พ่อซ่งแม่ซ่งต่างก็หันมามองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นตาเดียว อดีตฮองเฮาผู้นี้เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีอย่างจริงจัง“ข้าได้ยินมาว่าท่านหมอซ่งกำลงได้วิจัยยาปกป้องทารกในครรภ์ ซึ่งสามารถรักษาอาการของทารกในครรภ์ได้ เช่นนี้ทั้งสองท่านก็สามารถให้กำเนิดทายาทอีกคนขึ้นมาได้แล้ว”ทันทีที่คำพูดเหล่านี้เอ่ยออกมานั้น ทำเอาทุกคนถึงกับตกตะลึงพูดไม่ออกไปในทันทีใบหน้าของแม่ซ่งพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนจะซีดเผือดออกมานายท่านเฟิ่งพลางหันมาเอ่ยดุในทันที: “เรื่องของบุตรีในตระกูล เจ้ายังไปยุ่งเรื่องของทายาทบ้านอื่นอีก? รีบไปเดี๋ยวนี้!”แม่ซ่งพลางหันไปมองสามีของตนเองด้วยความลังเลใจที่จะพูดทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนนางมิยอมสู้กับสิ่งที่ตนเองมิได้เตรียมพร้อมมาก่อนหรอกก่อนที่จะมาตระกูลซ่งนั้น นางขอให้อู๋ไป๋ไปสืบเรื่องนี้มาพ่อซ่งหาได้มีงานอดิเรกใด ๆ ไม่ เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการแพทย์ อีกทั้งเขายังชอบขลุกอยู่ในโรงหมอของตนเองอีกต่างหาก ทั้งยังละเลยฮูหยินและบุตรชายของตนเองเป็นเวลาหลายปีเขากลับจวนมานับครั้งได้ มิต้องเอ่ยถึงการร่วมหอเลยเนื่องจากความไม่สมดุลของหยินหยาง หลายปีที่ผ
ตกกลางคืนโรงหมอตระกูลซ่งยามนี้ แทบจะมิมีคนไข้มาแล้วพ่อซ่งกำลังยุ่งวุ่นวายกับการจัดสมุนไพรอยู่นั้น เขาเอาแต่ใจจดใจจ่อจนมิรู้ว่ามีเงามืดสะท้อนอยู่บนผนัง...ผลัก!เพียงพริบตาเดียว เขาถูกตีด้วยไม้จนเป็นลมล้มพับหมดสติไปในทันที ยามที่ล้มนั้น หัวยังมุดเข้าไปในหม้อยาอีก...ยามที่พ่อซ่งฟื้นขึ้นมานั้น กลับพบว่าตนเองถูกผูกมัดเอาไว้ที่เตียงแล้ว!อีกทั้ง ยังอยู่ในห้องของตนเองอีกด้วยไม่ว่าเขาจะตะโกนเรียกคนมากเท่าใด ก็หาได้มีผู้ใดตอบกลับมาไม่เขามิรู้เลยว่า เหล่าข้ารับใช้ในโรงหมอนั้นได้ถูกคนพาตัวออกไปหมดแล้วเอี๊ยด!เมื่อประตูถูกเปิดออกนั้นในที่สุดก็มีคนมาเสียทีพ่อซ่งรีบยืดคอออกมา ยามที่เห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามาเป็นภรรยาของตนเองนั้น“ฮูหยิน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!”เขานึกประหลาดใจยิ่งนัก อีกทั้งยังรู้สึกโล่งใจไปในคราเดียวกันนับว่าโชคดีที่เป็นฮูหยิน เขาคิดว่าตัวเองโดนโจรขโมยลักพาตัวไปเสียแล้วฮูหยินซ่งพลันมีสีหน้าเย็นชา นางหาได้มองมาที่เขา ทั้งยังมิได้ตอบอันใดกับเขาอีก พลางเดินไปที่โต๊ะทำงานก่อนจะจุดธูปหอมอย่างชำนาญจากนั้น นางพลันออกคำสั่ง ก่อนที่จะมีสตรีหลายนางพากันเดินเข้ามา
หลังจากที่ซ่งหลีออกจากห้องโถงบรรพบุรุษมาแล้วนั้น เขาราวกับรู้สึกเหมือนว่าตนเองอยู่ในห้วงความฝัน -คนจากตระกูลเฟิ่งมาที่นี่ ทั้งยังมาเอ่ยหารือกับบิดามารดาของเขาเรื่องงานแต่งของเขาอีกด้วยก่อนที่จะได้พบพ่อตากับแม่ยายในอนาคตอย่างเป็นทางการนั้น ซ่งหลีพลันรีบไปเช็ดตัวและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ภายใต้การดูแลของข้ารับใช้ในทันทีเขาเดินออกมาจากนอกเรือน ก่อนจะมองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่คล้ายกับว่าจะรั้งรอเขาอยู่นานแล้ว“ซู...” ในยามนี้เขามิรู้ว่าจะเอ่ยเรียกนางว่าอะไรดีเฟิ่งจิ่วเหยียนจ้องมองเขาด้วยท่าทีเฉยเทย พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับว่าสนใจเขาทั้งมิสนใจในคราวเดียวกัน “บาดเจ็บหรือ?”ซ่งหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่นางมีท่าทีใส่ใจผู้คนเช่นนี้ถึงแม้ว่า ทั้งนางและเวยเฉียงจะเป็นพี่น้องฝาแฝด แต่นิสัยของพวกนางกลับแตกต่างกันมากเวยเฉียงใจดีมีเมตตา ทั้งยังอ่อนหวานเอาใจใส่ผู้คนสำหรับซูฮ่วนนั้น นางเกลียดความโง่งมและความอ่อนแอ สำหรับผู้คนที่เป็นตัวถ่วงของนางนั้น นางหาได้นึกใส่ใจไม่เขายังจำได้ว่า ยามที่พวกเขาถูกข้าศึกปิดล้อมในปีนั้น เพียงแค่เขาวิ่งช้าไปเล็กน้อย กลับถูกซูฮ่วนหันมาถลึงตาใ
ภายในลานจวนตระกูลซ่งนั้น ทั้งตระกูลซ่งและตระกูลเฟิ่งต่างก็มารวมตัวกันเพื่อฟังคำพระราชโองการพร้อมกัน“ฝ่าบาทมีพระราชโองการ สตรีนามเวยเฉียง ท่วงท่างดงามอ่อนหวาน เราที่เห็นใจถึงชีวิตที่พบเจอประสบเคราะห์ร้าย ดังนั้นจึงได้มีการปรึกษากับท่านแม่ทัพเมิ่ง ให้รับนางเข้ามาเป็นบุตรีบุญธรรม โดยใช้สกุล ‘เมิ่ง’ ”เมื่อได้ยินราชโองการออกมาเช่นนี้ ต่างคนต่างพากันมีสีหน้าประหลาดใจออกมานายท่านเฟิ่งทั้งรู้สึกหงุดหงิดแล้วไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่งบุตรสาวคนหนึ่งของเขาก็มอบให้กับเมิ่งฉวีไปแล้ว เหตุใดเขาถึงต้องมอบบุตรีของตนเองให้กับตระกูลเมิ่งอีกคนด้วยเล่า!ก่อนหน้านี้ ฝ่าบาทได้ประกาศการหย่าร้างออกมา ทั้งยังขโมยฮูหยินไปเช่นนี้ ในยามนี้ยังมาขโมยบุตรสาวของเขาไปอีกหรือ!อีกด้านหนึ่งเขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งนักฝ่าบาทหาได้มีสิ่งใดที่ไม่รู้ไม่ หรือว่าตลอดทางที่ผ่านมานั้นเขาถูกลอบติดตามมาโดยตลอดเช่นนั้นหรือ?เมื่อคิดเช่นนี้ เหงื่อเย็น ๆ พลันไหลออกมาเต็มหลังในทันทีฮูหยินเฟิ่งหาได้สนใจว่านางจักสกุลใดไม่ เมื่อพระราชโองการออกมาเช่นนี้แล้ว เวยเฉียงก็จักได้มีหน้ามีตาอย่างเหมาะสมเสียที ตระกูลซ่งเองก็ดีใจเช่นกันพวก
เฟิ่งจิ่วเหยียนมุ่นคิ้ว ขณะที่มองดูของหมั้นเหล่านั้น ฮูหยินเมิ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ย “ผู้มาส่งของได้กำชับไว้เป็นพิเศษ นี่เป็นของหมั้นสำหรับฮองเฮาในอนาคต และอีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาสามเดือนที่ตกลงกันแล้ว ดูเหมือนฝ่าบาทมั่นใจว่าเจ้าจะต้องแต่งงานกับเขาแน่” เฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะคำนับอาจารย์หญิงอย่างรู้สึกผิด “ทำให้ท่านกับอาจารย์ต้องลำบากแล้วเจ้าค่ะ” พูดจบ ก็มีเสียงคนเอ่ยรายงานจากด้านนอก “ฮูหยิน มีคนมาขอพบคุณชายซูขอรับ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกหวั่นไหวในใจ เสมือนสายลมพัดผ่านผิวน้ำ สร้างระลอกคลื่นเล็ก ๆ ทีละน้อย…… ณ จวนแม่ทัพ ห้องโถงส่วนหน้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นว่า ผู้มาเยือนเป็นชายสวมหน้ากากในเครื่องแบบเน้นความคล่องตัวคนหนึ่ง เขาคารวะให้นางด้วยความเคารพ “ข้าน้อยหยิ่นลิ่ว ได้รับบัญชาจากฝ่าบาท มาส่งของสิ่งหนึ่งให้ท่านขอรับ” จากนั้น ชายคนนั้นพลันหยิบกล่องผ้าไหมทรงยาวใบหนึ่ง มอบให้นาง นางมิได้รับ นางระแวดระวังอย่างมาก ถึงแม้คนผู้นี้จะอ้างว่าเป็นคนของเซียวอวี้ ก็หาได้ปักใจเชื่อทันทีไม่ คนผู้นั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ จึงเปิดก
ภายใต้แสงจันทรา สีหน้าของเฟิ่งเวยเฉียงเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งประหลาดใจ ตื่นเต้น และเสียใจที่รู้ความจริงช้าไป... พี่สาวเข้าพิธีสมรสกับฝ่าบาทในนามของนาง และได้หย่าร้างกับฝ่าบาทอีก!? ราวกับนางกำลังฟังคนเล่านิทาน “ท่านพี่ ท่านหย่าร้าง เพราะไม่ชอบฝ่าบาทหรือ?” ตอนนี้นางได้พบกับชายที่นางชอบแล้ว จึงหวังว่าพี่สาวจะได้มีความสุขเช่นกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูจันทราบนนภา และเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ในตอนแรกก็ไม่ชอบหรอก...” ทันใดนั้น เมฆาเคลื่อนคล้อย บดบังแสงจันทรา ณ เมืองหลวง ในพระราชวัง อุทยานหลวง หรงเฟยเข้ามายืนขวางรุ่ยอ๋องที่กำลังจะออกจากวัง และซักถามเขา “ฝ่าบาทเสด็จไปที่ใด?” แววตาที่อ่อนโยนของรุ่ยอ๋องไร้ระลอกคลื่น “ก่อนหน้านี้เกิดกบฏในเมืองเซวียน และมีการจัดสรรเบี้ยหวัดทหารใหม่ ฝ่าบาทไม่วางพระทัย จึงเสด็จไปตรวจสอบที่เมืองเซวียนด้วยพระองค์เอง เพื่อให้แน่ใจว่าเบี้ยหวัดจะถึงมือของทหารทุกนาย นอกจากนี้ ยังเป็นการตรวจสอบการทำงานของขุนนางชุดใหม่ในเมืองเซวียนด้วย “เรื่องเหล่านี้ พระสนมมิใช่ทราบอยู่แล้วหรือ? เหตุใดมาถามอีก”
ยามเข้าสู่ต้นคิมหันต์ เซียวอวี้สวมเสื้อคลุมยาวครึ่งตัวผ้าโปร่งสีม่วงเข้ม แสงตะวันสาดส่องลงมา ยิ่งสง่างามเลิศล้ำ ทุกคนในลานกว้างก็เข้ามาทำความเคารพตามแม่ทัพเมิ่ง ไม่เว้นฮูหยินเมิ่งด้วยเช่นกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนได้สติเป็นคนสุดท้าย จึงก้มลงทำมือคารวะ “ถวายบังคมฝ่าบาท” นางไม่คาดคิดว่า เซียวอวี้จะมาเยือน โดยเฉพาะตอนนี้นางเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องหยางเหลียนซั่วกับพรรคเทียนหลง การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขา จึงทำให้นางรับมือไม่ทัน... “ไม่ต้องมากพิธี” เซียวอวี้ก้าวไปข้างหน้า พลันช่วยประคองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตนเอง ครั้นนางยืดกายขึ้น เขาจึงถือโอกาสกระซิบข้างหูนาง “ครบกำหนดสามเดือน เจ้าควรจะให้คำตอบแก่เราแล้ว” สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แปรเปลี่ยน “เพคะ” แม่ทัพเมิ่งย่นคิ้วเบา ๆ เหตุใดฝ่าบาทจึงเสด็จมายังชายแดนเหนืออีกแล้ว? ทรงไม่ไว้วางใจเขามากขนาดนั้นเชียวหรือ? เซียวอวี้ยังต้องการจะพูดคุยกับเฟิ่งจิ่วเหยียนต่อ เมิ่งฉวีพลันก้าวไปข้างหน้า และทูลรายงานอย่างจริงจังเคร่งครัด “ฝ่าบาท เรื่องความวุ่นวายในเมืองเซวียนนั้น กระหม่อมขอบังอาจแสดงความเห็น เพี
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเซียวอวี้ถูกปกคลุมด้วยความอดกลั้นและยับยั้งชั่งใจ เขายัดพิมพ์เขียวปืนมังกรไฟใส่มือของนางคืนทันที “เราไม่ต้องการ! “เราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเจ้า ไม่เคยคิดที่จะให้เจ้ามาตอบแทน “ถึงแม้เจ้าไม่อยากแต่งงานกับเรา ก็มิจำเป็นต้องเอาสิ่งใดมาแลกกับอิสรภาพ “เฟิ่งจิ่วเหยียน เจ้าเป็นอิสระตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มศีรษะลงมองกระบอกไม้ไผ่ส่งสาส์นในมือตนเอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าอีกครั้ง นางเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “หม่อมฉันถูกทอดทิ้งตั้งแต่เกิด และเป็นอาจารย์กับอาจารย์หญิงคอยเลี้ยงดูหม่อมฉันขึ้นมา “ดังนั้น หม่อมฉันควรจัดเตรียมสินเดิมด้วยตนเอง “ทว่ารายได้ตลอดหลายปีของหม่อมฉัน ได้นำไปซื้อเซียวเหยาจวีหมดแล้ว ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้เป็นสินเดิมของเวยเฉียง “ดังนั้น หม่อมฉันจึงเหลือเงินเก็บไม่มากนักเพคะ” เซียวอวี้ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ “เจ้าต้องการจะพูดอันใดกันแน่?” เดิมเขาไม่ใช่คนโง่เขลา ทว่าในขณะนี้ สมองของเขาอย่างไรก็ไม่สามารถทำงานได้เลย และเข้าใจได้เฉพาะถ้อยคำที่ชัดเจนตรงไปตรงมาเท่านั้น ใบหน้าของเฟิ่งจิ่ว
ด้วยฐานะเป็นฮ่องเต้ เซียวอวี้ให้ความสำคัญกับภาพรวมตรงหน้าเป็นหลักแคว้นหนานฉีจะต้องชนะ และต้องรับประกันว่าจะขับไล่ศัตรูออกไปได้ในเมื่อ ‘ใยแมงมุม’ นั่นเป็นอาวุธขับไล่ศัตรู ก็ใช้มันฆ่าศัตรูไม่มีอะไรไม่เหมาะสมกันเฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบาย“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ใช้เลย“กลไกเส้นทางลับของ‘ใยแมงมุม’นั้นยอดเยี่ยมมาก สามารถใช้ในการขนส่งเสบียงได้ แม้กระทั่งใช้กับการเคลื่อนพลทหารเพื่อดักซุ่มก็ยังได้ ลดความยุ่งยากไปได้มาก“ทว่ากลไกสังหารคนจำนวนมากข้างในนั่น ถึงจะเป็นหัวใจหลักของวิชากลไกตระกูลถานไถ“ใช้มันสังหารศัตรู ย่อมเป็นชัยชนะที่น่าละอาย”เซียวอวี้ไม่เห็นด้วย“เพื่อที่จะชนะแล้ว ถึงจะเป็นชัยชนะที่น่าละอายแล้วอย่างไร? จิ่วเหยียน ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกทิศมีกองทัพเข้าใกล้เมืองเช่นนี้ เจ้าไม่อาจทำตัวเป็นคนดีได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ลังเลแม้แต่น้อยนางเน้นย้ำอย่างจริงจัง“ฝ่าบาท ท่านยังไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าบอก“ที่ข้าอยากบอกก็คือ ‘ใยแมงมุม’ สามารถเป็น ‘ใยแมงมุม’ ได้ ทว่าไม่อาจเป็น ‘ใยแมงมุม’ ของตระกูลถานไถได้”เซียวอวี้เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังไม่เข้าใจดีนักเพียงครู่หนึ่งเขาก็เข้าใจโดยพลัน“เจ้าค
ถานไถเหยี่ยนโมโหนี่เป็นเพราะเมื่อครู่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดว่า จะถือว่า ‘ใยแมงมุม’ เป็นของตระกูลตงฟางเขาสูญเสียการควบคุมอารมณ์ไปชั่วครู่ แล้วกลับมามีสติอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่อึดใจ ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับได้รับความอัปยศอดสู“ท่านไม่เชื่อข้าก็ช่างเถิด ทว่าเหตุใดต้องทำให้ข้าอับอาย ทำให้ตระกูลถานไถอับอายขายหน้าเช่นนี้ด้วย!“ตอนนั้นเพื่อที่จะสืบเรื่องมนุษย์โอสถ ข้าจึงถูกทรมาน“จากนั้นก็พเนจรไปอยู่ที่แคว้นตงซาน ถูกคนควบคุม...ข้าใช้ชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ทรมานทุกวัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาแคว้นหนานฉีได้ ข้าเพียงอยากทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อชดใช้ความผิด และได้รับความเชื่อใจจากเจ้าอีกครั้ง”“ข้าแค่อยากย้อนกลับไปในอดีตที่พวกเรายังเป็นสหายที่ดีต่อกัน รู้ใจกัน“ทว่าดูจากยามนี้แล้ว นี่คงเป็นข้าคิดไปเองผู้เดียว“ด้วยฐานะคนรุ่นหลังของตระกูลถานไถจะทนได้อย่างไร? ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าเสียเถิด!”เฟิ่งจิ่วเหยียนฟังเขาตัดพ้อด้วยสีหน้านิ่งเฉยตั้งแต่ตอนแรกที่เขาแทงนางดาบหนึ่ง นางก็ยากที่จะเชื่อใจเขาอีกครั้งแล้วไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไร อธิบายได้สมบูรณ์แบบแค่ไหน นางก็ไม่เชื่อเขาแล้ว“ถานไถเหยี
เที่ยงคืนสถานที่พักแรมของถานไถเหยี่ยน เหล่าทหารปิดล้อมข้างนอกข้างในสามชั้น หนาแน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านไปไม่ได้ภายในห้องอักษรเทียนข้ารับใช้เร่งเร้าถานไถเหยี่ยน“นายท่าน รีบไปเถอะขอรับ!”ข้างในห้องไม่มีไฟ ถานไถเหยี่ยนนั่งอยู่ในความมืด แต่งกายเรียบร้อย ราวกับรอวันนี้มาตั้งแต่แรกแล้วเขายืดหลังตรง นิ้วเรียวยาวขาวเย็นเปิดสมุดภาพบนโต๊ะแผ่นแล้วแผ่นเล่า เคลื่อนไหวอยู่อย่างเชื่องช้า“นายท่าน!” ข้ารับใช้ได้ยินเสียงทหารกำลังขึ้นบันไดมา ก็ยิ่งร้อนใจน้ำเสียงถานไถเหยี่ยนเยือกเย็น ไม่สะทกสะท้าน“หนีไม่พ้นหรอก”เขาได้ยิน คนที่มาคืนนี้ มีจำนวนมากมายถึงแม้ว่าสามารถหนีออกจากสถานที่พักแรมนี้ได้ ข้างนอกก็ยังมียอดฝีมืออีกมากมายปัง!บานประตูห้องถูกคนพังอย่างป่าเถื่อนแสงสว่างข้างนอกส่องเข้ามา สาดสายตาถานไถเหยี่ยนอย่างแหลมคมเขากับเฟิ่งจิ่วเหยียน ถือได้ว่ารู้ใจกันความจริง วันนี้ตอนที่เจอนางในเมืองอาน เขาก็เดารู้แล้วว่านางคิดจะทำอะไรทหารผู้นำตะโกนขึ้นมา “จับกุมตัวถานไถเหยี่ยน!”ถานไถเหยี่ยนไม่มีการต่อต้านแต่อย่างใดเขาลุกขึ้นมาด้วยตนเอง“ไม่ทราบว่าข้ากระทำผิดโทษฐานใด?”เหล่า
สงครามชายแดนเริ่มแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนไปทำราชกิจที่เมืองอานเพิ่งออกจากเมือง ก็ถูกนายท่านเฟิ่งไล่ตามมาทันสีหน้านายท่านเฟิ่งราวกับไว้ทุกข์ให้กับลูก คว้าจับแขนของนาง ไม่ยอมให้นางไป“ฮองเฮา! ตอนนี้เจ้าเป็นถึงฮองเฮา เจ้าจะไปที่ใด!”เขาเน้นย้ำสถานะของนาง ให้นางมีสติ...นางไม่ใช่แม่ทัพน้อยเมิ่งของค่ายเป่ยต้าอีกต่อไปแล้วต่อให้ทำศึก ก็ไม่จำเป็นต้องให้นางไปสนามรบต่อสู้ศัตรูยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์ และข้างในท้องอาจจะเป็นโอรส เป็นรัชทายาทในอนาคต!สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนางในตอนนี้ คือปกป้องเด็กคนนี้ไว้นอกเมืองไม่มีใครอื่น เฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีราชกิจที่จะต้องไปทำ น้ำเสียงแข็งกร้าวเย็นชา“ข้ารู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทหาร ส่งใต้เท้าเฟิ่งกลับจวน”“ขอรับ!”ข้างกายนางมีองครักษ์ติดตามนับสิบคน ล้วนเป็นกองทัพอินทรีเหินคิดอยากพาตัวคนไม่มีวรยุทธอย่างนายท่านเฟิ่งไป ไม่ใช่เรื่องยากเลยนายท่านเฟิ่งตะโกนอย่างร้อนใจ“เจ้าจักเอาแต่ใจเช่นนี้ไม่ได้แล้ว! เด็กคนนี้เป็นความหวังตระกูลเฟิ่ง!”กองทัพอินทรีเหินรีบปิดปากของเขา พร้อมหิ้วตัวเขาไปเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่หันกลับมามอง กลับขึ้นไปบนรถม้า
คนสนิทของแคว้นประมุขซีหนี่ว์แบ่งออกเป็นสองพรรค พรรคแรกคือแม่ทัพป้องกันเมืองหูย่วนเอ๋อร์เป็นผู้นำ คอยปกป้องประมุขแคว้น ให้การสนับสนุนทุกการตัดสินใจของประมุขแคว้นรวมถึงครั้งนี้ที่ต่อหน้าโจมตีแคว้นหนานฉี ความจริงนั้นเป็นพันธมิตรกับแคว้นหนานฉีขุนพลอื่นหลายคนกลับมีความคิดอื่นพวกนางคิดว่า แคว้นซีหนี่ว์ไม่ควรให้การสนับสนุนแคว้นหนานฉี“ประมุขแคว้น ทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกันถือเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ท่านควรปรึกษาพวกกระหม่อมตั้งแต่แรก! ค่อยทำการตัดสินใจ! เห็นได้ชัดว่าแคว้นหนานฉียากที่จะเอาตัวรอด แคว้นซีหนี่ว์ไม่มีความจำเป็นที่จะถูกลากลงน้ำไปด้วย!”“ท่านประมุขแคว้น ขอท่านทรงเปลี่ยนกลยุทธ์แสร้งโจมตี กลับมาร่วมมือกับแต่ละแคว้นโจมตีแคว้นหนานฉีเถอะ!”“ท่านประมุขแคว้น สถานการณ์ตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจน โอกาสที่แคว้นหนานฉีจะชนะนั้นมีน้อยมาก อาศัยเพียงกำลังแคว้นเดียว ไม่มีทางเอาชนะกองกำลังทหารสิบกว่าแคว้นได้ เป็นพันธมิตรกับเป่ยเยี่ยนจะดีกว่า!”ไม่ว่าพวกนางจะโน้มน้าวยังไง ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงยืนหยัดความคิดตนเองนางนั่งบนเก้าอี้สูงศักดิ์ สีหน้าเยือกเย็น น้ำเสียงไม่ให้ได้ขัดขืน“เราจะคอยดู แ
แต่ละแคว้นโจมตีแคว้นหนานฉี ภัยพิบัติครั้งนี้ รุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เซียวอวี้เพิ่งครองราชย์ หลายแคว้นร่วมมือกันโจมตีแคว้นหนานฉีเหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันต่อให้มีการเตรียมการปกป้องแล้ว ทว่า วันนี้ก็มาถึงเร็วเกินไปเซียวอวี้สมกับที่เป็นจักรพรรดิแห่งแผ่นดิน ศัตรูมาขวางหน้า ไม่มีความกระสับกระส่ายแม้เพียงนิดเขามีรับสั่งอย่างสุขุมใจเย็น“เฝ้าปกป้องสี่ชายแดนอย่างเข้มงวด เตรียมเสบียงอาหาร เตรียมปืนหอกไฟ!”“พ่ะย่ะค่ะ!”ยามนี้ ชายแดนแคว้นหนานฉี กองทัพแต่ละแคว้นรวมตัวกันชายแดนเหนือมีเป่ยเยี่ยน ตลอดจนสามแคว้นเล็กที่อยู่ภายใต้เป่ยเยี่ยนชายแดนตะวันออกมีแคว้นต้าเซี่ยเป็นผู้นำรวบรวมกองกำลังพันธมิตรสี่แคว้นชายแดนใต้ ทหารพันธมิตรที่เมื่อไม่นานถูกโจมตีล่าถอยหวนกลับมา ยังมีแคว้นหนานชางที่พักฟื้นมาหลายปี มีทหารม้าเป็นจำนวนมากรวมอยู่ด้วยชายแดนตะวันตกก็มีสองแคว้นเล็ก รวบรวมกำลังทหาร ทั้งหมดสามหมื่น ยังมีกองทัพหกหมื่นนายของแคว้นซีหนี่ว์ติดตามอยู่ข้างหลังพวกเขาเคลื่อนทัพมายังสี่ชายแดนแคว้นหนานฉี ทำการโอบล้อม มากันอย่างดุเดือดเหล่าทหารที่เฝ้าปกป้องชายแดน ไม่เคยเห็นเช่นนี้แคว้นใหญ่เล็กนับรวมก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามอาภรณ์อัปลักษณ์ในตำหนักจื้อเฉิน ถูกเฟิ่งจิ่วเหยียนโยนทิ้งไปทั้งหมดต่อให้เป็นเช่นนี้ อารมณ์ของนางก็ยากที่จะสงบสตรีปกติคนไหนสามารถรับได้ ผู้ชายของตนเองแต่งตัวราวกับหนุ่มน้อยยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงจักรพรรดิตอนที่นางโยนเสื้อผ้า จักรพรรดิหนุ่มก็ตามอยู่ข้างหลังนาง ราวกับเด็กน้อยที่ทำอะไรผิด จนทำอะไรไม่ถูก“จิ่วเหยียน ชุดนี้ดีอยู่นะ...”“ฮองเฮา มิต้องโยนแล้ว ตัวนี้เราชอบมาก”“ตัวนี้โยนไม่ได้ เจ้าเคยพูดว่า ชอบดูเราสวมใส่...”แต่แล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร ที่ควรทิ้งก็ยังคงทิ้งเฟิ่งจิ่วเหยียนโกรธมาก ถอดที่เขาสวมใส่อยู่ออกมาด้วยตนเองต่อให้เป็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยังคงไม่สามารถระงับความโกรธได้นางเดินมาถึงด้านนอกตำหนัก กวาดสายตามอง แส้สีแดงในมือหลิวซื่อเหลียงหลิวซื่อเหลียง: แววตาของฮองเฮา น่ากลัวมาก...เฟิ่งจิ่วเหยียนแย่งเอาแส้นั้นมา“หัวมงกุฎท้ายมังกร! ข้าไม่เคยเห็นแส้สีแดง! อันนี้ก็เผาไปเสีย! !”หลิวซื่อเหลียงคุกเข่าลง “ตุบ” ปากตะโกนว่า“ฮองเฮา เผามิได้พ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทตรัสว่า นี่เป็นสิริมงคล...”ในใจกลับคิดว่า: เผาได้ดี! ฮองเฮาต่างหากที่เ
ภายใต้สายตาเร่าร้อนของเซียวอวี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเปิดกล่องผ้าแพรข้างในมีมีดทองเล่มหนึ่ง ยังมีจดหมายลายพระหัตถ์ของประมุขแคว้นซีหนี่ว์หนึ่งฉบับเซียวอวี้ยังไม่ดูจดหมาย เมื่อเห็นมีดทองเล่มนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไปมีดทองเป็นสิ่งของมีเฉพาะราชวงศ์แคว้นซีหนี่ว์ ใช้สำหรับมอบให้ผู้มีพระคุณ คนรู้ใจ และใช้เป็นสินสอดสู่ขอนี่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์หมายความว่าอย่างไร!เซียวอวี้แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ความจริงลูกตาเอียงไปด้านข้าง จ้องมองทางด้านเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนเปิดจดหมาย เมื่ออ่านจบแล้ว ก็เก็บพับไว้ครั้นเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นสายตาไม่พอใจของเซียวอวี้“ท่านอยากดู?”เซียวอวี้นั่งตัวตรง: “ก็ไม่ได้อยากดูขนาดนั้น”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ความคิดในใจเขาเป็นอย่างดี จึงอธิบาย“ประมุขแคว้นมอบมีดทอง เพื่อขอบคุณที่หม่อมฉันช่วยสงบศึกวุ่นวายภายใน”สีหน้าเซียวอวี้ทำเป็นไม่ใส่ใจ“เรารู้“เจ้าเป็นฮองเฮาของเรา ยังเป็นสตรี ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มอบมีดทอง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นสินสอด เรามีอันใดต้องคิดมาก”เฉินจี๋ที่อยู่ด้านข้างพูดเสริมขึ้นมา“ฝ่าบาท ท่าทีกระหม่อมทราบ ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ท่านนั้นชอบทั้งชายและ
เทียนยาวลุกไหม้ตลอดคืน ในตำหนักหย่งเหอเต็มไปด้วยความรักไร้การหลับไหลทั้งคืนวันรุ่งขึ้น ครั้นเซียวอวี้ตื่นขึ้นมา มองไปที่คนยังนอนหนุนแขนตนเอง ด้วยสีหน้าอิ่มเอม ก้มศีรษะจูบแก้มนาง แล้วก็ปัดไรผมบนหน้าผากนางที่ยุ่งเหยิง จับจ้องนางอย่างรักใคร่เมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยครึ่งค่อนคืน ดึกมากแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนค่อยนอนหลับไม่ง่ายที่จะได้ผ่อนคลาย วันนี้นางนอนจนตะวันโด่งฟ้าหว่านชิวเดินเข้ามาในตำหนัก ยกน้ำร้อนมาคอยปรนนิบัติฮองเฮาล้างหน้าแต่งตัว“ฮองเฮา หมอหลวงเจิ้งขอเข้าเฝ้าเพคะ รออยู่ด้านนอกเป็นเวลานานแล้วเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า นวดเอวที่ปวดเมื่อยเวลาผ่านไปสองเค่อ หมอหลวงเจิ้งถูกพาเข้ามาเขาถวายความเคารพ “กระหม่อมถวายบังคมฮองเฮา”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งบนตำแหน่งประมุข น้ำเสียงอ่อนโยน“หมอหลวงเจิ้งมาหาข้าอย่างรีบเร่ง มีเรื่องสำคัญอันใด?”“กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งจริง วันนี้ได้กราบทูลรายงานฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทยุ่งกับงานราชกิจ จึงให้กระหม่อมมายังตำหนักหย่งเหอ กราบทูลรายงานฮองเฮาโดยตรงอีกครั้ง” หมอหลวงเจิ้งอายุมากแล้ว เส้นผมเป็นสีขาวหมดแล้วทว่าทั่วทั้งสำนักหมอหลวง ด้านทักษะทางการแพทย์ ไม่มีผู้ใ