บริเวณตำหนักชั้นใน
ภายในห้องพัก ร่างระหงประคองพระวรกายใหญ่ลงมาประทับนั่งลงบนตั่งภายในตำหนักชั้นใน ซึ่งจัดเตรียมเป็นสถานที่พักให้กับเธอและพี่หยางหยาง บนโต๊ะกลางตัวเตี้ยเต็มไปด้วยอาหารมากมาย ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเล่นเอาแม่สาวน้อยทิ้งพี่ชายตัวโตให้นั่งลงเองทันที พร้อมพาตัวเองไปนั่งลงไปนั่งบนตั่งมองอาหารเลิศรสนานาชนิดๆ วางอยู่ตรงหน้าดาษดื่น “โอ้โฮ! อาหารตั้งมากมายจะกินหมดไหมเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยออกมาทันที “เจ้ากินไม่หมดแต่ข้ากินหมดเพราะตอนนี้ข้าหิวมากรู้ไหม!” องค์ชายปีศาจรับสั่งออกไปตามความรู้สึกของพระองค์ พร้อมทอดพระเนตรเหล่านางกำนัลกำลังยกเหยือกเหล้าทยอยเข้ามาถึงห้าเหยือกเลยทีเดียว “ที่ตำหนักขององค์ชายมีเหล้าเลิศรสสะสมอยู่มิใช่น้อย ทรงมีรับสั่งเอาไว้ว่าให้จัดหาให้ทั้งสองท่านอย่าให้ขาดและต้องครบครัน เหล้าทั้งห้าเหยือกนี้ผ่านการหมักบ่มมานานกว่าห้าสิบปี บางเหยือกถูกตักออกมาจากไหเหล้าใบใหญ่ที่หมักเอาไว้นับร้อยปีก็มีเจ้าค่ะ” นางกำนัลผู้นั้นรายงานละเอียดยิบ ท่ามกลางความพึงพอพระทัยขององค์ชายปีศาจ “เข้าในขณะที่คนเป็นพี่ชายทั้งดีใจและห่วงคนเป็นน้องมากยิ่งไปกว่าเดิมหลายเท่า ด้วยตอนนี้น้องน้อยหาใช่น้องชายหน้าหวานอีกต่อไปแล้วแต่กลับกลายเป็นสตรีสาวแสนสวยและหน้าหวานกลับมาแทนที่ เสียงอ้อแอ้ของน้องนางก็เริ่มดังทวีขึ้นทุกขณะ ด้วยเพราะเสียงนั้นเป็นเสียงสตรีพลางทอดพระเนตรเหล้าดอกท้อหมื่นลี้ที่เหลืออยู่ก้นเหยือก“ดื่มเข้าไปได้ยังไงเกือบหมดเหยือกเช่นนี้ แถมอันอันมิเคยลิ้มลองเหล้าเลยสักครา เมามายขนาดหนักเข้าให้แล้ว” รับสั่งพร้อมรีบคว้าห่อผ้าของพระองค์และน้องน้อยรวมไปถึงล่วมยา รีบนำมาผูกยึดติดไว้กับด้านหลังก่อนจะตรงเข้าอุ้มน้องน้อยจนลอยละลิ่วขึ้นมาจากพื้นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าตัวเป็นการใหญ่“ไปเล่นกันเถอะเจี๋ยเจี๋ย! เล่นซ่อนหากันดีกว่า” หญิงสาวเอ่ยถึงพี่สาวฝาแฝดที่สิ้นชีพไปอย่างน่าเวทนา ก่อนที่จู่ๆ ก็ตะโกนออกมาอีก“จางเจี๋ยอี้ จ้างให้ก็จับข้าไม่ได้! มาไล่จับข้าสิ! มา! มา! ท่านพี่มาจับข้า” หญิงสาวละเมอเรียกชื่อพี่สาวฝาแฝดไม่ขาดสายในขณะที่คนกำลังอุ้มอยู่ในขณะนั้นได้ยินเสียงละเมอดังกล่าวทุกอย่าง พระองค์ทรงคลับคล้ายว่าจ
รุ่งอรุณเช้าวันใหม่ห้องพักองค์ชายปีศาจแสงแห่งดวงตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ เหล่านกกาเริ่มโผบินสู่เวหาแหวกว่ายไปทั่วพื้นผิวพสุธา พร้อมเสียงร้องแผดกึกก้องดังไปทั่วบริเวณในยามนี้องค์ชายอิ๋งหยางทรงรู้สึกพระองค์และตื่นบรรทมขึ้นมาลุกประทับนั่ง พร้อมทอดพระเนตรน้องสาวคนสวยที่นอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ดีที่ทรงกอดนางเอาไว้ทั้งคืนจึงทำให้ได้ไออุ่นจากกายสาวช่วยบรรเทาความหนาวเย็นในเวลาค่ำคืนที่ผ่านมาได้“โอ้โฮ!เพิ่งรู้ว่าเจ้านอนดิ้นแรงถึงเพียงนี้ ทำเอาข้าจุกไปหลายคราเลยทีเดียว” รับสั่งพลางทอดพระเนตรดวงหน้างามหมดจดที่กำลังหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวขนตางามงอนยาวเป็นแพสวยกระเพื่อมขึ้นและลงอยู่บ่อยครั้ง เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ล่วงรู้ว่าน้องนางกำลังเริ่มรู้สึกตัว ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ครั้นทรงทอดพระเนตรตัวชุดของนางกำนัลส่วนที่เหลือ ถูกคนงามดึงออกจากร่างไปตอนไหนก็มิอาจรู้ได้ ทำให้ทั่วร่างเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มพันไว้รอบกายเท่านั้น ครั้นหันกลับมาสำรวจพระองค์เอง ยังทรงอยู่
ท่ามกลางความเข้าใจที่ต่างคนล่วงรู้หัวใจของกันและกัน ด้านนอกตำหนักชั้นในขบวนของนางกำนัลจากตำหนักองค์ชายสามกำลังเดินตรงมาที่ห้องพักทางทิศตะวันออก ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้กับขันทีหน้าหวานนั่นเองปัง... ปัง... ปัง เสียงเคาะประตูดังขึ้นอยู่ที่ห้องข้างเคียง“ท่านขันทีน้อยตื่นหรือยังองค์ชายทรงตื่นบรรทมแล้ว มีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าด่วน” นางกำนัลประจำพระตำหนักเรียกอยู่ตรงหน้าห้องข้างเคียงในขณะที่เจ้าตัวกำลังถูกองค์ชายปีศาจสวมกอดเอาไว้แนบอกอยู่ในขณะนั้น ทั่วกายมีเพียงผ้าห่มพันเอาไว้“แย่แล้วพี่หยางเสียงบุรุษของข้ามลายหายไปสิ้น จะทำเช่นไรต่อไปดีองค์ชายสามก็ให้คนมาตามแล้ว”ครั้นองค์ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นทรงไม่เข้าพระทัยที่คนงามของพระองค์กล่าวออกมาแต่อย่างใด“เหตุใดเจ้าจึงเป็นกังวล ท่านตาเตรียมยาเอาไว้ให้มากมายมิใช่หรอกรึ สามารถกินได้อีกนานนับปีแล้วเหตุใดใยไม่รีบนำมากินเสีย” รับสั่งถามกลับไป“เอามากินไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะทันทีที่ข้าดื่มเหล้าเข้าไปเส้นเสียงของบุรุษก็ถูกทำลายไปหมดสิ้น ตัวยา
จวนสกุลไป๋บริเวณท่าเทียบเรือ พระวรกายใหญ่ขององค์ชายแห่งแคว้นต้าหลู่ ทรงยืนสูงตระหง่านทอดพระเนตรกองทหารในคราบบ่าวรับใช้ของสกุลไป๋ กำลังขนหีบมากมายขึ้นมาจากลำเรือ ขนาดของหีบมีไว้เพื่อสำหรับเก็บรักษาสิ่งที่มีค่าในการสร้างแคว้นเลยทีเดียวและสิ่งนั่นก็คืออาวุธสำหรับในการทำศึกสงคราม ที่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งแอบลักลอบสั่งอาวุธเข้ามาเพื่อสนับสนุนกองทัพของพระองค์ที่ได้มาจากการสนับสนุนกำลังทหารรับจ้างจากแคว้นต้าหลู่โดยมีข้อแลกเปลี่ยนบางประการ และข้อแลกเปลี่ยนที่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งคิดว่าพระองค์เป็นผู้มีพระสติปัญญาปราดเปรื่องนักหนาในเรื่องทำความชั่ว กลับแสดงความโง่ให้รัชทายาทหลี่จิ้งล่วงรู้จนหมด เมื่อข้อแลกเปลี่ยนดังกล่าวนั่นก็คือ เงินหนึ่งล้านเตาปี้แลกกองทหารพร้อมอาวุธได้ห้าหมื่นนายจากแคว้นต้าหลู่ เพื่อช่วยสนับสนุนให้องค์ชายโฉดช่วงชิงบัลลังก์ให้ก้าวขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นอันยิ่งใหญ่นี้ทว่ากลับไม่รู้เลยว่าการแลกเปลี่ยนดังกล่าวกลับทำให้รัชทายาทหลี่จิ้งมีช่องทางลำเลียงคลังอาวุธ รวมไปถึงกองทหารถึงห้าหมื่นนายจากแคว้นต้าหลู่ เข้าแทรกซึมแคว้นฉินได้อย่างง่ายดายพระองค์มิได้ต้องการขายอาวุธและกองทหารเพียงเพราะอ
พระราชวังหลวงร่างใหญ่ของอัครเสนาบดีจางฟงในเครื่องแบบขุนนางขั้นสูงสุดแห่งแคว้นฉิน กำลังเดินออกมาจากพระตำหนักบูรพาเคียงคู่กับจางฮั่นบุตรชายคนโต สองคนพ่อลูกกำลังพูดคุยเกี่ยวกับข้อราชการกันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเพราะองค์รัชทายาทซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนในขณะนี้ มิยอมเสด็จออกประทับท้องพระโรงเพื่อจัดการเรื่องบ้านเมืองแต่อย่างใดโดยทรงอ้างว่าจะให้ออกทำหน้าที่นี้อีกครั้ง ก็ต้องรีบทำพิธีสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นอย่างสมบูรณ์เสียก่อน เป็นเหตุให้ขุนนางใหญ่ต้องรีบออกจากท้องพระโรงเพื่อมาขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทเป็นการส่วนพระองค์ หากแต่กลับมิยอมให้เข้าพบไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น สองพ่อลูกจากสกุลจางจำต้องออกมาจากพระตำหนัก ก่อนจะต้องหยุด ชะงักโดยพลัน เมื่อสายตาของคนทั้งคู่กระทบเข้ากับสองพี่น้องตระกูลหยง บุรุษหนุ่มหน้าสวยงดงามดั่งเช่นอิสตรีด้วยกันทั้งคู่กำลังจะเข้าไปในพระตำหนักบูรพาและทันทีที่จางเพ่ยอันได้พานพบหน้าบิดาของเธอทั้งในภพชาตินี้และชาติปัจจุบันรวมไปถึงพี่ชายคนโต ใบหน้าสวยฉีกยิ้มกว้างออกมาทันทีด้วยความดีใจ หากแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสถานะของเธอในเวลา
จวนสกุลจาง ที่พักของอัครเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในราชสำนักของแคว้นฉิน มีอาณาเขตพื้นที่กว้างใหญ่หากคิดเป็นตารางเมตรในยุคปัจจุบันมีขนาดครอบคลุมถึงเก้าพันตารางเมตรเลยทีเดียว มีเรือนมากมายที่สร้างขึ้นอยู่ในเขตจวนสองร้อยกว่าเรือน มีสวนหย่อมขนาดใหญ่พร้อมทั้งสระน้ำหลายแห่ง ข้าทาสบริวารและมีกองทหารของสกุลจาง ซึ่งจางฟงเคยเป็นอดีตขุนศึกออกทำสงครามร่วมรบกับอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นมาถึงสองรัชสมัย ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ในตำแหน่งอัครเสนาบดีใหญ่ที่มีอำนาจและได้รับกองทหารสามหมื่นนาย สำหรับทำหน้าที่นำทัพสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือเจ้าผู้ครองแคว้นยามที่ทรงมีภัย โดยทหารหนึ่งหมื่นนายพำนักอยู่ในจวน ส่วนอีกสองหมื่นนาย จางฟงได้ตั้งค่ายกองทหารซึ่งได้รับพระราชทานมาพำนักอยู่ที่เมืองผิงหยาง อดีตเมืองหลวงเก่าของแคว้นฉินและจะเคลื่อนทัพก็ต่อเมื่อมีภารกิจเพื่อเจ้าผู้ครองแคว้นเท่านั้น กำแพงจวนที่มีความสูงนับสิบเมตรสูงตระหง่านล้อมรอบจวนสกุลจางเป็นปราการด่านสำคัญที่ระแวดระวังป้องกันชีวิตของผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในนั้นให้อยู่รอดปลอดภัย บนกำแพงมีทหารจัดเวรยามดูแลรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าจวนดังกล่าวประหนึ่งเป็นเมืองที่ซ่อนอยู
จวนสกุลไป๋ นิ้วพระหัตถ์ค่อนข้างเรียวไล้สายพิณทั้งเจ็ดไปมาอย่างแผ่วเบา องค์ชายหลี่จิ้งแห่งต้าหลู่กำลังดื่มด่ำกับเสียงพิณจากการบรรเลงกู่ฉินด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ท่วงทำนองสูงต่ำกำลังรำพันแลคร่ำครวญ สอดประสานไปกับบทกวีที่ทรงเป็นผู้พร่ำพรรณนา ท่ามกลางสายตาของทหารองครักษ์ซึ่งยืนรายล้อมคอยถวายอารักขาอย่างหนาแน่น ภายในห้องแต่งบทกวีซึ่งมีแต่โครงกลอนที่องค์ชายหนุ่มจากต่างแคว้นสรรสร้างบทกวี ที่พรรณนาถึงความงดงามของบุรุษล่มแคว้น งดงามดุจดั่งอิสตรี ภาพวาดเกือบเท่าตัวจริงของบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งมาจากฝีพระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงาม โครงหน้าช่างละม้ายคล้ายบุรุษหน้าหวานจากหอเฟิ่งอี้เสียนี่กระไร “บุรุษร่างเล็กหากแต่งดงามตราตรึงจิต สถิตอยู่ในความคิดคะนึงหาทุกทิวาและราตรีมิมีผัดผ่อน จากความคิดถึงเพียงชั่วขณะกลับกลายทวีความรุนแรงมากขึ้น ทุกช่วงทิวาและราตรีที่ผ่านพ้นไป เฝ้าครุ่นคิดว่าเมื่อใดเล่าเจ้าจะหวนคืนสู่อ้อมกอดของข้านี้ดั่งเดิม” สุรเสียงรำพึงคล้ายโครงกลอนสอดประสานกับเสียงพิณจากกู่ฉิน บรรยายความรู้สึกขององค์ชายหนุ่มที่มีต่อบุรุษหน้าหวานจากหอเฟิ่งอี้อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะจบลงพร้อมกับความดื่มด่ำที่ทรงสัมผ
ห้องวาดภาพ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกำลังจับจ้องอยู่บนผืนผ้าขนาดใหญ่ บนผ้าดัง กล่าวมีภาพวาดของสตรีสาวหน้างดงามดั่งเทพสตรีจากสรวงสวรรค์ ดวงตากลมโตภายใต้ขนตางอนยาวรับกับดวงหน้ารูปไข่ได้อย่างลงตัว ท่วงท่าเอวอ่อน ร่างอรชร ยามเมื่อนางร่ายรำ พู่กันหลายขนาดและจานที่มีสีหลากหลายมากมาย ถูกผลัดเปลี่ยนนำมาใช้ยามที่ต้องการแต้มสีและสร้างสรรค์จุดเด่นบนภาพวาดให้แลดูงดงามมากยิ่งขึ้นไปอีก ภายในห้องดังกล่าว ล้วนมีแต่ภาพวาดบุตรีที่เกิดจากฝีมือวาดของฮูหยินเจียง ซึ่งนางเป็นผู้มีศาสตร์รอบรู้ทางการวาดภาพอย่างยอดเยี่ยม วาดสิ่งใดช่างแลดูคล้ายมีชีวิตและงดงาดเป็นยิ่งนัก ภายในห้องวาดภาพของฮูหยินเจียง ซึ่งทุกคนภายในจวนต่างล่วงรู้ดีว่าเป็นห้องเก็บภาพวาด ซึ่งนางวาดคนในครอบครัวและเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ครั้งยังไม่ออกเรือน จวบจนกระทั่งเมื่อได้ให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝด ฮูหยินเจียงบันทึกภาพความทรงจำของนางทุกอย่างที่มอบให้กับบุตรสาวออกมาเป็นภาพวาดทั้งหมด บุตรสาวฝาแฝดที่มีหน้าตาประดุจพิมพ์เดียวกัน หาได้ยากยิ่งนักในยุคสมัยเมื่อสามพันปีก่อนที่จะรอดชีวิตและเติบโตขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ภายใต้สงครามอันโหดร้ายเพื่อแย่งชิงดินแดนในยุคนั้น
ยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ
ยามเหม่าพระราชวังหลวงร่างอรชรแน่งน้อยของจางเพ่ยอันสวมเสื้อผ้าบุรุษสะพายกระเป๋าล่วมยาเดินเคียงคู่มากับพระสวามีปีศาจ ฉลองพระองค์เครื่องแบบราชองครักษ์ฝ่ายใน เดินตามติดชายาคนงามของพระองค์ไปอย่างกระชั้นชิดมิให้คลาดสายพระเนตรไปได้แม้แต่น้อย โดยเป้าหมายในขณะนี้คือพระศพขององค์ชายรองซึ่งจนถึงเวลานี้ มิมีหมอหลวงคนใดล่วงรู้เลยว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์นั้นเกิดจากอะไรกันแน่องค์ชายปีศาจพระดำเนินนำหน้าพร้อมจูงมือพระชายา ผ่านสายตาเหล่านางกำนัลและขันทีมากมายหลายสิบคู่ โดยไม่สนพระทัยสายตาของผู้ใดแม้แต่น้อยที่กำลังจับจ้องบุรุษทั้งสองกำลังเดินจูงมือเคียงคู่ไปด้วยกัน ก่อนจะหยุดลงเมื่อมาถึงพระตำหนักบูรพา ภายในห้องเก็บพระศพ มีผ้าขาวผืนขนาดใหญ่ขวางกั้นโลงพระศพและแท่นบูชาป้ายวิญญาณเพื่อให้เชื้อพระวงศ์และบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ เข้ามาเซ่นไหว้บริเวณด้านนอก ภายในห้องดังกล่าวมีนางกำนัลและขันทีคอยทำหน้าที่ดูแลพระศพให้เรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มาถึงองค์ชายปีศาจมีรับสั่งออกไปทันที“เปิดฝาโลง! องค์ชายอิ๋งเฟิ่งมีรับสั่งให้ท่านหมอมาตรวจหาสาเหตุการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง” สิ้นพระสุรเสียงขององค์ชายปีศาจบรรดาขันที
เรือนบูรพา ปัง! ปัง! ปัง! เสียงเคาะประตูห้องดังเอ็ดอึงขึ้นระหว่างกลางดึกในขณะที่คู่สามีภรรยากำลังนอนหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียกับบทเสพสังวาสที่มอบให้กันตั้งแต่ยามสายในห้องหนังสือและยังมาต่อเนื่องในห้องนอนกันอีก ก่อนจะพากันหมดแรงไปด้วยกันก็เข้ายามโฉว่ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ! เกิดเรื่องใหญ่ในวังแล้ว! ทรงตื่นบรรทมอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของจางฮั่นดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้องนอน พร้อมร่างของรองแม่ทัพโม่โฉวและหรงซิ่วต่างพากันยืนอยู่ด้วยพร้อมกันในขณะนี้ เพียงครู่ภายในห้องบรรทมที่มีแต่ความมืดมิดมีแสงสว่างจากโคมไฟขึ้นมาทันที พร้อมเสียงจากคนที่อยู่ด้านในเปิดบานประตูออกด้วยความรวดเร็ว พร้อมพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางพระดำเนินออกมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นรองแม่ทัพคนสนิททั้งสองปรากฏกายในยามวิกาลเช่นนี้ “มีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ! พวกเจ้าจึงรีบร้อนพากันมาหาข้าในยามวิกาลเช่นนี้” รับสั่งถามกลับไปทันใด “องค์ชายรองสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” โม่โฉวรีบกราบทูลรายงานทันที องค์ชายปีศาจทรงยืนนิ่งไปชั่วขณะครั้นทรงได้ยินรายงานเช่นนั้น “อิ๋งเหว่ยตายได้อย่างไร!” รับสั่งถามกลับไป “ตอนนี้บรรดาหมอ
สามวันผ่านไปภายในห้องหนังสือร่างงามแน่งน้อยในชุดสีขาวลออตาของสตรีสาวที่เต็มไปด้วยยศศักดิ์ ผมสีดำยาวสยายถูกเกล้าขึ้นสูงเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่สมรสแล้ว พรั่งพร้อมด้วยเครื่องประดับผมล้ำค่ามีทั้งทองคำและหยกเนื้องามชั้นดีเสียบไว้ที่บริเวณผมที่ถูกเกล้าขึ้น ใบหน้าแสนสวยถูกแต่งแต้มพองามมิต้องประเคนเครื่องประทินโฉมอะไรมากมาก คนสวยยังไงก็เอาอยู่ดวงตากลมโตสีหยาดน้ำผึ้งกำลังนั่งมองแผ่นไม้ไผ่ที่เป็นตำรายาสูตรลับของหยงเซี๊ยะกำลังถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนลุกโชน ก่อนจะโยนตำราดวงดาวลงไปเผาอีกเช่นกัน ราวกับว่าหญิงสาวล่วงรู้ว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นเพราะมีการแย่งชิงตำราดังกล่าวเกิดขึ้นนั่นเองท่ามกลางสายพระเนตรของพระสวามีปีศาจ ทรงพระดำเนินเข้ามาด้วยความแปลกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรพระชายาคนงามกำลังเผาตำราโบราณของหยงเซี๊ยะด้วยมือของนางเอง“อันอัน! เหตุใดเจ้าจึงเผาตำราที่ท่านตามอบให้มาเล่า เกิดเหตุสิ่งใดขึ้นหรือไรตำราทั้งสองนั้นเป็นของล้ำค่าทางด้านการรักษาและดูดวงดาวมิใช่รึ” พระองค์รับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้ใบหน้าแสน