“สวัสดีครับเสี่ย วันนี้หน้าตาสดชื่นจังเลยนะครับ”
เสียงของพนักงานในร้ายเอ่ยทักทาย ทำให้ธีร์ธวัชรีบใช้มือจับดูหน้าตัวเอง แปลกตรงไหน ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด
“แปลกเหรอ” เขาย้อนถามพนักงาน
“ครับ แปลกมาก”
“แปลกยังไง”
“ก็วันนี้เสี่ยเดินยิ้มตั้งแต่หน้าร้านจนถึงตอนนี้ ยังไม่หุบเลยนะครับ”
ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มอยู่อย่างไม่รู้ตัวรีบหุบลงทันที พร้อมเม้มเข้าหากันแน่นกว่าเก่า
“เอาเหล้าขึ้นไปให้ด้วย เหมือนเดิม”
“ครับ ๆ ผมจะรีบเอาขึ้นไปให้นะครับ”
เสียงเข้ม ๆ เอ่ยสั่งเครื่องดื่มแก้เขิน ก่อนที่จะรีบก้าวขายาว ๆ จ้ำอ้าวไปยังชั้นสองที่เป็นห้องทำงาน แต่รอยยิ้มที่หุบเอาไว้เมื่อครู่ดันคลี่ออกมาอีกแล้วโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ธีร์ธวัชหย่อนตัวลงนั่งยังเก้าอี้ทำงานเมื่อเข้ามาในห้อง แผ่นหลังเอนพิงพนัก นิ้วมือก็เคาะลงบนโต๊ะ ในหัวกำลังฉายภาพเมื่อเช้าที่เขากำลังจูบยัยตัวแสบ ริมฝีปากเธอนุ่มมาก แถมหวานอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลิปสติกหรือเปล่าที่ทำให้เขารู้สึกว่าปากของเด็กดื้อนั้นหวานกว่าทุกคนที่เคยจูบมา
‘ฟุ้งซ่าน’ พอเริ่มรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ใบหน้าหล่อ ๆ ก็รีบส่ายไปมาเพื่อขจัดภาพของสายขิมที่หลับตาพริ้มให้เขาจูบเมื่อเช้า แต่ทำไมยิ่งพยายามสลัดออกไปเท่าไหร่ ภาพยัยตัวเล็กก็ยิ่งชัดขึ้นเท่านั้น
‘น่ารัก’ แก้มที่แดงเรื่อขึ้นมาตัดกับผิวสีน้ำผึ้งสุขภาพดี มันยิ่งทำให้เธอดูน่ารักมากขึ้นแบบมาก ๆ
“เหล้ามาแล้วครับเสี่ย”
พนักงานชายใช้แผ่นหลังดันประตูให้เปิดเข้ามา เพราะมือทั้งสองข้างนั้นถือถาดเครื่องดื่มที่เขาสั่งเอาไว้ จากนั้นก็วางมันลงบนโต๊ะตรงโซฟาที่อยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของเขา
“ให้เรียกเด็กไหมครับเสี่ย” พนักงานคนเดิมเอ่ยถามอย่างรู้ใจ
“ไม่ต้อง วันนี้ฉันจะตรวจรายงานสักหน่อย ไม่อยากให้ใครมารบกวน”
“รับทราบครับ”
เมื่อพนักงานกลับออกไปแล้ว สายตาคมก็กลับมาจดจ้องกับเอกสารรายงานรายได้ของร้านต่อ ดูเหมือนว่าเดือนนี้ยอดขายจะพุ่งมากกว่าทุกเดือน แบบนี้คนเป็นเจ้าของร้านแบบเขาค่อยหายเหนื่อยหน่อย
“มีอะไรอีก ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากให้ใครมารบกวน”
ผู้เป็นเจ้าของห้องเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูว่าใครเปิดประตูเข้ามา
“เดี๋ยวนี้กับกิ๊บซี่ เสี่ยใช้คำว่ารบกวนแล้วเหรอคะ”
ร่างระหงในชุดสีแดงสดทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสองแขนกอดอกแล้วยกขาขึ้นไขว่าห้าง ทำให้กระโปรงที่เธอสวมอยู่ร่นขึ้นจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน แต่กิ๊บซี่ก็ไม่ได้สนใจจะดึงลงหรือปกปิด เพราะระหว่างเขากับเธอนั้นเคยเห็นกันมามากยิ่งกว่านี้เสียอีก
“ขึ้นมาได้ยังไง ฉันไม่ได้เรียก”
“ห่างเหินจังเลยนะคะเสี่ย กิ๊บซี่มาเที่ยวก็เลยถามพนักงานว่าเสี่ยมาหรือยัง ก็เลยขึ้นมาทักทายค่ะ”
ขาเรียวยกลงวางบนพื้นทั้งสองข้าง แล้วหยัดตัวลุกขึ้นเดินไปหาอีกฝ่ายที่โต๊ะทำงาน วงแขนโอบรั้งลำคอเขาเอาไว้ก่อนที่จะถือวิสาสะทิ้งตัวลงนั่งบนตักของธีร์ธวัช
“เสี่ยไม่คิดถึงกิ๊บซี่บ้างเหรอคะ เราไม่ได้ทำอะไร ๆ กันนานแล้วนะ”
นิ้วเรียวสวยที่ปลายเล็บแต่งแต้มสีสันสะดุดตาค่อย ๆ เกลี่ยไล้ไปตามกรอบหน้าคมอย่างยั่วยวน
“ช่วงนี้ฉันไม่ว่างน่ะ งานยุ่ง”
ธีร์ธวัชตอบกลับพร้อมกับใช้สองมือยกร่างที่นั่งอยู่ลงจากตักของเขา แล้วก็หันมาสนใจกับเอกสารตรงหน้าต่อ
“แต่เสี่ยทำแบบนี้กิ๊บซี่ก็เฉาตายพอดีสิคะ” หญิงสาวเริ่มทำเสียงเง้างอน “เสี่ยบอกไม่ให้กิ๊บซี่รับงานคนอื่นแล้วเสี่ยจะดูแลกิ๊บซี่เอง แต่นี่อะไร โอนแค่เงินแต่ไม่มาหากันบ้างเลย”
“ดูเหมือนว่าฉันให้เธออยู่สบาย ๆ แล้วจะไม่ชอบสินะ”
คราวนี้ธีร์ธวัชวางปากกาที่จับอยู่ลงบนโต๊ะแล้วเงยหน้ามองคนที่ยังยืนอยู่ข้าง ๆ น้ำเสียงนิ่ง ๆ นั้นทำให้หญิงสาวเริ่มประหม่าขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็กลับไปรับงานตามเดิมได้เลย เดือนหน้าฉันจะจ่ายค่าเสียเวลาให้อีกเดือนก็แล้วกัน”
“เสี่ยคะ!”
“ลงไปข้างล่างได้แล้ว ฉันงานยุ่ง”
ปกติเขาเองก็ไม่ใช่คนขี้หงุดหงิดหรืออารมณ์เสียง่าย ออกจะใจดีกับสตรีเป็นพิเศษ แต่เธอดันมาถูกจังหวะที่กำลังยุ่งกับงานอยู่พอดี
เสียงเดินกระทืบเท้าปึงปังแล้วก็ตามมาด้วยเสียงของประตูที่ถูกปิดด้วยความแรงของคนที่ไม่พอใจ ธีร์ธวัชผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จริง ๆ แล้วเธอก็เป็นคนน่ารักดี แต่ช่วงนี้ชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาเกินไป จนบางครั้งน่าเบื่อจนรู้สึกรำคาญ
ระหว่างที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเซ็นเอกสาร สายตาก็เหลือบไปมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วกดโทรหาใครบางคนที่...ไม่น่ารำคาญ
//ค่ะ เฮียธีร์//
เสียงหวานใสแจ๋วดังมาตาสายเมื่อเด็กดื้อรับโทรศัพท์
“วันนี้อย่ารีบนอนล่ะ เดี๋ยวเฮียซื้อติ่มซำรอบดึกไปฝาก ทำงานอีกไม่นานก็เสร็จแล้ว”
//คืนนี้เฮียไม่อยู่จนร้านปิดเหรอคะ//
“ไม่ล่ะ เหนื่อย อยากนอนพักมากกว่า ถ้าให้ดีมีหมอนข้างนุ่ม ๆ ให้กอดด้วยก็คงหายเหนื่อย”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตอบกลับมา
//ก็ถ้าเฮียธีร์ไม่อึดอัด จะรับขิมไปนอนกอดก็ได้นะคะ//
“ขิมพูดเองนะ”
//ก็...ก็ถ้าเฮียโอเค ขิมก็ยอมเป็นหมอนข้างให้ค่ะ//
“อืม...ถ้างั้นเจอกันนะครับ เด็กดี”
เหมือนสายขิมจะอึ้ง ๆ กับประโยคสุดท้ายที่เขาเอ่ยบอก เธอไม่ได้ตอบกลับอะไรมาอีก แต่เลือกที่จะกดตัดสายไปเสียอย่างนั้น
ธีร์ธวัชนั่งยิ้มอยู่คนเดียว ดูเหมือนหัวใจของเขามันจะเต้นแรงเกินไปหรือเปล่านะ แล้วนี่เป็นอะไรถึงได้พูดกับเธอไปแบบนั้น อืม...นี่มันก็อยู่ในแผนการนั่นแหละ ยัยตัวแสบก็ทำเป็นเก่ง พอเอาเข้าจริงเดี๋ยวได้วิ่งกลับห้องตัวเองเหมือนเมื่อคืน
แต่ถ้าคืนนี้ เธอไม่หนีกลับก็น่าจะดีกว่า จะรู้สึกยังไงนะถ้าได้กอดยัยตัวนุ่มนิ่มทั้งคืน ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากกลับคอนโดไว ๆ นั่นจึงทำให้เขารีบจัดการเอกสารตรงหน้าอย่างเร็วที่สุด
ไปรอคิวติ่มซำเจ้าดังอยู่เกือบชั่วโมง ได้แล้วก็รีบบึ่งรถกลับมายังคอนโด เมื่อประตูเปิดออกก็คนเห็นตัวเล็กที่ยืนฉีกยิ้มกว้างรอต้อนรับอยู่หน้าประตู
ธีร์ธวัชจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้าที่ตอนนี้สวมชุดนอนอยู่ แต่ว่า มันไม่ใช่ไอ้ชุดลูกไม้เหมือนเมื่อคืน
“ทำไมไม่ไม่ใส่ชุดนอนแบบเมื่อคืนครับ สวยดีนะ”
คนโดนทักเรื่องชุดผิวหน้าร้อนเห่อแดงขึ้นมา ความจริงก็ตั้งใจจะใส่ แต่เห็นเขาบอกว่าให้รอกินติ่มซำด้วยกัน ก็เลยคิดว่าหากใช่ชุดแบบนั้นมานั่งกินอาหารมื้อดึกมันคงจะแปลก ๆ ไปสักหน่อย
“ก็เฮียธีร์บอกว่าให้รอกินติ่มซำ จะให้ขิมใส่ชุดแบบนั้นมานั่งที่โต๊ะกินข้าว มันคงแปลก ๆ มั้งคะ” เธอตอบพร้อมกับยื่นมือไปรับถุงใส่อาหารจากมือของเขา
“ไม่เห็นจะแปลกเลย ก็เผื่อว่า...กินของคาวเสร็จจะได้กินของหวานต่อเลยไงครับ เสิร์ฟบนโต๊ะกินข้าวก็ไม่เลวนะ”
คำพูดสองแง่สองง่ามที่เธอเองก็ฉลาดพอจะรู้ทัน ทำให้ริมฝีปากบางได้แต่เม้มเข้าหากันแน่นด้วยความเขินอาย แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังแกล้งเธอเพื่ออยากให้ล้มเลิกความตั้งใจเรื่องแต่งงาน แต่ว่า มันก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้เลยจริง ๆ
หวั่นไหวจนพาให้คิดไปว่า หากคำพูดพวกนี้ออกมาจากความรู้สึกของเฮียธีร์จริง ๆ มันจะเป็นยังไงนะ
“แต่ว่า...ขิมห้ามลืมสัญญานะ ที่บอกว่าจะยอมเป็นหมอนข้างให้เฮียคืนนี้”
ระหว่างที่กำลังแกะติ่มซำใส่จาน ร่างสูงก็เดินมาประชิดแล้วสวมกอดเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง ความอุ่นร้อนจากร่างกายของเขาทำให้เธอยิ่งหวั่นไหวกว่าเดิม
“ขิมไม่ลืมหรอกค่ะ จะให้เฮียธีร์กอดแน่น ๆ เลย”
เอาวะ...งานนี้ถอยไม่ได้แล้วสายขิม!
///////////////////////////////////////////////////////
หลังจากติ่มซำมื้อดึกเสร็จ ธีร์ธวัชก็เข้าไปอาบน้ำ ส่วนสายขิมก็เก็บจานชามไปล้าง แต่ก่อนจะเข้าห้อง ผู้ชายตัวโตก็ยังไม่วายหันกลับมาย้ำกับเธอว่าห้ามลืมสัญญาที่พูดเอาไว้ ทำทุกอย่างเรียบร้อย สายขิมก็เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของเขา ที่เจ้าของบอกเอาไว้ว่าไม่ได้ล็อกเข้ามาได้เลย แต่พอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นว่าเฮียธีร์นั่งอยู่หน้าจอแล็ปท็อปดูเหมือนจะยุ่งมาก “เฮียธีร์ทำงานเหรอคะ” คนตัวเล็กเอ่ยถาม แล้วเลือกที่จะไปนั่งตรงโซฟาในห้องเพื่อจะได้ไม่รบกวนอีกฝ่าย “ครับ ต้องเช็กรายการที่ค้างไว้น่ะ” ธีร์ธวัชตอบกลับทั้งที่สายตายังจ้องอยู่ที่เดิม “ปกติขิมไม่เคยเห็นเฮียเอางานมาทำที่คอนโด” “ก็วันนี้อยากกลับเร็ว ๆ มากินติ่มซำกับขิมไง” มือที่จับเมาส์อยู่วางลงแล้วหันเก้าอี้กลับมามองเด็กดื้อที่นั่งทำตาใสแป๋วอยู่ไม่ไกล จะว่าไปแล้ว พอยัยตัวแสบไม่เถียง ไม่ต่อปากต่อคำ ก็ดูน่ารักดี “นี่เฮียจะบอกว่าขิมเป็นสาเหตุให้เฮียทิ้งงานเหรอคะ” “เปล่านะ เพราะเฮียอยากจะเห็นหน้าขิมต่างหาก” น้ำเสียงทุ้มละมุนที่พูดออกมากำลังพาให้ความคิดเตลิดไปไกล ทั้งแ
ฮืม...ฮืม...ฮืม เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของคนตัวเล็กที่กำลังทำกับขนมอยู่ในครัว มือทำไป ปากจิ้มลิ้มก็ขยับเป็นทำนองไปด้วย วันนี้สายขิมตั้งใจจะทำขนมไปให้เฮียธีร์ที่ออกไปทำงานตั้งแต่ตอนบ่าย ส่วนเป้าหมายก็ไม่มีอะไรมาก แค่หาเรื่องได้อยู่ใกล้ ๆ อีกฝ่ายเท่านั้นเอง หลังจากคืนก่อนที่เธอเสนอตัวไปเป็นหมอนข้างให้เขานอนกอด ผู้ชายตัวโตก็ดูเหมือนจะเริ่มเว้นระยะห่างมากขึ้นอีกแล้ว คงรู้ว่าวิธีที่ตนเองทำอยู่ไม่ได้ผล ตอนนี้คงกำลังหาวิธีใหม่เพื่อจะทำให้เธอล้มเลิกความตั้งใจแล้วกลับใต้ไปซะ แต่คนอย่างสายขิม...ไม่ยอมง่าย ๆ หรอก ใช้เวลาไม่นานมากนัก คัพเค้กที่อบอยู่ในตู้อบก็เสร็จเรียบร้อย สายขิมนำถาดขนมออกมาวางด้านนอกแล้วเริ่มตกแต่งหน้าตาแต่ละชิ้นด้วยความตั้งใจ ถึงแม้เรื่องงานแต่งงานของเธอกับเขาจะเป็นเหมือนการคลุมถุงชนที่คุณแม่จัดการให้ แต่ว่า หากไม่ได้รู้สึกรักสักนิด คนอย่างสายขิมก็คงไม่ยอมง่าย ๆ แบบนี้แน่ แต่สำหรับเฮียธีร์ ไม่แน่ใจนักหรอกว่าเขารู้สึกอย่างไร หากว่าสุดท้ายเมื่อพยายามทำทุกอย่างแล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่อยากแต่งงานกับเธอ เมื่อถึงตอนนั้นคิดเอาไว้ว่าจะ
“คุณขิมวันนี้มาเที่ยวเหรอคะ” เสียงพนักงานต้อนรับในบาร์เอ่ยทักทายหญิงสาวสวยในชุดเดรสรัดรูปสีดำที่เพิ่งเดินเข้ามาด้านใน “เปล่าค่ะ พอดีขิมเอาเอกสารมาให้เฮียธีร์ค่ะ ว่าแต่ เฮียธีร์อยู่บนห้องทำงานใช่ไหมคะ”เธอเอ่ยตอบพร้อมกับถามหาเจ้าของยูนิคอร์นบาร์ “เมื่อกี้เห็นเสี่ยลงมาข้างล่างแล้วนั่งดื่มกับเพื่อนอยู่แถวโซนวีไอพีนะคะ คุณขิมจะไปหาไหมคะ เดี๋ยวหนูเตรียมเหล้าไปเสิร์ฟให้”“ไม่ล่ะค่ะ ขิมแค่จะเอาเอกสารมาให้เฮียธีร์น่ะ ขอบคุณมากนะคะ” คล้อยหลังพนักงานซึ่งต้องไปต้อนรับลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามา สายขิมจึงเดินตรงเข้าไปด้านในสุดของร้านทางซึ่งมีบันไดวนที่จะขึ้นไปส่วนออฟฟิศของบาร์ตรงชั้นสองลูกบิดประตูหน้าห้องถูกล็อก คิ้วมนเลิกขึ้นเล็กน้อย แต่เพราะคิดว่าเจ้าของห้องยังนั่งดื่มอยู่ที่โซนวีไอพี สายขิมจึงหยิบกุญแจที่เธอเองก็มีในฐานะคนช่วยดูแลร้านไขเข้าห้อง แต่ภาพที่เห็นทำเอาเธอต้องเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง มันเป็นภาพของเฮียธีร์ที่กำลังซุกไซ้ใบหน้าอยู่ตรงอกใหญ่กลมที่ตอนนี้ไร้ซึ่งเสื้อผ้าปกปิด หญิงสาวหน้าตาสะสวยด้วยเครื่องสำอางหันมาเห็นเธอก็ตกใจร้องรีบผละออกจากชายหนุ
“ไอ้กร มึงปิดร้านก่อนเวลาไม่ได้เหรอวะ” ธีร์ธวัชที่นั่งอยู่ตรงด้านหน้าตู้โชว์ทองเอ่ยถามเพื่อนสนิทซึ่งกำลังให้บริการลูกค้า ยังไม่ทันที่ภัทรกรจะตอบอะไรกลับไป เพื่อนของเขาก็ถามย้ำลงมาอีกครั้ง “ว่าไงไอ้กร ปิดร้านเร็วหน่อย ไปหาไอ้ตี๋กัน” “อะไรของมึงวะไอ้ธีร์ กูยุ่งอยู่เนี่ย” หันกลับมาตอบเพื่อนเสร็จก็หันไปหาลูกค้า “สร้อยข้อมือหนึ่งบาทนะครับ เดี๋ยวให้น้องพนักงานเอามาให้ดูนะครับ” เมื่อบอกพนักงานในร้านให้มาดูแลลูกค้าต่อเรียบร้อย คราวนี้ภัทรกรก็หันมายืนเท้าสะเอวให้เพื่อนที่นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงเคาน์เตอร์ “มึงมีธุระอะไรวะ ถึงต้องมาบังคับให้กูปิดร้านเนี่ย” “สำคัญมาก ก็ต้องการความช่วยเหลือจากมึงกับไอ้ตี๋” เพื่อนซี้เพ่งพิจารณาสีหน้าของเขา เมื่อเห็นธีร์ธวัชมองมาด้วยสายตาละห้อยก็ทำเพียงพยักใบหน้ารับ “เออ ๆ รอกูอีกครึ่งชั่วโมงละกัน ให้ลูกค้าออกจากร้านหมดก่อน” เจ้าของใบหน้าเศร้า ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก เขาพยักหน้าตอบเพื่อนสนิทแล้วก็ยอมนั่งรอเงียบ ๆ โดยที่ไม่วุ่นวาย จนครบครึ่งชั่วโมง ลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้า
“ขิม เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เสียงเข้ม ๆ ที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้สายขิมต้องรีบหันไปมอง แล้วหัวคิ้วก็ต้องขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อเห็นร่างสูงกำลังเดินดุ่ม ๆ มาทางเธอ ใบหน้าแดงก่ำดูเคร่งขรึมจริงจัง ที่ไม่ต้องเดาให้เหนื่อยก็รู้ว่าคงไปดื่มมาอีกแน่ “ด่วนไหมคะ ถ้าไม่ด่วนขิมขอดูละครตอนนี้จบก่อนได้หรือเปล่า กำลังสนุกเลย” “ด่วนมาก” ไม่พูดเปล่า คนตัวโตหยิบรีโมทโทรทัศน์แล้วกดปิดละครที่เธอกำลังดูอยู่ทันที เด็กดื้องุ้มหน้าใส่ด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดละครอีกครั้ง “เฮียจะมาปิดละครของขิมทำไม” “เพราะเฮียมีเรื่องต้องคุยกับเราไง” ธีร์ธวัชกดปิดโทรทัศน์อีกครั้งเป็นรอบที่สองแล้วโยนรีโมทไปบนโซฟาอีกตัว เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้กดเปิดมันขึ้นมาอีก สองมือแกร่งจับที่หัวไหล่มนแน่นแล้วดึงร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน “ทำไม” เขาเอ่ยถามเพียงสั้น ๆ “ทำไม? เรื่องอะไรคะ” “ก็เรื่องที่เราได้กันวันก่อน ทำไมขิมถึงเฉย ๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมไม่บอกแม่เฮีย ทำไมถึงยังดูปกติทั้งที่ตัวเองโดนเปิดซิง” คำถามถู
“ขิม ไหนบอกจะไปช่วยทำงานที่ร้าน” ธีร์ธวัชเอ่ยถามพลางจ้องมองเด็กดื้อที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอน “ใช่ค่ะ ขิมก็จะไปช่วยเฮียธีร์ที่ร้านไงคะ” “ด้วยชุดนี้?” พอได้เห็นสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองชุดเสื้อครอปตัวสั้น ใส่คู่กับกระโปรงจีบทวิสที่ความยาวประมาณสองคืบ สายขิมก็พยักหน้าตอบแล้วหมุนตัวหนึ่งรอบให้เขาดูชัด ๆ “ใช่ค่ะ ไม่สวยเหรอคะ” “ขิม ไปเปลี่ยนชุด” เขาเลือกที่จะไม่ตอบคำถามแต่ออกคำสั่งให้ยัยตัวเล็กไปเปลี่ยนไอ้ชุดสั้น ๆ นี้ในทันที ไอ้สวยมันก็สวยนั่นแหละ แต่จะให้ใส่ไปช่วยทำงานในร้าน หากมีลูกค้าผู้ชายที่เมาแล้วมาลวนลามจะทำอย่างไร ไม่ได้หวงหรอก แต่แค่ไม่อยากมีปัญหาหากแม่เขารู้เรื่องเข้าก็เท่านั้น “ไม่เปลี่ยนค่ะ ไม่เห็นเป็นไรเลย สวยดีออก” ไม่พูดเปล่า แต่เด็กดื้อเดินนำเขาไปทางหน้าประตู สวมรองเท้าแล้วยืนยิ้มแฉ่งรอ “ถ้าโดนคนเมาลวนลาม ฉันไม่ช่วยนะบอกไว้ก่อน” “ขิมโตแล้วนะ เฮียไม่ต้องห่วงหรอก” “โตแล้ว?” พูดจบก็ไล่สายตามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ถ้าบอกว่าโตก็ไม่เถียงหรอก แต่มันดั
สายตาคมจับจ้องไปยังหน้าจอที่แสดงภาพของกล้องวงจรปิดที่อยู่ในร้านทั้งหมด กล้องตัวหนึ่งที่ติดอยู่ในบาร์น้ำถูกปรับขยายให้เห็นภาพชัดขึ้น เพื่อเขาจะได้ดูเด็กดื้อที่บอกจะลงไปข้างล่างช่วยดูร้านว่ากำลังทำอะไร ท่างทางของเธอที่กำลังตื่นเต้นเมื่อได้ลองทำเครื่องดื่มสีสวยนั้นทำให้เขาเผลอยิ้มตามไม่รู้กี่รอบ ใครกันที่บอกจะมาช่วยทำงาน เท่าที่เห็นเหมือนเด็กมาเล่นระหว่างปิดเทอมมากกว่า “ยัยเตี้ยเอ๊ย...ชิมไปชิมมา เดี๋ยวก็เมาพอดี” ธีร์ธวัชบ่นกับตัวเองเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าให้กับความแสนซนของเธอซึ่งกำลังหยิบแก้วเครื่องดื่มหลากสีที่ลองทำขึ้นมาชิมทีละแก้ว แล้วสายตาเป็นประกายระยับก็ต้องเปลี่ยนเป็นคิ้วขมวดเข้าหันกัน พร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ระบายอยู่บนใบหน้าก็หุบลงในทันที เมื่อมีลูกค้าผู้ชายมานั่งยังบาร์แล้วเริ่มพูดคุย รวมถึงสั่งเครื่องดื่มให้กับยัยตัวแสบของเขา ร่างสูงลุกพรวดจากเก้าอี้ทำงาน เดินไปเปิดประตูห้องอย่างรีบร้อนเพื่อลงไปยังด้านล่าง ภาพที่เห็นเมื่อมาถึงมันน่าหงุดหงิดชะมัด บอกแล้วว่าอย่าดื้อ อย่าซน แต่นี่อะไรกลับมายืนยิ้มพูดคุยกับผู้ชายคนอื่นเสียได้
“อืม...แล้วขิมว่า เด็กดื้อต้องโดนอะไรดีนะ” “แล้วเฮียจะลงโทษเด็กดื้อแบบขิมยังไงคะ” ทั้งสายตาและน้ำเสียงของเธอในตอนนี้คงต้องบอกตามตรงว่าทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งสูงยิ่งกว่าโดนวางยาเสียอีก ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ที่เด็กน้อยแสนเรียบร้อยน่ารักกลายเป็นแม่เสือสาวที่สามารถตะปบเขาได้แล้ว “ในนี้?” “ที่ไหนก็ได้ค่ะ” ไวเท่าใจคิด สองมือใหญ่จับเอวคอดแล้วยกคนตัวเล็กลอยหวือขึ้นมานั่งบนเคาน์เตอร์ล้างมือ พร้อมกับร่างสูงที่เบียดแทรกมายืนอยู่หว่างขาเรียว สองแขนยกขึ้นคล้องคอของเขาอย่างรู้งาน ไหน ๆ ก็ฝึกด้วยการดูคลิปอย่างว่ามาตั้งเยอะแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องเอามาใช้สักหน่อย ใบหน้าคมถูกโน้มลงมาด้วยคนตัวเล็กกว่าจนปลายจมูกของทั้งคู่ชิดกัน ก่อนเสียงพร่าหวานจะเอ่ยออกมาอย่างยั่วยวน “ขิมอยากให้เฮียจูบ” “ยั่วเก่ง ไปฝึกมาจากไหน” เอ่ยถามแบบไม่ต้องการคำตอบ ริมฝีปากหยักประกบทาบทับลงไปตามคำร้องขอ ปลายลิ้นอุ่นดุนดันให้กลีบปากนุ่มอ้าออกให้แทรกเรียวลิ้นเข้าไปได้ และเพียงแค่เธอเผยออ้า ลิ้นของเขาก็ตวัดเกี่ยวเร่าร้อนในทันที ความรุ่
การมาบาร์วันนี้ต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย เนื่องจากคนเป็นเจ้าของต้องมาที่นี่เพียงคนเดียว ใจหนึ่งก็อยากจะหยุดอยู่คอนโดเพราะว่าสายขิมดันป่วยขึ้นมาเฉย ๆ ด้วยอาการแพ้อากาศ อยากจะดูแลอยู่ข้าง ๆ แต่ทางภรรยากลับไล่ให้ออกมาที่บาร์ เธอไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นภาระขนาดนั้น และบอกว่าให้เขามองงานสำคัญเป็นที่หนึ่งเสมอ...ห้ามเกเร ห้ามดื้ออีก อาจเพราะสภาพอากาศในช่วงนี้ที่ช่างน่าเบื่อหน่าย การที่ผู้คนเลือกจะหาสถานที่ดื่มด่ำผ่อนคลายจึงกลายเป็นเรื่องที่นิยมขึ้นมา ยูนิคอร์นบาร์จึงแทบไม่เหลือที่ว่าง มันประสบความสำเร็จมากกว่าที่คิด แต่ก็รองลงมาจากการประสบความสำเร็จเรื่องราวความรักอยู่ดี... ธีร์ธวัชดินตรวจดูรอบ ๆ ร้าน พูดคุยกับลูกค้าสอบถามความเห็นและปัญหาอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการ สิ่งนี้คืออีกเสน่ห์หนึ่งที่ทำให้บาร์ของธีร์ธวัชประสบความสำเร็จได้และติดลมบนอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเขาเดินตรงไปยังบาร์เครื่องดื่ม ที่เวลานี้บาร์เทนเดอร์กำลังโชว์ลวดลายลีลาเชคผสมรังสรรค์เมนูเลิศรสให้กับลูกค้าชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว มองจากข้างหลังก็ยังรู้ว่าเป็นใคร
เธอยังคงสดในเหมือนกับวันแรกที่ได้เจอ... ธีร์ธวัชลอบมองใบหน้าจิ้มลิ้มยามหลับใหลของหญิงสาวอันเป็นที่รักเงียบ ๆ เธอยังไม่ตื่น อาจเพราะเมื่อคืนบทรักที่ร่วมบรรเลงคงยาวนานไปหน่อยสำหรับเด็กดื้อเสียงลมหายใจดังขึ้นแผ่วเบา แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ลอดผ่านม่านพลิ้วไสวสาดทับใบหน้าเนียนยิ่งทำให้ความน่าเสน่หาของสายขิมเปล่งประกาย ปลายนิ้วละเลียดสัมผัสปอยผมด้วยความรักใคร่ ทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ธีร์ธวัชไม่เคยนึกฝันว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะได้ลงเอยกับใครสักคนแบบนี้หนึ่งเดือนพ้นผ่านหลังจากงานวิวาห์ จะว่าตนเองคือรางวัลของพยายามที่สายขิมตามจีบตามตื๊ออย่างไม่ว่างเว้นก็คงไม่ผิด แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ไม่เคยอยากจะมีเมียกลับรู้สึกอบอุ่นและโชคดีที่ได้เธอคนนี้มานอนกอดไม่ต่างกัน รัก...รัก...รัก...รักที่สุด ขิมของเฮีย! ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกริ่มขึ้นมาในความเงียบงัน เป็นเวลาเดียวกับที่แพขนตาสวยขยับเปิดขึ้น สายขิมลืมตาขึ้นมาอย่างแช่มช้า ขยับตัวไปมาในวงแขนของสามี ก่อนที่จะได้เห็นว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่ก่อนแล้ว “เฮียธีร์...ตื่นนานหรือยังคะ” เสียงใสเอ่ยถาม พอสายตาได
“เฮียธีร์...เป็นอะไรคะ” สายขิมเอ่ยถามพร้อมกับใช้สายตามองดูสามีที่นอนคว่ำอยู่บนที่นอน ทั้งยังใช้กำปั้นทุบบริเวณไหล่ตัวเองไม่หยุด “ปวดไหล่เหรอคะ”“อืม...” ธีร์ธวัชพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ“ถ้าอย่างนั้นขิมช่วยนวดให้นะ” มือนุ่มวางสัมผัสลงไปบนแผ่นหลังกว้าง เปลือกตาคมปิดลงให้ภรรยาตัวน้อยช่วยนวดคลายความปวดเมื่อย “ไปทำอะไรมาคะ ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ปวดหลัง ปวดไหล่ได้ หรือว่าเฮียไปยกอะไรหนัก ๆ มา” “เมื่อคืนช่วยเด็กยกลังใส่โซดาน่ะ เดินผ่านเห็นคนไม่พอ น่าจะผิดท่าไปหน่อย” มือนุ่มเริ่มขยับออกแรงกดลงไปหนัก ๆ ใบหน้าคมเอียงซบลงไปบนหมอนนิ่ม เอียงข้างหันมาด้านหนึ่ง เมื่อเส้นตึงได้รับการบีบนวดถูกอกถูกใจ จึงเผลอครางออกมาผ่านลำคอ เหมือนต้องการอยากบอกกับหมอนวดส่วนตัวว่าตนพออกพอใจเพียงใด “อืม...ขิมนวดเก่งจัง ตรงนั้นแหละ” “ตรงนี้เหรอคะ” คนตัวเล็กขยับตัวขึ้นมาอีกนิดเพื่อจะได้กดน้ำหนักลงบนไหล่แกร่งได้สะดวก ทำให้ตอนนี้ลำตัวของเธออยู่ระดับสายตาของคนที่นอนอยู่อย่างพอดิบพอดี “อืม...”เจ้าของไหล่กว้างปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้สายตา
โห่...ฮี้โห่...ฮี้โห่...ฮี้โห่...ฮิ้ว.... จบเสียงโห่นำก็ตามมาด้วยเสียงกลองยาว ฉิ่ง ฉาบ ที่เริ่มบรรเลงดนตรีเป็นจังหวะสนุกสนาน พร้อมกับคนที่เดินอยู่ในขบวนขันหมากต่างยกไม้ยกมือขึ้นฟ้อนรำมาตามถนน ธีร์ธวัชในชุดเจ้าบ่าวสีขาวสะอาดพาดบ่าด้วยสไบสีทองเดินอยู่หน้าสุด ข้าง ๆ กันเยื้องไปด้านหลังนิดหน่อยมีเพื่อนสนิทสองคนที่เดินถือพานสินสอดตามมาด้วย “หน้าบานเหมือนจานข้าวหมา” เป็นเสียงของกิตติภพพูดขึ้นปนหมั่นไส้ เนื่องจากสีหน้าของคนเป็นเจ้าบ่าววันนี้ดูจะเบิกบานเกินหน้าเกินตา ไม่เหมือนกับไอ้คนที่ประกาศปาว ๆ ว่าจะไม่แต่งงานเมื่อหลายเดือนก่อนเลยสักนิดเดียว “เรื่องของกู” คนโดนแขวะตอบกลับทั้งที่สายตายังจ้องมองไปยังถนนที่ตรงไปยังบ้านของเขา รอยยิ้มกว้างที่อยู่บนใบหน้าไม่ได้หุบลงแม้แต่วินาทีเดียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ยับเยินให้กับเด็กดื้อที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่แต่งงานด้วยเด็ดขาด แต่ใครใช้ให้เธอน่ารัก น่ามอง แถมยั่วเก่ง นาทีนี้อดใจไหวก็คงไม่ใช่ผู้ชาย แต่ที่มากกว่านั้น ก็คงเป็นความจริงใจที่สายขิมมีให้ หากคิดทบทวนกลับไปให้ดี
สายขิมจ้องมองโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของธีร์ธวัช ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมองหน้ากัน แล้วก้มมองรายชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจออีกครั้ง “เฮียธีร์แน่ใจแล้วนะ” “แน่ใจแล้วสิ ถ้าไม่แน่ใจเฮียไม่ทำแบบนี้หรอก” เขาตอบแล้ววาดวงแขนรั้งคนตัวเล็กให้มาอยู่ในอ้อมกอด ก่อนที่ปลายนิ้วจะกดโทรออกหาคนที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ไม่นานนักก็มีเสียงทักทายมาจากปลายสาย //โทรมาแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่าตาธีร์ หรือว่าน้องไม่สบายแกถึงได้โทรมาหาแม่// แม่ของเขานี่ยังไงกัน นึกถึงแต่ลูกสาวสุดที่รักตลอด ไม่ถามไถ่ลูกตัวเองสักคำว่าสุขสบายดีไหม “นี่แม่คิดแต่ว่าผมจะรังแกลูกสาวแม่หรือไงครับ ถึงได้ถามแบบนี้” น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจกรอกไปตามสาย ทำเอาคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนได้แต่แอบหัวเราะอยู่คนเดียว ก็เวลาเฮียธีร์คุยกับคุณแม่ เหมือนว่าจะทำตัวเป็นเด็กมากกว่าตอนอยู่กับเธอเสียอีก //แล้วแกโทรมาทำไมแต่เช้า// “ผมมีข่าวดีจะบอกแม่ด้วยล่ะ” //ข่าวดีอะไรของแก// แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของคุณหญิงแม่ดูจะไม่ค่อยตื่นเต้นสักเท่าไหร่กับคำว่า ‘ข่าว
แสงแดดในยามบ่ายตกกระทบน้ำทะเลจนเป็นประกายระยิบระยับราวกับเพชรที่กำลังต้องแสง สายลมพัดโชยพาเอาไอเค็มของทะเลมาแตะต้องผิวหนัง ธีร์ธวัชเอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดสีขาว สายตาคมกวาดมองไปทั่วบริเวณจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ร่างบางของเด็กดื้อที่กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่ไม่ไกล สายขิมในชุดบิกินี่สีชมพูอ่อนตัดกับผิวสีน้ำผึ้งดูโดดเด่น ขณะที่คลื่นลูกเล็กๆ ซัดเข้าใส่ร่างอรชร ทำให้ชุดว่ายน้ำแนบชิดไปกับเรือนร่างยิ่งขึ้น นัยน์ตาคมเข้มไล่มองคนตัวเล็กที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่เส้นผมสีดำสนิทที่ปลิวไปตามลม ใบหน้าหวานที่เปื้อนยิ้ม แก้มนุ่มที่แดงระเรื่อจากแสงแดด ไปจนถึงเรือนร่างที่ดูสมส่วนในชุดบิกินี่ตัวจิ๋ว แล้วก้อนเนื้อใต้หน้าอกข้างซ้ายก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นเอามากแล้วจริง ๆ ยิ่งเขามองยัยตัวเล็กนานมากเท่าไหร่ รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็กว้างขึ้นมากเท่านั้น และมันก็กว้างเสียจนกิตติภพที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดข้าง ๆ กันพูดขึ้น “อาการมันเป็นยังไงบอกกูมาดิ๊ ต้องกินยา หรือว่าต้องไปหาหมอไหมไอ้ธีร์” ได้ยินคำถามของเพื่อนซี้ ธีร์ธวัชก็ค่อย ๆ เบนสายต
“ทำไมจู่ ๆ มึงอยากไปเที่ยวทะเล” ธีร์ธวัชยืนพ่นควันบุหรี่อยู่ที่ระเบียงคอนโด ในมือถือโทรศัพท์กำลังคุยกับกิตติภพ เขาถามออกไปอย่างนั้น เพราะเมื่อครู่เพื่อนสนิทบอกว่า สุดสัปดาห์นี้จะไปเที่ยวทะเลกันและเป็นการชวนกึ่งบังคับที่เขาจะต้องไปด้วย //ก็หมวยเพิ่งกลับจากจีนไง กว่ามหา’ลัยจะเปิดเทอม กูก็อยากพาน้องไปเที่ยวก่อน// “มึงอยากพาน้องไปเที่ยว หรือว่าอยากจะไปแดกเพื่อนน้องที่ริมทะเลกันแน่วะ” //ไอ้เหี้ยธีร์ กูไม่นิยมกินเด็กมึงก็รู้// คำตอบของเพื่อนทำเอาธีร์ธวัชได้แต่หัวเราะเบา ๆ อยู่ในลำคอ คนอย่างเสี่ยตี๋ไม่นิยมกินเด็กก็จริง แต่ว่า...หากเด็กมันยั่วมาก ๆ ก็ไม่น่าจะทนไหว ขนาดเขาที่ว่าอดทนเก่งแล้ว ก็ยังทนที่สายขิมยั่วไม่ไหวเลย “เออ ๆ เดี๋ยวกูบอกขิมก่อน” //เจอกันวันเสาร์ แค่นี้แหละ// จบคำว่า แค่นี้แหละ สายก็ตัดไปทันที ร่างสูงหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องก็เห็นว่าเด็กดื้อกำลังนั่งกินขนมสบายใจ จะว่าไปแล้ว เขาเองก็ไม่เคยพาสายขิมไปเที่ยวที่ไหนเลยตั้งแต่ตกลงคบกัน ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีแล้วกันจะได้พาเธอไปเปิดหูเปิดตา “ขิม...
“ขิมจะกลับพร้อมตาธีร์จริง ๆ เหรอลูก” คุณหญิงเธียรธาราเอ่ยถาม เมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนเช้าแล้วเห็นว่าที่ลูกสะใภ้ลากกระเป๋าเดินทางออกมาด้วย ตามหลังสายขิมก็มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดิมตามอยู่ไม่ห่าง “ค่ะคุณแม่ ขิมจะไปช่วยงานเฮียธีร์น่ะค่ะ เห็นว่าไม่อยู่แค่คืนเดียว ระบบในร้านรวนไปหมด” ธีร์ธวัชยืนเอามือล้วงกระเป๋า ไม่หือ ไม่อือ กับเหตุผลที่ยัยตัวเล็กเอ่ยบอกผู้เป็นแม่ ในตอนนี้ถึงเธอจะบอกว่าถูกตามให้กลับกรุงเทพฯ เพราะเขาทนความคิดถึงไม่ไหว ก็จะไม่เถียง ไม่ปฏิเสธแม้แต่คำเดียว แต่เป็นสายขิมเสียเองที่ตัดสินใจยังไม่อยากบอกเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แม่ได้รับรู้ “ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะลูก ว่างแล้วก็กลับมาเที่ยวบ้านกันบ่อย ๆ ล่ะ แม่คิดถึง” “ค่ะคุณแม่” สองมือยกขึ้นไหว้คนตรงหน้าอย่างนอบน้อม แล้วก็เดินไปยังรถที่จอดรออยู่ ในขณะที่ธีร์ธวัชกำลังจะเดินตามเด็กดื้อออกไป แม่ของเขาก็คว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน “ถ้าแกดูแลน้องไม่ดี รอบนี้แม่จะเอาน้องคืนแบบไม่ให้กลับไปหาแกอีกเลย” คุณหญิงเธียรธาราเอ่ยบอกลูกชายพร้อมกับระบายรอยยิ้มกว้างจนเกือ
ก๊อก ก๊อก! เสียงเคาะประตูที่ดังอยู่ด้านนอก ทำให้คนที่กำลังจะล้มตัวลงนอนต้องดีดตัวลุกขึ้นมาเปิดไฟจนสว่างอีกครั้ง สายขิมเดินไปเปิดประตูเพื่อดูว่าเป็นใคร แล้วก็เห็นผู้ชายตัวโตกำลังยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่ ทั้งในมือยังหอบหมอนกับผ้าห่มมาด้วยอีกต่างหาก “เฮียธีร์มาห้องขิมทำไมคะ”เธอเอ่ยถามถึงแม้จะพอรู้คำตอบอยู่บ้างแล้ว คนเจ้าเล่ห์แบบเขาก็คงมีเป้าหมายเดียวเท่านั้น“อยากนอนด้วย แล้วก็มาทวงรางวัลปลอบใจที่ขอเอาไว้เมื่อตอนบ่าย”ยังไม่ทันได้ตอบหรือเอ่ยอนุญาต ธีร์ธวัชก็แทรกตัวเข้ามาในห้องนอนของเธอแล้วเรียบร้อย แถมยังวางหมอนกับผ้าห่มของตัวเองไว้บนเตียงโดยไม่ขอความเห็นจากเจ้าของห้องแม้แต่คำเดียว“ขิมยังไม่ทันได้บอกเลยว่าจะให้เฮียธีร์นอนด้วย”“แต่เฮียอุตส่าห์มาแล้ว ขิมจะใจร้ายไล่เฮียได้ลงคอเหรอ” กำลังสลับบทบาทกันอยู่หรือเปล่านะ เมื่อก่อนเป็นเธอไม่ใช่เหรอที่พยายามเอาตัวไปอยู่ใกล้ ๆ เขา คอยทำทุกอย่างให้ผู้ชายตรงหน้าตกหลุมรัก แล้วดูตอนนี้สิ ทำตัวเหมือนแมวที่กำลังอ้อนขอความรักอยู่อย่างนั้นแหละ คนตัวเล็กส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วก็เดินกลับไปนั่งบนเตียงนอนของตัวเอง ที่ต