เหล่าราชทูตถูกเชือกมัดรอบเอวและดิ้นไม่หลุดเมื่อเห็นม้าเริ่มวิ่งเร็วขึ้น พวกเขาจำต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อเอาชีวิตรอด สองขาจะวิ่งแซงสี่ขาได้อย่างไร ผ่านไปสักพักพวกเขาก็ล้มลงกับพื้น และถูกกระชากลากถูทั้งเป็น ถึงแม้จะเป็นพื้นทราย พวกเขาก็ไม่อาจทนรับความทรมานได้เช่นกันหลังจากวิ่งไปสองสามรอบก็มีเสียงกรีดร้องของผู้คนที่รายล้อมอยู่ด้านบนสนามอาภรณ์ของพวกเขาถูกขูดจนฉีกขาด ส่วนเนื้อหนังก็ถูกครูดจนถลอก บนพื้นยังมีร่องรอยของคราบเลือด... พวกเขายังคงร้องขอความเมตตา“ฮ่องเต้ฉี! ฮ่องเต้โปรดไว้ชีวิตด้วย!” “ฮ่องเต้ฉี...กระหม่อมมิกล้า...กระหม่อมมิกล้าแล้ว!” ราชทูตที่เหลือเมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเขารู้สึกว่าโชคดีที่เมื่อครู่ไม่ได้พูดมาก เซียวอวี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินการร้องขอความเมตตาของคนเหล่านั้นเขาดื่มสุราและกินอาหารตามเดิม เขาไม่กลัวแม้แต่น้อยว่าจะร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิตทว่าบรรยากาศของงานเลี้ยงเริ่มคุกรุ่น ผู้คนแทบไม่กล้าหายใจ ยกเว้นแต่หร่วนฝูอวี้ ถึงแม้ราชทูตหนานเจียงของนางจะอยู่ในสนามม้าด้วย นางยังคงกินดื่มตามเดิมโดยไม่รู้สึกหนักใจแม้แต่น้อย ทั้งยังให้นางกำนัลเติมสุราให้อีก
เหลียนซวงกลับเข้ามาในตำหนัก นางรีบทูลให้ฮองเฮาทรงทราบเรื่องที่ต้องเข้าร่วมบรรทมเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจัดเรียงอาวุธลับ เมื่อนางได้ยินเช่นนี้พลันขมวดคิ้ว“หลิวซื่อเหลียงพูดรึ?”เหลียนซวงส่ายหัว“เขาไม่ได้พูดเช่นนั้น แต่เขาหมายความเช่นนั้นเพคะ“เขายังบอกอีกว่า นอกจากหรงเฟยผู้ล่วงลับ ฝ่าบาททรงไม่เคยเรียกพระสนมคนใดจากวังหลังมาที่ตำหนักจื้อเฉินเลย...บ่าวได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกหวาดกลัวเพคะ“ฮองเฮา คืนนี้ท่านต้องร่วมบรรทมจริงหรือเพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยด้วยท่าทีเรียบเฉย“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ทว่าตอนนี้ยังมีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องรีบไปทำ”เหลียนซวงตั้งใจฟังคำสั่งเดิมทีคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอันใด ผลสุดท้ายคือฮองเฮาแค่ให้นางนำยาเม็ดมาบดเป็นผง โดยบอกว่าเป็นยาเพื่อป้องกันมดแมลงทว่าช่วงเวลานี้ในวังก็ไม่มีแมลงมีพิษ งู หรือมด ยามค่ำคืนเฟิ่งจิ่วเหยียนมาถึงตำหนักจื้อเฉิน ขันทีผิวขาวเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่งก็พานางเข้าไปด้านในห้องบรรทมของฮ่องเต้ดูงดงามโอ่โถงกว่าห้องทั่ว ๆ ไปจากประตูหลักเข้ามาถึงห้องโถงหลักจะปูพื้นด้วยอิฐหยกขาวรวมเก้าสิบเก้าก้อนตัวอักษรเคลือบทองคำว่า “ตำหนักจื้อเฉิน”
ระยะห่างระหว่างโต๊ะทรงงานกับเก้าอี้พนักพิงนั้น สามารถรองรับจำนวนคนได้เพียงคนเดียวเท่านั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนที่หลังชนกับโต๊ะทรงงาน จึงได้หันมาประชันหน้ากับเซียวอวี้เซียวอวี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง ร่างกายครึ่งบนยังคงนั่งหลังตรง ทว่า...เขามิชอบความรู้สึกที่ต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองนางเช่นนี้เลยเขามิรู้ว่า เหตุใดนางถึงทำเช่นนี้จู่ ๆ ก็พุ่งตัวเข้ามาหา...หากว่าต้องการพุ่งตัวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดนั้น เหตุใดนางจึงยืนตัวตรงเช่นนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้คิดสิ่งใดมาก นางขยับเขยื้อนร่างกายของตนเองเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะ ด้านหลังบนโต๊ะทรงงานมีแมลงพิษรูปร่างคล้ายหนอนอยู่ตัวหนึ่งลำตัวเล็ก มีสีน้ำตาล รูปร่างมิได้โดดเด่นมากนักนางที่รู้จักมักจี่กับหร่วนฝูอวี้มาก่อน เพียงพริบตาเดียวย่อมจดจำได้ในทันทีว่า มันคือ “แมงมุมพันร่าง”!ดูเหมือนจะเป็นสัตว์ธรรมดาไร้พิษสง ทว่า หากมันได้เข้าสู่ร่างกายมนุษย์เมื่อใดนั้น มันจะแพร่พันธ์ออกมาอย่างรวดเร็ว จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ แพร่พันธ์ออกไปโดยไม่มีที่สิ้นสุดแมลงพวกนี้จักกัดกินอวัยวะภายใน ทั้งยังเกาะติดอยู่ในกระดูกมนุษย์ กัดกินจนกระทั่งเหลือเพียงหนั
ทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกวางลงบนเตียงนั้น นางก็ได้สติขึ้นมาในทันทีนางกัดลงไปที่ริมฝีปากของเซียวอวี้อีกครั้งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งราวกับกำลังกระตุ้นนาง พลางเรียกร้องให้นางใช้แรงกัดเพิ่มขึ้นไปอีกเฟิ่งจิ่วเหยี่ยนใช้แรงผลักเขาออกมา ทำให้นางกลับสู่ห้วงของความเป็นจริงในทันทีเซียวอวี้ผละจากริมฝีปากของนาง พลางซุกไปที่ลำคอของเฟิ่งจิ่วเหยียนคล้ายกับว่าพยายามจะควบคุมอารมณ์บางอย่างหากแต่ลมหายใจอุ่น ๆ ยังคงอยู่ตรงนั้นจมูกเรียวโด่งของเขาสัมผัสอยู่ที่ซอกคอของนาง ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอันเร่าร้อนที่กำลังแผดเผานางได้ในทันทีนางพยายามออกแรงดันเขาอีกครั้ง เพื่อที่จะพยายามลุกขึ้นยืนเสียงแหบแห้งของเซียวอวี้พลางเอ่ยที่ข้างหูของนางว่า“จักอยู่ที่นี่หรือไม่?”ที่นี่คือตำหนักจื้อเฉินแม้แต่หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ที่เขาเคยโปรดปราน นางก็หาได้เคยเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ไม่ที่เขาเอ่ยถามออกมาเช่นนี้ ก็เพื่อถามนางว่า อยากจะร่วมบรรทมกับเขาหรือไม่เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงรีบตอบออกมาในทันที“หม่อมฉันต้องกลับไปแล้วเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ปฏิเสธออกไปตรง ๆ เพื่อป้องกันมิให้เซียวอวี้เคืองใจความ
กลางดึกในยามราตรี หร่วนฝูอวี้ที่ยังมิได้เข้านอนนั้นยามจื่อที่มีพลังงานหยินอยู่มาก ทำให้นางต้องนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง พลางจุดธูปหอมไปด้วยเพื่อฝึกฝนหนอนพิษเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนมากมายจากด้านนอกนั้น นางก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที พร้อมทั้งสายตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและเย็นชาดีนัก นางจักได้ใช้พวกเขาในการฝึกฝนหนอนกู่ตัวใหม่ของนาง...ปั้งชายชุดดำพลบันบุกเข้าไปด้านในในทันทีห้องเล็ก ๆ กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหร่วนฝูอวี้แย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้กับพวกเขา นางเพียงโบกมือไปมา ชั่วพริบตา แมลงพิษที่มีรูปร่างคล้ายกับตั๊กแตนตำข้าวก็ถูกโยนออกมาใส่พวกเขาในทันทีพวกมันบินไปตกอยู่บนร่างของชายชุดดำเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ทั่วร่างของเหล่าชายชุดดำก็เกิดอาการแผ่ร้อนออกมาเขารู้สึกแปลก ๆ ออกมาในทันที ก่อนจะร้องตะโกนถอดเสื้อผ้าออกมา พลางตะโกนออกมาว่าร้อนความรู้สึกราวกับทั่วร่างถูกแผดเผา ถึงแม้จะถอดอาภรณออกมาหมดทั้งตัวแล้ว พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าร้อนอยู่ชายชุดดำที่ทนไม่ไหวนั้น จึงรีบกระโดดออกจากหน้าต่างไปในทันทีใบหน้าของเฉินจี๋จึงเผยความเย็นชาและแข็งกระด้างออกมาสตรีหนานเจียงผู้นี
เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเงยหน้าขึ้น พลางใช้สายตาเอ่ยห้ามปรามนางหร่วนฝูอวี้พลางทำท่าทีเหมือนรู้สึกผิดเมื่อถูกจับได้ พร้อมทั้งค่อย ๆ เอามือเปลี่ยนไปลูบไล้หน้ากากเหล็ก ราวกับว่าทำเช่นนี้คล้ายกับตนเองกำลังลูบใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่“หนาวยิ่งนัก…ให้ข้า…ได้เห็นใบหน้าของเจ้า ได้หรือไม่?”ถึงแม้ว่านางจะทำตัวไร้เหตุผลไปบ้าง ทว่า นางกลับรู้จักวางตัวยิ่งนักไม่ว่านางจะทะเลาะกับซูฮ่วนเช่นไร เขามิเคยโกรธนางเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง ทั้งยังมิเคยตัดขาดความสัมพันธ์กับนางอีกด้วย ทว่า หากนางล่วงเกินกฎของซูฮ่วนโดยการถอดหน้ากากของเขาออกมาละก็ มิตรภาพระหว่างพวกนางก็จะสิ้นสุดลงเฟิ่งจิ่วเหยียนมิตอบ หากแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้หร่วนฝูอวี้เช่นเดิมหร่วนฝูอวี้ที่กำลังภายในฟื้นคืนมาส่วนหนึ่งนั้น จึงเริ่มเอ่ยวาจาแทะโลมออกมาว่า“เจ้าที่เห็นเรือนร่างของข้าเช่นนี้แล้ว เจ้าจักรับผิดชอบอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันกายกลับมาล้างมือ พลางเอ่ยขึ้นมาว่า“ข้าได้ยินว่าเจ้าจักแต่งเข้ามาเป็นสนม”หร่วนฝูอวี้พลางเอ่ยถามกลับด้วยรอยยิ้มล้อเลียนว่า“อะไรกัน เจ้าหึงงั้นรึ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันกลับมามองนางด้วยความเย็นชา ในแววตาขอ
โรงพักแรม ยามที่ราชทูตหนานเจียงตื่นขึ้นมายามเที่ยงวัน ก็พบว่าหร่วนฝูอวี้หายตัวไปแล้วระหว่างการเดินทางนั้น หร่วนฝูอวี้มักจะหายออกจากกลุ่มคณะไป นั่นจึงทำให้ราชทูตคิดว่าเป็นเรื่องปกติพวกเขาจึงคิดว่าหร่วนฝูอวี้ไปหาซูฮ่วนผู้นั้นอีกแล้วยามที่เขาถูกม้าลากไปเมื่อนั้น ร่างกายยังเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำมากมาย ทั้งยังบวมปวดออกมาอีกด้วย จึงไม่คิดจะละความพยายามในการตามหาตัวหร่วนฝูอวี้ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น หากแต่ราชทูตคนอื่น ๆ ก็นอนอยู่บนเตียง พลางร้องให้คร่ำครวญกับอาการบาดเจ็บของตนเองเช่นกันราชทูตจากแคว้นซีหนี่ว์ยังคงดื้อรั้น ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของนางจะยังมิอาจลงจากเตียงมาได้ แต่นางก็ยังเอ่ยออกมาว่า“พวกเราแคว้นซีหนี่ว์จักมิยอมให้มีการผูกขาดเหมืองหินเซวียนอิงอย่างแน่นอน!“ทุกท่าน! ตราบใดที่พวกเราร่วมมือกัน พวกเราย่อมสามารถทำให้แคว้นหนานฉียอมจำนนต่อพวกเราได้อย่างแน่นอน!“เรื่องนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากแคว้นหนานฉีสามารถทำตามใจตนเองได้เมื่อใด รัฐเหลียงของเราในวันนี้ย่อมเป็นของพวกเราในวันพรุ่งนี้!”ห้องของราชทูตแดนเหนือที่อยู่ข้าง ๆ กันนั้น เดิมทีทั่วร่างก็เจ็บปวดรวดร้าวจนต้องนอนพักรัก
ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ไม่กี่วัน เฉียวม่อสูญเสียข้ารับใช้ของตนเองไปถึงสามคนนางรู้ดีว่าคนเหล่านั้นจักต้องพบเจอกับความโชคร้ายมากกว่าเรื่องดีอย่างแน่นอนความแค้นนี้นางมิอาจกล้ำกลืนมันลงไปได้!ศิษย์พี่คิดว่า กำจัดคนของนางไปได้สามคนแล้ว นางจักไม่มีคนอื่นให้ใช้การอีกหรืออย่างไร?เฉียวม่อใช้แรงบีบถ้วยชาจนมันแตกคามือ แววตาพลันเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันอย่างรุนแรง...สองวันต่อมาฮูหยินเฟิ่งพาลูกสะใภ้ไปถวายเครื่องหอมที่วัดอยู่นาน มิกลับมาเสียทีนายท่านเฟิ่งจึงนึกเป็นกังวลและไม่สบายใจยิ่งนัก ยิ่งเหตุการณ์ที่เวยเฉียงถูกลักพาตัวไปทำร้ายยังฝังใจพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้ นายท่านเฟิ่งเป็นกังวลว่าฮูหยินและลูกสะใภ้ของตนเองจักถูกพวกโจรจับไปด้วยเช่นกัน จึงรีบร้อนเรียกพ่อบ้านมาในทันที“รีบส่งข่าวไปหาคุณชายใหญ่ให้รีบกลับมาที่จวนเสีย! เร็วเข้า!”จากนั้นไม่นาน เฟิ่งเหยียนเฉินก็กลับเข้ามาเมื่อได้ยินว่าทั้งมารดาและฮูหยินของตนเองหายตัวไปนั้น ภายในใจเขารู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนัก“เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร? หายตัวไปนานเท่าใดแล้ว? เหล่าองครักษ์ที่ติดตามตัวไปด้วยเล่า?”นายท่านเฟิ่งกัดฟันกล่าวออกมา“ข้าสั่ง
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร
เคร้ง!พู่กันในมือเฟิ่งจิ่วเหยียนหล่นลง นางมองอู๋ไป๋ด้วยสีหน้าเย็นชา“พวกเฉินจี๋เล่า!”อู๋ไป๋ส่ายศีรษะ“เฉินจี๋เองก็หายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ ไม่ง่ายเลยที่จะส่งข่าวนี้กลับมา! ท่านประมุข พวกเราทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายแต่ก็ไม่ตื่นตระหนก หลังจากสงบอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็วก็สั่งอู๋ไป๋“สั่งการลงไปให้ทุกจวนในแคว้นซีหนี่ว์ตามหาพระสวามี“พร้อมทั้งส่งองครักษ์ลับทุกคนออกไป รวมถึงกองทัพอินทรีเหิน“ให้พวกเขาตามหาฝ่าบาทตามแนวชายแดน!”อู๋ไป๋รีบไปจัดการตามคำสั่งหากเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่!หลังจากอู๋ไป๋ออกไป เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าฝ่ามือของตนเต็มไปด้วยเหงื่อฎีกาบนโต๊ะนางก็ดูไม่รู้เรื่องแล้วทุกอย่างที่คิด มีแต่เรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของเซียวอวี้เป็นไปได้มากว่าคนที่ลงมือรู้ถึงฐานะของเขาดีเฟิ่งจิ่วเหยียนสีหน้าเคร่งขรึม หน้าซีดไร้เลือดไม่นานอู่ไป๋ก็กลับมา“ท่านประมุข จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ยังมีองครักษ์ที่มาส่งข่าวผู้นั้น ท่านต้องการพบเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เขาพูดจบแล้ว ทว่ากลับไม่ได้ยินท่านประมุขตอบอะไรอู่ไ
พรุ่งนี้เซียวอวี้ก็ต้องเดินทางกลับแคว้นหนานฉีแล้ว คืนนี้เขานอนกอดเฟิ่งจิ่วเหยียน ทั้งคืนไม่อาจหลับตาลงได้เขาวางมือข้างหนึ่งไว้บนท้องของนาง สัมผัสกับการเคลื่อนไหวในครรภ์ที่มีอยู่บางเวลาหากเวลาหยุดลงตรงนี้ได้ ก็คงจะดีทว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับความจริงเขายังคงเป็นฮ่องเต้แคว้นหนานฉี ไม่อาจเห็นแก่ความรู้สึกส่วนตัว ละเลยความปลอดภัยของแคว้นได้เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็นอนไม่หลับนางกุมแขนของเขาเบา ๆ พูดด้วยน้ำเสียงสงบและอ่อนโยน“อย่างมากสุดหนึ่งเดือน หม่อมฉันก็จะกลับแคว้นหนานฉีเพคะ”เซียวอวี้จุมพิตซอกคอนาง “ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ผิดคำพูด”ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกกระวนกระวายใจเหมือนกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปด้วยฝน ยากที่ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งวันที่สอง ในที่สุดเซียวอี้ก็ต้องออกเดินทางแล้ววันนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ว่าราชการ นางนั่งรถม้าไปส่งเขาออกจากเมืองด้วยตนเองข้างกายเซียวอวี้มีองครักษ์ติดตามมากมาย ส่วนเหล่าองครักษ์เงา เขาล้วนให้อยู่กับเฟิ่งจิ่วเหยียน ให้พวกเขาคอยปกป้องฮองเฮาและเด็กให้ดีส่งกันพันลี้ ก็ต้องจากกันเซียวอวี้กำชับหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการกินข้าวและการนอน
ในใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพลุ่งพล่านด้วยเพลิงอารมณ์อันร้อนแรง นางเม้มริมฝีปาก พูดกับเซียวอวี้“เราเป็นสามีภรรยากัน ข้าย่อมมิอาจทำใจห่างจากท่านได้ “แต่ราชการบ้านเมืองประดุจเพลิงโหมกระหน่ำ จะให้ข้ามีจิตห่วงใยแต่เรื่องรักใคร่ได้อย่างไร? “ฝ่าบาท ท่านก็เช่นกัน อย่าได้พูดสิ่งที่หามีสาระไม่ เร่งจัดการราชกิจให้เป็นกิจจะลักษณะเถิดเพคะ...”นางพลางพูด พลางถอยออกจากอ้อมกอดของเขา บีบคั้นให้เขาจำต้องให้ความสำคัญแก่งานราชกิจก่อนสิ่งอื่นใดเซียวอวี้จ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างอดกลั้น“ได้”พูดจบ เขาก็หมุนตัวออกจากห้องทรงพระอักษร เหมือนกลั้นลมหายใจไว้ มิคาดหวังคำปลอบประโลมจากนางอีกต่อไปด้านนอกตำหนัก เซียวอวี้ยืนท่ามกลางลมห้วงราตรี สัมผัสได้ถึงไอสังหารเยือกเย็นของแคว้นซีหนี่ว์สายตาของเขาทอดมองไกลลิบ สั่งเฉินจี๋ด้วยสีหน้าเรียบเฉย“เตรียมรถม้า พรุ่งนี้กลับแคว้นหนานฉี”สีหน้าเฉินจี๋ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆ แต่ในใจกลับแอบลิงโลด ในที่สุดก็ได้ออกจากแคว้นซีหนี่ว์แล้วเฉินจี๋ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “จะให้จัดหมอตำแยติดตามไปด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เผื่อฮองเฮาประสูติกลางทา
เฟิ่งจิ่วเหยียนจำลายมือในกระดาษนั้นได้แน่ชัด ว่าเป็นลายมือของเลี่ยอู๋ซิน เลี่ยอู๋ซินเป็นสหายสนิทของเมิ่งสิงโจวศิษย์พี่ของนาง ก่อนหน้านี้เพื่อสืบหาความจริงคดีมนุษย์โอสถ นางเคยติดต่อกับเลี่ยอู๋ซิน ได้ข่าวว่าหลังจากความจริงกระจ่าง เลี่ยอู๋ซินก้ไปยังแคว้นตงซาน ไล่ล่าซุนโฉวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมนุษย์โอสถที่หลงเหลือ ครั้งนี้เขาส่งข่าวสารมาโดยมิได้ปรากฏตัว ดูท่าออกจะลึกลับพิกลอยู่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “หากมีสิ่งใดเคลื่อนไหวผิดแผก ไยไม่เขียนบอกให้ชัดเจนโดยตรง?”นางก้มมองข้อความ เซียวอวี้ผู้ยืนอยู่ข้างตัวนางคาดคะเน “เลี่ยอู๋ซินอาจไม่สะดวกปรากฏตน หรือผู้ที่ส่งข่าวครั้งนี้ มิใช่เขาเองก็เป็นได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนโน้มเอียงไปทางข้อสันนิษฐานประการหลังมากกว่า อาจเป็นเลี่ยอู๋ซินมอบหมายให้คนนำข้อความมา หากมิใช่เช่นนั้น คงไม่จำต้องปิดบังอำพรางถึงเพียงนี้“แคว้นตงซาน…” เฟิ่งจิ่วเหยียนพึมพำในลำคอ ครานั้นแต่ละแคว้นโจมตีแคว้นหนานฉี ก็เพราะแคว้นตงซานเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง เห็นได้ชัดว่าความทะเยอทะยานของพวกเขาไม่ธรรมดา ยามนี้แคว้นตงซานเคลื่อนไหวผิดแผก เกรงว่า