ต้วนเจิ้งโกรธเกรี้ยวไม่หยุด แรงที่เขาใช้เคาะประตูนั้น สามารถถอดบานประตูออกมาทั้งแผงได้เลย เมื่อครู่เขาเดินออกไปแค่ประเดี๋ยว แล้วย้อนลงมาดูที่ชั้นล่าง คนที่กินข้าวอยู่ก็ได้หายไปแล้ว ครั้นได้สอบถามกับเถ้าแก่ จึงรู้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาหานาง และเดินกลับห้องไปพร้อมกับเฟิ่งจิ่วเหยียน เขาเพิ่งจะเคาะประตูเพียงไม่กี่ครั้ง ทันใดนั้นก็มีคนหลายคนปรากฏตัวขึ้น และจ้องมองเขาอย่างดุเดือด ราวกับว่าหากเขากล้าที่จะบุกเข้าไป พวกเขาก็พร้อมจะกระชากวิญญาณของเขาออกมาตรงนี้ นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี! เขาสงสัยว่า บุรุษที่อยู่ข้างในนั้น ควรจะเป็นฮ่องเต้! ทันใดนั้น ประตูพลันเปิดออก สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนที่มองมานั้นเย็นชานัก “มีอะไร” สองหมัดของต้วนเจิ้งกำแน่น “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่!” ทันทีที่พูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยกคอเสื้อของเขาขึ้นมา และลากเขาออกไปทันที เหล่าองครักษ์ : ?? ต้วนเจิ้งถูกลากกลับไปที่ห้องของเขา จากนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยเตือนเขา “อย่าสร้างปัญหาให้ข้า มิเช่นนั้นพวกเราก็ต่างคนต่างไป” ต้วนเจิ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะดีก
ขณะที่นางกำลังตกอยู่ในความฉงน เซียวอวี้มิอาจจะอดกลั้นไหว พลันเชยคางของนางขึ้น และจูบริมฝีปากของนาง เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเขาออกไปทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นี่ท่านจะทำอันใดเพคะ” เซียวอวี้แย้มยิ้ม “ความรักระหว่างชายหญิง ถึงคราวสุกงอม ก็ยากจะหักห้ามใจ” เหล่านี้ ล้วนเป็นคำพูดที่นางเคยกล่าวทั้งหมด เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าตนเองมิอาจรอดชีวิตกลับไป และไม่ได้พบกันอีก จึงได้ทำตามหัวใจตนเองและจูบเขาก่อน ตอนนี้มันช่างพูดไม่ออกจริง ๆ ... นางผุดลุกขึ้นยืน “นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนที่ห้องของท่านได้แล้วเพคะ” เซียวอวี้มองออกไปนอกประตู “เฉินจี๋ มีห้องว่างหรือไม่” คนข้างนอกเอ่ยตอบ “นายท่าน พวกเรามีคนมากเกินไป จึงไม่เหลือห้องว่างแล้วขอรับ” เซียวอวี้หันกลับมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนพลางเอ่ย “เกรงว่า เราจักทำได้เพียงนอนเบียดกับรองผู้นำพันธมิตรซูแล้วกระมัง” เฟิ่งจิ่วเหยียนย่อมรู้ดีว่าเขาตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ “ท่านอาจจะเข้าใจหม่อมฉันผิดไป เรื่องในคืนนั้น...” ทันใดนั้นเซียวอวี้เคร่งขรึมขึ้นมา
เซียวอวี้จำต้วนเจิ้งได้ และรู้ด้วยว่าเขาเป็นน้องชายร่วมสายเลือดของต้วนไหวซวี่ ดังนั้น จึงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อต้วนเจิ้งไปตลอดการเดินทางนี้ หารู้ไม่ว่า ต้วนเจิ้งก็ทำเช่นเดียวกันกับเขา ในใจของต้วนเจิ้งนั้น พี่ชายของตนเองดีกว่าฮ่องเต้ผู้โง่เขลาองค์นี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่า ไม่ช้าก็เร็ว เฟิ่งจิ่วเหยียนสตรีพิษคนนี้จักต้องนึกเสียใจ! สองวันต่อมา คณะเดินทางก็มาถึงเชิงภูเขาอวี้หลิง ภูเขาอวี้หลิงนั้นสูงตระหง่านโดดเด่น เหนือยอดเขามีเมฆบังหมอกปกคลุม ดุจแดนสวรรค์ ที่ซึ่ง เซียน และมารอยู่ร่วมกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่รุนแรงนัก เป็นตามที่คาดไว้ ทันทีที่พวกเขาลงจากรถม้า พลันมีองครักษ์ลับหลายร้อยคนปรากฏตัวขึ้น และปิดกั้นทางเข้าไว้ “ผู้มาเป็นใคร!” ต้วนเจิ้งร้อนอกร้อนใจอยากจะเปิดเผยตัวตนเต็มที “ฮ่องเต้อยู่ที่นี่ พวกเจ้ายังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!” เขาเพียงคิดง่าย ๆ เจดีย์เก้าชั้นแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตอำนาจของราชสำนัก ลองคิดดูแล้วหากฮ่องเต้ตรัสเพียงคำเดียว พวกเขาทั้งหมดต้องหลีกทางให้อย่างเชื่อฟัง และการให้หนานซานอ๋องเปิดประตูทางเข้าเจ
เฟิ่งจิ่วเหยียนประคองเซียวอวี้ไว้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันเฉินจี๋ก็เข้ามาช่วยทันทีเช่นกัน ต้วนเจิ้ง : ! หนานซานอ๋อง : ? “เจ้าทำอันใดกับฝ่าบาท!” หนานซานอ๋องโพล่งถามด้วยความโกรธเกรี้ยว ครั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนมอบเซียวอวี้ให้เฉินจี๋แล้ว พลันก้าวไปข้างหน้า กำหมัดแสดงความเคารพต่อหนานซานอ๋อง “ท่านอ๋อง มิจำเป็นต้องเสียสละชีวิตของทหารผู้บริสุทธิ์เลย “ผู้น้อยซูฮ่วน ขอท้าประลอง เพื่อเข้าสู่เจดีย์เก้าชั้น” หนานซานอ๋องได้ยินเช่นนั้น มิแสดงท่าทีอนุญาตหรือปฏิเสธ และยังคงจับจ้องมองไปทางเซียวอวี้ จนกระทั่งเฉินจี๋ส่งฮ่องเต้ขึ้นไปในรถม้า และทำความเคารพเพื่อลาเขาแล้ว หนานซานอ๋องจึงรู้สึกโล่งใจได้เสียที เขาหันไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียน และเอ่ยถามอย่างเฉียบขาด “เจ้าอยากเข้าไปในเจดีย์เก้าชั้นจริงรึ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักศีรษะ “ขอรับ!” “ดี” หนานซานอ๋องตอบรับด้วยความเต็มใจยิ่ง ก่อนที่เฉินจี๋จะออกเดินทาง ได้โค้งคารวะให้เฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเคารพ “คุณชายซู โปรดรักษาตัวด้วย!” ในขณะนี้ เฉินจี๋ยังไม่รู้เลยว่า นางหาได้เป็นแค่ซูฮ่วนเท่านั้น ยังคงเป็นอดีตฮองเฮา
เฉินจี๋บังคับรถม้าไปได้ไม่ไกลนัก พลันมีการเคลื่อนไหวขึ้นในรถม้าแล้ว เขายังไม่ทันหยุดรถม้าเพื่อจะตรวจสอบ ก็ได้ยินเสียงคำรามดุจสายฟ้าฟาด “หยุดรถ!” เฉินจี๋ร่างกายแข็งทื่อโดยอัตโนมัติ ซูฮ่วนใช้เข็มเงินอาบยามอมเมามิใช่หรือ? เหตุใดฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาเร็วเช่นนี้! ฟึบ—— เซียวอวี้เปิดม่านรถม้า นัยน์ตาสีรัตติกาลเปล่งประกายด้วยกลิ่นอายสังหาร ด้วยว่าฤทธิ์ยามอมเมายังไม่หมดสิ้นไปเสียทีเดียว ใบหน้าของเขายังดูอ่อนแรงเล็กน้อย ทันใดนั้น เขาก็ยกเท้าเตะเฉินจี๋ตกลงไป! อาการบาดเจ็บของเฉินจี๋ยังไม่หายดี การเตะครั้งนี้จึงสร้างความเจ็บปวดสุดแสนให้เขา ทว่าเขาผุดลุกขึ้นมาทันที และคุกเข่าลง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจทนเห็นพระองค์เสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎต่อต้านผู้คน! หากโลหิตหงส์ถูกทำลาย...” “หุบปากซะ!” ดวงตาของเซียวอวี้เต็มไปด้วยความเย็นชาสุดพรรณนา “หากซูฮ่วนเป็นอันใดไป เจ้าก็อย่าหวังจะได้มีชีวิตอยู่!” ทุกคนก็อย่ามีชีวิตอยู่อีก! หัวใจของเฉินจี๋พลันบีบรัดแน่น ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญต่อซูฮ่วนขนาดนี้ได้อย่างไร! เฉินจี๋เอ่ยทัดทาน “ฝ่าบาทพ่ะย
ผู้ตายมิใช่ประมุขพรรคเทียนหลง เรื่องนี้ ทำให้ต้วนเจิ้งก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ เขาร้อนอกร้อนใจรีบถาม “สรุปว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่! แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?” หร่านชิวก็ดูกังวลใจ ทว่ายังอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน “พรรคเทียนหลงนั้น ในวันปกติ ประมุขพรรค เก้าราชา และผู้พิทักษ์ทั้งสอง จักสวมหน้ากากตลอดเวลา “ครั้งหนึ่งข้าเคยเป็นคนสนิทข้างกายของประมุขพรรคหยางเหลียนซั่ว แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาภายใต้หน้ากากของพวกเขาเป็นอย่างไร “ในวันนั้นประมุขพรรคออกจากบำเพ็ญตน พวกเราจึงเชื่อมั่นโดยไร้เงื่อนไข ว่านั่นคือประมุขพรรค “ทว่าหลังจากที่เขาตายแล้ว ข้าก็สำรวจพบปานเล็กที่ต้นคอด้านหลังของเขา “ปานเล็กนั้น ข้าเคยเห็นบนตัวของผู้พิทักษ์ขวา เพราะเขาเคยสอนเคล็ดวิชาพลังจิตภายในแก่ข้าอยู่ระยะหนึ่ง ข้าจึงค่อนข้างจะคุ้นเคยกับเขา “เดิมข้าแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ภายหลังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ “ประมุขพรรคบำเพ็ญตนนั้น สิ่งที่ฝึกฝนคือเคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถี “เคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถีนี้สามารถดูดซับพลังภายในของผู้อื่น มาเป็นของตนเองได้ “ทว่าประมุขพรรคตัวปลอมนั้น
มิใช่แค่เซียวอวี้เท่านั้น ต้วนเจิ้งก็ลังเลแล้วเช่นกัน หลังจากที่เขาส่งหร่านชิวออกไปแล้ว ก็มาพบเฟิ่งจิ่วเหยียน “พลังภายในของหยางเหลียนซั่วผู้นั้น แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้พิทักษ์ทั้งสองคนนั้นมาก “และตอนนี้เขาได้บรรลุเคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถีแล้วด้วย “เจ้าไม่อาจ สู้ชนะเขาได้เลย และจักตายเปล่าก็เท่านั้น “พี่ชายของข้า...” เขาหยุดเอ่ยชั่วครู่ ลดศีรษะลง ในใจมีคำพูดมากมายที่ยากจะเอ่ย “พี่ชายของข้าไม่อยากให้เจ้าตายแน่นอน!” เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสายตาที่เด็ดเดี่ยว “หากข้าไม่รู้ว่าเขาถูกขังอยู่ข้างในก็แล้วไป เมื่อรู้แล้ว ก็ย่อมจะไม่นิ่งดูดาย” “เจ้าเอาชนะสิบสองเทพชะตายังไม่ได้เลย! แล้วจะโอ้อวดอะไรได้!” จู่ ๆ ต้วนเจิ้งก็เงยหน้าขึ้น เบ้าตาแดงก่ำ “เจ้าคิดจะตายไปพร้อมกับพี่ชายของข้ารึ! พวกเจ้าอยากจะตายสังเวยรักหรือไร! พี่ชายของข้าจะไม่ยอมแน่!” เขาอายุเท่าไรแล้ว? ยังเอะอะก็เอาแต่ร้องไห้ เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วมุ่น “ขอเพียงยังมีความหวังที่จะช่วยเขาได้ ข้าก็จะลองดู” ถึงแม้จะต้องตาย ก็ไม่เสียใจเลย ต้วนเจิ้งส่ายศีรษะแรง ๆ “ไม่ได้ ข้าไตร่
หนานซานอ๋องก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ไอ้เด็กคนนี้ กล้าที่จะชี้กระบี่ใส่เขาจริง ๆ ! “กฎของภูเขาอวี้หลิง...” เฟิ่งจิ่วเหยียนพลิกคมกระบี่ กรีดบนลำคอของเขาจนเกิดรอยแผลเลือด “กฎของข้าคือ จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน “ฝ่าบาทสังหารท่านไม่ได้ ข้าทำได้ “หากท่านตายแล้ว ภูเขาอวี้หลิงจะอลหม่าน “ดังนั้น เชิญเปิดประตู” หนานซานอ๋องกำหมัดแน่น พลางมองไปทางเซียวอวี้ที่อยู่ไม่ไกล “ฝ่าบาท นี่คือคนที่ท่านนำมาหรือพ่ะย่ะค่ะ!” ในเวลานี้เซียวอวี้ก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาไม่ได้คาดคิดว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนจะจับหนานซานอ๋องเป็นตัวประกันโดยตรง ต้วนเจิ้งเร่งเร้าด้วยสายตาเย็นชา “รีบเปิดเจดีย์เก้าชั้นเร็วเข้า มิฉะนั้นจักสังหารท่านที่ทั้งแก่ทั้งคร่ำครึนี่ซะ! ให้ท่านไปเฝ้าภูเขาอยู่ในยมโลก!” เหล่าองครักษ์ของหนานซานอ๋องมีสายตาที่เฉียบคม “ปล่อยท่านอ๋องเดี๋ยวนี้!” หนานซานอ๋องกลับแย้มยิ้ม ริ้วรอยพลันปรากฏขึ้น บนใบหน้าที่เข้มงวดของเขา “ได้! ซูฮ่วน เจ้าชั่วช้ามากพอ เชิญเจ้าเข้าไป ในเจดีย์เก้าชั้นได้” เส้นทางต่างกันมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คนที่เจดีย์เก้าชั้นต
เพื่อรับมือกับหยางเหลียนซั่ว เซียวอวี้ได้เตรียมการป้องกันไว้แล้วเหล่าองครักษ์จึงตั้งค่ายกล พร้อมปล่อยตาข่ายลงมา เหมือนกับดักจับปลา ทำให้หยางเหลียนซั่วติดอยู่ในตาข่ายจากนั้นคนจำนวนหนึ่งก็รีบล้อมวงเข้ามา และย้ายตำแหน่งกัน ปากตาข่ายจึงรัดแน่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาหยางเหลียนซั่วเหวี่ยงมือทั้งสองข้าง และดิ้นรนทว่า การพังทลายของเจดีย์เก้าชั้น เดิมก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นยังต่อสู้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะการโจมตีของซูฮ่วน บวกกับในเวลานี้เขาธาตุไฟเข้าแทรก พลังเจินชี่กลับรั่วไหลออกมา ตาข่ายนี้ ในยามปกติเขาสามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย ทว่าตอนนี้กลับมีกำลังไม่เพียงพอพลังเจินชี่รั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาก็ได้รับความทรมานเช่นกัน“ยิงธนู!!” หนานซานอ๋องออกคำสั่งตามมาในขณะที่กำลังจะยิงสังหารราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่จู่ ๆ หมอกควันสีขาวก็กระจายฟุ้งขึ้นมาโดยรอบตรงกลางหมอกควันนั้น ก็คือหยางเหลียนซั่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนหัวใจบีบแรงแย่แล้ว!มีคนช่วยหยางเหลียนซั่ว!หมอกควันหนาทึบ ทุกคนมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัด ทั้งยังสำลักควันหนานซานอ๋
หยางเหลียนซั่วดูดซับพลังภายในของคนจำนวนมาก หาใช่จะควบคุมได้ง่ายเพียงนั้นแรงกระตุ้นจากคำพูดของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทำให้พลังเจินชี่ภายในของเขาแปรปรวนเพื่อป้องกันมิให้พลังเจินชี่พลุ่งพล่าน จนทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก เขาจึงมิอาจใช้เคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถีได้ ขณะเดียวกันก็ยังต้องใช้พลังภายในควบคุมตนเองให้นิ่งในเสี้ยววินาทีสั้น ๆ นี้ ก็ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนและตงฟางซื่อมีโอกาสท่าทะลวงพิฆาต---กระบวนท่าโจมตีเป็นคู่ของพวกเขาเฟิ่งจิ่วเหยียนโยนกระบี่ให้ตงฟางซื่อ คนหลังเปลี่ยนมาโจมตีทางตรงก่อน ท่าเคลื่อนไหวกระบี่วกวนจนทำให้ลายตาหยางเหลียนซั่วถอยหลังไปหลายก้าว ทว่ากลับไม่สังเกตเห็นว่า เหนือศีรษะของเขา เฟิ่งจิ่วเหยียนราวกับนกอินทรีโฉบลงมากินเหยื่อ พร้อมกับพลังที่รวบรวมอยู่ในฝ่ามือตูม!ฝ่ามือของนางกระแทกลงมาบนศีรษะของหยางเหลียนซั่ว!ในเสี้ยววินาทีนั้น กะโหลกศีรษะของเขาสั่นไหวเมื่อเห็นเช่นนี้ เซียวอวี้ก็รีบซัดฝ่ามือจากด้านข้างเพิ่มไปอีกหนึ่งฝ่ามือสิบเอ็ดเทพชะตาก็รีบเข้ามาเสริมกำลัง และใช้กระบวนท่าโจมตีหยางเหลียนซั่วโดยพร้อมเพรียงกองกำลังมากกว่าสิบคนก็โจมตีมาในเวลาเดียวกัน หยางเหลียนซั่วขับ
ภูเขาอวี้หลิงหยางเหลียนซั่วราวกับพญาวานร กระโดดออกมาท่ามกลางก้อนหินกระจัดกระจายเหล่าทหารเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจตงฟางซื่อพุ่งมาด้านหน้าในทันที และขวางหยางเหลียนซั่วไว้ด้วยพละกำลังของตนเอง เพื่อไม่ให้คนวิ่งหนีไปได้ทันใดนั้น สิบสองเทพชะตาที่คุ้มกันขุนเขาก็ลงมือ ตั้งค่ายกลปิดล้อมหยางเหลียนซั่ว และเปิดฉากโจมตีเขาอย่างต่อเนื่องเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะรีบตามไป และมองเห็นฉากการประมือของพวกเขาการต่อสู้อันดุเดือดทำให้ก้อนหินภูเขาแตกกระจายเหล่าทหารใช้ลูกธนูยิงออกไป ทว่ายากจะเล็งไปยังหยางเหลียนซั่วได้อย่างแม่นยำเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้สวมหน้ากาก จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงในเวลานี้ หยางเหลียนซั่วจดจำเซียวอวี้ได้ และยิ่งจดจำ “เมิ่งสิงโจว” ได้อย่างชัดเจน---คนร้ายที่ลอบสังหารเจาเอ๋อร์ของเขา!หากมิใช่เมิ่งสิงโจว เจาเอ๋อร์ก็คงมิอยู่ในสภาพปางตาย! ดวงตาของหยางเหลียนซั่วใต้หน้ากากพลันแดงก่ำเขารีบพุ่งออกมาจากวงล้อมของสิบสองเทพชะตา และมุ่งตรงมายังเซียวอวี้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนชักกระบี่ยาวออกจากฝัก และเดินตรงไปด้านหน้าเซียวอวี้กับตงฟางซื่อสองคนก็โจมตีจากด้านข้างทั
ต้วนไหวซวี่ตายแล้วที่จริงชีวิตเขาใกล้จะมอดดับไปนานแล้วหลายปีที่ผ่านมา เขาฝืนทนอยู่ได้ ก็เพื่อรักษาข้อตกลงห้าปีนั้นตอนนี้ เมื่อเห็นว่าอาเหยียนของเขามีความสามารถปกป้องตนเองได้ ข้างกายยังมีสหายและคนรัก รู้ว่านางมิจำเป็นต้องการตนอีกต่อไป เขาก็ปลดปล่อยพลังอย่างหมดสิ้นชีวิตนี้ของเขาไม่เจ็บแค้น และไม่เสียใจเสียงร่ำไห้ของต้วนเจิ้งนั้น ทำลายความเงียบสงัดของรัตติกาลทั่วทั้งจวนอ๋องถูกปกคลุมด้วยความมัวหมองเซียวอวี้ยืนอยู่ที่ลานกว้าง พร้อมแหงนหน้าขึ้น และมองไปยังดวงจันทร์สีขาวนวลดวงนั้นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกังวลใจหากต้วนไหวซวี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะสามารถแย่งชิงมาได้จริง ๆ หรือไม่?พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน รวมถึงเคยพูดคุยกันไม่กี่ประโยค เขาก็รู้แล้วว่า เหตุใดตอนแรกเฟิ่งจิ่วเหยียนถึงชอบต้วนไหวซวี่ถึงเพียงนั้นสุภาพบุรุษที่อ่อนโยนเช่นนี้ กระทั่งตายก็ยังนึกถึงคนอื่นเขามิอยากเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนร่ำไห้ให้กับต้วนไหวซวี่ จึงกลับเข้าห้องในทันที ทั้งรู้สึกว้าวุ่นในใจ เหมือนสิ่งของกระจัดกระจายมากมาย กำลังลอยละลิ่ว ทำให้คนคว้าไว้ไม่ได้ จิตใจจึงกระวนกระวาย......หนานซ
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น!” เฟิ่งจิ่วเหยียนตกใจอย่างมากแม้นหมอจะบอกว่า เวลาของต้วนไหวซวี่เหลือไม่มากแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังเหลือเวลาอยู่อีกหลายวันนางยังไม่ทันได้เตรียมใจ——เขากำลังจะลาจากโลกนี้ไปแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบกลับไปที่จวนหนานซานอ๋องเมื่อเปิดประตูเข้าไป เห็นเพียงต้วนไหวซวี่นอนอยู่บนเตียง ลมหายใจเริ่มโรยรินขึ้นเรื่อย ๆ ความมีชีวิตชีวาบนใบหน้าหล่อเหลานั้นค่อย ๆ เลือนหายไปต้วนเจิ้งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กุมมือของเขาไว้แน่น“ท่านพี่ ท่านพี่! ท่านอย่าหลับนะ! กว่าเราจะช่วยท่านออกมาได้…ท่านพี่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้าไปทีละก้าวอย่างแข็งทื่อ จ้องมองต้วนไหวซวี่แน่นิ่ง นัยน์ตาทอแววเวทนา“ไหวซวี่…”ผ้าปูเตียงเปื้อนไปด้วยเลือดสด ๆ ของเขา เขามองมาที่นาง ด้วยแววตาอ่อนโยน ราวกับว่าไม่อยากให้นางกังวลและกลัว“อาเหยียน ข้าไม่เป็นอะไร” เขาพยายามยิ้มออกมาเฟิ่งจิ่วเหยียนกำหมัดแน่นนางรู้ว่าร่างกายของเขาต้องแบกรับความเจ็บปวดมากแค่ไหนมากถึงขนาดที่ว่า ทุกครั้งที่หายใจ เหมือนถูกลงโทษประหารแล่เนื้อการมีชีวิตอยู่สำหรับเขา ไม่ได้สบายในวินาทีนี้ นางปล่อยวางแล้วดังนั้นนางจึงนั่งลงข้างเต
ตงฟางซื่อตอบกลับยิ้ม ๆ“ได้สิ ลำบากนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร กลัวแต่หยางเหลียนซั่วจะหนีไปได้จริง ๆ”หนึ่งชั่วยามต่อมาเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับมาถึงจวนหนานซานอ๋องได้ยินว่าอาการของต้วนไหวซวีแย่ลง นางจึงรีบเข้าไปในห้องของเขาข้างเตียง สีหน้าของต้วนเจิ้งค่อนข้างย่ำแย่“วันนี้ฮ่องเต้มาหาพี่ชายของข้า ทำให้พี่ชายของข้าอาเจียนเลือดออกมา”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยต้วนไหวซวี่อธิบายด้วยสีหน้าอ่อนแรง“อย่าไปฟังที่อาเจิ้งพูด ไม่เกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ ร่างกายของข้าไม่ดีเอง อาเหยียน พวกเจ้าเจอศพประมุขพรรคหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างใจเย็น“เพื่อป้องกันไม่ให้คนหนีออกไปได้ ตอนนี้เหล่าทหารทำได้เพียงเฝ้าไว้ยังไม่ขุด จึงยังไม่เจอศพ ไหวซวี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมาก มีคนอยู่มากมาย ไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีไปได้หรอก”หัวคิ้วของต้วนไหวซวี่ขมวดเข้าหากัน“ข้ากลัวว่า ประมุขพรรคจะไม่ตายง่าย ๆ …อาเหยียน เจ้าต้องระวัง และป้องกันมากหลายเท่านะ“หากเขาหนีไปได้จริง ๆ เจ้าจงจำไว้ว่า…วิชาดาราโรยหมื่นวิถีควบคุมได้ยาก สิ่งที่กลัวที่สุดคือจิตใจว้าวุ่น ไม่เช่นนั้นอาจหมกมุ่นเหมือนถูกมนต์ดำ…แค่ก ๆ !”ต้วนไหวซวี่ร่
ดูเหมือนการมาเยือนของเซียวอวี้ จะอยู่ในความคาดหมายของต้วนไหวซวี่เขานั่งพิงหัวเตียง สีหน้าซีดขาวตามประสาคนป่วย จากนั้นก็ดุต้วนเจิ้งว่า “อาเจิ้ง อย่าเสียมารยาท เจ้าออกไปก่อน”ต้วนเจิ้งไม่กล้าปล่อยพี่ชายไว้กับฮ่องเต้ทรราชคนหลังอารมณ์ดุร้ายแค่ไหน เขาเคยได้ยินมาเซียวอวี้เดินตรงไปนั่งข้างโต๊ะ พูดอย่างเปิดเผยว่า“ให้เขาอยู่ด้วยก็ได้“สิ่งที่เรากำลังจะพูดกับเจ้าต่อจากนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ให้คนฟังไม่ได้”ต้วนไหวซวี่พยักหน้าอย่างยากลำบาก“พ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้นั่งอยู่ตรงนั้น ท่าทางน่าเกรงขาม“เรารู้ เจ้าเป็นคนรุ่นหลังของตระกูลต้วน“ตระกูลต้วนก่อกบฏจนถูกสังหารชั่วโคตร ที่พวกเจ้าสองพี่น้องโชคดีรอดมาได้ ก็นับว่าเป็นบุญคุณจากสวรรค์แล้ว“เฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นฮองเฮาของเรา…”ต้วนเจิ้งรีบแก้คำพูดให้เขา “อดีตฮองเฮาต่างหาก พวกท่านหย่าร้างกันแล้ว ทั่วใต้หล้าต่างรู้กันหมด”เซียวอวี้ปรายตามองเขาอย่างเย็นชา คร้านจะโต้แย้งอะไรกลับไป“เห็นแก่ความรู้สึกของนาง เราจะละเว้นโทษให้พวกเจ้าสองพี่น้อง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเจ้าหลุดพ้นจากการเป็นผู้กระทำต่ำช้า กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์อีกครั้ง”ต้วนเจิ้งค่อนข้า
เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดเดา“หนานซานอ๋องคิดว่า คนร้ายถูกส่งเข้ามาในเจดีย์เก้าชั้น เพื่อนำมาหล่อเลี้ยงโลหิตหงส์ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น“ตอนนั้นปฐมจักรพรรดิต้องใช้คนมีชีวิตมาบูชายัญ เพื่อสยบความดุร้ายของศิลาหยก“ด้วยเหตุนี้ จึงนำอาภรณ์ของเชื้อพระวงศ์มาใส่ให้คนร้ายเหล่านี้ แลกกับความสงบสุขของราชวงศ์”ส่วนเหตุใดต้องเลือกคนร้ายเหล่านั้น ประการแรก ปฐมจักรพรรดิยังพอมีจิตสำนึก คิดว่าคนเหล่านี้กระทำผิดอย่างไร้ขอบเขต ไม่ว่าตายแบบไหนยังนับว่าเบาเกินไปสำหรับพวกเขาประการที่สอง เจดีย์เก้าชั้นจองจำผู้กระทำผิดชั่วร้ายไว้ ตัดความคิดของคนที่ต้องการตามหาสมบัติ ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนหลีกห่างเซียวอวี้พยักหน้า เห็นด้วยกับการคาดเดาของนาง“ปฐมจักรพรรดิไม่ได้บอกความจริงกับหนานซานอ๋อง จนหนานซานอ๋องสืบสายเลือดมาถึงปัจจุบัน ก็ยังคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเฝ้าปกปักษ์คือโลหิตหงส์”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวน้ำเสียงเรียบนิ่ง“นี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์“มีฐานะเป็นถึงฮ่องเต้ คงไม่อยากให้มนุษย์โลกคิดว่า เขาจะกลัวศิลาหยก”พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ต้องเอ่ยถึงอีกเรื่อง“ไหวซวี่บอกว่า หยางเหลียนซั่วผู้นั้นคือคนรุ่นหลังของแคว
เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นยืน โค้งคำนับท่านอ๋องทั้งสองคนสองคนนั้นกลับหันไปคารวะเซียวอวี้ใบหน้าของอ๋องผู้เฒ่าออบโอ้มอารี เอ่ยอย่างหยอกล้อ“แม่นางเฟิ่ง โลหิตหงส์ขาดแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ หากเจ้าอภิเษกกับฝ่าบาทอีกครั้งได้…”หัวคิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดเล็กน้อยเซียวอวี้รู้ดี ในตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความคิดพิจารณาเรื่องเหล่านี้อยู่ดี ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็มีแต่จะทำให้นางหงุดหงิดเขาเป็นฝ่ายตัดบทของอ๋องผู้เฒ่า“พูดเรื่องสำคัญได้แล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ตัวว่าสถานะของตัวเองไม่เหมาะสม จึงจะขอตัวออกมาเซียวอวี้กลับคว้าแขนของนางไว้ “เจ้าไม่ต้องไป”“เพคะ”หนานซานอ๋องกล่าวอย่างนอบน้อม“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมกับท่านพ่อมา เพราะอยากขอคำชี้แนะเรื่องขุมทรัพย์กับศิลาหยก เจดีย์เก้าชั้นถูกทำลายแล้ว ต่างถูกฝังไว้ใต้ดินทั้งหมด จำเป็นต้องขุดมาหรือไม่”เซียวอวี้ถามอย่างเรียบนิ่ง“เรื่องศิลาหยก พวกเจ้ารู้มากแค่ไหน?”หนานซานอ๋องหันไปมองอ๋องผู้เฒ่าเขาสงสัยมาตลอด ของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เหตุใดปฐมจักรพรรดิต้องครอบงำมันไว้ในเจดีย์เก้าชั้น?คำบอกเล่าของตงฟางซื่อก่อนหน้านี้ ทำให้เขาพะว้า