บนเวทีประลอง คู่ประลองของเซียวอวี้คือศิษย์สำนักอวิ๋นซานสายตาของเขาเย็นยะเยือกแฝงรังสีสังหารด้านล่างเวทีมีคนจำเขาได้“นี่คือยอดฝีมือของสำนักเฉวียนเจินนี่! เมื่อวานเป็นนางที่ช่วยให้สำนักเฉวียนเจินชนะไปหลายครั้ง!”“ใช่ ข้าก็จำได้! ข้ายังเคยประลองกับนางด้วย! ถึงแม้นางจะสวมหน้ากาก ทว่ารูปร่างนี้ข้าจำได้ ช่างบึกบีน ไม่เหมือนสตรีซักนิด!”“เมื่อวานหากไม่ใช่เพราะอินซื่อเฉิงใช้ยาพิษ นางก็จะชนะต่อไป นี่เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง!”ครั้งนี้เซียวอวี้ไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลาออกไปดังนั้น จึงใช้เวลาเพียงชั่วครู่ เขาก็ปลดอาวุธของคู่ประลอง เตะคนลงจากเวทีสีหน้าของคนผู้นั้นดูไม่อยากจะเชื่อ“ข้าแพ้แล้วหรือ?”รองเจ้าเจ้าสำนักสำนักอวิ๋นซานที่นั่งอยู่ด้านบนลุกขึ้นยืน คิดอยากจะมองให้ชัดเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?นี่จบแล้วหรือ?สำนักเฉวียนเจินมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ!การประลองดำเนินต่อไป ศิษย์สำนักอวิ๋นซานขึ้นไปท้าประลองอย่างต่อเนื่องน่าเสียดายที่พวกเขาล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวอวี้เวลาสั้น ๆ เพียงครึ่งชั่วยาม เซียววอี้ก็ชนะไปแล้วสิบครั้งอีกทั้งเขายังดูไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อยด้วยจิ
“เฝิงเกาจากสำนักอวิ๋นซาน โปรดแนะนำด้วย”เซียวอวี้มองคู่ประลองที่อยู่ตรงหน้า เขาสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตบนร่างของอีกฝ่ายเฝิงเกาที่จ้องเซียวอวี้ ดูเหมือนจะดื่มสุราเข้าไป สายตาดูมึนเมา“เป็นสตรีนี่เอง”น้ำเสียงของเขาแฝงความเหยียดหยามสำนักอื่นต่างเคยได้ยินเรื่องของเฝิงเกาคนผู้นี้ลงมืออำมหิต ศิษย์ของสำนักเฉวียนเจินผู้นั้น อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขายิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นการประลองรอบแรกของเฝิงเกา เขาได้เปรียบเรื่องพลังกายมากกว่าสำนักอสนีบาตไม่ยอมสำนักอวิ๋นซาน จึงลุกขึ้นตะโกนลั่น“นี่มันแกล้งกันเกินไปแล้ว!”รองเจ้าสำนักสำนักอวิ๋นซานยิ้มบางตอบ“เฝิงเกาก็เป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นซาน เหตุใดจะร่วมการประลองไม่ได้?”สำนักอสนีบาตยุยงเหลิ่งเซียนเอ๋อร์อีกครั้ง“รองเจ้าสำนักเหลิ่ง เรื่องนี้ท่านก็ยอมทนได้หรือ? สำนักอวิ๋นซานกลั่นแกล้งผู้ที่อ่อนแอกว่าอยู่ชัด ๆ !”คนอื่น ๆ ก็ช่วยพูดโน้มน้าวด้วยเช่นกัน“หากเฝิงเกาลงมือ ไม่ตายก็พิการ! รองเจ้าสำนักเหลิ่ง หากท่านเป็นห่วงศิษย์จริง ๆ ก็รีบหยุดมือเถิด! แค่งานชุมนุมประลองยุทธ์เท่านั้น เหตุใดต้องให้มีคนตายอีกเพื่องานนี้ด้วยเล่า?”เฝิงเกาเลียริมฝีปาก จ
หลังจากงานชุมนุมประลองยุทธ์สิ้นสุดลง แต่ละสำนักก็อยู่ประชุมต่อ ว่าควรกำจัดกลุ่มมนุษย์โอสถอย่างไรส่วนเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้กลับมาที่เรือนพักระหว่างทาง เซียวอวี้เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดบุรุษเพื่องานชุมนุมประลองยุทธ์ในครั้งนี้ เขาอุทิศไปมากมายเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นแก่ที่เขายอมลำบาก จึงนวดไหล่ให้เขาเองกับมือ“สามีของข้าช่างเก่งยิ่งนัก”เพียงประโยคนี้ประโยคเดียว ก็ทำให้เซียวอวี้จิตใจเบิกบานเขายื่นมือออกไป คว้าตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนจากข้างหลัง ให้นางนั่งเอียงตัวบนตักของตน“คิดได้หรือยังว่าจะชดเชยให้สามีอย่างไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนโอบลำคอของเขา เป็นฝ่ายโน้มหน้าเข้าไปก่อนชั่ววินาทีที่เข้าไปใกล้ริมฝีปากของเขา ก็เบี่ยงหน้าออก กระซิบแนบใบหูของเขาเสียงเบา“วันนี้หม่อมฉันจะเข้าครัว ทำอาหารบำรุงท่านดี ๆ”เซียวอวี้ยังไม่เคยชิมฝีมือของนางจริง ๆ จัง ๆแต่เขารู้ดี ว่าฝีมือของนางกับตงฟางซื่อเหมือนกัน ไม่สามารถบรรยายได้ในประโยคเดียวเซียวอวี้อุ้มนางขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ไม่ลำบากฮูหยินหรอก เจ้าก็รู้ เทียบกับสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราอยาก…”แววตาของเขาเร่าร้อน ส่อความนัยล้นเปี่ยมที่นี่คือเรือนพักของเ
เลี่ยอู๋ซินนั่งลงแล้วดื่มน้ำ เล่าเรื่องราวรายละเอียดให้ทุกคนฟัง“ข้าแฝงตัวอยู่ในสำนักอวิ๋นซาน ตอนแรกยังไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร“และเมื่อวันนี้เอง ผู้อาวุโสเหยียนที่สวมรอยเป็นชิวเฮ่อได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง“เขาไหว้วานให้ข้านำจดหมายลับกลับมาด้วย เพื่อปรึกษาว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร”หากตามแผนของเฟิ่งจิ่วเหยียน แน่นอนว่าต้องรีบตอบตกลง และจัดการ “ขนย้าย” มนุษย์โอสถทันทีดีที่สุดคือจับได้คาหนังคาเขาและพร้อมของกลางทว่า กลุ่มค้ามนุษย์โอสถระมัดระวังตัวอย่างมาก ไม่ยอมเปิดเผยง่าย ๆสกัดสินค้าง่าย แต่จับคนค่อนข้างยากอีกอย่างในตอนนี้ นางยังมีปริศนาอีกหนึ่งอย่างที่ยังไม่คลี่คลาย“วันนี้หลังจากที่งานชุมนุมประลองยุทธ์สิ้นสุดลง สำนักเฉวียนเจินเพิ่งประกาศร่วมมือกับราชสำนัก กำจัดกลุ่มมนุษย์โอสถ“สำนักอวิ๋นซานได้รับจดหมายลับเร็วขนาดนี้ นั่นแสดงว่ากลุ่มค้ามนุษย์โอสถได้ข่าวเร็วเช่นกัน”ตงฟางซื่อคาดเดา“การส่งข่าวไปมา ไม่มีทางส่งเร็วขนาดนี้ นอกเสียจากว่ากลุ่มมนุษย์โอสถมีเส้นสายในเจียงโจว หรือบางที…”เขาจงใจไม่พูดออกไปให้ชัดเจน หันไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียนอีกฝ่ายรับคำอย่างรู้ใจ“หรือบา
ที่ว่าการเจียงโจวได้รับคำสั่ง ก็รีบเฝ้าประตูเมืองไว้อย่างแน่นหนา จับตัวเหล่าชาวยุทธภพไว้อย่างลับ ๆนายท่านเฟิ่งพาผู้ติดตามมาด้วยกลุ่มหนึ่ง ต้องการจะจับคน แต่กลับถูกคนกลุ่มนั้นทำร้ายยังดีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนผ่านมา จึงจัดการเรื่องนี้ให้เมื่อนายท่านเฟิ่งเห็นนางกับฝ่าบาท ก็รีบโทษตัวเองอย่างหนัก!“ฝ่าบาท ฮองเฮา กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว! เจียงโจวเกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ ล้วนเป็นเพราะกระหม่อมละเลยหน้าที่…”เฟิ่งจิ่วเหยียนทนมองท่าทางจอมปลอมของเขาไม่ได้ จึงตัดบทคำพูดของเขา“หยุดเสแสร้งได้แล้ว ที่ว่าการมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ พาผู้ติดตามของท่านกลับไปซะ อย่าสร้างความวุ่นวายเพิ่ม”นายท่านเฟิ่งรู้ว่านางไร้ความรู้สึก แต่ก็ไม่คิดว่านางจะไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้ร้ายดีอย่างไร เขาก็เป็นบิดาแท้ ๆ ของนาง เขาเองก็อยากช่วยเหมือนกัน!ถึงเขาจะไม่มีคุณงามความดีแต่ก็มีความทุ่มเทเหมือนกัน!เซียวอวี้พูดเสียงทุ้มต่ำ“ฮองเฮาบอกให้เจ้ากลับไป เจ้าก็กลับไปซะ”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ทว่า ในเมื่อท่านทั้งสองมาถึงเจียงโจวแล้ว อาศัยอยู่ข้างนอกก็คงลำบาก สู้คืนนี้ไปที่จวนซือหม่า…”เขาพูดยังไม่จบ ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็ขี่ม้าจ
คนส่งจดหมายยิงลูกธนูเข้าไปในห้องของเจ้าสำนักลูกศิษย์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูคุ้นชินกับสิ่งนี้จนเห็นเป็นเรื่องปกติลูกธนูมีข้อความห้อยติดมาด้วย“ชิวเฮ่อ” ยังไม่นอน จึงลงจากเตียง หยิบข้อความขึ้นมาบนนั้นเขียนสถานที่รับสินค้าไว้อย่างชัดเจนตามหลักแล้ว เขาจักต้องจัดเตรียมกำลังคน ไปรับมนุษย์โอสถเหล่านั้นตอนนี้เลยณ มุมมืด เลี่ยอู๋ซินกึ่งหลับกึ่งตื่น พลันลืมตาขึ้นมา ตามไปยังทิศทางที่ลูกธนูยิงมาเงาดำนั้นใช้วิชาตัวเบาได้อย่างเก่งกาจ ทั้งยังคุ้นเคยเส้นทางสำนักอวิ๋นซานเป็นอย่างดีหักเลี้ยวอยู่สองสามที เงาดำนั้นก็สลัดเลี่ยอู๋ซินออกห่างไปไกลนัยน์ตาของเลี่ยอู๋ซินจุดประกายฆ่าฟัน ตามไปอย่างไม่หยุดพักในหัวเต็มไปด้วยภาพของสหายเก่าอย่างเมิ่งสิงโจวความเด็ดเดี่ยวในการแก้แค้น ประคองเขาให้มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้เขาต้องจับคนเหล่านั้นให้ได้!ฉึบ ๆ…ลูกธนูยิงมาจากมุมมืด เลี่ยอู๋ซินเบี่ยงตัว เพื่อหลบหลีกเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีเงาคนผ่านร่างเขาไปอย่างรวดเร็วเขาจำได้ว่านั่นคือเฟิ่งจิ่วเหยียน!วิชาตัวเบาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเหนือกว่าเลี่ยอู๋ซิน อีกทั้งยังตอบสนองว่องไวนางเหมือนลมพายุ พุ
นายท่านเฟิ่งอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนลูกสาว นำขนมลูกท้ออบกรอบที่เป็นของประจำท้องถิ่นของเจียงโจวมามอบให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเฉยชากว่าเซียวอวี้ ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม“ท่านมาทำไม”เมื่อคืนเตือนเขาไปแล้ว ช่วงนี้เจียงโจวไม่ค่อยสงบ ให้เขากลับไปที่จวนซือหม่าแต่เขากลับมาส่งของขวัญที่นี่อย่างเปิดเผยนายท่านเฟิ่งท่าทางน่าสงสาร มือทั้งสองข้างประสานกัน ไม่กล้าเงยหน้ามองฮ่องเต้และฮองเฮา“ข้า…ไม่สิ กระหม่อมแค่อยากมาดู ว่ามีเรื่องอะไร ที่กระหม่อมพอจะช่วยได้หรือไม่“ถึงอย่างไรก็เป็นซือหม่าที่เจียงโจวมาระยะหนึ่งแล้ว ประชาชนที่นี่ก็รู้จักหมด”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างไม่รักษาน้ำใจ“แค่ไม่สร้างปัญหาเพิ่ม ก็ช่วยได้มากแล้ว”นายท่านเฟิ่งได้ยินคำพูดนี้ ก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจแม้แต่เซียวอวี้ยังรู้สึก จิ่วเหยียนค่อนข้างโหดร้ายไปหน่อย“พ่อตาก็แค่หวังดี”เมื่อนายท่านเฟิ่งได้ยินคำว่า “พ่อตา” สีหน้าพลันทอแววดีใจขึ้นมาจากนั้นเซียวอวี้ก็กำชับเขาตามหน้าที่“หลายวันมานี้ ที่ว่าการกำลังสืบเรื่องการหายตัวไปของประชาชน…”นายท่านเฟิ่งใจชื้นจนมีไหวพริบ รีบโค้งทำความเคารพ“กระหม่อมรู้แล้ว กระหม่อมจะไปช่วยเดี๋ยวนี้!”ก
ในศาลาว่าการแห่งเจียงโจวเหล่าข้าราชการแทบไม่กินไม่ดื่ม มุ่งคำนวนจำนวนคนที่หายตัวไปในช่วงหลายปีมานี้จนเสร็จประชาชนที่มาร้องทุกข์ก็มีอยู่ไม่น้อยนอกจากนายท่านเฟิ่งแล้ว ข้าราชการคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่าฮองเฮามาเยือนเจียงโจว จึงมีคนพูดทิ่มแทงอยู่ข้าง ๆ นายท่านเฟิ่ง“ใต้เท้าเฟิ่ง ได้ยินมาว่าฮองเฮาไปเป็นประมุขที่แคว้นซีหนี่ว์แล้วหรือ? เรื่องนี้จริงหรือไม่?”นายท่านเฟิ่งตีหน้าเคร่งขรึม“จะเป็นไปได้อย่างไร!”ยังมีคนโต้เขากลับไป “ใต้เท้าเฟิ่ง เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องปิดบังพวกข้าหรอก ตอนนี้รู้กันหมดแล้ว อดีตฮูหยินของท่าน จริง ๆ แล้วคือน้องสาวแท้ ๆ ของกษัตริย์องค์ก่อนของแคว้นซีหนี่ว์…”นัยน์ตาของนายท่านเฟิ่งสั่นสะท้านเขาเองก็เคยได้ยินข่าวลือเช่นนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้ก็เคยถามจิ่วเหยียนเช่นกัน แต่ปฏิกิริยาของนาง ดูเหมือนว่าข่าวลือไม่เป็นความจริงตอนนี้คนกลุ่มนี้พูดถึงข่าวลือนั้นขึ้นมาอีกครั้ง บางทีอาจจะไม่ใช่เพียงข่าวโคมลอยทว่า หลิวซื่อผู้นั้น จะไปมีสายเลือดของราชวงศ์แคว้นซีหนี่ว์ได้อย่างไร?ไม่ว่าคิดแง่ไหนเขาก็รู้สึกว่ามันน่าขำอย่างมากหลังจากลงเวรนายท่านเฟิ่งก็ม
นายท่านเฟิ่งไม่รู้ว่าเซียวอวี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจขอแค่ฝ่าบาทไม่ถือโทษ เขาก็รู้สึกสบายใจแล้วเพียงคิดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทจะโปรดปรานลูกสาวของเขาขนาดนี้ แม้แต่เรื่องไร้สาระเช่นนี้ยังอดทนรับได้หากเป็นเขา ก็คงไม่มีทางยอมให้ภรรยาของตัวเองทำเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด“ขอบพระทัยในความกรุณาของฝ่าบาท เรื่องนี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากตระกูลเฟิ่ง กระหม่อมไม่กล้าสู้หน้าท่านจริง ๆ”แม้นอยู่ต่อหน้านายท่านเฟิ่ง เซียวอวี้ก็ยังแสดงความรักใคร่ต่อเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างไม่หลบหลีก“ฮองเฮาเมตตาเรายิ่งกว่า”แววตาที่เขามองนาง หวานปานน้ำผึ้งเฟิ่งจิ่วเหยียนหันหน้าหนี ลุกขึ้นพูดกับนายท่านเฟิ่ง“หากไม่มีเรื่องอื่น ก็กลับไปก่อนเถอะ ข้ากับฝ่าบาทยังมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ”ในขณะที่เจียงโจวกำลังสืบคดีมนุษย์โอสถ และเขามีตำแหน่งเป็นถึงซือหม่า แต่ดูว่างขนาดนี้เลยหรือ?ยามที่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดกับนายท่านเฟิ่ง สีหน้าเย็นชาอย่างมาก ไม่เหมือนพ่อลูกกันเลยสักนิดนายท่านเฟิ่งเคยชินกับเรื่องนี้แล้วเขาถามอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย“เรื่องแคว้นซีหนี่ว์ เมิ่งฉวีรู้หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้คิดอะไรมาก จึงบอกไปตามความจริง“ท่า
ในศาลาว่าการแห่งเจียงโจวเหล่าข้าราชการแทบไม่กินไม่ดื่ม มุ่งคำนวนจำนวนคนที่หายตัวไปในช่วงหลายปีมานี้จนเสร็จประชาชนที่มาร้องทุกข์ก็มีอยู่ไม่น้อยนอกจากนายท่านเฟิ่งแล้ว ข้าราชการคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่าฮองเฮามาเยือนเจียงโจว จึงมีคนพูดทิ่มแทงอยู่ข้าง ๆ นายท่านเฟิ่ง“ใต้เท้าเฟิ่ง ได้ยินมาว่าฮองเฮาไปเป็นประมุขที่แคว้นซีหนี่ว์แล้วหรือ? เรื่องนี้จริงหรือไม่?”นายท่านเฟิ่งตีหน้าเคร่งขรึม“จะเป็นไปได้อย่างไร!”ยังมีคนโต้เขากลับไป “ใต้เท้าเฟิ่ง เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องปิดบังพวกข้าหรอก ตอนนี้รู้กันหมดแล้ว อดีตฮูหยินของท่าน จริง ๆ แล้วคือน้องสาวแท้ ๆ ของกษัตริย์องค์ก่อนของแคว้นซีหนี่ว์…”นัยน์ตาของนายท่านเฟิ่งสั่นสะท้านเขาเองก็เคยได้ยินข่าวลือเช่นนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้ก็เคยถามจิ่วเหยียนเช่นกัน แต่ปฏิกิริยาของนาง ดูเหมือนว่าข่าวลือไม่เป็นความจริงตอนนี้คนกลุ่มนี้พูดถึงข่าวลือนั้นขึ้นมาอีกครั้ง บางทีอาจจะไม่ใช่เพียงข่าวโคมลอยทว่า หลิวซื่อผู้นั้น จะไปมีสายเลือดของราชวงศ์แคว้นซีหนี่ว์ได้อย่างไร?ไม่ว่าคิดแง่ไหนเขาก็รู้สึกว่ามันน่าขำอย่างมากหลังจากลงเวรนายท่านเฟิ่งก็ม
นายท่านเฟิ่งอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนลูกสาว นำขนมลูกท้ออบกรอบที่เป็นของประจำท้องถิ่นของเจียงโจวมามอบให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเฉยชากว่าเซียวอวี้ ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม“ท่านมาทำไม”เมื่อคืนเตือนเขาไปแล้ว ช่วงนี้เจียงโจวไม่ค่อยสงบ ให้เขากลับไปที่จวนซือหม่าแต่เขากลับมาส่งของขวัญที่นี่อย่างเปิดเผยนายท่านเฟิ่งท่าทางน่าสงสาร มือทั้งสองข้างประสานกัน ไม่กล้าเงยหน้ามองฮ่องเต้และฮองเฮา“ข้า…ไม่สิ กระหม่อมแค่อยากมาดู ว่ามีเรื่องอะไร ที่กระหม่อมพอจะช่วยได้หรือไม่“ถึงอย่างไรก็เป็นซือหม่าที่เจียงโจวมาระยะหนึ่งแล้ว ประชาชนที่นี่ก็รู้จักหมด”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างไม่รักษาน้ำใจ“แค่ไม่สร้างปัญหาเพิ่ม ก็ช่วยได้มากแล้ว”นายท่านเฟิ่งได้ยินคำพูดนี้ ก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจแม้แต่เซียวอวี้ยังรู้สึก จิ่วเหยียนค่อนข้างโหดร้ายไปหน่อย“พ่อตาก็แค่หวังดี”เมื่อนายท่านเฟิ่งได้ยินคำว่า “พ่อตา” สีหน้าพลันทอแววดีใจขึ้นมาจากนั้นเซียวอวี้ก็กำชับเขาตามหน้าที่“หลายวันมานี้ ที่ว่าการกำลังสืบเรื่องการหายตัวไปของประชาชน…”นายท่านเฟิ่งใจชื้นจนมีไหวพริบ รีบโค้งทำความเคารพ“กระหม่อมรู้แล้ว กระหม่อมจะไปช่วยเดี๋ยวนี้!”ก
คนส่งจดหมายยิงลูกธนูเข้าไปในห้องของเจ้าสำนักลูกศิษย์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูคุ้นชินกับสิ่งนี้จนเห็นเป็นเรื่องปกติลูกธนูมีข้อความห้อยติดมาด้วย“ชิวเฮ่อ” ยังไม่นอน จึงลงจากเตียง หยิบข้อความขึ้นมาบนนั้นเขียนสถานที่รับสินค้าไว้อย่างชัดเจนตามหลักแล้ว เขาจักต้องจัดเตรียมกำลังคน ไปรับมนุษย์โอสถเหล่านั้นตอนนี้เลยณ มุมมืด เลี่ยอู๋ซินกึ่งหลับกึ่งตื่น พลันลืมตาขึ้นมา ตามไปยังทิศทางที่ลูกธนูยิงมาเงาดำนั้นใช้วิชาตัวเบาได้อย่างเก่งกาจ ทั้งยังคุ้นเคยเส้นทางสำนักอวิ๋นซานเป็นอย่างดีหักเลี้ยวอยู่สองสามที เงาดำนั้นก็สลัดเลี่ยอู๋ซินออกห่างไปไกลนัยน์ตาของเลี่ยอู๋ซินจุดประกายฆ่าฟัน ตามไปอย่างไม่หยุดพักในหัวเต็มไปด้วยภาพของสหายเก่าอย่างเมิ่งสิงโจวความเด็ดเดี่ยวในการแก้แค้น ประคองเขาให้มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้เขาต้องจับคนเหล่านั้นให้ได้!ฉึบ ๆ…ลูกธนูยิงมาจากมุมมืด เลี่ยอู๋ซินเบี่ยงตัว เพื่อหลบหลีกเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีเงาคนผ่านร่างเขาไปอย่างรวดเร็วเขาจำได้ว่านั่นคือเฟิ่งจิ่วเหยียน!วิชาตัวเบาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเหนือกว่าเลี่ยอู๋ซิน อีกทั้งยังตอบสนองว่องไวนางเหมือนลมพายุ พุ
ที่ว่าการเจียงโจวได้รับคำสั่ง ก็รีบเฝ้าประตูเมืองไว้อย่างแน่นหนา จับตัวเหล่าชาวยุทธภพไว้อย่างลับ ๆนายท่านเฟิ่งพาผู้ติดตามมาด้วยกลุ่มหนึ่ง ต้องการจะจับคน แต่กลับถูกคนกลุ่มนั้นทำร้ายยังดีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนผ่านมา จึงจัดการเรื่องนี้ให้เมื่อนายท่านเฟิ่งเห็นนางกับฝ่าบาท ก็รีบโทษตัวเองอย่างหนัก!“ฝ่าบาท ฮองเฮา กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว! เจียงโจวเกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ ล้วนเป็นเพราะกระหม่อมละเลยหน้าที่…”เฟิ่งจิ่วเหยียนทนมองท่าทางจอมปลอมของเขาไม่ได้ จึงตัดบทคำพูดของเขา“หยุดเสแสร้งได้แล้ว ที่ว่าการมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ พาผู้ติดตามของท่านกลับไปซะ อย่าสร้างความวุ่นวายเพิ่ม”นายท่านเฟิ่งรู้ว่านางไร้ความรู้สึก แต่ก็ไม่คิดว่านางจะไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้ร้ายดีอย่างไร เขาก็เป็นบิดาแท้ ๆ ของนาง เขาเองก็อยากช่วยเหมือนกัน!ถึงเขาจะไม่มีคุณงามความดีแต่ก็มีความทุ่มเทเหมือนกัน!เซียวอวี้พูดเสียงทุ้มต่ำ“ฮองเฮาบอกให้เจ้ากลับไป เจ้าก็กลับไปซะ”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ทว่า ในเมื่อท่านทั้งสองมาถึงเจียงโจวแล้ว อาศัยอยู่ข้างนอกก็คงลำบาก สู้คืนนี้ไปที่จวนซือหม่า…”เขาพูดยังไม่จบ ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็ขี่ม้าจ
เลี่ยอู๋ซินนั่งลงแล้วดื่มน้ำ เล่าเรื่องราวรายละเอียดให้ทุกคนฟัง“ข้าแฝงตัวอยู่ในสำนักอวิ๋นซาน ตอนแรกยังไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร“และเมื่อวันนี้เอง ผู้อาวุโสเหยียนที่สวมรอยเป็นชิวเฮ่อได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง“เขาไหว้วานให้ข้านำจดหมายลับกลับมาด้วย เพื่อปรึกษาว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร”หากตามแผนของเฟิ่งจิ่วเหยียน แน่นอนว่าต้องรีบตอบตกลง และจัดการ “ขนย้าย” มนุษย์โอสถทันทีดีที่สุดคือจับได้คาหนังคาเขาและพร้อมของกลางทว่า กลุ่มค้ามนุษย์โอสถระมัดระวังตัวอย่างมาก ไม่ยอมเปิดเผยง่าย ๆสกัดสินค้าง่าย แต่จับคนค่อนข้างยากอีกอย่างในตอนนี้ นางยังมีปริศนาอีกหนึ่งอย่างที่ยังไม่คลี่คลาย“วันนี้หลังจากที่งานชุมนุมประลองยุทธ์สิ้นสุดลง สำนักเฉวียนเจินเพิ่งประกาศร่วมมือกับราชสำนัก กำจัดกลุ่มมนุษย์โอสถ“สำนักอวิ๋นซานได้รับจดหมายลับเร็วขนาดนี้ นั่นแสดงว่ากลุ่มค้ามนุษย์โอสถได้ข่าวเร็วเช่นกัน”ตงฟางซื่อคาดเดา“การส่งข่าวไปมา ไม่มีทางส่งเร็วขนาดนี้ นอกเสียจากว่ากลุ่มมนุษย์โอสถมีเส้นสายในเจียงโจว หรือบางที…”เขาจงใจไม่พูดออกไปให้ชัดเจน หันไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียนอีกฝ่ายรับคำอย่างรู้ใจ“หรือบา
หลังจากงานชุมนุมประลองยุทธ์สิ้นสุดลง แต่ละสำนักก็อยู่ประชุมต่อ ว่าควรกำจัดกลุ่มมนุษย์โอสถอย่างไรส่วนเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้กลับมาที่เรือนพักระหว่างทาง เซียวอวี้เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดบุรุษเพื่องานชุมนุมประลองยุทธ์ในครั้งนี้ เขาอุทิศไปมากมายเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นแก่ที่เขายอมลำบาก จึงนวดไหล่ให้เขาเองกับมือ“สามีของข้าช่างเก่งยิ่งนัก”เพียงประโยคนี้ประโยคเดียว ก็ทำให้เซียวอวี้จิตใจเบิกบานเขายื่นมือออกไป คว้าตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนจากข้างหลัง ให้นางนั่งเอียงตัวบนตักของตน“คิดได้หรือยังว่าจะชดเชยให้สามีอย่างไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนโอบลำคอของเขา เป็นฝ่ายโน้มหน้าเข้าไปก่อนชั่ววินาทีที่เข้าไปใกล้ริมฝีปากของเขา ก็เบี่ยงหน้าออก กระซิบแนบใบหูของเขาเสียงเบา“วันนี้หม่อมฉันจะเข้าครัว ทำอาหารบำรุงท่านดี ๆ”เซียวอวี้ยังไม่เคยชิมฝีมือของนางจริง ๆ จัง ๆแต่เขารู้ดี ว่าฝีมือของนางกับตงฟางซื่อเหมือนกัน ไม่สามารถบรรยายได้ในประโยคเดียวเซียวอวี้อุ้มนางขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ไม่ลำบากฮูหยินหรอก เจ้าก็รู้ เทียบกับสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราอยาก…”แววตาของเขาเร่าร้อน ส่อความนัยล้นเปี่ยมที่นี่คือเรือนพักของเ
“เฝิงเกาจากสำนักอวิ๋นซาน โปรดแนะนำด้วย”เซียวอวี้มองคู่ประลองที่อยู่ตรงหน้า เขาสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตบนร่างของอีกฝ่ายเฝิงเกาที่จ้องเซียวอวี้ ดูเหมือนจะดื่มสุราเข้าไป สายตาดูมึนเมา“เป็นสตรีนี่เอง”น้ำเสียงของเขาแฝงความเหยียดหยามสำนักอื่นต่างเคยได้ยินเรื่องของเฝิงเกาคนผู้นี้ลงมืออำมหิต ศิษย์ของสำนักเฉวียนเจินผู้นั้น อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขายิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นการประลองรอบแรกของเฝิงเกา เขาได้เปรียบเรื่องพลังกายมากกว่าสำนักอสนีบาตไม่ยอมสำนักอวิ๋นซาน จึงลุกขึ้นตะโกนลั่น“นี่มันแกล้งกันเกินไปแล้ว!”รองเจ้าสำนักสำนักอวิ๋นซานยิ้มบางตอบ“เฝิงเกาก็เป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นซาน เหตุใดจะร่วมการประลองไม่ได้?”สำนักอสนีบาตยุยงเหลิ่งเซียนเอ๋อร์อีกครั้ง“รองเจ้าสำนักเหลิ่ง เรื่องนี้ท่านก็ยอมทนได้หรือ? สำนักอวิ๋นซานกลั่นแกล้งผู้ที่อ่อนแอกว่าอยู่ชัด ๆ !”คนอื่น ๆ ก็ช่วยพูดโน้มน้าวด้วยเช่นกัน“หากเฝิงเกาลงมือ ไม่ตายก็พิการ! รองเจ้าสำนักเหลิ่ง หากท่านเป็นห่วงศิษย์จริง ๆ ก็รีบหยุดมือเถิด! แค่งานชุมนุมประลองยุทธ์เท่านั้น เหตุใดต้องให้มีคนตายอีกเพื่องานนี้ด้วยเล่า?”เฝิงเกาเลียริมฝีปาก จ
บนเวทีประลอง คู่ประลองของเซียวอวี้คือศิษย์สำนักอวิ๋นซานสายตาของเขาเย็นยะเยือกแฝงรังสีสังหารด้านล่างเวทีมีคนจำเขาได้“นี่คือยอดฝีมือของสำนักเฉวียนเจินนี่! เมื่อวานเป็นนางที่ช่วยให้สำนักเฉวียนเจินชนะไปหลายครั้ง!”“ใช่ ข้าก็จำได้! ข้ายังเคยประลองกับนางด้วย! ถึงแม้นางจะสวมหน้ากาก ทว่ารูปร่างนี้ข้าจำได้ ช่างบึกบีน ไม่เหมือนสตรีซักนิด!”“เมื่อวานหากไม่ใช่เพราะอินซื่อเฉิงใช้ยาพิษ นางก็จะชนะต่อไป นี่เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง!”ครั้งนี้เซียวอวี้ไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลาออกไปดังนั้น จึงใช้เวลาเพียงชั่วครู่ เขาก็ปลดอาวุธของคู่ประลอง เตะคนลงจากเวทีสีหน้าของคนผู้นั้นดูไม่อยากจะเชื่อ“ข้าแพ้แล้วหรือ?”รองเจ้าเจ้าสำนักสำนักอวิ๋นซานที่นั่งอยู่ด้านบนลุกขึ้นยืน คิดอยากจะมองให้ชัดเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?นี่จบแล้วหรือ?สำนักเฉวียนเจินมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ!การประลองดำเนินต่อไป ศิษย์สำนักอวิ๋นซานขึ้นไปท้าประลองอย่างต่อเนื่องน่าเสียดายที่พวกเขาล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวอวี้เวลาสั้น ๆ เพียงครึ่งชั่วยาม เซียววอี้ก็ชนะไปแล้วสิบครั้งอีกทั้งเขายังดูไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อยด้วยจิ