“หลานสาวข้ารู้จักการใช้เงิน พวกเจ้าไปสำรวจพวกที่เหลือซิ! ลงแรงก็ต้องได้รับผลกำไร” “ขะ...ขอรับ” เงาทั้งหมดรับคำผู้เป็นนาย ก่อนจะพยายามตั้งสติว่าพวกเขาได้ยินคำสั่งไม่ผิด “เสื้อผ้าเสียหาย ร่างกายมีบาดแผล ทุกอย่างย่อมต้องใช้เงินในการรักษาและซ่อมแซม พวกเจ้าคิดว่าข้าพูดผิดหรือไม่” “ไม่ผิดขอรับ นายท่านรอสักครู่ ประเดี๋ยวพวกข้าจะรีบกลับมาขอรับ”ไม่มีใครแปลกใจความเหมือน ทางสายเลือดของคุณหนูใหญ่กับนายท่านหย่งสือเลยสักนิด หากคนภายนอกไม่รู้ว่าทั้งสองเป็นลุงหลาน คงคิดว่าเป็นพ่อลูกกันมากกว่าหลังจากสั่งการผู้ติดตามทั้งสองเสร็จสิ้น ร่างสูงได้เดินสำรวจร่างกายของโจรป่าที่สิ้นใจไปแล้ว พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเช่นเดียวกับหลานชายหญิงในตอนที่ได้พบกับเศษเงินหรือของมีค่าบนกายของคนตาย แม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นความสุขของหลานรัก ที่ลุงอย่างเขายินดีทำตามเรื่องเช่นนี้ถือว่าไม่ผิด เพราะถ้าคนที่นอนสิ้นใจอยู่เป็นพวกเขา โจรกลุ่มนี้ก็ต้องทำเช่นเดียวกันอยู่ดี ในเมื่อโชคหมุนมาลงที่พวกเขาให้รอดชีวิต ผลกำไรก็ควรตกเป็นของพวกเขาเช่นกันทำให้สายตาอี
“หึ ๆ ข้าละสงสารท่านแม่ทัพจ้าวผู้นั้นยิ่งนัก” “สงสารที่เขามีคู่หมั้นหน้าตางดงามเยี่ยงข้าใช่หรือไม่ ของแบบนี้มันอยู่ที่วาสนาล้วน ๆ เจ้าค่ะ” “หึ ๆ คงเป็นอย่างนั้น” คำพูดของหยางเจี่ยน เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนให้ดังขึ้นอย่างครื้นเครง กลบบรรยากาศอันหนักอึ้งไปได้ในพริบตา หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย ขบวนรถม้าอันโอ่อ่าของทายาทสกุลเฉิน ได้เคลื่อนออกจากหน้าโรงเตี๊ยม เพื่อเข้าสู่เมืองหลวงเมืองหลวงอู๋เป่ยเพียงขบวนรถม้าก้าวพ้นประตูเมืองเข้ามา ทุกสายตาของชาวเมือง ต่างจับจ้องไปยังขบวนรถม้าเป็นจุดเดียว โดยเฉพาะชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำปักลวดลายด้วยดิ้นทอง บอกได้ถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของชายหนุ่มทุกการขยับกายตามการก้าวเดินของอาชาตัวใหญ่ ทำให้หญิงสาวหลายคนเผลอกลืนน้ำลาย ด้วยรูปร่างที่องอาจไม่ต่างจากนักรบ เรียกได้ว่าสะกดทุกความเคลื่อนไหวของหญิงงามทั้งหลายได้ชะงัดนักหยางเจี่ยนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าสิ่งนี้จะทำให้สตรีมากมายสิโรราบต่อเขา แม้ว่านี้มิใช่ความตั้งใจ แต่มันคืออีกตัวตนที่แตกต่างจากคุณชายใหญ่สกุลหรง หากเหมือนกันจนเกินไป ไม่ช้าตัวตนของเขาก็ถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน
ภายในรถม้า “ดูคึกคักดีนี่! ภายนอกสงบเงียบไยภายในระอุร้อนนักเล่า”มือบางเปิดม่านหน้าต่างออกเพียงครึ่ง พอให้ได้เห็นบรรยากาศภายนอก ผู้คนและร้านรวงต่าง ๆ เรียกได้ว่าแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน“มิสู่เสิ่นโจวเราหรอกเจ้าค่ะ แม้จะเป็นเมืองหน้าด่านทว่าคึกคักกว่านี้หลายเท่าเจ้าค่ะ” เจินจูเอ่ยกับผู้เป็นนาย“เสร็จเรื่องทางนี้เราก็ได้กลับกันแล้วเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นข้าจะได้ขี่ม้าท่องไปกับขบวนสินค้าของเรา”สามนายบ่าวมองไปด้านนอกอย่างมีความหวัง เพราะดูแล้วเมืองหลวงหาได้เหมาะกับพวกนางเลยแม้แต่น้อย“แต่ดูเหมือนผู้คนจะให้ความสนใจสกุลเฉินไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ”ชิงหลิงเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากที่นางสังเกตสายตาของชาวเมือง ที่จับจ้องมายังคณะเดินทางมากเป็นพิเศษ หากจะว่าเพราะความโอ่อ่าของรถม้าก็ไม่น่าจะใช่ ด้วยคนมีฐานะร่ำรวยในแผ่นดิน ล้วนใช้รถม้าหรูหรากันแทบทุกสกุล “แบบนี้ดีแล้ว เวลานี้สกุลจางจะได้ไม่ถูกจับจ้องจนเกินไป”หรงเหลียนฮวาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบช้า นับว่าพี่ชายของนางอ่านหมากกระดานนี้ได้ดีพอสมควร อย่างน้อยการเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู จะทำให้การปรากฏตัวของพวกนางสามพี่น้อง ตื่นตาตื่นใจสำหรับครอบครัวบิด
“งดงามอ่อนหวานเช่นมารดานั่นดีแล้วฮวาเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้เอาเยี่ยงอย่างของใครบางคนมาใช้เด็ดขาดรู้หรือไม่” จื่อเว่ยยังมิวายจิกกัดจางหย่งสือ“เจ้าหมายถึงผู้ใด!”“มีมารยาทหน่อยคุณชายจาง ข้ากำลังพูดอยู่กับหลานสาว อย่าได้สอดแทรกนักเลย”“เจ้า...”จางหย่งสือใบหน้าร้อนวูบไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกเหลียนฮวาว่าหลานสาว แววตาพึงพอใจพาดผ่านไปชั่วขณะ ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว"หยางเจี่ยนคารวะท่านลุง ท่านป้าจื่อเว่ยขอรับ"หยางเจี่ยนช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในห้อง ชายหนุ่มเริ่มพอจะมองความรู้สึกของทั้งคู่ออกบ้างแล้ว"หยางไท้คารวะท่านลุง ท่านป้าจื่อเว่ยขอรับ"หยางไท้รีบกล่าวตามพี่ชายทันที ก่อนจะมีสงครามสายตาหรือน้ำลายเกิดขึ้นอีก"ไยจึงชักช้ามิรีบเข้ามาเล่าเจี่ยนเอ๋อร์ ไท้เอ๋อร์ รึเจ้ารู้สึกว่าในห้องนี้มันเต็มไปด้วยความอึดอัด"จื่อเว่ยทำเพียงนั่งลงเงียบ ๆ โดยไม่คิดสนใจคำเหน็บแนมของศิษย์ผู้พี่ หญิงสาวกำลังประเมินสามพี่น้องสกุลหรงอย่างตั้งใจ ก่อนจะยกชาขึ้นจิบด้วยความสงบสามพี่น้องมีทั้งความเหมือนและแตกต่าง แม้ว่าสองคนแรกจะเป็นฝาแฝด แต่เพราะเป็นชายหญิงจึงมีความต่างอยู่ค้อนข้างมาก ส่วนคนเล็ก
จวนแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ยร่างสูงก้าวเข้าไปภายในศาลาพักผ่อน ซึ่งมารดากำลังนั่งรอบุตรชายอยู่อย่างใจเย็น ใบหน้าราบเรียบของแม่ทัพหนุ่มนับเป็นที่ชินตาของทุกคน ไม่ว่าผู้ใดจะหัวเราะร้องไห้ จ้าวหมิงเยี่ยก็หาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้ว่าทั่วทั้งเมืองหลวงจะนินทาเขาในทางเสียหาย แม่ทัพหนุ่มมิคิดถือสาแม้แต่น้อย เพราะสิ่งใดจริงเท็จมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ดีกว่าใคร ๆ"ท่านแม่ ต้องการพบข้าด้วยเรื่องอันใดขอรับ"ชายหนุ่มเอ่ยถามมารดาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้สตรีวัยสี่กว่าถอนหายใจเบา ๆ นางเข้าใจดีว่าการพลาดหวังในความรักนั้นเจ็บปวดเพียงใด แต่จะโทษเรื่องที่นางกับสหายรัก ได้หมั้นหมายบุตรชายหญิงตั้งแต่เกิดก็ไม่ถูกหากคนรักของบุตรชายดีงามมากพอ มีหรือนางจะไม่กล้าออกหน้าเรื่องถอนหมั้น แต่เพราะสตรีผู้นั้นไม่ได้เป็นอย่างที่บุตรชายเห็น นางจึงดึงดันให้การหมั้นหมายของบุตรชายกับบุตรสาวของสหายรักยังคงอยู่"เจ้าคิดอย่างไรกับข่าวลือเรื่องฮวาเอ๋อร์""จะจริงหรือเท็จข้าก็ไม่สนใจ จะแต่งนางหรือไม่แต่งนาง ข้าก็ได้ใส่ใจเช่นกัน ท่านแม่อยากจัดการเช่นไรก็ทำเถอะขอรับ หากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้วข้าขอตัวนะขอรับ"ยังไม่ทันที่จ้าวฮูหยินจะได้เ
“แต่เท่าที่บ่าวได้ยินมา ท่านแม่ทัพจ้าวรูปงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”“สู้พี่ฉินชีของเจ้าได้หรือไม่เล่า ขนาดใบหน้ามีแผลเป็นยังหล่อเหลาบาดใจ จนพี่สาวข้าเผลอมอบใจให้ไปแล้ว”“คุณหนู! พูดสิ่งใดกันเจ้าค่ะ เราเป็นหญิงมิควร....”เหลียนฮวาใช้นิ้วแตะที่เรียวปากของเจินจู ก่อนจะพยักเพยิดไปทิศทางของปะตู ด้านนอกหาใช่ชิงหลิง หรือเงาหนุ่มทั้งสามอย่างแน่นอนฉินชีที่กำยกมือค้างอยู่หน้าประตู ไม่รู้จะปรับสีหน้าเยี่ยงไรให้เป็นปกติ ด้วยที่ผ่านมาเขาไม่เคยสักครั้งที่จะสนใจเรื่องเช่นนี้ และไม่เคยมีสตรีใดเหลียวมองคนต่ำต้อยเช่นเขามาก่อนชายหนุ่มไม่คิดจะเสียมารยาทฟังการสนทนาของคนด้านใน แต่เพราะเขาได้รับคำสั่งให้มาตามคุณหนู เพื่อไปพบนายท่านหย่งสือกับคุณชายใหญ่ก๊อก ๆ เมื่อปรับสีหน้าและลมหายใจให้เป็นกติได้แล้ว มือหนาจึงได้เคาะประตูห้อง แน่นอนว่าเขารู้สึกวูบวาบในใจ เมื่อได้ยินเสียฝีเท้าจากด้านในใกล้ประตูเข้ามาทุกขณะ“ท่านฉินชี”เจินจูใบหน้าแดงก่ำเมื่อเปิดประตูออก หญิงสาวรีบหันหลังให้ชายหนุ่ม แต่ก็ต้องเผชิญกับรอยยิ้มของผู้เป็นนาย หญิงสาวแทบอยากจะมุดพื้นหนีเสียให้ได้“อะ...เอ่อ...คือว่า...คุณหนูใหญ่ นายท่านและคุณชายใหญ่ให้ไปพ
และทุกหน้าที่ผู้ชายคนนี้ทำได้ดีไม่มีที่ติ ขอแค่นายเอ่ยปากเขาจะไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ ไม่แปลกที่ท่านลุงวางใจให้เขาเคียงข้างนางสามพี่น้อง ฉินชีเหมือนพี่ชายใหญ่ที่คอยดูแลพวกนางที่เสมือนปูไม่อยู่นิ่งฉินชีแสร้งไม่รับรู้ถึงสายตาจากคนเบื้องหลัง ทั้งยังคำพดที่ดูจะตดขัดของผู้เป็นนาย เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งย่อมต้องมีหวั่นไหวบ้า ในยามที่มีใครสักคนกล้าที่จะเผยความในใจ จะต่อหน้าหรือลับหลัง หากรู้ขนาดนี้แล้วเขาก็ต้องรู้สึกบ้างปึก! เจินจูกระพริบตาปริบ ๆ เมื่ออยู่ ๆ คนด้านหน้าหยุดลงกะทันหัน จนทำให้นางชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างเต็มแรง ฉินชีสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะหันกลับไปหาผู้เป็นนายกับเงาสาว“เชิญด้านในขอรับคุณหนู”ฉินชีผายมือให้แก่ผู้เป็นนายสาว ก่อนที่ตัวเขาจะขยับหลีกทางให้ เหลียนฮวาคลี่ยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย เป็นการขอบคุณก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังศาลาพักผ่อน ซึ่งครอบครัวของนางนั่งอยู่ส่วนสองหนุ่มสาวที่ต้องรั้งรออยู่ด้านนอก ต่างพากันเบนใบหน้าไปคนละทิศทาง มิใช่รังเกียจแต่มันคือความเก้อเขิน เจินจูถึงกับมือชื้นเหงื่อ เมื่อได้ลมหายใจที่ชายหนุ่มพยายามควบคุมให้มันสงบนิ่ง ดังชัดอยู่ข้างกาย“ท่านลุง ท่านป้า
“เวลาคนเรามีไม่เท่ากันนะขอรับ เมื่อรู้สึกตรงกันก็อย่าได้ปิดโอกาสเสียล่ะขอรับ”หยางเจี่ยนเอ่ยขึ้นในขณะที่ฉินชีก้าวห่างออกไปไม่มากนัก ชายหนุ่มอาจเป็นเพียงหนุ่มน้อยในโลกนี้ แต่ชีวิตเก่านั้นเขามีวัยใกล้เคียงกับฉินชี มีหรือจะมองไม่ออกถึงสายตาแบบชายหญิงเพราะเขาไม่มีโอกาสได้รักใครในชีวิตเก่า เขาเลยไม่อยากให้ใครต้องพลาดการมีความรักสักครั้งในชีวิต มีโอกาสก็ควรรีบคว้าไว้ เพราะคนเราบอกไม่ได้จะอยู่หรือตายตอนไหนฉินชีไม่คิดว่านี้คือการล้อเลียน แต่มันคือความหวังดีของผู้เป็นนาย ซึ่งเขาเองใช่ว่าไม่อยากให้โอกาสตนเอง แต่เพราะชีวิตที่อยู่กับความเสี่ยง เขาจึงไม่อยากดึงใครสักคนมาอยู่ในวงล้อมของอันตรายด้วยก็เท่านั้น เช่นเดียวกับที่ท่านหย่งสือเลือกมองท่านจื่อเว่ยอยู่ห่าง ๆ แทนการเดินเคียงข้างนาง“ไม่ตามไปดูว่าที่น้องเขยสักหน่อยหรือเจี่ยนเอ๋อร์”จางหย่งสือก้าวมายืนเคียงข้างหลานชาย ก่อนจะหัวเราะในลำคอ เขากับหยางเจี่ยนรู้เป้าหมายของสองแสบโดยบังเอิญ และแน่นอนว่างานหนักย่อมตกเป็นของฉินชี“เรายังมีเรื่องต้องทำอีกมิใช่หรือขอรับ อย่าได้ห่วงเจ้าสองแสบเลยขอรับ มีทั้งพี่หลงพี่ฉินชีติดตามไป คนที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นเป
สามพี่น้องคลี่ยิ้มกับแขกในงานตามมารยาท หลายสกุลเริ่มค้นหาตัวตนของทั้งสาม เพราะข่าวที่ได้ยินมานั้นคุณชายใหญ่ในท่านเสนาบดี ทำตัวราวอันธพาล น้องสาวฝาแฝดมากด้วยตัณหาทำตัวเหลวแหลกกับบุรุษมากหน้า บุตรชายคนเล็กในฮูหยินใหญ่สติปัญญามิเต็มเท่าใดนักทว่าในเวลานี้สามพี่น้องไร้ซึ่งลักษณ์ที่ถูกกล่าวอ้าง ทั้งยังไร้วี่แววของสติปัญญาอันอ่อนด้อยอย่างที่เป็นข่าวแผ่กระจาย ตรงกันข้ามทั้งสามดูสูงค่าสมสายเลือดของบิดามารดายิ่งนัก“ยินดีกับท่านราชครูขอรับ ที่คุณชายคุณหนูทั้งสามกลับสู่เมืองหลวงแล้ว ช่างเป็นนิมิตรหมายอันดียิ่งนักขอรับ”หนึ่งในขุนนางอาวุโสได้ลุกขึ้นเอ่ยขึ้นเสียงดัง คล้ายดังหมัดมือชกสามพี่น้องอยู่ในที ซึ่งทั้งสามยังคงความสงบนิ่งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี“ย่อมต้องเป็นวันดีสิท่านเจ้ากรม หลาน ๆ ของข้าที่ติดตามสะใภ้ข้าไปรักษาตัวนานหลายปีกลับมาทั้งที คืนนี้เรามาร่วมฉลองกันเต็มที่ เชิญทุกท่านดื่ม”สาวใช้ได้ยกถาดใส่จอกสุรายื่นส่งให้สามพี่น้อง เพื่อร่วมดื่มอวยพร ตามคำเชื้อเชิญของเจ้าบ้าน หยางเจี่ยนรับมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะช้อนสายตามองน้องสาวและน้องชายกลิ่นที่เจือจางอาจไม่สร้างความแคลงใจต่อผู้อื่น แต่มิใช่เขาส
เมื่อหนุ่มสาวอีกสามคน ได้ก้าวมายืนอยู่สองข้างชายหญิงผู้มาเยือน โดยเฉพาะเจ้าของงานและบุตรชาย ที่แทบเหมือนถูกฟ้าฝ่าลงมากลางแสกหน้าทำได้เพียงยิ้มแกน ๆ ก้าวออกไปต้อนรับแขกใบหน้าที่แทบจะเหมือนกับท่านเสนาบดีหรงจิ่ง ไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอกว่าทั้งสามคนคือใคร สกุลหรงทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทั้งสามคือทายาทสายตรง ที่พวกเขาคิดว่าตายไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนเจียงชูเหนียงถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อเห็นชัดตาว่าใครที่ติดตามจางหย่งสือมาร่วมงาน ทุกปีสกุลจางเพียงแค่ส่งตัวแทนมาเท่านั้นทว่าปีนี้คุณชายใหญ่สกุลจางมาด้วยตนเอง ไม่ต้องคาดเดาถึงเหตุผลของการมาร่วมอวยพรในครานี้เลย หากไม่เพราะสามพี่น้องที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วจะมีสิ่งใดจูงใจคนหยิ่งผยองเช่นจางหย่งสือให้มาเหยียบสกุลหรงได้เล่า“คุณชายจาง เอ่อ...”ท่านราชครูหรงแสร้งไม่รู้ว่าหนุ่มสาวด้านข้างของจางหย่งสือคือผู้ใด แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจแล้วก็ตามที รอยยิ้มที่คล้ายจริงใจของเจ้าบ้าน ทำให้สามพี่น้องแอบแอบเยาะหยันเจ้าของงานอยู่ภายในใจ“นี่คือคุณหนูฟางจื่อเยว่ คู่หมั้นของข้า”“จื่อเยว่ข้าคารวะท่านราชครู”จื่อเยว่ย่อกายงดงามราวสตรีในรั้ววัง ทำให้บุรุษหลาย
“อื้อ!” จางหย่งสือกดจูบหนัก ๆ ลงไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนใบหน้าออกอย่างรวดเร็ว“ข้ามัดจำเอาไว้ก่อน หลังแต่งงานข้าจะไม่ปล่อยเจ้าให้รอดไปเป็นครั้งที่สอง”จื่อเว่ยทำได้เพียงก้มหน้างุด นางช่างไร้ยางอายนัก กล้าทำเรื่องบัดสีนี้ได้อย่างไรกัน“อย่าได้แม้แต่จะคิดหนีข้าไปอีกเข้าใจหรือไม่ เพราะสิ่งที่เจ้าทำข้าเสียหาย ช่วยรับผิดต่อข้าด้วย”“บ้าไปแล้ว!”จื่อเว่ยไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดได้มากกว่านี้ เพราะรอยยิ้มและแววตาหวานเชื่อมของจางหย่งสือ ทำให้นางแทบละลายกองอยู่เสียตรงนี้เลยทีเดียว“ไปกันได้แล้ว มัวเล่นอันใดกันอยู่”เอ่ยจบมือหนาได้กระชากเอวขอดให้ชิดกาย ก่อนจะพาหญิงสาวเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไปขึ้นรถม้า แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าหลาน ๆ และผู้ติดตามล้วนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หยางเจี่ยนหันกลับไปยิ้มให้กับทุกคน เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นลุง แม้ว่าในชีวิตเก่าเขาจะผ่านอะไรมาไม่น้อย แต่เรื่องความรักประสบการณ์ของเขานับว่าเป็นศูนย์ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นอกจากจะเหนือความคาดหมาย ยังเป็นการบอกรักที่หลายคนคงลุ้นจนตัวโก่งมิแพ้คู่รักหมาด ๆ อย่างแน่นอน ว่าจะมีสิ่งใดพลิกผันอีกหรือไม่หยางเจี่ยนพยักหน้าน้อย ๆ พร้
ค่ำคืนในวันถัดมา ณ จวนสกุลหรง คืนนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของท่านราชครูหรงอู่ฉี เหล่าขุนนางต่างก็ต้องประชันอวดความมั่งคั่งของตน เพื่อข่มกันในงานอยู่เนือง ๆ แน่นอนว่าหลานสาวคนโปรดเช่นหรงเหมยเหนียงย่อมต้องทำทุกวิถีทางให้ตนเองโดดเด่น และเหนือกว่าบุตรสาวสกุลอื่น หรงเหมยเหนียงกำลังพิศมองตนเองในคันช่องบนโต๊ะ ชุดสีหวานพลิ้วไหวดั่งต้องมนต์ของนาง งดงามสมกับเป็นช่างมือดีจากร้านผ้าสกุลเฉิน ใบหน้าในวัยแรกแย้มเติมแต่งได้อย่าลงตัวที่สำคัญไปกว่านั้น คืนนี้มารดาของนางจะขยับฐานะจากภรรยารอง ก้าวสู่การเป็นภรรยาเอก นางจะไม่ต้องทนกล้ำให้ใครมองว่าเป็นรองพี่สาวต่างมารดาอีกต่อไป“เรียนคุณหนู นายท่านกับฮูหยินพร้อมคุณชาย ได้รออยู่หน้าจวนแล้วเจ้าค่ะ”“อืม! ไปสิ!”ร่างงามก้าวออกจากเรือนด้วยท่วงท่าราวนางหงส์ คำตราหน้าที่นางแบกรับมาทั้งชีวิต กำลังจะได้รับการปลดปล่อยแล้วในวันนี้ บางครั้งความรักหาใช่สิ่งที่คู่ควรต่ออนาคตเบื้องหน้าเมื่อนึกถึงเรื่องหัวใจ ใบหน้าของใครบางคนได้ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวราวกลองศึก เมื่อรอยยิ้มของชายหนุ่มผู้อยู่บนหลังอาชาสีดำทมิฬเมื่อหลายวันก่อน ได้ทำให้เรีย
ถนนห่างจากจวนแม่ทัพ คนชุดดำทั้งหกยืนหอบหายใจแรง ๆ ทุกคนล้วนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะพากันหลบหนีออกมา หลังจากฉินชี ซึ่งได้เป็นคนเข้าไปช่วยคุณหนูให้พ้นมือของท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย“เกือบไปแล้วไหมเล่า ฮ่า ๆ”ตัวตนเหตุยังมีหน้ามาหัวเราะร่า เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นเรื่องธรรมดาเสียอย่างนั้น“พี่รองมิกลัวท่านแม่ทัพจะติดตามมาหรือขอรับ”หยางไท้ยังคงหันกลับไปมองทิศทางที่เพิ่งจากมา เขาเองก็ตกใจไม่น้อยในตอนที่เห็นพี่สาวถูกจับได้...ข้างกำแพงจวนแม่ทัพก่อนหน้า หมับ! ติ้งรีบคว้าร่างของคุณชายน้อยเอาไว้ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพุ่งลงจากกำแพง เพื่อที่จะไปช่วยคุณหนูใหญ่ ซึ่งกำลังต่อสู้โรมรันอยู่กับคนในจวนแม่ทัพ“มิได้ขอรับ หากคุณชายเข้าไปอาจเกิดอันตรายนะขอรับ”“แต่พี่สาวของข้าเล่า”“เป็นหน้าที่ขอข้าน้อยเองขอรับ”ติ้งเป็นคนเสนอตัวไปแทนคุณชายน้อย เพราะหากบุกกันเข้าไปหมด จากเรื่องเล็กน้อยจะกลายเป็นใหญ่โตขึ้นมาทันทีอย่างแน่นอนกึก! ติ้งจำต้องหยุดกายในทันที เมื่อมีเงาร่างของใครอีกคนพุ่งออกจากความมืด ตรงไปยังผู้เป็นนายและคนในจวนแม่ทัพ เมื่อเห็นว่าคุณหนูได้ถูกพาตัวออกจากการการต่อสู้ เขาจึงได้พ
‘คงมีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะ ที่จะออกไปให้เจ้าบั่นคอ’ เหลียนฮวาเริ่มมองหาทางหนี ขืนนางยังรั้งอยู่ต่อมีหวังคงไม่พ้นต้องปะทะกันเป็นแน่ ต่อให้นางมากด้วยฝีมือ แต่หากเทียบกับจ้าวหมิงเยี่ยนางยังอ่อนหัดนัก หมับ! ในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะหนีไป มือหนาคว้าไหล่ผู้บุกรุกเอาไว้ได้ทัน เหลียนฮวารีบหมุนตัวพร้อมคว้าจับข้อมือแกร่งเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพลิกข้อมือของแม่ทัพหนุ่มในทันที เพื่อมิให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวทันปึก! หญิงสาวกระแทกกำปั้นเข้าท้องแขนของแม่ทัพหนุ่ม เพื่อผลักอีกฝ่ายให้ออกห่าง พอที่จะทำให้นางหาจังหวะหลบหนี อ๊ะ! แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อมือหยาบของแม่ทัพหนุ่ม กลายเป็นตีนตุ๊กแกไปเสียอย่างนั้น ยิ่งพยายามผลักอีกฝ่ายยิ่งติดหนึบราวกาวดักหนูหญิงสาวได้แต่ด่าทอตนเองอยู่ภายในใจ สลับกับการสรรหาคำมาเปรียบเทียบจ้าวหมิงเยี่ยกับสิ่งต่าง ๆ ยิ่งเสียงหัวเราะในลำคอของเขาเล็ดลอดออกมาให้นางได้ยิน มันเสมือนเขากำลังลงมือกลั่นแกล้งเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้นแม่ทัพหนุ่มได้นึกสนุก ลงมือเย้าแขกที่เขามิได้เชิญสักหน่อย เหลียนฮวาเม้มริมฝีปากแน่น นางรู้ได้ไม่ยากว่าเขาไม่ได้จริงจังกับการต่อสู้ คน
“ขอรับท่านป้า ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ฉินชีจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะแต่ละคนใช่ธรรมดาที่ไหนกัน” หยางเจี่ยนตอบรับคำของผู้เป็นป้า“คนเราต้องรู้จักโลกภายนอก”จางหย่งสือรีบออกตัวแทนสองหลานรัก มีหรือเขาจะไม่รู้วีรกรรมของหลานชายหญิงที่กำลังออกท่องราตรี ใช่เขารักหลานลำเอียง แต่เพราะเขารู้ดีว่าภายหน้าหยางเจี่ยนต้องยืนในจุดใดและนี่คือความภูมิใจอีกหนึ่งอย่างของเขา ที่หลานชายคนโตสุขุมรอบคอบ สมกับตำแหน่งที่เขาจะส่งมอบให้ในอนาคต ส่วนสองแสบนั้นเขาให้สิทธิ์ในการเลือกทางเดินตามใจชอบ แต่ต้องอยู่ในสายตาของเขามิห่างไปไหนหยางเจี่ยนหันไปส่งยิ้มอย่างรู้กันกับผู้เป็นป้า ชายหนุ่มไม่เคยที่จะต้องเสียเวลาคาดเดา กับคำพูดของผู้เป็นลุงเกี่ยวกับน้อง ๆ เขาไม่เคยริษยาที่ทั้งคู่ได้อิสระในการเที่ยวเล่นในโลกใบเดิมนั้น น้องสาวของเขาแทบไม่มีช่วงเวลาของวัยหนุ่มสาว ส่วนหยางไท้ยังเด็กนักหากเทียบกับเด็กหนุ่มในโลกเก่า ฉะนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย ที่ทั้งคู่สรรหาพาผู้ติดตามไปเที่ยวเล่นขอแค่ไม่มีใครเดือดร้อนและตนเองไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย จะเที่ยวเล่นแค่ไหนเขาก็ไม่ติดขัดอันใด เพราะอีกไม่นานความเป็นเด็กของพวกเขาก็จะสิ้
“เวลาคนเรามีไม่เท่ากันนะขอรับ เมื่อรู้สึกตรงกันก็อย่าได้ปิดโอกาสเสียล่ะขอรับ”หยางเจี่ยนเอ่ยขึ้นในขณะที่ฉินชีก้าวห่างออกไปไม่มากนัก ชายหนุ่มอาจเป็นเพียงหนุ่มน้อยในโลกนี้ แต่ชีวิตเก่านั้นเขามีวัยใกล้เคียงกับฉินชี มีหรือจะมองไม่ออกถึงสายตาแบบชายหญิงเพราะเขาไม่มีโอกาสได้รักใครในชีวิตเก่า เขาเลยไม่อยากให้ใครต้องพลาดการมีความรักสักครั้งในชีวิต มีโอกาสก็ควรรีบคว้าไว้ เพราะคนเราบอกไม่ได้จะอยู่หรือตายตอนไหนฉินชีไม่คิดว่านี้คือการล้อเลียน แต่มันคือความหวังดีของผู้เป็นนาย ซึ่งเขาเองใช่ว่าไม่อยากให้โอกาสตนเอง แต่เพราะชีวิตที่อยู่กับความเสี่ยง เขาจึงไม่อยากดึงใครสักคนมาอยู่ในวงล้อมของอันตรายด้วยก็เท่านั้น เช่นเดียวกับที่ท่านหย่งสือเลือกมองท่านจื่อเว่ยอยู่ห่าง ๆ แทนการเดินเคียงข้างนาง“ไม่ตามไปดูว่าที่น้องเขยสักหน่อยหรือเจี่ยนเอ๋อร์”จางหย่งสือก้าวมายืนเคียงข้างหลานชาย ก่อนจะหัวเราะในลำคอ เขากับหยางเจี่ยนรู้เป้าหมายของสองแสบโดยบังเอิญ และแน่นอนว่างานหนักย่อมตกเป็นของฉินชี“เรายังมีเรื่องต้องทำอีกมิใช่หรือขอรับ อย่าได้ห่วงเจ้าสองแสบเลยขอรับ มีทั้งพี่หลงพี่ฉินชีติดตามไป คนที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นเป
และทุกหน้าที่ผู้ชายคนนี้ทำได้ดีไม่มีที่ติ ขอแค่นายเอ่ยปากเขาจะไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ ไม่แปลกที่ท่านลุงวางใจให้เขาเคียงข้างนางสามพี่น้อง ฉินชีเหมือนพี่ชายใหญ่ที่คอยดูแลพวกนางที่เสมือนปูไม่อยู่นิ่งฉินชีแสร้งไม่รับรู้ถึงสายตาจากคนเบื้องหลัง ทั้งยังคำพดที่ดูจะตดขัดของผู้เป็นนาย เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งย่อมต้องมีหวั่นไหวบ้า ในยามที่มีใครสักคนกล้าที่จะเผยความในใจ จะต่อหน้าหรือลับหลัง หากรู้ขนาดนี้แล้วเขาก็ต้องรู้สึกบ้างปึก! เจินจูกระพริบตาปริบ ๆ เมื่ออยู่ ๆ คนด้านหน้าหยุดลงกะทันหัน จนทำให้นางชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างเต็มแรง ฉินชีสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะหันกลับไปหาผู้เป็นนายกับเงาสาว“เชิญด้านในขอรับคุณหนู”ฉินชีผายมือให้แก่ผู้เป็นนายสาว ก่อนที่ตัวเขาจะขยับหลีกทางให้ เหลียนฮวาคลี่ยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย เป็นการขอบคุณก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังศาลาพักผ่อน ซึ่งครอบครัวของนางนั่งอยู่ส่วนสองหนุ่มสาวที่ต้องรั้งรออยู่ด้านนอก ต่างพากันเบนใบหน้าไปคนละทิศทาง มิใช่รังเกียจแต่มันคือความเก้อเขิน เจินจูถึงกับมือชื้นเหงื่อ เมื่อได้ลมหายใจที่ชายหนุ่มพยายามควบคุมให้มันสงบนิ่ง ดังชัดอยู่ข้างกาย“ท่านลุง ท่านป้า