ต้วนเจิ้งโกรธเกรี้ยวไม่หยุด แรงที่เขาใช้เคาะประตูนั้น สามารถถอดบานประตูออกมาทั้งแผงได้เลย เมื่อครู่เขาเดินออกไปแค่ประเดี๋ยว แล้วย้อนลงมาดูที่ชั้นล่าง คนที่กินข้าวอยู่ก็ได้หายไปแล้ว ครั้นได้สอบถามกับเถ้าแก่ จึงรู้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาหานาง และเดินกลับห้องไปพร้อมกับเฟิ่งจิ่วเหยียน เขาเพิ่งจะเคาะประตูเพียงไม่กี่ครั้ง ทันใดนั้นก็มีคนหลายคนปรากฏตัวขึ้น และจ้องมองเขาอย่างดุเดือด ราวกับว่าหากเขากล้าที่จะบุกเข้าไป พวกเขาก็พร้อมจะกระชากวิญญาณของเขาออกมาตรงนี้ นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี! เขาสงสัยว่า บุรุษที่อยู่ข้างในนั้น ควรจะเป็นฮ่องเต้! ทันใดนั้น ประตูพลันเปิดออก สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนที่มองมานั้นเย็นชานัก “มีอะไร” สองหมัดของต้วนเจิ้งกำแน่น “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่!” ทันทีที่พูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยกคอเสื้อของเขาขึ้นมา และลากเขาออกไปทันที เหล่าองครักษ์ : ?? ต้วนเจิ้งถูกลากกลับไปที่ห้องของเขา จากนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยเตือนเขา “อย่าสร้างปัญหาให้ข้า มิเช่นนั้นพวกเราก็ต่างคนต่างไป” ต้วนเจิ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะดีก
ขณะที่นางกำลังตกอยู่ในความฉงน เซียวอวี้มิอาจจะอดกลั้นไหว พลันเชยคางของนางขึ้น และจูบริมฝีปากของนาง เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเขาออกไปทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นี่ท่านจะทำอันใดเพคะ” เซียวอวี้แย้มยิ้ม “ความรักระหว่างชายหญิง ถึงคราวสุกงอม ก็ยากจะหักห้ามใจ” เหล่านี้ ล้วนเป็นคำพูดที่นางเคยกล่าวทั้งหมด เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าตนเองมิอาจรอดชีวิตกลับไป และไม่ได้พบกันอีก จึงได้ทำตามหัวใจตนเองและจูบเขาก่อน ตอนนี้มันช่างพูดไม่ออกจริง ๆ ... นางผุดลุกขึ้นยืน “นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนที่ห้องของท่านได้แล้วเพคะ” เซียวอวี้มองออกไปนอกประตู “เฉินจี๋ มีห้องว่างหรือไม่” คนข้างนอกเอ่ยตอบ “นายท่าน พวกเรามีคนมากเกินไป จึงไม่เหลือห้องว่างแล้วขอรับ” เซียวอวี้หันกลับมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนพลางเอ่ย “เกรงว่า เราจักทำได้เพียงนอนเบียดกับรองผู้นำพันธมิตรซูแล้วกระมัง” เฟิ่งจิ่วเหยียนย่อมรู้ดีว่าเขาตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ “ท่านอาจจะเข้าใจหม่อมฉันผิดไป เรื่องในคืนนั้น...” ทันใดนั้นเซียวอวี้เคร่งขรึมขึ้นมา
เซียวอวี้จำต้วนเจิ้งได้ และรู้ด้วยว่าเขาเป็นน้องชายร่วมสายเลือดของต้วนไหวซวี่ ดังนั้น จึงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อต้วนเจิ้งไปตลอดการเดินทางนี้ หารู้ไม่ว่า ต้วนเจิ้งก็ทำเช่นเดียวกันกับเขา ในใจของต้วนเจิ้งนั้น พี่ชายของตนเองดีกว่าฮ่องเต้ผู้โง่เขลาองค์นี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่า ไม่ช้าก็เร็ว เฟิ่งจิ่วเหยียนสตรีพิษคนนี้จักต้องนึกเสียใจ! สองวันต่อมา คณะเดินทางก็มาถึงเชิงภูเขาอวี้หลิง ภูเขาอวี้หลิงนั้นสูงตระหง่านโดดเด่น เหนือยอดเขามีเมฆบังหมอกปกคลุม ดุจแดนสวรรค์ ที่ซึ่ง เซียน และมารอยู่ร่วมกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่รุนแรงนัก เป็นตามที่คาดไว้ ทันทีที่พวกเขาลงจากรถม้า พลันมีองครักษ์ลับหลายร้อยคนปรากฏตัวขึ้น และปิดกั้นทางเข้าไว้ “ผู้มาเป็นใคร!” ต้วนเจิ้งร้อนอกร้อนใจอยากจะเปิดเผยตัวตนเต็มที “ฮ่องเต้อยู่ที่นี่ พวกเจ้ายังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!” เขาเพียงคิดง่าย ๆ เจดีย์เก้าชั้นแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตอำนาจของราชสำนัก ลองคิดดูแล้วหากฮ่องเต้ตรัสเพียงคำเดียว พวกเขาทั้งหมดต้องหลีกทางให้อย่างเชื่อฟัง และการให้หนานซานอ๋องเปิดประตูทางเข้าเจ
เฟิ่งจิ่วเหยียนประคองเซียวอวี้ไว้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันเฉินจี๋ก็เข้ามาช่วยทันทีเช่นกัน ต้วนเจิ้ง : ! หนานซานอ๋อง : ? “เจ้าทำอันใดกับฝ่าบาท!” หนานซานอ๋องโพล่งถามด้วยความโกรธเกรี้ยว ครั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนมอบเซียวอวี้ให้เฉินจี๋แล้ว พลันก้าวไปข้างหน้า กำหมัดแสดงความเคารพต่อหนานซานอ๋อง “ท่านอ๋อง มิจำเป็นต้องเสียสละชีวิตของทหารผู้บริสุทธิ์เลย “ผู้น้อยซูฮ่วน ขอท้าประลอง เพื่อเข้าสู่เจดีย์เก้าชั้น” หนานซานอ๋องได้ยินเช่นนั้น มิแสดงท่าทีอนุญาตหรือปฏิเสธ และยังคงจับจ้องมองไปทางเซียวอวี้ จนกระทั่งเฉินจี๋ส่งฮ่องเต้ขึ้นไปในรถม้า และทำความเคารพเพื่อลาเขาแล้ว หนานซานอ๋องจึงรู้สึกโล่งใจได้เสียที เขาหันไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียน และเอ่ยถามอย่างเฉียบขาด “เจ้าอยากเข้าไปในเจดีย์เก้าชั้นจริงรึ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักศีรษะ “ขอรับ!” “ดี” หนานซานอ๋องตอบรับด้วยความเต็มใจยิ่ง ก่อนที่เฉินจี๋จะออกเดินทาง ได้โค้งคารวะให้เฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเคารพ “คุณชายซู โปรดรักษาตัวด้วย!” ในขณะนี้ เฉินจี๋ยังไม่รู้เลยว่า นางหาได้เป็นแค่ซูฮ่วนเท่านั้น ยังคงเป็นอดีตฮองเฮา
เฉินจี๋บังคับรถม้าไปได้ไม่ไกลนัก พลันมีการเคลื่อนไหวขึ้นในรถม้าแล้ว เขายังไม่ทันหยุดรถม้าเพื่อจะตรวจสอบ ก็ได้ยินเสียงคำรามดุจสายฟ้าฟาด “หยุดรถ!” เฉินจี๋ร่างกายแข็งทื่อโดยอัตโนมัติ ซูฮ่วนใช้เข็มเงินอาบยามอมเมามิใช่หรือ? เหตุใดฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาเร็วเช่นนี้! ฟึบ—— เซียวอวี้เปิดม่านรถม้า นัยน์ตาสีรัตติกาลเปล่งประกายด้วยกลิ่นอายสังหาร ด้วยว่าฤทธิ์ยามอมเมายังไม่หมดสิ้นไปเสียทีเดียว ใบหน้าของเขายังดูอ่อนแรงเล็กน้อย ทันใดนั้น เขาก็ยกเท้าเตะเฉินจี๋ตกลงไป! อาการบาดเจ็บของเฉินจี๋ยังไม่หายดี การเตะครั้งนี้จึงสร้างความเจ็บปวดสุดแสนให้เขา ทว่าเขาผุดลุกขึ้นมาทันที และคุกเข่าลง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจทนเห็นพระองค์เสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎต่อต้านผู้คน! หากโลหิตหงส์ถูกทำลาย...” “หุบปากซะ!” ดวงตาของเซียวอวี้เต็มไปด้วยความเย็นชาสุดพรรณนา “หากซูฮ่วนเป็นอันใดไป เจ้าก็อย่าหวังจะได้มีชีวิตอยู่!” ทุกคนก็อย่ามีชีวิตอยู่อีก! หัวใจของเฉินจี๋พลันบีบรัดแน่น ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญต่อซูฮ่วนขนาดนี้ได้อย่างไร! เฉินจี๋เอ่ยทัดทาน “ฝ่าบาทพ่ะย
ผู้ตายมิใช่ประมุขพรรคเทียนหลง เรื่องนี้ ทำให้ต้วนเจิ้งก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ เขาร้อนอกร้อนใจรีบถาม “สรุปว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่! แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?” หร่านชิวก็ดูกังวลใจ ทว่ายังอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน “พรรคเทียนหลงนั้น ในวันปกติ ประมุขพรรค เก้าราชา และผู้พิทักษ์ทั้งสอง จักสวมหน้ากากตลอดเวลา “ครั้งหนึ่งข้าเคยเป็นคนสนิทข้างกายของประมุขพรรคหยางเหลียนซั่ว แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาภายใต้หน้ากากของพวกเขาเป็นอย่างไร “ในวันนั้นประมุขพรรคออกจากบำเพ็ญตน พวกเราจึงเชื่อมั่นโดยไร้เงื่อนไข ว่านั่นคือประมุขพรรค “ทว่าหลังจากที่เขาตายแล้ว ข้าก็สำรวจพบปานเล็กที่ต้นคอด้านหลังของเขา “ปานเล็กนั้น ข้าเคยเห็นบนตัวของผู้พิทักษ์ขวา เพราะเขาเคยสอนเคล็ดวิชาพลังจิตภายในแก่ข้าอยู่ระยะหนึ่ง ข้าจึงค่อนข้างจะคุ้นเคยกับเขา “เดิมข้าแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ภายหลังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ “ประมุขพรรคบำเพ็ญตนนั้น สิ่งที่ฝึกฝนคือเคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถี “เคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถีนี้สามารถดูดซับพลังภายในของผู้อื่น มาเป็นของตนเองได้ “ทว่าประมุขพรรคตัวปลอมนั้น
มิใช่แค่เซียวอวี้เท่านั้น ต้วนเจิ้งก็ลังเลแล้วเช่นกัน หลังจากที่เขาส่งหร่านชิวออกไปแล้ว ก็มาพบเฟิ่งจิ่วเหยียน “พลังภายในของหยางเหลียนซั่วผู้นั้น แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้พิทักษ์ทั้งสองคนนั้นมาก “และตอนนี้เขาได้บรรลุเคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถีแล้วด้วย “เจ้าไม่อาจ สู้ชนะเขาได้เลย และจักตายเปล่าก็เท่านั้น “พี่ชายของข้า...” เขาหยุดเอ่ยชั่วครู่ ลดศีรษะลง ในใจมีคำพูดมากมายที่ยากจะเอ่ย “พี่ชายของข้าไม่อยากให้เจ้าตายแน่นอน!” เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสายตาที่เด็ดเดี่ยว “หากข้าไม่รู้ว่าเขาถูกขังอยู่ข้างในก็แล้วไป เมื่อรู้แล้ว ก็ย่อมจะไม่นิ่งดูดาย” “เจ้าเอาชนะสิบสองเทพชะตายังไม่ได้เลย! แล้วจะโอ้อวดอะไรได้!” จู่ ๆ ต้วนเจิ้งก็เงยหน้าขึ้น เบ้าตาแดงก่ำ “เจ้าคิดจะตายไปพร้อมกับพี่ชายของข้ารึ! พวกเจ้าอยากจะตายสังเวยรักหรือไร! พี่ชายของข้าจะไม่ยอมแน่!” เขาอายุเท่าไรแล้ว? ยังเอะอะก็เอาแต่ร้องไห้ เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วมุ่น “ขอเพียงยังมีความหวังที่จะช่วยเขาได้ ข้าก็จะลองดู” ถึงแม้จะต้องตาย ก็ไม่เสียใจเลย ต้วนเจิ้งส่ายศีรษะแรง ๆ “ไม่ได้ ข้าไตร่
หนานซานอ๋องก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ไอ้เด็กคนนี้ กล้าที่จะชี้กระบี่ใส่เขาจริง ๆ ! “กฎของภูเขาอวี้หลิง...” เฟิ่งจิ่วเหยียนพลิกคมกระบี่ กรีดบนลำคอของเขาจนเกิดรอยแผลเลือด “กฎของข้าคือ จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน “ฝ่าบาทสังหารท่านไม่ได้ ข้าทำได้ “หากท่านตายแล้ว ภูเขาอวี้หลิงจะอลหม่าน “ดังนั้น เชิญเปิดประตู” หนานซานอ๋องกำหมัดแน่น พลางมองไปทางเซียวอวี้ที่อยู่ไม่ไกล “ฝ่าบาท นี่คือคนที่ท่านนำมาหรือพ่ะย่ะค่ะ!” ในเวลานี้เซียวอวี้ก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาไม่ได้คาดคิดว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนจะจับหนานซานอ๋องเป็นตัวประกันโดยตรง ต้วนเจิ้งเร่งเร้าด้วยสายตาเย็นชา “รีบเปิดเจดีย์เก้าชั้นเร็วเข้า มิฉะนั้นจักสังหารท่านที่ทั้งแก่ทั้งคร่ำครึนี่ซะ! ให้ท่านไปเฝ้าภูเขาอยู่ในยมโลก!” เหล่าองครักษ์ของหนานซานอ๋องมีสายตาที่เฉียบคม “ปล่อยท่านอ๋องเดี๋ยวนี้!” หนานซานอ๋องกลับแย้มยิ้ม ริ้วรอยพลันปรากฏขึ้น บนใบหน้าที่เข้มงวดของเขา “ได้! ซูฮ่วน เจ้าชั่วช้ามากพอ เชิญเจ้าเข้าไป ในเจดีย์เก้าชั้นได้” เส้นทางต่างกันมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คนที่เจดีย์เก้าชั้นต
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร