เมื่อคนเหล่านั้นเงยหน้าพร้อมกัน ก็เห็นผู้หญิงรูปร่างดีคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังคาหลางสือจิ่วมีสีหน้าที่เย็นชา “เป็นอย่างที่นายน้อยพูดไว้ไม่มีผิด จะต้องมีคนบุกมาทำลายที่นี่”“ไม่ได้การแล้ว เราถูกจับได้แล้ว!”“ไปพวกเรา ไปฆ่าผู้หญิงคนนั้นซะ!”คนเหล่านี้ต่างก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว พวกเขาชักมีดพับออกมาแล้วขว้างไปที่หลางสือจิ่วอย่างแรงฝีมือของคนเหล่านี้ถือว่าไม่เลวทีเดียว พวกเขาล้วนเคยผ่านการต่อสู้ในสังเวียนมาอย่างโชกโชนหากร่วมมือกัน พวกเขาสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ระดับหนึ่งได้ แต่สำหรับหลางสือจิ่วนั้นพวกเขาเทียบกับเธอไม่ติดเลย เพียงแค่กระบวนท่าเดียว ใครคนหนึ่งถูกเตะปลิวออกไปและหมดสติในทันทีเธอใช้มือทั้งสองข้างกดพื้นและหมุนตัวด้วยความเร็วสูงกลุ่มคนที่ล้อมรอบต่างก็ถูกเธอจัดการจนลงไปนอนกองกับพื้นทีละคนท่าเตะที่รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาดของเธอเตะเข้าที่กระดูกเข่าของพวกเขา จนทำให้ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นเป็นระยะ และด้วยท่าเตะนั้น ขาของพวกเขาจึงใช้การไม่ได้ทันทีเมื่อได้ยินเสียงดังโวยวาย ไป๋ปิงก็รีบวิ่งเข้ามาดูทันทีเธอมองเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่เย็นชาและไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนจะรีบ
“ที่แกพูดมันหมายความว่ายังไง?!”หลิวเหว่ยหัวเราะด้วยใบหน้าที่เย็นชาขณะมองไปที่คนเหล่านั้นด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจเต็มเปี่ยม“ก่อนหน้านี้ มีคนที่ชื่อหลิวเหนิงเดินทางมาจากหนานเฉิง เขาเดินทางมาหาฉันด้วยตัวเอง เขามาจากตระกูลหลิ่วแห่งหนานหลิ่ว และเขาก็ได้มาขอซื้อบริษัทของฉันไปเรียบร้อยแล้ว”“เพราะฉะนั้นตอนนี้ ฉันจึงมีตระกูลหลิ่วแห่งเมืองหนานเฉิงเป็นผู้สนับสนุนอยู่ หากพวกแกไม่เชื่อก็ลองไปสืบดูประวัติของตระกูลหลิ่วดูสิ พวกเขานี่แหละ ที่จัดหาชิ้นส่วนอาวุธให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ”“หรือจะให้ฉันพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือในตอนนี้ ฉันมีความเกี่ยวข้องกับทางเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ถ้าหากพวกแกกล้าแตะต้องฉันก็คิดถึงผลที่จะตามมาด้วยแล้วกัน”ในประเทศหลงเถิง ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนธรรมดาหรือตระกูลทรงอิทธิพลใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปีหากใครกล้าล้ำเส้นของประเทศ ก็จะต้องพบจุดจบที่น่าอนาถเมื่อคนเหล่านี้ได้ยินที่หลิวเหว่ยพูดต่างก็หน้าซีดทันทีแม้ว่าพวกเขาจะมีความกล้ามากแค่ไหน ก็ไม่กล้าต่อกรกับประเทศชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักไม่ได้พูดจาหยิ่งทะนงเหมือนในตอนแรกอีกต่อไป เขาวางมีดพับที่ถืออยู่ลงแล้วพูดว่า “นี่แกไม่ได้
ในขณะที่เธอรีบวิ่งเข้ามา หวังซงเหลือบไปเห็นเธอพอดีเขาหัวเราะดังลั่นพร้อมตะโกนสั่งเธอว่า “คุกเข่าลงซะ!”สีหน้าของเลขาสาวเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ท่านประธานคะ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ!”เนื่องจากเสียงเพลงภายในวิลล่าดังเกินไป หวังซงจึงไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูดเมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมคุกเข่าตามที่เขาสั่ง เขาจึงยกมือขึ้นตบเข้าที่ใบหน้าของเธอหนึ่งฉาดหญิงสาวตาแดงก่ำ เธอรู้สึกเสียใจมากแต่เธอก็ไม่อาจทำให้เสียเวลาได้ จึงรีบวิ่งไปปิดเครื่องเสียงทุกคนตกตะลึง ในขณะที่หวังซงโกรธเธอมากยิ่งขึ้น “นี่เธออยากตายหรือไง? กล้าดียังไงมาขัดจังหวะความสุขของฉัน!”เลขาสาวรู้สึกเสียใจ แต่ก็ยังต้องรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นเธอรีบเดินเข้าไปข้าง ๆ หวังซงแล้วกระซิบที่ข้างหูเขาว่า “ท่านประธานคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ…”หวังซงที่เดิมทีรู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว หลังจากได้ยินคำพูดของเลขาสาว ทันใดนั้น ดวงตาของเขากลับเปล่งประกายด้วยความเยือกเย็นและดูน่ากลัวราวกับงูพิษ“ฉันประเมินไอเด็กนั่นต่ำไปจริง ๆ!” เขามองเธอด้วยแววตาที่เยือกเย็น “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เธอยังจัดการมันไม่ได้ แล้วต่อไปฉันจะเชื่อใจอะไรเธอได้อีก?”เขาส
ภายในคลับส่วนตัวแห่งหนึ่ง“ผู้ว่าจาง แก้วนี้ผมดื่มให้กับท่านครับ! นับวันท่านยิ่งดูเด็กลงนะครับ”หวังซงยกแก้วไวน์เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ชายคนหนึ่งที่มีอายุราว ๆ สี่สิบปี เขาสวมแว่นตาและดูสุภาพผู้ชายคนนั้นคือจางต้งเหลียงจางต้งเหลียงยกแก้วไวน์ขึ้นมาชนกับหวังซงและดื่มไปหนึ่งอึกก่อนจะหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “คุณก็พูดเกินไป ผมเป็นแค่รองผู้ว่า คุณควรจะระมัดระวังคำพูดด้วยนะครับ”หวังซงทำสีหน้าจริงจังแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านนี่ช่างชอบพูดเล่นซะจริงนะครับ ท่านก็รู้ว่าสุขภาพของเขาแย่ลงทุกวัน ผมได้ยินมาว่าปีนี้เขาคงจะต้องเกษียณแล้วทั้งเมืองหวู่เฉิง นอกจากท่านแล้ว ยังมีใครที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับท่านอีกเหรอครับ? เพราะฉะนั้น ถ้าตอนนี้ผมจะเรียกท่านว่าผู้ว่า ก็คงไม่มีปัญหาหรอกครับ”จางต้งเหลียงเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงทันทีพร้อมพูดว่า “ต่อไปห้ามพูดแบบนี้อีกนะครับ ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่ยกโทษให้คุณ!”แม้จะพูดแบบนั้น แต่รอยยิ้มในดวงตาของเขากลับเผยความคิดที่แท้จริงของเขาออกมาหวังซงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ตามที่ท่านว่าก็ได้ครับ”“อ้อ! จริงสิครับ” หวังซงทำท่าราวกับว่าเขานึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหยิบกล่องที
ใบหน้ารูปไข่ที่มีเสน่ห์เล็กน้อยและผมดำเงางามที่นุ่มลื่นดวงตาใสราวกับน้ำพุธรรมชาติเธอคืออวี่เฟยเฟยเย่ซิวเองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “บังเอิญจังเลย เจอกันอีกแล้วนะครับ”เฟยเฟยรู้สึกดีใจมากที่วันนี้เธอได้พบเย่ซิวอีกครั้ง “ว่าแต่คุณเย่กำลังจะไปที่ไหนเหรอคะ?”เย่ซิวพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ไฟท์นี้กำลังจะไปหวู่เฉิงไม่ใช่เหรอครับ? คุณว่าผมจะไปที่ไหนล่ะ?”ใบหน้าของอวี่เฟยเฟยเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย “ฉันนี่ซื่อบื้อจริง ๆ พอเห็นคุณเย่แล้ว ฉันก็เลยรู้สึกตื่นเต้นไปหน่อยน่ะค่ะ“เย่ซิวยิ้มพร้อมกับส่ายศรีษะเบา ๆอวี่เฟยเฟยพูดต่อ “ว่าแต่คุณเย่อยากจะดื่มเครื่องดื่มอะไรดีคะ? หรืออยากทานอะไรหรือเปล่า? ฉันจะได้ไปเตรียมมาให้คุณ”“ผมขอผัดหมี่หนึ่งที่กับน้ำส้มหนึ่งแก้วก็พอครับ”“บ้านนอกจริง ๆ!”ทันทีที่เย่ซิวพูดจบ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็เบ้ปากแสดงท่าทางรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด“มานั่งถึงชั้นเฟิร์สคลาสแต่ดันสั่งแค่ผัดหมี่ ฉันว่าคุณคงเก็บเงินเดือนมาหลายเดือนเพื่อที่จะมานั่งชั้นเฟิร์สคลาสละสิ อุตส่าห์ดันทุรังมานั่งถึงชั้นนี้เพราะอยากจะมาจีบสาวใช่ไหมล่ะ?”เย่ซิวหันไปมองผู้หญิงวัยประมาณสี่สิบป
“คุณเป็นคนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ไหน?”คำถามที่ไม่คาดคิดจากเย่ซิว ทำให้คนตรงหน้าดูตกใจเล็กน้อย แต่เธอก็พยายามปกปิดมันเอาไว้แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกเย่ซิวจับได้อยู่ดีเดิมทีเขายังมีความสงสัยอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขามั่นใจอย่างเต็มที่แล้วเพราะเย่ซิวไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับคนตรงหน้ามาก่อน เพราะถ้าเป็นคนปกติก็คงไม่กล้าทำให้ตัวเองเสื่อมเสียถึงขนาดนี้ดังนั้น ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวคือฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาที่จะทำแบบนี้เพื่อต้องการที่จะกักตัวเขาไว้ หรืออย่างน้อยก็พยายามถ่วงเวลาเย่ซิวเอาไว้ให้มากที่สุดแม้ฝ่ายตรงข้ามอาจจะไม่รู้ว่าเย่ซิวจะไปที่ไหน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การถ่วงเวลาก็เป็นเรื่องที่ต้องทำคนที่มีเจตนาและจุดประสงค์เช่นนี้ นอกจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์แล้ว เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นใครอื่นไปได้อีก หญิงสาวพูดด้วยเสียงดังขึ้นว่า “ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังพูดอะไร แต่ตอนนี้แกอย่าคิดหนีไปไหนเด็ดขาด!”ยิ่งเธอเอะอะโวยวายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังรู้สึกกระวนกระวายมากเท่านั้นเย่ซิวไม่สนใจว่าเธอจะถูกบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไหนส่งมา เพราะถึงอย่างไร เขาก็กำลังจะสะสางทุกอย่างให้เรียบร้อยอ
กัปตันเดินนำทุกคนไปที่ห้องพักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ พวกคุณทุกคนจะต้องเก็บเป็นความลับไปตลอดชีวิต!”ใครบางคนเอ่ยถามขึ้น “กัปตันครับ รู้ไหมครับว่าเขามีภูมิหลังยังไง?”กัปตันมีสีหน้าบึ้งตึงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม!อย่าหาว่าผมไม่เตือนพวกคุณก็แล้วกัน ถ้าเรื่องวันนี้รั่วไหลออกไปแม้แต่นิดเดียว พวกคุณทุกคนอาจจะต้องติดคุกอย่างน้อยห้าถึงหกปี!”เมื่อพูดจบ ทุกคนต่างก็มีท่าทีตกใจ พวกเขาปิดปากเงียบและไม่กล้าถามอะไรอีก……ในเขตที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างเก่าแก่ในหวู่เฉิง มีครอบครัวของหลัวเฟิงอาศัยอยู่นอกเขตที่อยู่อาศัย มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจำนวนหนึ่งคอยเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้กับที่พักของหลัวเฟิงตลอดเวลาภายในห้อง หลัวเฟิงนอนอยู่บนเก้าอี้โดยมีลูกชายของเขากำลังป้อนข้าวให้เขาช่วงนี้สุขภาพของเขาแย่ลงเรื่อย ๆ แม้แต่การเคลื่อนไหวก็เริ่มจะลำบากมากขึ้นหลังจากทานโจ๊กไปหนึ่งถ้วย หลัวเฟิงจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและเอ่ยถามลูกชายของเขาว่า “ช่วงนี้พฤติกรรมของจางต้งเหลียงแปลกไปบ้างหรือเปล่า?”เสียงของเขาแหบแห้งจนฟังดูไร้เรี่ยวแรงเขามีอายุราว ๆ หกส
คำพูดของเย่ซิวทำให้อวี้เฟยเฟยหน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้ เธอตอบกลับอย่างเขินอาย“ช่วยไม่ได้ ก็ฟ้าประทานความสวยมาให้ฉันนี่คะ”เย่ซิวหัวเราะเสียงดัง หลังจากนั้น เขาก็เดินออกจากเครื่องบินไปอวี้เฟยเฟยมองไปยังแผ่นหลังของเย่ซิวด้วยแววตาคลั่งไคล้“เขานี่หล่อจริง ๆ เลย แถมมีกลิ่นกายของผู้ชายสุด ๆ”“จริงเหรอ? แกเคยได้กลิ่นของเขาหรือไงกัน?”สาวสวยคนหนึ่งที่บนใบหน้ามีจุดด่างเล็กน้อยเดินเข้ามา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความขบขันเธอเป็นเพื่อนสนิทของอวี้เฟยเฟยเมื่อได้ยินเช่นนั้น อวี้เฟยเฟยก็หน้าแดงไปทั่วทั้งใบหน้า เธอหันมาหยอกล้อเพื่อนสนิทของเธอ “นี่แน่ะ! นี่แกแอบฟังที่ฉันพูดเหรอ? ดูสิว่าฉันจะจัดการกับแกยังไง”“โอ๊ย! ฉันผิดไปแล้ว อย่านะ…ปล่อยฉันไปเถอะ”สองสาวหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศดูระรื่นตามาก แต่เสียดายที่เย่ซิวไม่ได้เห็น หลังจากออกจากสนามบินมา เย่ซิวก็เรียกแท็กซี่และตรงไปยังที่พักของหลัวเฟิงเขาสืบมาแล้วว่าหลัวเฟิงอาศัยอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยใดเมื่อเย่ซิวมาถึงเขตที่อยู่อาศัยที่หลัวเฟิงอาศัยอยู่ ก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้วเขานี่โชคดีจริง ๆ เมื่อเขามาถึงก็เห็นเจ้าหน้าที่ทางการ
น่าหลันเยียนหรานหัวเราะคิกคัก "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดื่มเก่งมาก มา ดื่มกันต่อ..."โดยปกติแล้วคนที่ชอบพูดว่าตัวเองดื่มเก่ง ในความเป็นจริงล้วนไม่ค่อยจะเท่าไหร่ยกตัวอย่างเช่นน่าหลันเยียนหราน อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ดื่มไปสามแก้วติดกัน ก็นอนฟุบหมดสติไปกับโต๊ะแล้วเย่ซิวส่ายหัวอย่างหมดคำพูด เดินขึ้นไปแล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้องน่าหลันเยียนหรานดูตัวสูงเพรียว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ตัวหนัก น่าจะสักประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม สำหรับเย่ซิวแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับการอุ้มก้อนสำลีมากนักเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของน่าหลันเยียนหราน กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกมะลิก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานเมื่อได้กลิ่นห้องพักสะอาดมาก ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วต้องหน้าแดงเขาวางเธอลงเบา ๆ ไม่ทันรอให้เย่ซิวดึงมือกลับไป เธอก็ลืมตาที่แดงก่ำขึ้นแล้วพูดอย่างคลุมเครือฟังไม่ค่อยชัดแต่เย่ซิวได้ยินมันอย่างชัดเจนมาก เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "คุณแน่ใจเหรอ? ผมไม่สามารถให้สถานะแก่คุณได้"น่าหลันเยียนหรานค่อย ๆ หลับตาลง ท่าทางเหมือนยอมให้ท่านกระทำได้ทุกอย่างนี่เป็นการตัดสินใจเลือกของเธอเอง เย่ซิวไม่ได้บังค
“วิชาจินตานเบญจมหาธาตุวิถี!”เย่ซิวมองไปที่วิธีบ่มเพาะจินตานที่บันทึกไว้ในหนังสือในมือของเขาด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าการสร้างแก่นจินตาน สามารถมองได้ว่ามนุษย์กับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันโดยใช้กายมนุษย์เป็นเตาหลอม พละกำลัง ลมปราณ และพลังวิญญาณเป็นวัตถุดิบยา หลอมกลั่นมันออกมาตลอดทุกยุคสมัยล้วนมีบันทึกไว้แบบนี้ เมื่อจินตานหนึ่งเม็ดอยู่ในท้องข้า ก็ตระหนักได้แล้วว่าชะตากรรมข้ามิได้ถูกกำหนดโดยฟ้าดินอีกต่อไปและวิธีการสร้างตานในมือของเย่ซิว ก็คือหนึ่งในวิธีที่ยากที่สุดในบรรดาวิธีการต่าง ๆจำเป็นต้องรวบรวมสมบัติแห่งฟ้าดินทั้งห้าธาตุ แล้วกลั่นเป็นตานแห่งเบญจมหาธาตุวิถี!จินตานประเภทนี้จะมีพลังวิญญาณแฝงอยู่เป็นสิบเท่าของจินตานทั่วไป และความเร็วในการฟื้นตัวเองก็มากกว่าหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ในระดับขั้นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญตนที่มีตานแห่งวิถีห้าธาตุ จะสามารถเอาชนะขั้นอมตะทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้แบบข้ามขั้นที่น่ากลัวด้วยแน่นอนว่า ศักยภาพเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน สามารถไปต่อได้ไกลเย่ซิวจดทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จากนั้นนำหนังสือกลับไปคืนที่เดิม ทิ้ง
ในตอนนั้นเอง กระบี่พยัคฆ์ก็รู้สึกได้ว่าจิตสังหารที่รายล้อมรอบตัวเขาได้จางหายไปแล้วเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “ผมกำลังขาดสุนัขที่รู้จักเห่าและกัดเจ็บอยู่ สนใจจะเป็นไหม?”เขามองออกว่ากระบี่พยัคฆ์เป็นคนที่หยิ่งทะนงและไม่ยอมใคร การใช้คำพูดที่สุภาพกับคนแบบนี้คงไม่มีประโยชน์ ต้องใช้พลังที่เหนือกว่าและความเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะควบคุมได้และเป็นดังที่คาดไว้ กระบี่พยัคฆ์ที่เพิ่งโดนพลังของเย่ซิวข่มขวัญก็ยอมจำนนในทันที แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจ เขากลับยิ้มอย่างยินดี “ผมยินดีรับใช้ ขอบคุณที่คุณรับผมไว้ครับ!”ภาพนี้ทำเอานักพรตทั้งสองคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวเดินเข้าไปหานักพรตสาวที่หน้าตางดงามราวกับงานศิลปะ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “พอจะอนุญาตให้ผมเข้าไปดูหนังสือในห้องสมุดของพวกคุณได้ไหม?”นักพรตสาวกลับมาตั้งสติ ก่อนจะมองหน้านักพรตอีกคนนักพรตคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมท่าทีที่นอบน้อมอย่างมาก “ดะ…ได้เลย…เชิญโยมตามอาตมาเข้ามาได้เลย”ตอนนี้เขารู้สึกเกรงกลัวเย่ซิวเป็นอย่างยิ่งชายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเขาโกรธขึ้นมา เกรงว่าทั้งอารามเต๋าอาจถูกทำลายจนไม่เหลือเย่ซิวหันไปมองกระบี่พยัคฆ์ “คุกเข่ารอฉันตรงนี
กระบี่พยัคฆ์มีท่าทีที่ดุดันและแข็งกร้าว แต่ก็สมกับพลังที่เขามีจริง ๆกระบี่ที่เขาฟาดออกไปมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และทรงพลังดั่งมหาสมุทร ราวกับจะผ่าทั้งสวรรค์และปฐพีออกเป็นสองส่วนเด็กสาวที่วิ่งออกมาจากในอารามที่ดูงดงามราวกับตุ๊กตาได้แต่มองกระบี่นี้ด้วยความตกตะลึงเธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ด้วยพลังที่มีไม่พอจึงได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพที่เย่ซิวจะถูกแยกออกเป็นสองท่อนนักพรตหนุ่มถึงกับหน้าซีด คิดจินตนาการถึงภาพที่เย่ซิวต้องเลือดสาดเต็มพื้น“ไม่เลวเลย จอมยุทธ์ระดับแปดขั้นต้นที่สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงขั้นสูงถือว่าหายากทีเดียว”ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ มีเพียงเย่ซิวเท่านั้นที่ยังมีอารมณ์มาวิจารณ์การโจมตีนี้ด้วยท่าทีสงบ กระบี่พยัคฆ์ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน “ตายคาที่แล้วยังจะทำเป็นอวดเก่งอีก!”แต่เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผีเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ เย่ซิวใช้เพียงสองนิ้วคีบหยุดคลื่นกระบี่อันน่าสะพรึงนั้นได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกระบี่พยัคฆ์และนักพรตทั้งสอง เย่ซิวคีบคลื่นกระบี่ไว้ได้ราวกับไม่มีอ
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่เชื่ออย่างแรง “อย่ามาหลอกฉัน ถ้าเจ้าอาวาสไม่ออกมา ฉันก็ไม่ไป และวัดนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมากราบไหว้อีก!”นักพรตหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและหมดหนทาง เมื่อเจอกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งและเล่นไม่ซื่อแบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะรับมือยังไง“เฮ้ พวกเธอสองคน ไสหัวไปซะ!”ชายคนนั้นมองเย่ซิวกับน่าหลันเยียนหรานด้วยสายตาดุดันดั่งสิงโตที่กำลังคำราม ดูน่ากลัวเป็นอย่างมากนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่มาไหว้พระพากันหนีไปหมดเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “นี่เป็นที่สาธารณะ ทำไมผมต้องไปด้วย?”ชายคนนั้นแสยะยิ้ม “ไอ้หนู คิดจะโชว์แมนต่อหน้าแฟนหรือไง? อยากโดนฉันสั่งสอนใช่ไหม!”พูดจบ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเขามีเพียงผู้ที่ผ่านสมรภูมิความเป็นความตายอันโหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะสามารถแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาน่าหลันเยียนหรานตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกไปทั้งร่างชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วแต่ในวินาทีนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือใหญ่ที่อบอุ่นและแข็งแรงมาจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ เธอรู้สึกสงบลง ก่อนจะมองไปที่เย่ซิวด้วยสายตาขอบคุณนักพรตหนุ่มรีบวิ่งลงมาหาเย่ซิวพร้อมเตือนด้วยความกังวล “โย
คนส่วนใหญ่มีทัศนคติที่เกลียดชังคนรวยเหมือนกับตอนนี้ที่แม้น่าหลันเยียนหรานเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเห็นได้ชัดแต่เพียงเพราะเธอขับรถหรูและใส่เสื้อผ้าราคาแพง คนรอบข้างจึงคิดว่าเป็นความผิดของเธอเหตุการณ์แบบนี้ที่แสดงถึงความเกลียดชังคนรวยมีให้เห็นทั่วไปขณะที่น่าหลันเยียนหรานไม่รู้จะทำอย่างไรดี เย่ซิวก็ปรากฏตัวขึ้นมายืนขวางหน้าเธอไว้น่าหลันเยียนหรานยิ้มด้วยความดีใจ “คุณเย่มาที่นี่ได้ยังไงคะ”“ผ่านมาแถวนี้พอดี” เย่ซิวมองหญิงชราที่นอนขวางรถของน่าหลันเยียนหราน แล้วเอ่ยเรียบ ๆ “ลุกขึ้น แล้วไสหัวไปซะ!”หญิงชรายิ้มเยาะ “อะไร พวกเธอสองคนรวมหัวกันจะรังแกคนแก่เหรอ หน้าไม่อาย ถ้าฉันไม่ลุกพวกเธอจะทำอะไรฉันได้!”คนที่ไม่รู้จักอายมักจะได้เปรียบเสมอเย่ซิวจ้องมองเธอด้วยดวงตาที่เปล่งประกายแล้วตวาดใส่หญิงชราคนนั้น “มองฉัน!”หญิงชราหันมามองตาของเย่ซิวโดยไม่ทันรู้ตัวตึง!สมองของเธอว่างเปล่าไปชั่วขณะ ราวกับสติหายไปชั่วคราวเย่ซิวมองเธอ “บอกมาว่าทำไมถึงคิดจะหลอกคนอื่น”หญิงชราเผยความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว“ฉันเล่นไพ่นกกระจอกจนเสียเงินค่าใช้จ่ายสำหรับทั้งปีไป กลัวสามีจะด่าก็เลยคิดจะหลอกเอาเงินจากค
“พี่เป็นคนดีจริง ๆ ฉันรักพี่ที่สุดเลย”จวงเสี่ยงหยิงดีใจจนกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าเย่ซิว“พอแล้ว” เย่ซิวกดไหล่เธอลง “ผู้หญิงไม่ควรกระโดดโลดเต้นต่อหน้าผู้ชายแบบนี้ จะเสียเปรียบเอานะ”จวงเสี่ยงหยิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึง ใบหน้าเธอแดงก่ำ ก่อนจะเอ่ยด้วยความเขินอาย “พี่นี่ลามกจริง ๆ เลย คราวหน้าฉันจะกระโดดแค่ต่อหน้าพี่แค่คนเดียวดีไหมคะ?”จวงเสี่ยงหยิงเปรียบเสมือนดอกไม้ที่ยังตูมรอวันผลิบาน แผ่กลิ่นอายแห่งความสดใสและเยาว์วัยออกมาทุกอณูการได้อยู่กับสาวน้อยแบบนี้ทำให้จิตใจพลอยสดชื่นไปด้วยถ้าไม่ติดว่ายังมีเรื่องรอให้ทำอีกมากมาย เย่ซิวคงจะอยู่กับเธอนานกว่านี้หน่อยหลังจากออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว เย่ซิวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาอารามเต๋าภายในประเทศตอนนี้เขาอยู่ในขั้นสูงของการสร้างรากฐานปราณ อีกไม่นานก็จะถึงขั้นสมบูรณ์ เขาต้องเริ่มเตรียมตัวสำหรับการบ่มเพาะจินตานแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำคือหาวิธีการบ่มเพาะจินตานปัจจุบัน อารามเต๋าในประเทศที่มีอายุมากกว่าร้อยปีนั้นมีอยู่ไม่กี่แห่งเย่ซิวค้นเจออารามเต๋าห้าแห่ง หนึ่งในนั้นมีอยู่ที่เมืองหลวงและระยะทางก็ไม่ไกลมากเมื่อค้นเจอต
เย่ซิวชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะหันกลับมา “ว่าไงครับ?”หยางชิงเสวี่ยเม้มปากเล็กน้อย ดวงตางดงามจับจ้องไปยังเย่ซิวที่ยืนอย่างองอาจ “คุณต้องเร่งบำเพ็ญตนให้มากขึ้น แล้วรีบทะลวงให้ถึงระดับจินตานให้เร็วที่สุด ถึงตอนนั้น…”ประโยคหลังจากนั้นเธอไม่ได้พูดออกมา แต่แค่ขยับริมฝีปากเท่านั้นเย่ซิวเข้าใจอย่างชัดเจน จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากหยางชิงเสวี่ยมีร่างกายที่พิเศษ และต้องรอให้เย่ซิวทะลวงระดับจินตานเสียก่อนจึงจะสามารถมีสัมพันธ์กับเธอได้นี่เป็นกฎที่อาจารย์ของเขากำหนดไว้เมื่อถึงเวลาที่เขาสมหวังกับหยางชิงเสวี่ย เขาจะได้รับพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากเย่ซิวกลับไปที่ศาลา ก่อนจะหยิบจี้หยกสองชิ้นออกมา แล้วสวมให้เธอด้วยมือของเขาเองทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนกลิ่นอายความแข็งแกร่งของเขาแผ่ซ่านเข้ามาจนสัมผัสได้หยางชิงเสวี่ยรู้สึกเหมือนร่างกายถูกจุดไฟ รู้สึกอ่อนแรงและใบหน้าก็แดงระเรื่ออย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจากนั้นเย่ซิวก็คว้ามือเล็กอ่อนนุ่มของเธอไว้ ก่อนจะสวมแหวนลงบนนิ้วของเธอสองวง แล้วบอกวิธีใช้ให้เธอฟัง“ของพวกนี้ล้ำค่าเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก”หยางชิงเสวี่ยส่ายหน้า พยายามจะถอดออก“ไม่เป็นไร ของพว
ชีวิตของเธอในตอนนี้เรียบง่ายมากบางครั้งก็เรียน บางครั้งก็ไปฝึกงานที่บริษัท ชีวิตดูเต็มไปด้วยคุณค่าและมีความหมายมากเย่ซิวลูบหัวเธอเบา ๆ “มาดูว่าเธอเป็นยังไงบ้าง”สายตาของเขามองไปที่ศาลาตรงนั้นมีหญิงสาวที่ดูราวกับนางฟ้ากำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งใจมองจากมุมนี้ ใบหน้าด้านข้างของเธอสวยไร้ที่ติ ทำให้คนใจเต้นแรงแม้เพียงพบเห็น แต่ก็ไม่กล้าคิดลามกกับเธอเธอคือผู้หญิงที่มีเสน่ห์อย่างน่าอัศจรรย์คนหนึ่งเลยทีเดียวดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกถึงสายตาของเย่ซิว เธอจึงหันมองมาแล้วพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับยกมุมปากยิ้มบางเย่ซิวยิ้มตอบจวงเสี่ยวหยิงยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหึงหวง “ที่แท้ก็ไม่ได้มองแค่ฉันนี่นา”เย่ซิวหัวเราะ “เด็กน้อย ยังจะหึงอีกนะ ไปซื้อน้ำให้ฉันหน่อยสิ”“ค่ะ…”จวงเสี่ยวหยิงยู่ปากแต่ก็เดินออกไปอย่างว่าง่ายเย่ซิวเดินเข้าไปในศาลา นั่งลงตรงหน้าชิงเสวี่ยแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “คุณรู้จักที่มาที่ไปของคุณลี่หรือเปล่า?”ชิงเสวี่ยวางหนังสือลง มองเย่ซิวด้วยดวงตากลมโต พลางส่ายหัวเบา ๆ “ไม่เคยได้ยินมาก่อนค่ะ”เย่ซิวจ้องมองเธอด้วยสายตาตรงไปตรงมา จิตใจมั่นคงไม่หวั่นไหว ทำให้รู้ว่าเธอไม