คนกลุ่มหนึ่งตะโกนเสียงดัง“ให้เขาดู! ให้เขาดู!”“บ้าเอ๊ย พวกเราตั้งหลายคนเดิมพันให้เขาชนะ หากเขายอมแพ้ พวกเราก็ต้องเสียเงินย่อยยับ!”“พาติงหยวนเอ๋อร์ออกมา ข้าก็อยากดูเช่นกัน หญิงสาวผู้นั้นมีชีวิตอยู่หรือตายกันแน่!”คำพูดของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทำให้ผู้คนเริ่มกระวนกระวายผู้ประกาศจึงรีบเกลี้ยกล่อมพวกเขา“ทุกท่าน ทุกท่าน! อดทนหน่อยอย่าเพิ่งใจร้อน!“ข้าขอรับรองกับพวกท่าน คนจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน...”เฟิ่งจิ่วเหยียนดูนิ่งเฉยและแน่วแน่“หากไม่เห็นติงหยวนเอ๋อร์ ข้าก็ล้มเลิกการประลอง”หลังจากนางประลองจบแล้วสองรอบ คนที่เดิมพันว่านางชนะก็ยิ่งมีมากขึ้น หากตอนนี้นางถอนตัวออกจากการประลอง จะทำให้ผลประโยชน์ของพวกเขาเสียหายพวกเขาจึงตะโกนพร้อมกัน“พาติงหยวนเอ๋อร์ออกมา!”“ใช่ มิเช่นนั้นพวกเราจะขอเงินคืน!!!”เสียงตะโกนของผู้คนเกือบพันคนในสนาม ทำให้สีหน้าท่าทางของผู้ประกาศดูลนลานเขาออกจากสนามอย่างเงียบ ๆ และเข้าไปทางประตูลับ เพื่อไปขอคำชี้แนะผ่านไปไม่นาน เขาก็ออกมา“ได้ นายท่านของเราบอกว่า ให้พาติงหยวนเอ๋อร์ออกมาก่อนได้ เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นว่า นางมีชีวิตอยู่หรือตาย! ทว่าทุกท่านต้อง
เจียงหลินจ้องมองอู๋เซียงตาเขม็ง--- บุรุษผู้นั้นที่มองดูแสนธรรมดา หากอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็จะหาไม่พบทันที“ในเวลานั้น ครั้งแรกที่ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรอู่หลิน ในยุทธภพปรากฏหัวโจกโฉดชั่วอยู่สามคน อู๋เซียงก็คือลูกพี่ใหญ่ในกลุ่มของพวกเขา“พวกเขาเป็นศิษย์นอกของเส้าหลิน ทำความชั่วสารพัด ทั้งวางเพลิง ฆ่าคน ข่มขืน และปล้นสะดม เพื่อกำจัดทั้งสามคนนี้ กลุ่มพันธมิตรอู่หลินจึงตัดสินใจจะต่อสู้กันที่ภูเขาฉงหัว “ในการต่อสู้ครั้งนั้น ชาวพันธมิตรอู่หลินได้ร่วมมือกัน และสังหารคนโฉดชั่วได้สองคน ทว่าวิทยายุทธ์ของอู๋เซียงนั้นแข็งแกร่ง จึงหลบหนีไปได้“การต่อสู้ครั้งนั้นซูฮ่วนได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งไม่กี่วันต่อมา อู๋เซียงก็ลักพาตัวภรรยาที่เพิ่งแต่งงานของตงฟางซื่อไป...”แม้ผ่านมาหลายปี เมื่อเจียงหลินนึกถึงความทรงจำในช่วงนั้นอีก ก็ยังรู้สึกขนลุกเขาต่างจากคนเหลาะแหละในเวลาปกติ หลังจากกลั้นหายใจไม่กี่อึดใจ ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“เขาแยกร่างฮูหยินตงฟางออกเป็นหลายส่วน ในแต่ละวันจะส่งมาให้หนึ่งชิ้น จนทำให้ตงฟางซื่อแทบจะคลุ้มคลั่ง“ภายหลัง ซูฮ่วนหาอู๋เซียงจนพบ ไม่มีผู้ใดรู้รายละเอียดการต่อสู้ระหว่างซูฮ่วนก
อู๋เซียงเดินเข้าไปในกรงเหล็ก ราวกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้านของตนเอง มิได้มองว่านี่เป็นการประลองหลังจากประตูกรงเหล็กปิดลง อู๋เซียงก็ยังไม่รีบร้อนโจมตี แต่มองไปรอบ ๆ และย้อนถามเฟิ่งจิ่วเหยียน“ซูฮ่วน เจ้าดูสิ พวกเขาเชื่อหรือว่าเจ้าจะชนะ?”สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง และมิได้ตอบเขาจากนั้น กรงเหล็กก็ค่อย ๆ ถูกยกขึ้น และลอยห่างจากพื้นขณะที่กรงหยุดอยู่กลางอากาศ อู๋เซียงก็ยังคงไม่โจมตีเขาเอามือสองข้างไพล่หลัง เหมือนผู้มีปัญญาและผู้อาวุโส กำลังเอ่ยตักเตือนด้วยความหวังดี“ซูฮ่วน เจ้ายังคงเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน“การประลองครั้งนี้มิควรเป็นเช่นนี้“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? สิ่งที่เจ้าต้องการ มิใช่การจูบ แต่คิดจะใช้โอกาสนี้ช่วยเหลือติงหยวนเอ๋อร์”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเย็นชาพวกเขาพูดคุยกันอยู่ในกรงเหล็ก ผู้คนบนอัฒจันทร์ไม่ได้ยินอู๋เซียงถึงขั้นปลอบใจนาง: “มิต้องกังวล ข้าจะไม่บอกพวกเขา มิเช่นนั้น การประลองครั้งนี้ก็จะไม่สนุก อีกครึ่งชั่วยาม หากเจ้าไม่โค่นล้มข้า ก็จะเป็นข้าที่ทำร้ายเจ้า...จนตาย”หลังจากพูดจบ เขาก็เอียงศีรษะพร้อมกับยิ้มจากนั้นก็รวบรวมพลังในฝ่ามือ และโจมตี
อู๋เซียงทำลายความศรัทธาของเฟิ่งจิ่วเหยียนทีละขั้น เสียงพูดยังคงต่อเนื่อง“ซูฮ่วน เจ้าคิดจะกำจัดคนชั่วในใต้หล้าไปให้หมด ช่างไร้เดียงสาจริง ๆ“เจ้าคิดว่า สนามประลองยุทธ์ใต้ดินที่มีอยู่แห่งนี้ ราชสำนักมิรู้เลยอย่างนั้นหรือ?“ขุนนางท้องถิ่นคนใดจะไม่แอบอนุญาต? เพราะอะไร? พวกเขาต้องการเงินทอง ต้องการความสำเร็จในหน้าที่“แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าทำเพื่ออะไร?“เจ้าเอาพวกเราเป็นใบไม้เขียวที่ตัดให้เจ้าได้โดดเด่นขึ้นมา“หากเอาชนะพวกเรา ก็จะมีผู้คนมากมายยกย่องเจ้าเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่“แต่ข้าจะถามเจ้าว่า สิ่งที่เรียกว่าเที่ยงธรรมคืออะไร? ผู้ใดเป็นคนชั่วกัน? ข้าเป็นคนชั่ว แล้วราชสำนักที่บ่มเพาะความชั่วช้านั้นก็มิใช่อย่างนั้นหรือ?“จริงอยู่ เจ้าฆ่าข้าได้ แต่เจ้าฆ่าความคิดชั่วร้ายในจิตใจคนได้หมดหรือ?“ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ ตราบใดที่ความคิดชั่วร้ายยังอยู่ ความชั่วร้ายก็จะอยู่ตลอดไป“เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา มีสิทธิอะไรจะต่อสู้กับธรรมชาติของมนุษย์ได้ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนชั่ว ทว่าข้าก็เคยทำความดี เช่นว่า ข้าเคยช่วยกระต่ายตัวหนึ่งที่บาดเจ็บจากลูกธนู“คนที่เจ้าเข้าใจว่าเป็นคนดีเหล่านั้น ใครบ้างมิเคยทำควา
การตายของอู๋เซียง ไม่มีผู้ใดเสียดายการลาลับของเขา มีแต่ดื่มด่ำอยู่ในห้วงความรื่นเริงของรอบใหม่คนที่เดิมทีกำลังลังเลไม่ตัดสินใจเหล่านั้น ก็ทยอยนำทรัพย์สินมาวางเดิมพันที่ตัวเฟิ่งจิ่งเหยียนในเวลานี้ เจียงหลินเต็มไปด้วยความสับสนเขาได้ยินว่าซูฮ่วนชนะแล้ว ถึงกล้าลืมตาจากนั้นเขาถามด้วยความงงงวย“ทำได้อย่างไร...ซูฮ่วน เมื่อครู่เขามิได้ถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าหรอกหรือ?”เหลิ่งเซียนเอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกลงึมงำ“เส้นไหมสังหาร ซูฮ่วนซ่อนเส้นไหมสังหารของคู่ต่อสู้ไว้”ในเวลานี้ ฟางหมิ่นที่ฟื้นแล้วก็เอ่ยขึ้น“ไม่เพียงเท่านั้น ซูฮ่วนยังเรียนรู้กระบวนท่าหมัดกำไลเหล็กด้วย!”ถูกต้อง!นี่ถึงจะเป็นกุญแจสำคัญเส้นไหมสังหารนั้น มีเพียงหมัดกำไลเหล็กถึงจะสามารถแสดงศักยภาพของมันได้อีกทั้งยังเป็นเส้นไหมสังหารที่ถูกย้อมเป็นสีแดง และถูกเปิดเผยแล้วท่าไม้ตายชุดสุดท้ายของซูฮ่วน มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!และนางคว้าโอกาสนั้นไว้ได้เหลิ่งเซียนเอ๋อร์รู้สึกละอายใจตัวเองหากเปลี่ยนเป็นนาง คงไม่มีทางสังเกตกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ในระหว่างการประลองได้ รวมถึงยังลอกเลียนท่าทางอีกด้วยกลยุทธ์นี้ก็คือ หินจา
ก่อนเฟิ่งจิ่วเหยียนจะขึ้นสนามประลอง ก็วางแผนเส้นทางหลบหนีไว้อย่างดีแล้วนางรู้ข้อจำกัดของตนเองดีอาศัยพละกำลังของนางในตอนนี้ มิอาจยืนหยัดจนถึงท้ายที่สุดได้การต่อสู้แบบหลายคนผลัดกันขึ้นสู้กับคนคนเดียวประเภทนี้ไม่ยุติธรรมดังนั้น ตั้งแต่แรกที่เริ่มประลอง นางก็มิได้ตัดสินใจว่าจะปกป้องสังเวียนจนถึงท้ายที่สุดการประลองหลายรอบก่อนหน้านี้ ก็เพื่อให้ผู้ชมเหล่านั้นวางเดิมพันข้างนาง และกดดันให้สนามประลองยุทธ์ปล่อยตัวติงหยวนเอ๋อร์ออกมาจนถึงตอนนี้เจียงหลินก็ยังคงเรียกสติกลับมาไม่ได้ เอาแต่วิ่งตามไปกับคนของสำนักเฉวียนเจินเหล่านั้นซูฮ่วนนี่เหลือเกินจริง ๆ!ก่อนจะทำสิ่งใด จะบอกให้เขารู้บ้างไม่ได้เชียวหรือ!ไม่มีผู้ใดรู้ว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนมิอาจอธิบายให้ผู้ใดฟังได้นางลักพาตัวติงหยวนเอ๋อร์ไปคนเดียว คนของสนามประลองยุทธ์ก็จะไล่ตามนางเท่านั้นทว่าทันทีที่นางมีพรรคพวก พรรคพวกยิ่งมาก ความเป็นไปได้ที่จะหนีรอดไปพร้อมกันก็จะยิ่งน้อยลงสำหรับเรื่องนี้ เหลิ่งเซียนเอ๋อร์เข้าใจเป็นอย่างดีดังนั้น นางจึงชักกระบี่ไล่ตามไป“ไอ้คนไร้ยางอาย! คืนศิษย์สำนักเฉวียนเจินของข้ามา!”เจียงหลินถึงกระจ่างขึ้นมาใ
การให้หยิ่นลิ่วแอบไปขอกองกำลังเสริมนั้น เป็นความคิดของเซียวอวี้ประการแรกเพื่อเฟิ่งจิ่วเหยียน เขาเป็นห่วงว่า ด้วยวิธีการสกปรกของสนามประลองยุทธ์ ถึงแม้เฟิ่งจิ่วเหยียนจะชนะ ก็คงไม่มีทางออกมาได้อย่างง่ายดายประการที่สองเพื่อราษฎร หลังจากเห็นความโหดเหี้ยมอำมหิตของสนามประลองยุทธ์แห่งนี้ เขาก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำลายมันกระแสนิยมความชั่วร้ายเช่นนี้ ปล่อยตามอำเภอใจก็จะเป็นการส่งเสริมทหารรักษาการณ์ไท่ชางก็ไม่รู้จักฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทว่ายอมรับป้ายห้อยเอวเทพยุทธ์พระราชทานของหยิ่นลิ่วผู้ที่มีป้ายห้อยเอวเทพยุทธ์ จะมีอำนาจตรวจสอบขุนนางท้องถิ่น และระดมกำลังทหารรักษาการณ์ในท้องที่ทหารรักษาการณ์ที่หยิ่นลิ่วนำมามีสามหมื่นคนไป๋เซี่ยวฉือแม่ทัพทหารกองรักษาการณ์ในมือถือหอกยาว ตวาดด้วยความโกรธ“ทุกคนวางอาวุธลง สองมือกุมหัวไว้!“คนที่กล้าขัดขืน ฆ่าเลย!”จากนั้น ทหารครึ่งหนึ่งโอบล้อมกลุ่มคนในสถานที่นั้นส่วนอีกครึ่งหนึ่งไปปิดล้อมสนามประลองยุทธ์และจับกุมผู้คนในนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ความตึงเครียดก็คลายลงหยิ่นลิ่วผู้ที่พกป้ายห้อยเอวเทพยุทธ์ ก่อนอื่นพาเซียวอวี้พร้อมคณะออกจากฝ
คืนวานเซียวอวี้สืบสวนคดีตลอดทั้งคืน จึงเหนื่อยล้าอย่างมากทว่าแค่นึกถึงว่าจะได้กลับมาเจอเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าใครจะคิดว่า ทันทีที่มาถึงห้องนาง ก็เห็น...เห็นนางกับเหลิ่งเซียนเอ๋อร์ผู้นั้นพลอดรักกัน!เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเหลิ่งเซียนเอ๋อร์ออกไป และอธิบายกับเขา“เข้าใจผิด”ที่จริงแล้วมิใช่เข้าใจผิดทว่า เรื่องยังไม่ได้เกิด แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น นางจึงพูดได้เพียงเท่านั้นเซียวอวี้มิใช่คนหลอกง่ายเช่นนั้นเขาเดินไปอยู่ข้างกายเฟิ่งจิ่วเหยียน แววตาเยือกเย็นและน่าเกรงขาม พร้อมกับถามเหลิ่งเซียนเอ๋อร์“เมื่อครู่เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”คำถามที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด และไม่คำนึงถึงความเหนียมอายของหญิงสาวบ้างเลยหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจะอับอายและโมโหจนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วทว่า เหลิ่งเซียนเอ๋อร์มิใช่คนทั่วไปนางไม่หลบเลี่ยง ไม่หลบหนี กล้าทำก็กล้ารับทว่าก็ไม่จำเป็นจักต้องอธิบายให้คนนอกฟัง“นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับซูฮ่วน”มีความหมายเป็นนัย ๆ ว่า---เกี่ยวอะไรกับเจ้า?เซียวอวี้เกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธคนอื่นเขายุ่งเกี่ยวไม
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร