่ายหัว “ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่โรงแรมข้างนอกก็ได้”หวังเหม่ยลี่แม่ของหลัวฮ่าวออกมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ไม่ได้ ๆ โรงแรมจะสะอาดเหมือนบ้านได้ยังไง ฉันเตรียมห้องไว้ให้แล้ว คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”หลัวฮ่าวยังกล่าวอีกว่า “ใช่ อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเองเถอะ”“ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับ”อยู่ต่อก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน สำหรับเย่ซิว อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันอยู่แล้วหลังจากพูดคุยกันสักพัก พวกเขาก็กลับไปพักผ่อน ส่วนเย่ซิวเองก็กลับเข้าไปในห้องรับรองด้วยเช่นกันและเช่นเคย เขาส่งข้อความถึงหลิ่วเมิ่งอิ๋น เซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์เดิมทีโทรศัพท์ของลู่เสวี่ยเอ๋อร์ถูกยึดไปนานแล้ว ต่อมาเย่ซิวก็ได้ซื้อ
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน
เย่ซิวรีบวิ่งเข้าไปในห้องทันทีพอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นเสี่ยวไป๋ลอยอยู่กลางอากาศพลังวิญญาณในห้องถูกดูดเข้าไปหามันอย่างบ้าคลั่งไม่กี่วินาทีก็สูบพลังวิญญาณจนหมดทั้งห้องจากนั้นร่างของมันก็ถูกห่อหุ้มด้วยรังไหมขนาดใหญ่ แล้วค่อย ๆ ลอยลงสู่พื้นอย่างช้า ๆเย่ซิวยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เสี่ยวไป๋กำลังจะวิวัฒนาการอีกแล้วรอบที่แล้วเหมือนจะพัฒนาขึ้นไม่มากเท่าไหร่แต่สัญชาตญาณของเย่ซิวบอกว่ารอบนี้น่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียวเขารีบเอาน้ำพุวิญญาณที่เหลืออยู่เทราดลงไปบนรังไหมทันที ซึ่งมันก็ถูกดูดซึมหายไปอย่างรวดเร็วนี่อาจช่วยเร่งขั้นตอนวิวัฒนาการให้เร็วขึ้นได้เย่ซิวเดินไปอุ้มเจ้าเสี่ยวอวี่ที่อยู่ไม่ไกลขึ้นมาเจ้าตัวนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากแต่ท้องของมันนี่เหมือนหลุมดำชัด ๆเย่ซิวเลยจัดเต็มอีกครั้ง เขากลั่นโอสถวิญญาณหยกมาอีกหมื่นเม็ดให้มันไว้กินเล่นทั้งสำนักอวิ้นหลิงคงไม่มีใครกล้าทำอะไรฟุ่มเฟือยอย่างเขาอีกแล้วล่ะในช่วงครึ่งเดือนหลังจากนั้น เย่ซิวก็หมกตัวอยู่แต่กับการกลั่นโอสถและฝึกฝนวิชาต่าง ๆข้างนอกเองก็เริ่มมีข่าวแพร่กระจายไปว่าเย่ซิวสามารถกลั่นโอสถวิญญาณหยกได้ควา
จากท่าทีและสีหน้าของทุกคน เย่ซิวก็พอเดาออกว่าโอสถนี่น่าจะหาได้ยากมากในตลาดไม่งั้นพวกเขาคงไม่แห่กันมาขอซื้อแบบนี้แน่เขาทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย “ผมก็อยากช่วยนะครับ แต่โอสถตัวนี้ตอนปรุงมันใช้พลังจิตเยอะมากวันหนึ่งผมปรุงได้ไม่กี่รอบเอง แถมวัตถุดิบก็หายากด้วย”ความหมายแฝงก็คือพวกคุณต้องเพิ่มเงินและเตรียมของมาเองซึ่งทุกคนก็ไม่ใช่คนโง่และเข้าใจเจตนาของเขาทันที ก่อนจะรีบเสนอว่า“ถ้างั้นแบบนี้ดีไหม โอสถวิญญาณหยกหนึ่งเม็ด ฉันให้หนึ่งพันหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณ ส่วนวัตถุดิบเราจัดการเอง แบบนี้ตกลงไหม”เย่ซิวคำนวณในหัวอย่างไวต้นทุนของโอสถวิญญาณหยกต่อเม็ดอยู่ที่ราว ๆ หนึ่งพันศิลาวิญญาณถึงจะรวมค่าแรงและพลังวิญญาณที่ใช้ก็ถือว่าต้นทุนต่ำมาก อย่างมากก็แค่เสียเวลาเฉย ๆเขาสามารถกลั่นได้เป็นหมื่นเม็ดในคราวเดียวถ้าขายให้คนพวกนี้หมื่นเม็ดก็เท่ากับว่าจะได้เงินถึงสิบกว่าล้านศิลาวิญญาณเลยทีเดียวกำไรขนาดนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่ากินขาดแต่เย่ซิวก็ยังไม่ตอบตกลงทันที และทำท่าลังเลอยู่รั่วอวิ๋นที่ยืนข้าง ๆ ตบไหล่เขาเสียงดัง “ยังจะลังเลอะไรอีกล่ะ?นี่มันโอกาสทองเลยนะ ได้ทั้งเงินได้ทั้งฝึกฝีมือ”เย่ซิวถ
แล้วทุกคนก็เห็นจ่าฝูงเดินตรงไปหาเย่ซิว จากนั้นมันก็แลบลิ้นออกมาเลียหน้าของเขาเบา ๆ ด้วยแววตาประจบเอาใจสุด ๆทุกคนตกตะลึง “???”รั่วอวิ๋นถึงกับยืนนิ่งตัวแข็งเป็นหิน ตาถลน ปากอ้าค้างจากนั้นเธอก็ชี้ไปที่เย่ซิวอย่างโกรธจัด “นายยังจะกล้าบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ แล้วนี่มันอะไรกัน?!”แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบ สิงโตหยกขาวอีกเจ็ดตัวก็วิ่งตามกันมาล้อมเย่ซิวไว้รอบด้าน แถมยังมองรั่วอวิ๋นด้วยสายตาแข็งกร้าวอย่างเต็มไปด้วยท่าทีคุกคามรั่วอวิ๋นเผลอก้าวถอยหลังไปด้วยสีหน้าซีดเผือดความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนใครสักคนมายึดบ้านไปคนอื่น ๆ เองก็จ้องมองเย่ซิวด้วยสายตาในแบบที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองภาพที่อยู่ตรงหน้ามันเหนือจริงเกินไปเย่ซิวทำหน้าใสซื่อ “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”รั่วอวิ๋นโกรธจนตัวสั่นสัตว์ที่เธอเลี้ยงมากับมือหลายปีดันพร้อมใจกันหักหลังเธอแบบนี้ ใครจะทนได้มันไม่ใช่แค่เรื่องทรัพยากร แต่ยังรวมถึงความรู้สึกที่ทุ่มเทไปทั้งหมดด้วย!“นายบอกว่าไม่ได้ทำอะไร แล้วทำไมพวกมันถึงพร้อมใจกันหักหลังฉัน อธิบายมาเดี๋ยวนี้!” รั่วอวิ๋นกัดฟันพูด สายตาที่มองเย่ซิวเต็มไปด้วยความคาดโทษถ้าเจ้าเด็กนี่ไม่ให
ในใจรั่วอวิ๋นกำลังปลื้มเป็นที่สุดแต่ต่อหน้าคนอื่นเธอยังคงวางมาดสงบนิ่ง และพยักหน้าเบา ๆ แบบถ่อมตัวสุด ๆ“ก็ไม่เท่าไหร่นะ แค่สัตว์วิญญาณไม่กี่ตัว เอาไว้เฝ้าประตูเฉย ๆ”คำพูดโอ้อวดแบบถ่อมตัวเช่นนี้ทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่ถึงกับกระตุกมุมปากกันเป็นแถบเธอคิดว่านี่คือผักกาดขาวหรือไงนี่มันสัตว์วิญญาณระดับจินตานตั้งแปดตัวเชียวนะถึงสายเลือดของพวกสิงโตหยกขาวจะไม่ใช่ระดับสูงสุด แต่ก็ไม่ใช่พวกชั้นต่ำ อยู่ระดับกลางค่อนไปทางดีเลยด้วยซ้ำถ้าเลี้ยงต่อไปดี ๆ รับรองว่าเก่งขึ้นได้อีกแน่นอนลองจินตนาการดูสิ สิงโตหยกขาวแปดตัวคำรามพร้อมกันจะอลังการแค่ไหน มันต้องเป็นภาพที่อลังการและน่าเกรงขามสุด ๆ“เย่ซิวก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” ภรรยาเจ้าสำนักทำทีเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นเขาเย่ซิวยิ้มพลางเอ่ย “ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทุกท่าน เจ้าสำนักและภรรยา ผมแค่มาให้อาหารพวกมันน่ะครับ”ทุกคนก็พยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้ ไม่มีใครเชื่อมโยงได้ถึงเรื่องที่สัตว์วิญญาณเลื่อนระดับได้เพราะตัวเขาเลยแม้แต่น้อยไม่นานนัก สัตว์วิญญาณทั้งแปดตัวก็ค่อย ๆ สร้างตานปีศาจได้สำเร็จแทบจะพร้อมกันพลังที่ระเบิดออกมาทำให้เกิดพายุขนาดใหญ่ไปทั
แม้ว่ารั่วอวิ๋นจะรู้ดีว่าความคิดแบบนี้มันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ แต่เธอก็ห้ามตัวเองไม่ได้เลยจริง ๆถ้าเย่ซิวแค่ลองกลั่นโอสถเป็นครั้งแรกก็เก่งกว่าเธอแบบไม่เห็นฝุ่น แบบนั้นมันก็เหมือนโดนตบหน้าแรง ๆ เข้าให้แล้วแบบนี้จะรักษาภาพลักษณ์ความเป็นอาจารย์ไว้ต่อหน้าเขาได้ยังไงกันล่ะเสียงโครมดังขึ้น ก่อนที่ฝาปิดเตาจะหลุดออกกลิ่นหอมของโอสถที่เข้มข้นจนถึงขีดสุดกระจายไปทั่วเย่ซิวถึงกับใจหล่นวูบ คิดในใจว่าแย่แล้วถึงเขาจะพยายามเก็บงำกลิ่นเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ดูเหมือนแค่กลิ่นที่ลอยออกมาก็แรงกว่าโอสถของรั่วอวิ๋นเสียอีกรั่วอวิ๋นพยายามควบคุมสีหน้าแล้วรีบเดินเข้าไปดูโอสถในเตาพอเห็นแล้วก็ถึงกับยืนช็อกไปทั้งตัวที่ก้นเตา โอสถจำนวนห้าสิบเม็ดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และแต่ละเม็ดก็ใสบริสุทธิ์ดูอัดแน่นไปด้วยพลังแต่สิ่งที่ทำให้เธอรับไม่ได้ที่สุดก็คือทุกเม็ดมีลวดลายโอสถปรากฏอยู่บนผิวของมัน หมายความว่าโอสถทั้งหมดนี้เป็นระดับสูงนี่มันไม่ใช่แค่โดนตบหน้าแล้ว แต่มันคือการโดนกดหัวลงพื้นแล้วลากไปเลยต่างหากเย่ซิวไอแห้ง ๆ หนึ่งทีและจงใจไม่เข้าไปดู แต่ทำท่าทางตื่นเต้นแล้วถามเธอด้วยสีหน้าลุ้น ๆ ว่า “ท่านอาจ
ทั้งความรู้ที่เคยได้รับรวมถึงทักษะการกลั่นโอสถต่าง ๆ ก็ควรจะเหนือกว่าตัวเขาแบบทิ้งห่างสิแต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังห่างชั้นจากเขาอยู่เยอะเลย?เย่ซิวยังคิดว่าตัวเองอาจจะคิดไปเองจึงตั้งใจดูต่ออีกสักพักจนสุดท้ายก็มั่นใจเต็มร้อยว่าทักษะการกลั่นโอสถของผู้หญิงคนนี้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเขาด้วยซ้ำแค่ฝีมือระดับนี้ก็ยังยืนหยัดอยู่ในโลกของผู้ฝึกตนได้ด้วยเหรอ?หรือโลกของผู้ฝึกตนมันหากินง่ายขนาดนั้นเลย?ความคิดสารพัดผุดขึ้นมาในหัวเย่ซิว แต่สีหน้าเขาก็ยังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาเลยหนึ่งชั่วโมงผ่านไป โอสถก็กลั่นเสร็จเรียบร้อยรั่วอวิ๋นเปิดฝาเตาก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว ๆ หนึ่งเตาได้โอสถมายี่สิบเจ็ดเม็ด ระดับกลางหกเม็ด ถือว่าสมบูรณ์แบบ”จากนั้นเธอก็หันไปมองเย่ซิวแม้ใบหน้าจะดูเรียบเฉย แต่เย่ซิวก็พอจะจับความหมายแฝงได้ไม่ยากก็แค่รอให้เขาชมเธอนั่นแหละหากพูดตรง ๆ การกลั่นโอสถของรั่วอวิ๋นรอบนี้ถือว่าสอบตกสำหรับเย่ซิว เพราะวัตถุดิบที่ใช้ไปทั้งหมด ถ้าเป็นเขากลั่นเองอย่างน้อยจะได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวแถมยังเป็นโอสถระดับสูงทั้งหมดด้วยซ้ำเมื่อเห็นโ