หลังจากเลี่ยอู๋ซินเข้าไปในห้อง เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้นในทันที “ฝ่าบาท! ท่านทรงสัญญากับข้าน้อยว่า จะไว้ชีวิตข้าเจ้า!”เซียวอวี้ยืนอยู่ข้างนอก ฟังเสียงนั้นด้วยความเฉยเมย เขาไม่คิดว่าชิวเฮ่อจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้เลี่ยอู๋ซินเป็นผู้สอบสวนก็ดี น่าจะบีบให้ตาเฒ่าคนนั้นพูดความจริงออกมา ในขณะเดียวกัน ภายในสำนักอวิ๋นซาน เหล่าลูกศิษย์ต่างเฝ้าหน้าประตูรอเจ้าสำนักถูกปล่อยตัวกลับมา งานชุมนุมประลองยุทธ์หยุดชะงัก แต่ละสำนักอื่นต่างไม่พอใจ สำนักอสนีบาตก็เย้ยหยันเสียดสี “สำนักอวิ๋นซานเรื่องมากจริง ๆ หากเจ้าสำนักชิวลอบทำร้ายผู้อาวุโสเหยียนจริง ๆ งานชุมนุมประลองยุทธ์นี้ สำนักอวิ๋นซานก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมแล้ว!” “ถูกต้อง! ทรยศหักหลังอาจารย์ การกระทำผิดเช่นนี้ ต่างอะไรกับปีศาจร้าย?”ศิษย์สำนักอวิ๋นซานรีบโต้กลับ “เจ้าสำนักไม่ได้ลอบทำร้ายอาจารย์พ่อ! ขอให้ทุกท่านระวังปากไว้บ้าง!” รองเจ้าสำนักอวิ๋นซานนั่งอยู่บนที่สูง พูดอย่างเสียงดัง “ผิดถูกอย่างไร ทางการจะตัดสินในไม่ช้า พวกเจ้าไม่ควรบิดเบือนความจริงกันอยู่ที่นี่!”แต่ละสำนักอื่นทำท่าทียอมแต่ในใจไม่ยอม ต่างย
“อะไรนะ? ตัวปลอม?” ศิษย์เฝ้าประตูตกตะลึงจนสีหน้าซีด ทหารทางการเป็นตัวปลอม แล้วเจ้าสำนักล่ะ? เจ้าสำนักตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่! พวกเขารีบรายงานเรื่องนี้ให้รองเจ้าสำนักทราบ รองเจ้าสำนักกำลังให้ความมั่นใจกับคนแต่ละสำนักต่าง ๆ “ศิษย์พี่เจ้าสำนักจะกลับมาในไม่ช้า เมื่อถึงเวลานั้น งานชุมนุมประลองยุทธ์จะดำเนินไปตามปกติ...” “รองเจ้าสำนัก!” ลูกศิษย์วิ่งมาอย่างรีบร้อน เมื่อรองเจ้าสำนักทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เกือบตกลงมาจากเก้าอี้ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!” ของปลอม? ทหารทางการเหล่านั้นคือตัวปลอม! เขารีบเรียกตัวศิษย์ชั้นยอดมา แล้วให้พวกเขาไล่ตามไป อย่างไรก็ตาม อู๋ไป๋กับหยิ่นลิ่วขี่ม้าหนีไปไกลแล้ว ……ภายใต้การสอบสวนอย่างทรมานแสนสาหัสของเลี่ยอู๋ซิน สามารถสอบสวนเรื่องหนึ่งออกมาได้ ชิวเฮ่อยอมรับว่า อาจารย์เหยียนชิงซง ถูกเขาทำร้ายจริง ๆ หลังจากผู้อาวุโสเหยียนทราบเรื่องนี้ ก็วิ่งเข้าไปในห้อง แม้นชิวเฮ่อจะถูกทรมานจนบาดเจ็บไปทั้งตัว ผู้อาวุโสเหยียนก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถระบายความแค้นในใจได้ เขาบีบคอชิวเฮ่อ ร้องถามด้วยความโกรธ “ทำไม! ทำไมต้องฆ่าท่านพ่อขอ
เซียวอวี้แปลกใจว่าของขวัญวันเกิดนี้คืออะไร ครั้นเปิดกล่องผ้าไหมดู ภายในมีหยกแขวนชิ้นหนึ่ง หยกแขวนชิ้นนี้สีสันใสบริสุทธิ์ เหมาะกับเขามาก แม้นเขาจะเป็นจักรพรรดิ เคยเห็นของมีค่ามากมาย ทว่านี่เป็นสิ่งของที่จิ่วเหยียนมอบให้เขา เขาจึงรู้สึกพอใจเป็นพิเศษ เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างไม่รีบร้อน “เวลามีน้อย เลยซื้อได้แค่หยกแขวนชิ้นนี้” เซียวอวี้สวมใส่ทันที “ลำบากเจ้าแล้วที่ยังจำวันเกิดของเราได้” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ความจำของหม่อมฉันไม่แย่ขนาดนั้น” คำตอบที่เซียวอวี้อยากได้ยิน ไม่ใช่แบบนี้ เขาโอบกอดไหล่นาง “พูดไม่ได้หรือว่า เพราะเราเป็นสามีของเจ้า เจ้าจึงจำ...” ตุ๊บตุ๊บ! พอดีพอร้าย อู๋ไป๋เคาะประตูในเวลานี้ “นายท่าน เจียงหลินกลับมาแล้วขอรับ!” ...... เดิมเจียงหลินดำเนินการค้าอยู่ต่างเมือง ได้ยินว่าเจียงโจวมีงานคึกคัก เลยอยากมาร่วมด้วย เขาเร่งรีบมา จนมาทันเวลา “โชคดีที่พวกท่านยังอยู่!” เจียงหลินสวมชุดแดง สวมมงกุฎทอง เอวคาดด้วยเข็มขัดเงิน สวมรองเท้าดำปักทอง ย่างก้าวราวกับเหยียบทอง แลดูทะนงตน ตงฟางซื่อรู้จักเขาดี โบกมือทักทายเขา “สห
เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างไร้หัวไร้หาง ทำให้หลายคนงุนงงไปตาม ๆ กัน เซียวอวี้ก็พลันคิดถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ ตงฟางซื่อถามเฟิ่งจิ่วเหยียนโดยตรง “ไก่มีปัญหาอะไรหรือ?” เจียงหลินที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ กำลังจะกินนกพิราบย่างก็สะดุ้ง แล้วรีบแก้คำพูดของนาง “บอกแล้ว นี่ไม่ใช่ไก่ แต่เป็นนกพิราบ และยังเป็นนกพิราบบินได้ที่แพงที่สุดด้วย! ทว่า ที่เจ้าพูดว่ามีปัญหา พวกมันถูกวางยาหรือ?” เจียงหลินรีบโยนนกพิราบหอม ๆ ในมือทิ้งไป เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้าให้เขา “ไม่เกี่ยวกับนกพิราบของเจ้า ที่ข้าพูดถึง คือไก่ในหมู่บ้านจู๋ซานเหล่านั้น” นางหันไปมองคนอื่น ๆ “พวกเจ้าจำได้หรือไม่ ในพิษมนุษย์โอสถนั้น หญ้าบัวแดงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้?” เลี่ยอู๋ซินตอบรับเป็นคนแรก “จำได้สิ ไม่ใช่ยังเหลือคนไว้ที่หมู่บ้านจู๋ซานคนหนึ่ง เพื่อสืบสาวถึงผู้ซื้อหญ้าบัวแดงอยู่หรอกหรือ เจ้าพูดว่าไก่มีปัญหา หรือเจ้าสงสัยว่า...” เขาก็คิดถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ ทว่าไม่พูดออกมา คราวนี้ ตงฟางซื่อก็ตาสว่าง “ความหมายก็คือ สืบหามาตั้งนาน ก็ไม่เจอเส้นทางการค้าของหญ้าบัวแดง นั่นอาจเป็นเพราะสืบหาผิดเส้นทาง สิ่งที่คนพวกนั้นซื้อ ไ
ภายในห้อง ผู้เฒ่าเหยียนที่ปลอมตัวเป็นชิวเฮ่อกำลังนอนราบ แววตาจ้องมองหลังคาอย่างเย็นชา ในสมองล้วนเป็นภาพเงาร่างของบิดาที่จากไปแล้วเขากำฟูกใต้ร่างแน่น ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นความแค้นที่ฆ่าบิดา ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าได้แค้นต้องชำระ ทว่าการปกป้องสำนักอวิ๋นซานก็สำคัญเช่นกันพวกสารเลวที่ซื้อขายมนุษย์โอสถ เป็นพวกเขาที่ทำลายชื่อเสียงของสำนักอวิ๋นซาน!เขาจะต้องหาตัวพวกเขาออกมาแล้วกำจัดให้สิ้น!……ราตรียามดึกมากแล้วเหล่าศิษย์ของสำนักอื่นที่พักอยู่ที่นี่ มักจะรู้สึกแปลก ๆพวกเขาระวังตัวอย่างยิ่ง กลัวว่าสำนักอวิ๋นซานจะวางแผนใส่ยาพิษลงไปในมื้อเย็นของพวกเขา ทำให้พวกเขาเข้าร่วมงานชุมนุมประลองยุทธ์ไม่ได้ศิษย์สำนักเฉวียนเจินทั้งหมดพักรวมอยู่ในห้องเดียวกัน ห้องข้าง ๆ เป็นศิษย์ของสำนักอสนีบาต เดิมก็เสียใจเพราะการตายของติงหยวนเอ๋อร์อยู่แล้ว ตอนนี้ยังได้ยินเสียงกรนของพวกบุรุษหน้าเหม็น พวกนางยิ่งนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา“รองเจ้าสำนัก พวกเรายังจะเข้าร่วมงานชุมนุมประลองยุทธ์ต่อหรือไม่?” มีคนถามเสียงเบา ดูท่าทางถอดใจเหลิ่งเซียนเอ๋อร์นั่งลงในท่าขัดสมาธิ คิดจะบำเพ็ญตนนางพูดขึ้นช้า ๆ“พรุ่งนี้
“ข้ารู้สึกเพลียอยู่บ้าง” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดเสียงอ่อนล้าเซียวอวี้ไม่ค่อยได้เห็นนางเหนื่อยล้าอ่อนแรงเช่นนี้เขาขมวดคิ้วด้วยความห่วงใย จากนั้นก็หันไปดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดเฟิ่งจิ่วเหยียนจับชายอาภรณ์ของเขาเบา ๆ“ข้าเพียงแค่อยากช่วยเหลือผู้คน ไม่คิดจะให้พวกนางมาชื่นชอบข้าจนถึงขนาดตายเพื่อข้าเช่นนี้“น้ำใจนี้...หนักหนาเกินไป”เซียวอวี้ตบหลังปลอบนางเบา ๆ“นี่คือเหตุและผล เพราะทำความดี จึงได้รับการตอบแทน อีกอย่างการที่ช่วยเจ้าคนเดียว แล้วเจ้าก็สามารถช่วยคนอื่นได้มากขึ้นอีก”เฟิ่งจิ่วเหยียนปรับอารมณ์กลับมาได้อย่างรวดเร็วนางปล่อยเซียวอวี้ แววตากลับมาหนักแน่นจากนั้นนางก็เดินเร็ว ๆ ออกจากเรือนรอง จนตามเหลิ่งเซียนเอ๋อร์ทัน“ทำอะไรต้องทำให้เสมอต้นเสมอปลาย งานชุมนุมประลองยุทธ์ สำนักเฉวียนเจินยังขาดอีกสองครั้งก็จะเป็นผู้ชนะ”เหลิ่งเซียนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว“ท่านจะทำอะไร?”สายลมเย็นพัดมา เส้นผมของคนทั้งสองเต้นไปตามลม ดูดุดันอย่างเห็นได้ชัดเฟิ่งจิ่วเหยียนพูด“เดิมข้าคิดว่า การที่ไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาพัวพันมากไปกว่านี้ ก็เพื่อตัวของพวกเขาเอง“ทว่าตอนนี้ดูจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น“มีเรื่องที่ท่า
มีจดหมายจากแคว้นซีหนี่ว์ เฟิ่งจิ่วเหยียนกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเวยเฉียงที่อยู่ทางนั้นนางเปิดจดหมายอ่านทันทีในจดหมายพูดถึงเรื่องของท่านแม่เวยเฉียงบอกว่า ท่านแม่ป่วย อาการไม่ได้หนักอะไร แต่เห็นได้ว่าท่านแม่อยากกลับแคว้นหนานฉี ดังนั้นจึงส่งจดหมายมาปรึกษาสำหรับเฟิ่งจิ่วเหยียนแล้ว เรื่องนี้แก้ได้ง่ายมากนางไม่มีทางบังคับให้ท่านแม่อยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อ หากท่านแม่อยากกลับมา ก็สามารถส่งคนไปรับได้ทันทีครั้นแล้วนางจึงยกพู่กันเขียนจดหมาย บอกความคิดของนางกับเวยเฉียงเมื่อเขียนจดหมายเสร็จ เซียวอวี้ก็เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้น สีหน้าดูตกตะลึงอาภรณ์ชุดนั้นสีค่อนข้างเรียบ นึกไม่ถึงว่าจะเข้ากับเขามากโดยเฉพาะผมของเขาที่ยังไม่ได้มัด มองแค่ข้างหลัง ก็มีลักษณะอย่างศิษย์สำนักเฉวียนเจินอยู่หลายส่วนแล้ว——ลอยล่องดั่งเซียนตกสวรรค์ทว่าเมื่อเขาหันกลับมา นางก็ไม่กล้ามองเขาตรง ๆ แล้ว.......ภายในสำนักอวิ๋นซานงานชุมนุมประลองยุทธ์ดำเนินไปตามปกติข่าวที่ชิวเฮ่อบาดเจ็บสาหัส สำนักอวิ๋นซานยังไม่ได้เปิดเผยต่อภายนอก เพียงบอกว่าหลังจากเขากลับมาจากที่ว่าการ ร่างกายย
บนเวทีประลอง คู่ประลองของเซียวอวี้คือศิษย์สำนักอวิ๋นซานสายตาของเขาเย็นยะเยือกแฝงรังสีสังหารด้านล่างเวทีมีคนจำเขาได้“นี่คือยอดฝีมือของสำนักเฉวียนเจินนี่! เมื่อวานเป็นนางที่ช่วยให้สำนักเฉวียนเจินชนะไปหลายครั้ง!”“ใช่ ข้าก็จำได้! ข้ายังเคยประลองกับนางด้วย! ถึงแม้นางจะสวมหน้ากาก ทว่ารูปร่างนี้ข้าจำได้ ช่างบึกบีน ไม่เหมือนสตรีซักนิด!”“เมื่อวานหากไม่ใช่เพราะอินซื่อเฉิงใช้ยาพิษ นางก็จะชนะต่อไป นี่เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง!”ครั้งนี้เซียวอวี้ไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลาออกไปดังนั้น จึงใช้เวลาเพียงชั่วครู่ เขาก็ปลดอาวุธของคู่ประลอง เตะคนลงจากเวทีสีหน้าของคนผู้นั้นดูไม่อยากจะเชื่อ“ข้าแพ้แล้วหรือ?”รองเจ้าเจ้าสำนักสำนักอวิ๋นซานที่นั่งอยู่ด้านบนลุกขึ้นยืน คิดอยากจะมองให้ชัดเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?นี่จบแล้วหรือ?สำนักเฉวียนเจินมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ!การประลองดำเนินต่อไป ศิษย์สำนักอวิ๋นซานขึ้นไปท้าประลองอย่างต่อเนื่องน่าเสียดายที่พวกเขาล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวอวี้เวลาสั้น ๆ เพียงครึ่งชั่วยาม เซียววอี้ก็ชนะไปแล้วสิบครั้งอีกทั้งเขายังดูไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อยด้วยจิ
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย