“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”“พี่เองก็นอนพักต่ออีกสักหน่อยเถิด อย่าได้ฝืนจนเกินไปนัก ปีกของข้ายังต้องการพี่ ๆ ทุกคนคอยพยุงอยู่รู้หรือไม่”หยางเจี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว จนแทบจะไม่ได้ยินเลยทีเดียว ซึ่งในตอนนี้ดวงตาของชายหนุ่มเอง ก็ได้ปิดลงแล้วเช่นกัน หลงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายให้แก่ผู้เป็นนาย ก่อนจะนำผ้าที่บิดจนหมาด วางไว้บนหน้าผากของคุณชายเมื่อเห็นว่าคนบนเตียงหายใจสม่ำเสมอแล้ว หลงจึงได้เดินออกจากห้องไป เพื่อจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนที่ผู้เป็นนายทั้งสามจะตื่น รวมถึงสหายอีกสามคนที่บาดเจ็บหนักด้วยหลงเดินไปยังห้องโถง ก่อนจะหยุดมองนักฆ่าที่ถูกมัดไว้กับเสากลางห้อง ชายหนุ่มก้าวไปหยุดตรงหน้าของคนผู้นั้น ก่อนจะย่อลงนั่งอย่างใจเย็น มือหนาเอื้อมไปดึงถุงเท้าออกจากปากของนักฆ่า"ถุย!"คนที่ตกเป็นเชลย ได้ถ่มน้ำลายลงพื้น ก่อนจะจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมีอายุน้อยกว่าตัวเขาอยู่มากทีเดียว แต่ทว่ากลับสามารถสังหารพวกเขาได้จนหมดในค่ำคืนเดียว นับว่าสกุลจางมียอดฝีมือไว้ในครอบครองไม่น้อยเลยทีเดียว สมกับเป็นสายเลือดพยัคฆ์ไร้พ่ายเขารู้สึกสงสารศัตรูของเด็กทั้งสามคนยิ่งนัก เพราะนอกจากทั้งสามพี่น้อ
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลงได้เดินไปยังห้องของผู้เป็นนาย เพื่อทำตามคำสั่ง แม้ว่าใจของเขานั้นจะคัดค้าน แต่นี่คือหน้าที่จึงไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะตราบใดที่คุณชายยังไหว เขาจะไม่ขัดคำสั่งแม้เพียงครึ่งคำเว้นเสียแต่เขาเห็นแล้วว่ามันเกินขีดจำกัดของผู้เป็นนาย เมื่อนั้นเขาจำต้องยึดคำสั่งของท่านหย่งสือไว้เป็นที่ตั้ง นายท่านใหญ่สั่งย้ำนักย้ำหนา ว่าถ้าไม่ถึงกับใกล้สิ้นลม ก็ทำหน้าที่ของผู้ติดตามที่ภักดี อย่าได้ขัดคำสั่งของคุณชายกับคุณหนูแม้จะดูโหดร้ายไปอยู่บ้าง ทว่านายท่านใหญ่กล่าวเสมอ หากคนเราไม่เจียนตายจะไม่รู้หนทางชีวิต เพราะคนส่วนมากยึดแค่มีอำนาจของพ่อแม่เป็นฐาน มิรู้จักสักนิดว่าขาสองข้างของตนเองแกร่งมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นนายท่านทั้งสอง จึงทำได้เพียงเฝ้ามองคุณชายทั้งสองกับคุณหนู กางปีกต้านลมอยู่ห่าง ๆ โดยมีพวกเขาคอยเฝ้าติดตามใกล้ชิดแทน “คุณชายขอรับ” หลงเรียกคนบนเตียงเบา ๆ เขาในตอนนี้ อยากที่จะให้ผู้นายไม่ได้ยินเหลือเกิน อย่างน้อยก็จะได้พักต่ออีกสักหน่อย จากสิ่งที่เขาเห็นเมื่อก่อนรุ่งสางนั้น คุณชายจำต้องพักมากกว่าหนึ่งชั่วยาม “ช่วยเตรียมชุดให้ข้าที พี่หลง”
“ข้าเดาว่าไม่เกินสองวัน พวกเราทุกคนต้องได้ห้อยเครื่องนี้อวดผู้คนเป็นแน่นอน” หยางเจี่ยนพูดกับคนสนิท ที่ได้แต่ยืนยิ้มเจื่อน ๆ อยู่ข้าง ๆ หลงไม่กล้าที่จะออกความคิดเห็น เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในมือของคุณชายใหญ่ เพราะหากเป็นของที่ขายตามตลาด คงไม่มีผู้ใดเหลียวมอง แต่นี่คือฝีมือของคุณหนูใหญ่ ใครจะหาญกล้าพูดความจริงออกไป “มันดูสวยแปลกตาดีออกขอรับคุณชาย” “อย่าฝืนชมนางเลย ข้ารู้สึกเหนื่อยใจแทนว่าที่สามีของนางในอนาคตยิ่งนัก แล้วนี่ดูเจ้าตัวเล็กทำสิ เข้าข้างพี่สาวโดยไม่สนถึงความเป็นจริง ข้าเหนื่อยใจแทนคู่ครองของพวกเขายิ่งนัก” “วันนี้อาจยังไม่ดีพอ แต่ภายหน้าอาจเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดินก็ได้นะขอรับ” “อันดับหนึ่งด้านทำลายล้าง มากกว่าสร้างกระมัง หึ ๆ เอาเถอะความลำบากในอนาคตเป็นของผู้อื่นมิใช่เรา” หยางเจี่ยนยังคงค้านกับความคิดของคนสนิทอยู่ดี เขาเป็นพี่ชายของนางมานานแค่ไหน พวกเขาไม่มีทางรู้หรอก ขนาดชีวิตเดิมทำแค่ไข่ดาวยังไหม้ มาชีวิตใหม่นี่อย่าได้วาดฝันเกินไข่ต้มเลยสองนายบ่าวเดินไปยังห้องโถง และทั้งคู่ต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อเห็นภาพข
แต่ในชีวิตที่ผ่านมา ทำให้เขาไม่อาจวางใจใครได้ เพราะทุกคนย่อมต้องการผลโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงมอบสิ่งตอบแทนให้อีกฝ่าย คุณชายสกุลหรงผู้นี้ก็เช่นกัน “หากพี่ชายสามารถกลายเป็นคนใหม่ได้ ท่านจะเลือกเปลี่ยนตนเองได้หรือไม่” หยางเจี่ยนเอ่ยขึ้นหลังจากมื้ออาหารจบลง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มจริงใจให้กับเชลย การเลี้ยงลูกเสือนั้นนับว่าอันตราย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะฝึกมันให้เชื่อง เพราะสำหรับเขาที่เคยเป็นครูฝึกทหารมาก่อน ย่อมต้องมองหาจุดอ่อนจุดแข็งของลูกศิษย์ เพื่อปรับให้อยู่ในกรอบที่เขาต้องการ “เจ้าต้องการสิ่งใดจากข้ากันแน่” “ไม่มีหรืออาจจะยังไม่มีในตอนนี้ และนี้ไม่ใช่การทดสอบความภักดีอะไรนั่นด้วย เพราะเท่าที่ข้าเข้าใจมาไม่ผิด นักฆ่าแทบทุกสำนัก คือเด็กกำพร้าหรือถูกลักพาตัวมา เพื่อฝึกฝนให้กลายเป็นมือสังหารชั้นยอด หากทำได้ไม่ดีพอระหว่างการฝึกฝน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความตาย ดังนั้นนักฆ่าส่วนมาก จะต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากสำนักของตนเอง และจากเป้าหมายที่อาจแข็งแกร่งกว่าตนเอง ไม่ว่าเส้นทางไหนสำหรับนักฆ่า ก็คือความตายมิใช่หรือ ส่วนข้าแค่คิดต่างเท่านั้นเอง ไม่มีเห
บ้านพักตากอากาศสกุลหรงหยางเจี่ยนหยุดยืนยังหน้าประตูใหญ่ รอยยิ้มร้ายค่อย ๆ ปรากฏขึ้น การเริ่มต้นของเขาในครั้งนี้ มิใช่การทวงสิทธิ์อันใดจากสกุลบิดา แต่มันคือการหักหารความเป็นสายเลือดแค่เพียงบิดาและภรรยาน้อยไม่ก้าวล้ำเขาและมารดา มีหรือเขาจะใช้การตอบโต้ที่รุนแรง คราแรกคิดแค่จะบีบบังคับทางการค้า แต่เมื่อหมายลงมือต่อกันให้ถึงตาย นั่นถือว่าเขาไม่ผิด หากจะตอบโต้ด้วยกำลังเช่นกัน“พวกท่านล้ำเส้นข้าก่อนนะ จากนี้เกิดสิ่งใดขึ้นมันคือผลของการกระทำ ที่เกิดจากมือของพวกท่านเองบิดาข้า”หยางเจี่ยนพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหันไปยังลุงสือ ที่ยืนรอคำสั่งอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเล็กน้อย เป็นสัญญาณที่บอกให้ลุงสือเรียกคนด้านในปัง ๆ ลุงสือกระแทกห่วงเหล็กหน้าประตูแรง ๆ หลายครั้ง ก่อนจะขยับถอยออกมายืนรออยู่ไม่ห่างเท่าใดนัก“พี่ใหญ่ขอรับ วันนี้ยามชำระโทษบ่าวต่ำช้าพวกนี้ มิต้องกลัวว่าข้าจะรู้สึกไม่ดีนะขอรับ พี่ใหญ่ทำได้เต็มที่เลยขอรับ”หยางไท้บอกกับพี่ชาย พร้อมคลี่ยิ้มกว้าง หลังจากผ่านเมื่อคืนมาได้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวการลงมือต่อศัตรู เพราะอีกฝ่ายยังไม่เห็นใจพวกเขาแม้เพียงเสี้ยว“พี่จะถนอมทุกการกระทำ เพื่อให้เจ
“เจ้าค่ะ”หญิงสาวทั้งสองรีบทำตามคำสั่งในทันที โดยมีลุงสือคอยกำกับอยู่ไม่ห่าง สองนายบ่าวหันสบตากัน ก่อนจะยกยิ้มร้าย ทั้งคู่แสร้งไม่เห็นในสิ่งที่สาวใช้กำลังกระทำ“ก็ดีนะท่านลุง มือข้าจะได้มิต้องแปดเปื้อน”สองนายบ่าวหัวเราะเบา ๆ ทั้งคู่ทำให้สาวใช้ทั้งสองหยามใจไปก่อน รอให้อยู่กันพร้อมหน้าค่อยจัดการเสียทีเดียว‘นายต่ำช้าเช่นไร บ่าวก็ไม่ต่างกันสักนิด’หยางไท้ลุกขึ้นยืน เมื่อสาวใช้ทั้งสองยกถาดชามาหยุดอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มเดินนำทุกคนออกไปจากห้องครัว ก่อนที่ลุงสือจะช่วยนำทางผู้เป็นนายไปยังห้องรับแขกสาวใช้ทั้งสองหันสบตากัน ก่อนจะคลี่ยิ้มชั่วร้าย พวกนางจะไม่มีวันยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้แก่บุตรไร้สามารถ เช่นสามพี่น้องนั่นเป็นแน่ มีผู้ใดไม่รู้ว่าว่ายุคนี้คนที่เก่งกาจในทุกด้าน จึงจะได้รับความสำคัญจากผู้คนทั้งแผ่นดิน และลูกภรรยาเอกของนายท่านก็เป็นได้เพียงเศษสวะของตระกูล ต่างจากบุตรชายหญิงของฮูหยินรอง ที่มากไปด้วยสามารถอบด้าน จะเลือกยืนก็ต้องเลือกให้เป็น มิใช่ยึดแค่ตำแหน่งเอกหรือรองภายในห้องรับแขก หยางเจี่ยนนั่งสงบนิ่ง มองบ่าวทั้งหมดที่ติ้งกับหลงนำตัวมา เพียงก้าวพ้นเข้ามาภายใน สองสาวใช้ถึงกับสั่นเทาไป
“หากข้าอยากให้เจ้าดื่ม เจ้าก็ต้องดื่มเพราะข้าไม่ชอบถูกขัดใจ”น้ำเสียงที่หยางไท้ใช้นั้น แตกต่างจากยามที่อยู่กับครอบครัว มันดูทรงอำนาจและดุดัน หลงก้าวเข้ามาหยุดยืนข้างผู้เป็นนาย ก่อนจะใช้มือบีบกรามของสาวใช้เอาไว้แน่น“อือ…มะ…ไม่…”ชาในถ้วยถูกกรอกลงไปจนหมดสิ้น และอีกถ้วยถูกยื่นส่งมาให้อีก หลงทำเช่นเดิมกับสาวใช้ที่กำลังดิ้นรนขัดขืน เพื่อหนทางรอดของตนเอง ทางด้านสาวใช้และบ่าวที่เหลือ ถึงกับสั่นเทาไปทั้งร่างอีกครั้ง เมื่อเห็นในสิ่งที่คุณชายน้อยกระทำต่อสาวใช้อาวุโส“บางทีการเสนอให้ดี ๆ พวกเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นข้าจะเมตตาสงเคราะห์ให้ก็แล้วกัน จะได้ไม่เหนื่อยกลืนเอง พวกเจ้าว่าดีหรือไม่”หยางไท้หันกลับไปถามคนที่เหลือ ทั้งที่มือของเขายังคงอยู่ที่ลำคอของสาวใช้อาวุโส ทุกคนรู้ดีว่าในชานั้นมียาพิษ แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเป็นคนดื่มมันเสียเองเช่นนี้“คุณชายน้อย โปรดเมตตาเราด้วยนะเจ้าคะ”สาวใช้ที่ชงชาคลานเข้าหาหยางไท้ ปึก! แต่ก่อนที่จะทันได้ถึงตัวของเด็กหนุ่ม ร่างบางได้ถูกถีบจนหงายหลังด้วยฝีมือของหลง บ้านของอสรพิษย่อมไม่อาจวางใจสิ่งใดได้“อย่าได้แม้แต่จะคิดแตะต้องคุณชายของข้า” หลงมองหญิงสาวตรงหน้าด้ว
“ขอรับ”“ไปกันเถอะ! ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังไม่ควรจะต้องเห็นการนองเลือดที่เราเป็นฝ่ายได้เปรียบเช่นนี้”หยางเจี่ยนวางมือบนไหล่ของน้องชาย ก่อนจะบีบเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ เพราะเสียงจากด้านในนั้น ไม่เบาเลยทีเดียว ต่อหน้าเขาสองพี่น้องผู้ติดตามด้านใน ยังไม่ทำสิ่งใดให้หนักมากนักแต่เมื่อเขาก้าวออกมา ย่อมเป็นการเปิดโอกาสอย่างโจ่งแจ้ง มีหรือลุงสือกับเงาทั้งสองจะปราณีคนด้านใน ทั้งคู่เดินออกมายืนรอทุกคนยังถนนด้านนอกจวนเวลาผ่าไปเพียงครึ่งก้านธูป ลุงสือพร้อมเงาทั้งสองได้เดินออกมาจากจวน โดยในมือถือกล่องไม้ออกมาด้วย หยางเจี่ยนมองสิ่งนั้นก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ ทั้งหมดเดินกลับไปที่กระท่อมโดยไร้ซึ่งการสนทนาสำหรับหยางเจี่ยนนั้น ด้านในจะมีสภาพเช่นไรเขาไม่คิดจะใส่ใจ เพราะนั่นคือผลที่ผู้กระทำต่อเขาสมควรได้รับเรือนพักฆราวาส อารามหมิงอี้ จางฮุ้ยเหมยรีบวิ่งออกมาดูด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงม้าหยุดลงยังลานหน้าเรือนพัก “ฮวาเอ๋อร์” จางฮุ้ยเหมยรีบวิ่งเข้าสวมกอดบุตรสาว ก่อนจะมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง “ข้าน้อยจิ้งเงาปีศาจ คารวะนายหญิงน้อยขอรับ” จางฮุ้ยเหมยพ
“หากเจ้ายินยอมแต่โดยดี ข้าจะมอบตำแหน่งที่คู่ให้” “กระบี่เจ้า! ควบคุมมันมิให้สั่นได้เสียก่อน ค่อยคิดสิ่งอื่นดีกว่าไหม…” หญิงสาววางถ้วยชาลง บนโต๊ะอย่างใจเย็น พรึ่บ! ปึก! เคร้ง! รวดเร็วจนชายหนุ่ม ขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่ กระบี่ในมือร่วงลงพื้น ก่อนที่เขาจะเบนสายตา ไปมองยังหญิงสาว ซึ่งตอนนี้กลับไปนั่งยังที่เดิม เสมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อครู่ มันมิใช่ฝีมือของนาง “จะลงมือกับใครก็ตาม เจ้าต้องศึกษาอีกฝ่ายให้แจ่มแจ้ง หึๆ ยังดีที่ตรงนี้เป็นข้า ถ้าเป็นผู้ติดตามของข้าทั้งสอง เจ้าคงไม่ได้ยืนต่อคำ เกินชั่วอึดใจ...” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าถอดสี เขาไม่คิดว่าแผนการที่แยบยล จะถูกล่วงรู้จนหมดสิ้นเช่นนี้ “ผู้ใดอยู่ข้างนอก เข้ามานี่เร็ว!” อ๋องน้อยโหว ตะโกนเรียกเหล่าองครักษ์ ทว่ากลับไร้ซึ่งวี่แวว ชายหนุ่มรีบย่อกายลงเก็บกระบี่ โดยที่สายตา หาได้ละไปจากร่างงาม ที่นั่งดื่มชาอย่างเพลิดเพลิน ราวกับเขาที่อยู่ร่วมห้อง เป็นเพียงอากาศธาตุ “หึๆ มิใช่เจ้าสั่งห้ามใครมารบกวนหรอกหรือ แต่คนของข้าอยู่ข้างนอกนะ เรียกได้...” “หญิงแพศยา! สตรีมีคู่หมาย
ยิ่งไม่เคยรู้ถึงฝีมือของคู่ต่อสู้ เขายิ่งต้องรีบเผด็จศึก ให้ได้โดยไว จึงมิคิดที่จะลีลาให้ตนเอง กลายเป็นฝ่ายเสียท่า สิ้นคำของชายหนุ่ม เงาร่างในชุดสีดำสองคน ก้าวออกจากหลังฉากกั้น ซึ่งเป็นส่วนด้านหลังห้องที่มีหน้าต่าง “อือๆ” เจ้าของจวนทำได้แค่...ส่งเสียงทัดทานในลำคอ ทว่ากลับไม่สามารถต่อต้านการกระทำใดๆ ของชายชุดดำได้เลย อาภรณ์เนื้อดีถูกถอดออก จนแหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า ก่อนที่ชายชุดดำจะดึงมีดเล่มเล็กออกมา “นายหญิง โปรดพักผ่อนรอสักครู่ขอรับ” ชายผู้ถือมีดเอ่ยกับผู้เป็นนาย จินอู่หันหลังให้ พร้อมสะบัดมือเล็กน้อย เพื่อให้คนของเขา ลงมือได้แล้ว หากไม่ติดว่าที่นี่ คือถิ่นศัตรู...คำว่าเงียบเสียง จะไม่มีเลยสำหรับเขา ความเจ็บปวดของศัตรู ควรประกาศให้โลกรู้ แต่เมื่อสถานที่ไม่อำนวย เขาก็ไม่ติดที่จะลงมืออย่างเงียบๆ โหวอ๋องดวงตาเหลือกลาน แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เมื่ออาวุธคู่กายของเขา กำลังถูกเฉือดเฉือนประหนึ่งหนูถูกถลกหนัง แม้มันจะไม่รู้สึกเจ็บ ทว่าใจของบุรุษแท้เยี่ยงเขา มันแหลกละเอียดจนมิเหลือชิ้นดี “สกุลโหว ควรสิ้นสุดที่เจ้าสองพ่อลูก อย่าได้สร้าง
“คุณหนูเฉินเป็นอย่างไรบ้าง” เป็นสาวใช้อาวุโส ที่เอ่ยถามกับสาวใช้สกุลเฉิน และผู้ติดตามหนุ่ม “คุณหนูดื่มยาแก้เมา และหลับอยู่เจ้าค่ะ” เจินจู ตอบสาวใช้สูงวัย ก่อนจะเหลือบตามองไปยัง สาวใช้ของอนุหรู สตรีผู้เพียรพยายามรั้ง ให้คุณหนูของนางพักในจวน “ข้าจะมาเชิญคุณหนูเฉิน กลับเข้าพักยังเรือนรับรอง ด้วยตอนนี้เฉินฮูหยิน ได้พักผ่อนรออยู่แล้ว” “หากไม่มีคำสั่งใดจากปากของฮูหยิน ข้าคงมิอาจปล่อยให้คุณหนูห่างสายตา เอาเป็นว่าข้าจะให้เจินจู ติดตามท่านเข้าไปพบฮูหยินของเราก็แล้วกัน” “นี่เป็นประสงค์ของท่านอ๋อง ที่มิอยากให้ผู้ใดตำหนิ ว่าดูแลแขกไม่ดี” หญิงชราตวัดสายตาดุใส่ชายหนุ่ม ผู้ไร้ความยำเกรงในอายุและฐานะของนาง ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบเฉย แม้เพียงครึ่งเสี้ยงของใบหน้า นางก็รู้ดีว่าคนผู้นี้ ไม่ได้สะท้านต่อคำของนางเลย “งานเลี้ยงกับคนเมามาย ย่อมเป็นของคู่กัน และมิใช่ทุกคนที่ต้องการพักในจวนของเจ้าภาพ คุณหนูอยู่ในรถม้าแล้ว รอเพียงฮูหยินกลับออกมา เราก็พร้อมกลับจวน” จากความอ่อนน้อม พลันเป็นดุดัน จนทำให้ชายหนุ่มหลายคน ที่ยืนอยู่เบื้องหลังส
“สามหาว! เจ้ากล้าข่มขู่ท่านอ๋องเยี่ยงนั้นรึ!” “ทำไมข้าต้องขู่ผู้ใดด้วย อีกอย่างถ้าท่านบริสุทธิ์ใจจริง จะเป็นเดือดเป็นร้อนไปไย แค่คุณหนูเฉินจะกลับบ้านตนเอง หรือมีสิ่งใดเป็นนอกในอย่างนั้นรึ! ดูรั้งนางจนออกหน้าเยี่ยงนี้” ชายหนุ่มเอียงหน้าช้า พร้อมมุมปากบิดขึ้นน้อยๆ การกระทำนั้นชวนให้อนุคนงาม หนาวสะท้านไปทั้งกาย บุรุษที่น่ากลัวย่อมเป็นคนที่มีหลากหลายบุคลิก ซึ่งปกติแล้วหรงเล่อถงสุขุมนุ่มลึก ทว่าตอนนี้...เขายิ่งกว่าคนจิตวิปลาสอย่างไรอย่างนั้น “นอกในอันใดกัน นางเป็นแขกของสามีข้า การดูแลเอาใจใส่ ย่อมเป็นเรื่องที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว” “เช่นนั้นหลีกทางข้าเถิด อนุหรู” หรงเล่อถง กดน้ำเสียงให้ลึก และชัดเจนว่าเขาพร้อมขัดขวางเรื่องนี้ อย่างไม่คิดยินยอมปล่อยผ่าน ต่อให้สตรีที่กำลังตกที่นั่งลำบาก มิใช่พี่น้อง เขาก็คงปล่อยให้สตรีเหล่านั้น แปดเปื้อนจากคนโสมมได้เป็นอันขาด ถึงเขาจะมิใช่คนดีไปเสียทุกเรื่อง แต่เขามีพี่สาวน้องสาว พวกนางจะเป็นเช่นหากต้องอยู่อย่างอดสู แบกรับความอัปยศไปทั้งชีวิตเฉินหนิงฮวาในตอนนี้ ดวงตาปรือจนแทบจะปิดแล้ว ชายหนุ่มพอจะเดาได้ ว่าเกิดจากสาเ
“หยุดนะ! เจ้าจะทำอะไรลูกข้า!” เจียงชูเหนียง รีบผลักร่างของคนสนิทออก ก่อนจะหันไปหาบุตรชาย มือบางหมายจะเอื้อมไปแตะ ที่ข้างแก้มของผู้เป็นลูก ทว่าร่างสูงกลับเบี่ยงกายหลบ “อย่าล้ำเส้นข้าอีก มิเช่นนั้น...ข้าจะไม่ใจดีเช่นครั้งก่อน” “ครั้งก่อน...” เจียงชูเหนียง ถึงกับเซถอยหลัง คนของนางไม่เคยลงมือกับบุตรชาย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่ทั้งคู่เคยปะทะกัน เมื่อปีก่อนที่อารามบนเขา แววตาแตกตื่นทำได้เพียง มองตามแผ่นหลังของบุตรชาย ที่กลืนหายไปในความมืด “ไหนเจ้าบอกว่า เขาไม่เห็นเจ้าอย่างไรเล่า แล้ว...หรือเจ้าทำนอกเหนือจากที่ข้ารู้” “เขาก็แค่หยั่งเชิงเรา เจ้าอย่าได้เผยพิรุธจะดีกว่า เลือดในกายเขามีของเจ้าแค่ครึ่งเดียว อย่าคาดหวังให้มาก ว่าเขาจะเหมือนเจ้า เพราะขนาดพ่อแท้ๆ เขายังไม่เหมือนเลย กลับไปได้นิสัยของยายแก่ แม่สามีเจ้ามาแทบทั้งสิ้น” “พูดเรื่องนี้ก็ดี เจ้าหานางพบรึยัง!” “ยัง! หรงเล่อถงไม่เคยเผยร่องรอย ให้ข้าตามไปจนถึงตัวยายแก่นั้นได้เลย” “อย่าช้า! นางรู้เรื่องมากเกินไป หากปล่อยไว้ เล่อถงต้องคิดแปรพักตร์” “เหม
น้ำเสียงของชายหนุ่ม ไม่มีคำว่าเสแสร้ง เขาไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมจึงกล้าที่จะพูดความรู้สึกแท้จริงออกมา ทั้งที่เขาไม่เคยให้ใครได้เห็นมันเลยสักครั้ง อาจเพราะนาง เหมือนพี่สาวของเขาก็เป็นได้ “แล้วทำไม จึงไม่ไปหาพวกเขาเล่าเจ้าคะ” “หากข้าทำทุกอย่างได้ตามใจ ก็คงดีไม่น้อย ลูกภรรยารองที่ต้องแบกอนาคตของมารดา แค่หายใจผิดที่ก็คือหายนะแล้ว” “ดูลำบากนะเจ้าคะ” “ใช่!” “แล้วที่คุณชายพูดกับข้า มิกลัวข้าไปเล่าให้ผู้อื่นฟังหรือเจ้าคะ และไม่กลัวจะมีคนแอบฟังรึ!” “หึๆ ข้ามั่นใจว่าจะรู้แค่เราสี่คนเท่านั้น เพราะต่อให้คนที่คิดแอบฟังอยากได้ยิน ก็ไม่อาจเฉียดใกล้ตรงนี้ได้” ชายหนุ่มชำเลืองมองไปที่ ผู้ติดตามของหญิงสาว กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมา ต่อให้เป็นนักฆ่าระดับสูง ก็ยังต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนลงมือ และมิใช่แค่ชายผู้นี้เท่านั้น สาวใช้ของคุณหนูเฉิน ก็หาใช่ธรรมดาไม่... “เรื่องบางเรื่อง หากพูดออกมาแล้วสบายใจ ก็อย่าได้เก็บมันไว้เลยเจ้าค่ะ เว้นแค่เรื่องที่จะนำภัยมาสู่ตนเอง จึงมิควรเอ่ยออกมา คนเราล้วนมีเรื่องที่ยากจะพูดได้ แต่ก็ใช่ว่าบางเรื่องจะระบายออ
ใช้เวลากว่าสองชั่วยาม อาหารมากมายถูกจัดขึ้นโต๊ะ ซึ่งมันเป็นเวลาที่พระอาทิย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเช่นกัน หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว สองย่าหลานก็มานั่งร่วมกินอาหาร รวมถึงสาวใช้ข้างกาย ที่ได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะ กับเจ้านายทั้งสอง“ถงเอ๋อร์ เจ้าได้ข่าวพี่ๆ กับน้องชายเจ้าบ้างหรือไม่”หญิงชราถามถึงหลานชายหญิง ที่ติดตามสะใภ้ใหญ่ของนาง ไปอยู่ไกลถึงเมืองชีเป่ย นางคิดถึงหลานๆ เหลือเกิน ยิ่งเมื่อนึกถึงความต่ำช้าของลูกและสามี นางยิ่งไม่อยากให้หลานชายคนรอง ต้องมีชีวิตมั่วหมองเพราะมีพ่อกับปู่ เป็นคนเห็นแก่ได้ และกระหายในอำนาจ จนมิสนถูกผิด แต่อย่างไร...นางก็มิอาจพูดความจริง บางอย่างออกมาได้ หาไม่แล้วชีวิตของหรงเล่อถง คงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป“พวกเขาก็สุขสบายดีขอรับ เอาไว้เมื่อไหร่ที่พี่ใหญ่ พี่รองและน้องเล็กกลับมาเมืองหลวง ข้าจะพาพวกเขามาพบท่านย่านะขอรับ” “ขอบใจเจ้ามาก อย่างไรเจ้าก็พี่น้อง อย่าให้คำว่าอำนาจมาบังตา จนทำร้ายกันเองเล่า ข้าเชื่อว่าแม่ใหญ่ของเจ้า จะไม่สอนให้พี่น้องของเจ้า ช่วงชิงสิ่งใดและทำร้ายเจ้า นางเป็นคนจิตใจดี และย่าก็เชื่อว่าเจ้า จะมีเลือดของย่า มากที่สุดในกายเช่นกัน”
“สุราดีนะเจ้าคะ” หนิงฮวาเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงปนเขินอาย ตามจริตของสตรี“หากคุณหนูใหญ่ชอบ ข้ายินดีมอบให้เป็นของกำนัล”“หนิงฮวา ขอบคุณท่านอ๋องน้อย ที่มีน้ำใจเจ้าค่ะ”“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”ชายหนุ่มเจ้าบ้าน ยังคงเลือกที่จะดื่มสุราอีกหลายจอก กับสองแม่ลูกสกุลเฉิน และนั้นทำให้หญิงสาวอีกคน ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่ง กำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ ที่คนรักของนาง ให้ความสนใจหญิงอื่นต่อหน้าถึงนางจะเป็นบุตรสาวเสนาบดี แต่นางก็ยังคงเป็นเพียงลูกภรรยารอง ไม่อาจเทียบกับบุตรสาวคนโต สกุลคหบดีที่กำนิดจากภรรยาเอกและเท่าที่สืบรู้มา นายท่านสกุลเฉิน มีเพียงภรรยาเดียว นั่นหมายความว่าทุกอำนาจ อยู่ในมือมารดาของคุณหนูใหญ่สกุลเฉิน นางที่มารดายังเป็นรอง ไหนเลยจะเทียบเคียง“อย่าทำสิ่งใดออกนอกหน้า แค่ลูกพ่อค้า! จะเทียบอันใดเจ้าได้”ฮูหยินรองหรงเอ่ยกับบุตรสาว แม้ว่าในใจจะหวาดหวั่นอยู่มาก แต่นางไม่มีวันแสดงสิ่งใด ให้ศัตรูได้เห็นเด็ดขาด“แต่ท่านอ๋องน้อย”“ท่านอ๋องทำถูกแล้ว ถ้าไม่ไปทักทายพวกนาง จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวตนแท้จริงคือใคร”“เจ้าค่ะ”เมื่อหาข้อโต้แย้งมารดาไม่ได้ หญิงสาวจำต้องยอมนิ่งเงียบ แม้ว่าใบหน้างามจะแสร้งยิ้ม แต่ก็
“นายหญิงน้อยฟาง ตัวแทนสกุลจาง”เป็นเฟยที่ยื่นเทียบเชิญ พร้อมบอกถึงสถานะผู้เป็นนาย หลังจากแม่ลูกสกุลเฉิน ก้าวจากไปแล้ว “เชิญนายหญิงน้อยฟาง ด้านในขอรับ” พ่อบ้านประสานมือโค้งกาย เช่นที่ทำกับแขกคนอื่นๆ ก่อนจะเรียกสาวใช้มานำทาง เพื่อเข้าไปยังลานจัดเลี้ยง จื่อเว่ย เดินตามสาวใช้จวนอ๋องเข้าไป โดยมีชิงหลิงและเฟยก้าวตาม ทั้งสามเดินเข้ามาถึงลานสำหรับจัดเลี้ยง ซึ่งดูเหมือนคืนนี้ จะไม่มีการแยกชายหญิง “นายหญิงฟาง เชิญนั่งเจ้าค่ะ” สาวใช้ผายมือให้แก่ตัวแทนสกุลจาง ก่อนจะเดินจากไป เฟยและชิงหลิง ก้าวเข้าไปยืนอยู่เบื้องหลังของผู้เป็นนาย จื่อเว่ยเหลือบตามองไปยังโต๊ะข้างกัน ก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อย ให้แก่แม่ลูกสกุลเฉิน ซึ่งนับเป็นคู่แข่งทางการค้าคนสำคัญ “ไยวันนี้สกุลจาง จึงได้ให้หญิงงามมาเพียงลำพังเล่า ท่านหย่งสือและหลานๆ ไปที่ใดกัน” เป็นท่านอ๋องน้อยโหว ที่เดินเข้ามาถามจื่อเว่ย คราแรกเขาแอบผิดหวังเล็กน้อย ที่หรงเหลียนฮวาไม่มาด้วย แต่เมื่อครู่นี้...เขาได้ยลโฉมหญิงงามทั้งสอง จากสกุลเฉิน เลยทำให้ความรู้สึกใหม่เข้ามาทดแทน จึงไม่ใคร่จะใส่ใจ ว่าหรงเหลียนฮวาจะมาห