ช่วงกลางเดือนแปด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะเดินทางมาถึงแคว้นซีหนี่ว์อย่างราบรื่นแคว้นซีหนี่ว์นั้นผู้นำล้วนเป็นสตรี และที่พบเห็นตามถนนหนทาง ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสตรีทหารรักษาเมืองที่ลาดตระเวน ก็เป็นสตรีทั้งหมดเช่นกันแคว้นซีหนี่ว์ในอดีต บุรุษก็เคยเป็นผู้นำสูงสุดทว่าจากสงครามหายนะครั้งใหญ่ เหล่าบุรุษทั้งหมดตายในสนามรบ เหล่าสตรีทำได้เพียงต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงนานวันเข้า ถึงแม้ภายหลังบุรุษจะเพิ่มขึ้น ทว่า เหล่าสตรีได้สัมผัสกับรสชาติของการมีอำนาจ จึงไม่เต็มใจจะวางมืออีกแล้วเพื่อปฏิบัติตามแนวทางแห่งสตรีของราชวงศ์ ประมุขแคว้นแต่ละคน จึงส่งต่อบัลลังก์ให้บุตรสาวมิส่งให้บุตรชายคนที่เข้ามาเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ก็เป็นสตรีที่ครองตำแหน่งมากกว่าบุรุษก็เป็นขุนนางได้ ทว่ามีจำนวนน้อย อีกทั้งมิอาจครอบครองอำนาจที่แท้จริงได้เหล่าสตรีของแคว้นซีหนี่ว์เชื่อว่า มีเพียงผู้นำเป็นสตรี ถึงจะรับประกันได้ว่าอำนาจของสตรีจะไม่หลุดมือไปหากเปลี่ยนเป็นบุรุษ จักต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ดังนั้น ต่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มีโอรส บัลลังก์ก็จะไม่มีทางส่งต่อให้องค์ชาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาเคลื่อนลงมา มองดูคมกระบี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงแม้จะถูกเปิดโปงสถานะ แต่นางยังคงมีท่าทีสงบนิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ในชุดบรรทมสีเหลือง พระชันษาราวสี่สิบกว่า พระเกศาสยายคลุมบ่า พระพักตร์มีริ้วรอย ทว่า กาลเวลามิอาจเอาชนะหญิงงามได้ ทั้งตัวนางยังคงมีความสง่าผ่าเผย มั่นคงราวกับเสาค้ำทะเลตงไห่แคว้นซีหนี่ว์มีประมุขแคว้นเช่นนี้ มิน่าแปลกใจที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองสำรวจเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชา“ให้ฮองเฮาเยี่ยงเจ้ามาที่แคว้นซีหนี่ว์ ฮ่องเต้ฉีทรงตัดพระทัยได้จริงหรือ เหตุใด มิกลัวว่าเราจะฆ่าเจ้า?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิเสแสร้งแกล้งทำอีก พร้อมกับยอมรับตามตรง“คารวะประมุขแคว้น”“ครั้งนี้มาเยือนแคว้นท่าน คือมาในฐานะราชทูต หาใช่มาในฐานะฮองเฮาแห่งหนานฉี และยิ่งมิใช่ในฐานะแม่ทัพน้อยเมิ่งอะไรนั่น“ที่ปลอมตัวมาพบท่าน เป็นเพราะสถานการณ์กำลังวุ่นวาย หากมีสิ่งใดรบกวนพระทัย หวังว่าท่านจะให้อภัย“ทว่า ตัวหม่อมฉัน และแม้แต่ทั้งหนานฉี ก็ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินต่อท่าน”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงถือกระบี่จ่ออยู่ที่นาง พร้อมกับ
“แม่ทัพน้อย สารด่วนที่สุด! คุณหนูใหญ่ได้รับความอัปยศจนปลิดชีพตัวเอง นายหญิงต้องการให้ท่านกลับโดยเร็วที่สุด เพื่ออภิเษกสมรสแทนคุณหนูใหญ่!”ชายแดนแคว้นหนานฉี เกือกม้าย่ำผ่านลำธารที่เพิ่งละลาย หยดน้ำกระเซ็นซ่านเฟิ่งจิ่วเหยียนควบม้านำอยู่หน้าสุด นางสวมอาภรณ์เรียบง่ายแขนสอบสีดำ ใช้ปิ่นไม้อันเดียวรวบผมดำขลับ เส้นผมและชายชุดสะบัดพลิ้ว ในความองอาจเหนือคนนั้นแฝงไว้ซึ่งอารมณ์อันคุกรุ่นนางกับเฟิ่งเวยเฉียงน้องสาวเป็นฝาแฝดกัน แต่เนื่องจากการมีฝาแฝดไม่เป็นมงคล นางจึงถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เล็กเวยเฉียงมีนิสัยอ่อนโยนอ่อนหวาน ไม่เคยผูกความแค้นกับใครนางไม่เข้าใจเลย ใครจะทำร้ายคนที่บริสุทธิ์ดีงามเช่นนั้นนางจะจับคนผู้นั้นมาถลกหนังเลาะกระดูก สับเป็นชิ้น ๆ ป้อนให้สุนัขกินเสีย!องครักษ์เห็นว่าจะตามไม่ทันความเร็วของนางแล้วจึงตะโกนว่า“แม่ทัพน้อย ตอนนี้ควบม้าตายไปสองตัวแล้ว ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม แวะพักก่อนดีหรือไม่...”เฟิ่งจิ่วเหยียนสะบัดแส้ม้า“ตามไม่ทันก็ไสหัวกลับค่ายทหาร! ย่าห์!”โง่เง่า! มีเวลามาพักผ่อนเสียที่ไหน!สิ่งที่นางแบกรับอยู่ตอนนี้คือหนึ่งร้อยกว่าชีวิตในตระกูลเฟิ่ง!องคร
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ในห้องหรี่ดวงเนตรงามลงเล็กน้อยวันนี้ไม่ว่าผลตรวจร่างกายเป็นเช่นไร ก็ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเฟิ่งทั้งสิ้นหวงกุ้ยเฟยจะต้องตัดสินว่าบุตรีตระกูลเฟิ่งไม่บริสุทธิ์เป็นแน่ จากนั้นก็ใช้เหตุนี้สร้างเรื่องตามมาถ้าคนที่มาสวมรอยแทนอย่างนางถูกตรวจร่างกายได้ผลว่ายังบริสุทธิ์ ถึงจะสามารถป้องกันแผนร้ายของหวงกุ้ยเฟย แต่ก็คงจะทำให้หวงกุ้ยเฟยนึกสงสัยขึ้นมาทันทีที่เรื่องสวมรอยแต่งงานมีพิรุธปรากฏ ถึงยามนั้นโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงก็เพียงพอให้ตระกูลเฟิ่งประสบหายนะได้แล้ว!สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองตรงไปข้างหน้า ใช้มือที่จับทวนมาจนชินนั้นแต้มบุปผาตรงหว่างคิ้วของตนเองอย่างหนักแน่นสิ่งที่อาจารย์สั่งสอนนางมีเพียงหลักพิชัยสงครามและหลักการเป็นขุนนางอาจารย์หญิงเคยสอนหลักการครองเรือนให้นาง ในนั้นย่อมมีธรรมเนียมปฏิบัติในวังหลวงด้วยเช่นกัน ยามนั้นแม้นางได้เรียนรู้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้นำมาใช้งานเพราะปณิธานของนางอยู่ที่ใต้หล้า ไม่ต้องการถูกคุมขังไว้ในเรือน เป็นเพียงภรรยาตัวน้อยที่โอนอ่อนผ่อนตามสามีคิดไม่ถึงว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตนอกห้องขันทีผู้นั้นเดินนำนางกำนัลจากในวังหลวงตรงมา
ณ ตำหนักฉือหนิง ที่ประทับของไทเฮาไทเฮาได้ยินเรื่องที่จวนตระกูลเฟิ่งแล้วก็มีสีพระพักตร์แช่มชื่น กล่าวกับกุ้ยหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า“ตอนงานวันเกิดของข้าปีที่แล้ว เคยเห็นเฟิ่งเวยเฉียงผู้นั้น นิสัยนางอ่อนโยนเกินไป เวลานั้นข้าก็รู้สึกว่านางยากจะรั้งตำแหน่งฮองเฮาได้“เรื่องในวันนี้กลับแปลกใหม่นัก ถึงกับโต้แย้งคนของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ต่อหน้าธารกำนัล“ข้าต้องมองนางใหม่เสียแล้ว”กุ้ยหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายไทเฮา เข้าใจความซับซ้อนในวังอย่างลึกซึ้ง นางรินน้ำชาร้อนกรุ่นให้ไทเฮา“แต่ดูจากความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อหวงกุ้ยเฟย แม้ฮองเฮาจะปราดเปรื่องกล้าหาญเพียงไหนก็ยากจะรับมือท่านที่อยู่ตำหนักหลิงเซียวผู้นั้นได้ คืนนี้ ยากจะรับประกันว่าหวงกุ้ยเฟยจะไม่ก่อเรื่องนะเพคะ”เห็นได้ชัดว่านางมีความเห็นแตกต่างจากไทเฮา ไม่คิดว่าฮองเฮาจะมีความสามารถถึงเพียงนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าไทเฮาสลายไป“เจ้าพูดถูก ข้ายังจำได้ว่า วันที่ซิ่วหว่านเข้าวัง เดิมนั้นฝ่าบาทตั้งใจจะไปหานาง ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ผู้นั้นจะเข้ามาขัดขวาง เชิญฝ่าบาทไปหา“น่าสงสารก็แต่ซิ่วหว่านเด็กคนนั้น แม้แต่อาหญิงอย่างข้าก
ฮ่องเต้ทรราชจะเสด็จมา เฟิ่งจิ่วเหยียนได้แต่บอกให้เหลียนซวงทำทรงผมกลับไปตามเดิม แต่มือของเหลียนซวงสั่นเทิ้ม คิดว่าคงเป็นเพราะหวาดกลัวฮ่องเต้ทรราชที่กำลังจะมาเยือนผู้นั้นนางมือสั่น ย่อมทำผิดพลาดอย่างไม่อาจเลี่ยงเมื่อถูกถอนผมเป็นเส้นที่สาม เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ทนไม่ไหว เอ่ยเสียงเย็นชาว่า“ถอยไป ข้าจัดการเอง” นางเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม การฝึกฝนทำผมทรงต่าง ๆ ให้ได้อย่างคล่องแคล่วจึงเป็นสิ่งจำเป็นด้วยเหตุนี้ นางจัดแจงเพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้ทรงผมกลับไปเหมือนตอนแรกได้แล้ว เหลียนซวงเห็นแล้วก็ตกตะลึงเหลือล้น“ฮองเฮา ท่านมีฝีมือยอดเยี่ยมนักเพคะ!”แต่ขณะที่ฝั่งพวกนางเตรียมความพร้อมต้อนรับฮ่องเต้ คนจากนอกตำหนักก็มารายงานอีกครั้งว่า“ฮองเฮา โรคปวดศีรษะของหวงกุ้ยเฟยกำเริบ ฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักหลิงเซียวแล้วเพคะ”เหลียนซวงเผยอปาก รู้สึกโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมาหวงกุ้ยเฟยจะต้องแกล้งป่วยเป็นแน่ โรคปวดศีรษะกำเริบขึ้นมาตอนนี้ จะเหมาะเจาะขนาดนี้ได้อย่างไรคงเห็นว่าฝ่าบาทเสด็จกลับวังมาแล้วจึงให้คนไปเชิญน่ะสิพอเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินคำว่าหวงกุ้ยเฟยก็คิดถึงเวยเฉียงน้องสาวเวยเฉียงถูกทำร้ายแสนสาหัสจนถึงแก่คว
กลับถึงห้องหอ หัวหน้าหมัวมัวที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตาท่าทางเข้มงวดก็สั่งให้คนเตรียมน้ำมาปรนนิบัติฮองเฮาอาบน้ำนางเบียดเหลียนซวงออก เข้ามายิ้มกว้างให้เฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮองเฮา หลายปีมานี้ นอกจากหวงกุ้ยเฟยแล้ว ฝ่าบาทยังไม่เคยโปรดปรานสนมคนอื่นมาก่อนเลยนะเพคะ ท่านนับเป็นคนแรก!”เหลียนซวงยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกไม่ใคร่พอใจหมัวมัวผู้นี้ตอนแรกยังไม่เห็นว่านางจะปรนนิบัติด้วยความกระตือรือร้นปานนี้ ช่างเป็นพวกประจบผู้มีอำนาจเหยียบย่ำคนฐานะต่ำกว่าโดยแท้ในวังหลวงแห่งนี้ ฐานะของสตรีล้วนพึ่งพาความโปรดปรานของฮ่องเต้ดังคาด มิฉะนั้น ต่อให้สูงส่งเป็นฮองเฮาก็ยังถูกเมินเฉยไม่ได้รับการเหลียวแลหัวหน้าหมัวมัวพูดอะไรไปมากมาย เฟิ่งจิ่วเหยียนล้วนไม่ตอบนางสั่งความอย่างเย็นชา “ออกไปให้หมด ให้เหลียนซวงปรนนิบัติในตำหนักคนเดียวก็พอ”……หลังจากในตำหนักเงียบลงแล้ว เหลียนซวงก็ถามอย่างกังวลใจ“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาย่อมเป็นเรื่องดี“แต่ท่านทำเช่นนี้ จะมิเป็นการขัดแย้งกับหวงกุ้ยเฟยหรือเพคะ?“นายหญิงบอกให้พวกเราอยู่ในวังหลวงอย่างเงียบ ๆ อย่าสร้างศัตรู โดยเฉพาะหวงกุ้ยเฟย...”“ท่านแม่ก็สอนเวยเฉียงเช่นนี้หรือ” เฟิ่งจิ่ว
เมื่อเหลียนซวงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็รีบเข้าไปในตำหนัก“ฮองเฮา เกิดอะไรขึ้นเพคะ...”เหลียนซวงพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงสายหนึ่งดังออกมาจากม่านอักษรมงคล [1] “ไสหัวไป”เป็นเสียงของบุรุษ!เหลียนซวงตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว คิดจะตะโกนเรียกคนเข้ามาทันใดนั้นขันทีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาขวางนางไว้อย่างรีบร้อน เสียงที่พยายามกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้กล่าวว่า“ไม่รู้จักเบิกตาดูซะบ้าง! นั่นคือฮ่องเต้!”เหลียนซวงตกตะลึงจนพูดไม่ออกฝ่ะ ฝ่ะ ฝ่า...ฝ่าบาท? ฮ่องเต้ทรราชผู้ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาผู้นั้น?มืดค่ำถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดอยู่ ๆ พระองค์ถึงเสด็จมาเล่า!!ภายในม่านฝ่ามือใหญ่ของบุรุษกดไหล่ข้างหนึ่งของเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งจับข้อมือข้างที่นางถือกริช โน้มร่างอยู่เหนือนาง ราวกับสิงโตที่กำลังโถมเข้าหาเหยื่อเดิมเฟิ่งจิ่วเหยียนสามารถลองสลัดให้หลุดได้ แต่เมื่อรู้สถานะของอีกฝ่ายนางจึงไม่ได้ลงมือในความมืดมิด นางไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดแต่รังสีฆ่าฟันบนร่างของเขาเข้มข้นยิ่ง“ฮองเฮา ไม่อธิบายซักหน่อยหรือ?”น้ำเสียงทุ้มอันราบเรียบของบุรุษทำให้คนรู้สึกกลัวเกรงหากเป็นสต
เฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาเคลื่อนลงมา มองดูคมกระบี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงแม้จะถูกเปิดโปงสถานะ แต่นางยังคงมีท่าทีสงบนิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ในชุดบรรทมสีเหลือง พระชันษาราวสี่สิบกว่า พระเกศาสยายคลุมบ่า พระพักตร์มีริ้วรอย ทว่า กาลเวลามิอาจเอาชนะหญิงงามได้ ทั้งตัวนางยังคงมีความสง่าผ่าเผย มั่นคงราวกับเสาค้ำทะเลตงไห่แคว้นซีหนี่ว์มีประมุขแคว้นเช่นนี้ มิน่าแปลกใจที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองสำรวจเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชา“ให้ฮองเฮาเยี่ยงเจ้ามาที่แคว้นซีหนี่ว์ ฮ่องเต้ฉีทรงตัดพระทัยได้จริงหรือ เหตุใด มิกลัวว่าเราจะฆ่าเจ้า?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิเสแสร้งแกล้งทำอีก พร้อมกับยอมรับตามตรง“คารวะประมุขแคว้น”“ครั้งนี้มาเยือนแคว้นท่าน คือมาในฐานะราชทูต หาใช่มาในฐานะฮองเฮาแห่งหนานฉี และยิ่งมิใช่ในฐานะแม่ทัพน้อยเมิ่งอะไรนั่น“ที่ปลอมตัวมาพบท่าน เป็นเพราะสถานการณ์กำลังวุ่นวาย หากมีสิ่งใดรบกวนพระทัย หวังว่าท่านจะให้อภัย“ทว่า ตัวหม่อมฉัน และแม้แต่ทั้งหนานฉี ก็ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินต่อท่าน”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงถือกระบี่จ่ออยู่ที่นาง พร้อมกับ
ช่วงกลางเดือนแปด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะเดินทางมาถึงแคว้นซีหนี่ว์อย่างราบรื่นแคว้นซีหนี่ว์นั้นผู้นำล้วนเป็นสตรี และที่พบเห็นตามถนนหนทาง ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสตรีทหารรักษาเมืองที่ลาดตระเวน ก็เป็นสตรีทั้งหมดเช่นกันแคว้นซีหนี่ว์ในอดีต บุรุษก็เคยเป็นผู้นำสูงสุดทว่าจากสงครามหายนะครั้งใหญ่ เหล่าบุรุษทั้งหมดตายในสนามรบ เหล่าสตรีทำได้เพียงต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงนานวันเข้า ถึงแม้ภายหลังบุรุษจะเพิ่มขึ้น ทว่า เหล่าสตรีได้สัมผัสกับรสชาติของการมีอำนาจ จึงไม่เต็มใจจะวางมืออีกแล้วเพื่อปฏิบัติตามแนวทางแห่งสตรีของราชวงศ์ ประมุขแคว้นแต่ละคน จึงส่งต่อบัลลังก์ให้บุตรสาวมิส่งให้บุตรชายคนที่เข้ามาเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ก็เป็นสตรีที่ครองตำแหน่งมากกว่าบุรุษก็เป็นขุนนางได้ ทว่ามีจำนวนน้อย อีกทั้งมิอาจครอบครองอำนาจที่แท้จริงได้เหล่าสตรีของแคว้นซีหนี่ว์เชื่อว่า มีเพียงผู้นำเป็นสตรี ถึงจะรับประกันได้ว่าอำนาจของสตรีจะไม่หลุดมือไปหากเปลี่ยนเป็นบุรุษ จักต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ดังนั้น ต่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มีโอรส บัลลังก์ก็จะไม่มีทางส่งต่อให้องค์ชาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่าง “เห็นอกเห็นใจ”“ข้ารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจ...”นางพูดไปได้ครึ่งทาง ถานไถเหยี่ยนก็เทยาออกมา และกลืนมันลงไปเสี้ยววินาทีนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับตาค้างเพื่อทำลายหนานฉี ถานไถเหยี่ยนสามารถเสียสละถึงเพียงนี้เชียวหรือ......หลังอาหาร ขณะทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจนใจ“ฝ่าบาทกังวลพระทัยว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับบุตรของข้า ทรงต้องการให้ข้าพักผ่อนดูแลครรภ์ สถาบันทางการทหารข้าก็มิได้ไปอีกแล้ว หากเจ้ามีปัญหาอันใด ให้ทูลรายงานกับฮ่องเต้ได้โดยตรง”ถานไถเหยี่ยนเอ่ยออกมาตามตรง“หนานฉีมีแม่ทัพที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงอยู่มากมาย ข้ามิใช่ราษฎรของหนานฉี ถึงแม้จะมียุทธวิธีดี ๆ ทูลเสนอ ฝ่าบาทก็อาจมิทรงเชื่อ“สิ่งที่ข้าทำเพื่อหนานฉีได้ ก็คือค้นหาเส้นทางลับของ ‘ใยแมงมุม’ ทั้งหมดให้ครบ เพราะมันจะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ในขณะทำสงครามได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นด้วยกับความคิดของเขา“ข้าจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาท ให้เขายอมตกลงให้เจ้าร่วมสืบหา ‘ใยแมงมุม’”หลังจากนั้น ถานไถเหยี่ยนก็มองตามจนนางขึ้นรถม้าไม่นาน เขาก็จากไปเช่นกันรอจนเขากลับม
ภายในห้องไม่มีคนอื่น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงมิลังเล และบีบนวดหน้าท้องของเซียวอวี้เซียวอวี้ตัวเกร็งขึ้นมาในทันที สูดลมหายใจเข้า และกลั้นเอาไว้ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนดูเหมือนจะค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบ นางพลันยกคิ้วขึ้น เหลือบตามองไปที่เซียวอวี้“ท่านยุ่งถึงเพียงนี้ ยังมีเวลาฝึกฝนพละกำลัง?”เซียวอวี้กลั้นลมหายใจนั้นมิอยู่แล้ว จึงคว้ามือของนางที่วางอยู่บนหน้าท้องของเขาขึ้นมา วางลงที่ริมฝีปากและจูบไปสองครั้ง“แผนการแต่ละวันต้องเริ่มทำตอนรุ่งสาง อีกอย่าง ศัตรูต่างแคว้นก็จดจ้องตาเป็นมัน เรายิ่งต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงกำยำ เพื่อเตรียมพร้อมกับการนำทัพออกศึก ดังนั้น ช่วงหลายวันมานี้จึงขยันฝึกฝนมากขึ้น“เป็นอย่างไร? ฮองเฮาพอใจหรือไม่?”เขาตั้งตารอคอยคำตอบของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แสดงความเห็นใดนางเข้าไปใกล้หูเขา น้ำเสียงแผ่วเบา ลมหายใจราวกับขนนก พัดผ่านใบหูของเขา ใจที่สงบนิ่งของเขากระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นนับพันเขาเพียงแค่ฟังนางเอ่ยอย่างช้า ๆ“คืนนี้ จะเปิดประตูรอท่านพี่...”เซียวอวี้ถูกปลุกเร้า ตอนนี้คิดจะ “ประหัตประหาร” นางในที่นี้ทันทีฝ่ามือใหญ่ของเขาทาบลงที่หลังเอวของนาง แล้วออ
เฟิ่งจิ่วเหยียนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเป็นราชทูตยังแคว้นซีหนี่ว์ ก่อนหน้าที่จะไป นางมิลืมที่จะเตรียมการทุกอย่างในหนานฉีทางนี้ให้เรียบร้อย“ฝ่าบาท ถานไถเหยี่ยนมีคำพูดหนึ่งที่เอ่ยไว้ไม่ผิด ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปสำรวจที่ช่องทางลับ และถูกซุ่มโจมตีด้วยดินปืน แน่นอนว่าจักต้องมีคนที่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้า“แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันที่แอบลงมือ จุดประสงค์นั้นคือเพื่อทำลาย ‘ใยแมงมุม’ และยังตัดขาดเบาะแสของมนุษย์โอสถด้วย หรือไม่ก็ อาจจะต้องการชีวิตของหม่อมฉัน ทั้งหมดจึงควรสืบให้กระจ่าง”เซียวอวี้เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ“คนที่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ช่องทางลับ ล้วนเป็นองครักษ์คู่ใจของเรา พวกเขาแต่ละคนผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด ไม่มีทางทรยศต่อเราเด็ดขาด ทว่า ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน หากพัวพันกับความปลอดภัยของเจ้า เราจักสืบสวนอย่างละเอียด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะคำพูดของเขา และเอ่ยอย่างจริงจัง“คนที่หม่อมฉันสงสัยมิใช่พวกเขา“ท่านมิจำเป็นต้องเสียเวลาไปสืบสวนพวกเขา เพื่อมิให้พวกเขารู้สึกเสียกำลังใจ“สิ่งที่หม่อมฉันสงสัยคือ มีคนแอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่“คนผู้นี้อาจจะแอบซุ่มอยู
ณ ห้องทรงพระอักษร เซียวอวี้กำลังอ่านรายงานการสู้รบชายแดนหลิวซื่อเหลียงก็เข้ามากราบทูลใกล้ ๆ “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”ความเหนื่อยล้าของเซียวอวี้พลันมลายหาย ความเย็นชาดุดันคลายลง ปกคลุมด้วยความอ่อนโยนทีละน้อยทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาด้านใน หลิวซื่อเหลียงก็ถอยออกไปด้วยหูตาที่ว่องไวภายในห้องทรงพระอักษร เหลือเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาสองคนเท่านั้น จะพูดสิ่งใด จะทำสิ่งใด ก็มิต้องหลบเลี่ยง“มาได้อย่างไร? ทานสำรับเที่ยงแล้วหรือ?” ระยะนี้เซียวอวี้ยุ่งอยู่กับงานราชกิจ ที่จริงหลายวันแล้วมิได้ไปทานอาหารร่วมกับนางเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบ จากนั้นจึงเอ่ยถาม“ฝ่าบาท สงครามทางด้านใต้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”เซียวอวี้จูงมือของนาง เข้าไปในห้องด้านในและนั่งลงบนตั่งตัวเล็กพร้อมกับนางเขาพูดไปเดินไป“เรารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องนี้ กำลังคิดจะบอกเจ้าพอดี“กองทัพชายแดนใต้มุ่งหน้าไปโจมตีตอบโต้เผ่าสุยเหอแล้ว ตอนนี้ข่าวที่ได้รับกลับมาล้วนเป็นข่าวดี“แนวหลังของเผ่าสุยเหอไม่มั่นคง จึงแทบมิได้สนใจหนานเจียง“คิดว่า ไม่นานก็สามารถถอนกำลังทหารกลับมาได้แล้ว“วิกฤตที่หนานเจียงคลี่คลายได้ไม่ยาก แ
ณ ห้องทรงพระอักษรแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ฝ่าบาท คำพูดของหลิวเหยี่ยน ก็ดูน่าเชื่อถือ หากเป็นตามที่เขาพูด การโจมตีกลับทางแนวเหนือตรงเผ่าสุยเหอที่มีการป้องกันอ่อนแอ จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์คับขันในหนานเจียงได้ นี่เป็นยุทธวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานี้”สถานการณ์คับขันในหนานเจียงตอนนี้ ดินแดนส่วนใหญ่ถูกกองกำลังพันธมิตรของเผ่าสุยเหอยึดครอง กองทัพใหญ่หนานฉีของพวกเขาคิดจะช่วยเหลือหนานเจียง จักต้องอาศัยหนานเจียงเป็นสนามรบ บุกเข้าหนานเจียง และต่อสู้กับเผ่าสุยเหอทว่ายามนี้เผ่าสุยเหอควบคุมถนนน้อยใหญ่ในหนานเจียง ทำให้กองทัพหนานฉียากจะบุกเข้าไปได้ดังนั้น หากสามารถเลี่ยงไปทางหนานเจียง และบุกโจมตีเผ่าสุยเหอโดยตรง ก็นับว่าเป็นแผนการที่ดีเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ แววตาของเซียวอวี้ดูเคร่งขรึมแม้ว่าวิธีนี้อาจจะได้ผล แต่เขาก็ไม่ไว้ใจหลิวเหยี่ยน“ไปเชิญฮองเฮามา” เขาเอ่ยสั่งการชั่วครู่ต่อมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถึงนางฟังแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยจบ แววตาพลันเยือกเย็นและเคร่งขรึม“การสู้รบโดยใช้ทางเลี่ยง ก็อาจจะได้ผลจริง”เซียวอวี้ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างมาก “เจ้าเชื่อสิ่งที่หลิวเหยี่ย
พอเข้าสู่ช่วงค่ำ จวนรุ่ยอ๋องก็คลาคล่ำไปด้วยบรรดาแขกเหรื่อภายในเรือนหอหร่วนฝูอวี้เป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้าเองขณะที่รุ่ยอ๋องเดินเข้ามา ก็เห็นนางกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่ริมโต๊ะ ไม่มีความประหม่าเขินอายอย่างที่เจ้าสาวควรจะมีแม้แต่น้อยมิเพียงแต่นางที่กำลังกิน งู แมงป่อง ตะขาบของนาง...พวกมันก็กำลังกินด้วยเช่นกัน!บนพื้นก็ยังมีสาวใช้คนหนึ่งนอนอยู่ ดูท่าทาง คงจะตกใจจนหมดสติไปรุ่ยอ๋องรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ก้าวเข้ามาในเรือนหอนี้เขาพยายามควบคุมอารมณ์ และเอ่ยโดยใช้น้ำเสียงราบเรียบ“หร่วนฝูอวี้ ข้าแต่งกับเจ้า ก็เพื่อบุตรในท้องของเจ้า“ต่อไป ข้าจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเด็ดขาด“เรือนนี้...นับตั้งแต่บัดนี้จะมอบให้กับเจ้า หลังจากนี้ไปเจ้ากับข้าจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกในฐานะสามีภรรยา เจ้าก็อย่านำของพวกนี้เข้ามาในเรือนข้า!”พูดจบเขาก็เดินออกไปหร่วนฝูอวี้ได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดสิ่งที่นางสนใจมากที่สุดตอนนี้ ก็คือหนานเจียงด้วยสถานะของพระชายารุ่ยอ๋อง พรุ่งนี้นางก็สามารถเข้าวังไปขอบพระทัยฝ่าบาทได้ถึงเวลานั้น นางก็จะได้พบกับซูฮ่วนแล้วค่ำคืนล่วงไปจนฟ้าสางวันที่สองรุ่ยอ๋
เมื่อรู้ว่าถานไถเหยี่ยนต้องการเข้าพบตัวเอง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็กล่าวเสียงเรียบนิ่ง“ส่งแม่ทัพอาวุโสหลี่ไปที่คุกหลวง”หากถานไถเหยี่ยนอยากช่วยหนานเจียง และแคว้นหนานฉีด้วยใจจริง เช่นนั้น เขาก็สามารถบอกกลยุทธ์ต้านศัตรูแก่ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนางหว่านชิวเห็นด้วยตอนแรกนางกังวล ว่าพระนางจะไปพบหลิวเหยี่ยนด้วยตัวเอง เพราะเรื่องหนานเจียงดูจากตอนนี้ พระนางเหมือนจะรอบคอบกว่านางอีกอีกคนที่กังวลเหมือนหว่านชิว ก็คือเซียวอวี้หลังจากที่เขาได้ยินว่าหลิวเหยี่ยนขอเข้าพบ ก็รีบวางราชสารในมือ ตรงมาที่ตำหนักหย่งเหออย่างรีบร้อนเมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยังนั่งอยู่ในตำหนัก เขาถึงได้ถอนหายใจโล่งอกอย่างสังเกตได้ยากจากนั้นก็เดินเข้าไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะทำความเคารพ เขาก็ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด โอบรัดไว้แน่น“ฮองเฮา รับปากเรา ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ห้ามไปพบหลิวเหยี่ยนแบบส่วนตัวเด็ดขาด คนผู้นี้มีความคิดที่คาดเดาได้ยาก เรากลัวว่าเขาจะใช้มันมาหลอกล่อ ทำไม่ดีกับเจ้า”เขาเองก็ได้ยินเรื่องพิษมนุษย์โอสถอะไรนั่นมาเหมือนกันแต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่า หลิวเหยี่ยนไม่น่าเชื่อถือเขาคิดเอาเองว่า