สายตาคมจับจ้องไปยังหน้าจอที่แสดงภาพของกล้องวงจรปิดที่อยู่ในร้านทั้งหมด กล้องตัวหนึ่งที่ติดอยู่ในบาร์น้ำถูกปรับขยายให้เห็นภาพชัดขึ้น เพื่อเขาจะได้ดูเด็กดื้อที่บอกจะลงไปข้างล่างช่วยดูร้านว่ากำลังทำอะไร ท่างทางของเธอที่กำลังตื่นเต้นเมื่อได้ลองทำเครื่องดื่มสีสวยนั้นทำให้เขาเผลอยิ้มตามไม่รู้กี่รอบ ใครกันที่บอกจะมาช่วยทำงาน เท่าที่เห็นเหมือนเด็กมาเล่นระหว่างปิดเทอมมากกว่า “ยัยเตี้ยเอ๊ย...ชิมไปชิมมา เดี๋ยวก็เมาพอดี” ธีร์ธวัชบ่นกับตัวเองเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าให้กับความแสนซนของเธอซึ่งกำลังหยิบแก้วเครื่องดื่มหลากสีที่ลองทำขึ้นมาชิมทีละแก้ว แล้วสายตาเป็นประกายระยับก็ต้องเปลี่ยนเป็นคิ้วขมวดเข้าหันกัน พร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ระบายอยู่บนใบหน้าก็หุบลงในทันที เมื่อมีลูกค้าผู้ชายมานั่งยังบาร์แล้วเริ่มพูดคุย รวมถึงสั่งเครื่องดื่มให้กับยัยตัวแสบของเขา ร่างสูงลุกพรวดจากเก้าอี้ทำงาน เดินไปเปิดประตูห้องอย่างรีบร้อนเพื่อลงไปยังด้านล่าง ภาพที่เห็นเมื่อมาถึงมันน่าหงุดหงิดชะมัด บอกแล้วว่าอย่าดื้อ อย่าซน แต่นี่อะไรกลับมายืนยิ้มพูดคุยกับผู้ชายคนอื่นเสียได้
“อืม...แล้วขิมว่า เด็กดื้อต้องโดนอะไรดีนะ” “แล้วเฮียจะลงโทษเด็กดื้อแบบขิมยังไงคะ” ทั้งสายตาและน้ำเสียงของเธอในตอนนี้คงต้องบอกตามตรงว่าทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งสูงยิ่งกว่าโดนวางยาเสียอีก ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ที่เด็กน้อยแสนเรียบร้อยน่ารักกลายเป็นแม่เสือสาวที่สามารถตะปบเขาได้แล้ว “ในนี้?” “ที่ไหนก็ได้ค่ะ” ไวเท่าใจคิด สองมือใหญ่จับเอวคอดแล้วยกคนตัวเล็กลอยหวือขึ้นมานั่งบนเคาน์เตอร์ล้างมือ พร้อมกับร่างสูงที่เบียดแทรกมายืนอยู่หว่างขาเรียว สองแขนยกขึ้นคล้องคอของเขาอย่างรู้งาน ไหน ๆ ก็ฝึกด้วยการดูคลิปอย่างว่ามาตั้งเยอะแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องเอามาใช้สักหน่อย ใบหน้าคมถูกโน้มลงมาด้วยคนตัวเล็กกว่าจนปลายจมูกของทั้งคู่ชิดกัน ก่อนเสียงพร่าหวานจะเอ่ยออกมาอย่างยั่วยวน “ขิมอยากให้เฮียจูบ” “ยั่วเก่ง ไปฝึกมาจากไหน” เอ่ยถามแบบไม่ต้องการคำตอบ ริมฝีปากหยักประกบทาบทับลงไปตามคำร้องขอ ปลายลิ้นอุ่นดุนดันให้กลีบปากนุ่มอ้าออกให้แทรกเรียวลิ้นเข้าไปได้ และเพียงแค่เธอเผยออ้า ลิ้นของเขาก็ตวัดเกี่ยวเร่าร้อนในทันที ความรุ่
“แค่ไปกินเหล้ากับไอ้พวกนั้น ไม่เห็นจะต้องแต่งตัวจัดเต็มขนาดนี้เลย ข้างล่างก็สั้น ข้างบนก็เว้า” ผู้ชายตัวโตวัย 35 ขวบ บ่นออกมาเบา ๆ ระหว่างที่นั่งมองยัยตัวแสบกำลังสวมเสื้อผ้าอยู่ในห้องของเขา ใช่แล้ว...ตอนนี้ธีร์ธวัชให้สายขิมย้ายเข้ามานอนกับตัวเองในห้องนอนใหญ่ โดยให้เหตุผลที่ว่า เวลาอยากจะได้เอาได้ง่าย ๆ ส่วนยัยตัวเล็กก็ไม่ปฏิเสธหรือโต้แย้งอะไร เพราะนั่นก็คือสิ่งที่เธอต้องการมาตลอด การที่เฮียธีร์ให้เธอเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร นั่นย่อมหมายถึงอีกฝ่ายเริ่มเปิดใจให้เธอบ้างแล้ว “ก็เฮียธีร์เป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่าจะไปคลับของเพื่อนเฮีย ขิมก็ต้องแต่งตัวให้เหมาะกับสถานที่สิ” ก็ใช่ เขาเป็นคนบอกเองว่าจะไปคลับของเพื่อนซี้ ซึ่งคืนนี้กิตติภพปิดร้านเพื่อเลี้ยงฉลองต้อนรับน้องสาวเพียงคนเดียวกลับมาจากประเทศจีน แต่ว่า...ก็ไม่ได้หมายความจะให้เธอแต่งตัวด้วยชุดโป๊ ๆ แบบนี้สักหน่อย “มันโป๊ไปขิม เปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลย” “เฮียธีร์หวงขิมเหรอ” สายขิมเดินเข้ามาใกล้ ๆ คนตัวโตที่นั่งอยู่ปลายเตียง สองแขนยกขึ้นคล้องคอเขาเอาไว
ธีร์ธวัชเหลือบสายตามองดูสายขิมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขาเป็นระยะ เพราะรู้สึกว่าวันนี้เธอดูแปลกไปกว่าทุกวัน อาการที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูบ่อย ๆ มันเหมือนกับว่ากำลังรอใครหรืออะไรบางอย่างอยู่ “เป็นอะไร มองนาฬิกาอยู่นั่น” “อ๋อ...วันนี้รุ่นพี่ที่สนิทกันมาสัมนาที่กรุงเทพฯ ค่ะ ขิมเลยชวนพวกพี่ ๆ มาเที่ยวที่ร้าน ขิมจะเลี้ยงเอง” เมื่อได้คำตอบใบหน้าคมก็พยักขึ้นลงอย่างเข้าใจ แต่ขณะที่กำลังจะก้มหน้าลงไปอ่านเอกสารต่อ ก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ธีร์ธวัชเงยหน้าขึ้นมามองยัยตัวเล็กอีกครั้ง “รุ่นพี่ผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วมากันกี่คน” คนโดนถามยกนิ้วขึ้นมานับเพื่อไล่รายชื่อรุ่นพี่ที่จะมาในคืนนี้ เพียงครู่เดียวเธอก็ตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “มาหกคนค่ะ ผู้หญิงสี่ ผู้ชายสอง” “ผู้ชายมีใครบ้าง” “บอกไปเฮียธีร์ก็ไม่รู้จักหรอก” เป็นการตัดบทที่ไม่สามารถเถียงอะไรต่อได้อีก ก็ถูกที่เขาไม่รู้จักเพื่อนหรือสังคมของเธอทางนั้นเลย อาจจะเพราะเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่มัธยมปลาย ตอนนั้นสายขิมก็ยังเด็กมาก จำได้ว่าเพิ่งจะสี่ขวบเท่าน
Rrrr Rrrr เสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุดอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงนอนทำให้ธีร์ธวัชต้องจำใจยกแขนที่กำลังกอดเด็กดื้ออยู่ออก แล้วเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู “แม่?” เขาอ่านชื่อปลายสายที่โชว์อยู่บนหน้าจอ สลับกับมองเวลาในตอนนี้ เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าเอง ทำไมแม่เขาถึงได้โทรมาเช้าขนาดนี้ แต่จะอย่างไร นิ้วยาวก็รีบกดรับก่อนที่สายจะตัดไป “ครับแม่ โทรมาแต่เช้าเลยนะครับ มีอะไรหรือเปล่า” “เฮียธีร์ คุยกับใครเหรอคะ” แต่ยังไม่ทันที่คุณหญิงเธียรธาราจะตอบ สายขิมที่นอนอยู่ได้ยินเสียงพูดก็งัวเงียถาม “ไม่มีอะไร นอนเถอะ” เขาใช้มือปิดสปีกเกอร์เอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงพูดเล็ดลอดเข้าไปได้ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว //เสียงใครน่ะตาธีร์ แม่ได้ยินเหมือนมีเสียงผู้หญิงพูดกับแก นี่แกนอนกับใคร// “ไม่มีครับแม่ ผมอยู่คอนโดจะนอนกับใครได้ ว่าแต่แม่โทรมาทำไมครับ” ธีร์ธวัชรีบแก้ตัว ขืนแม่เขารู้ว่านอนอยู่กับสายขิม มีหวังคงมีงานแต่งงานเกิดขึ้นภายในเย็นนี้แน่ ๆ //ให้มันจริง อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกไปนอนกับผู้หญิงคนอื่น
“เอาผู้หญิงไหม กูเรียกให้” กิตติภพเอ่ยถามเพื่อนตัวเองที่มานั่งทำหน้าบูดอยู่ในห้องทำงานของเขาตั้งแต่หัวค่ำ “ไม่เอา ไม่มีอารมณ์” “ไม่มีอารมณ์?” ธีร์ธวัชเหลือบสายตามองเพื่อนซี้ที่ทำเสียงสูงใส่ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่พูด แต่ก็เพียงเท่านั้น เพราะเขาเองไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงอะไรในตอนนี้ “แล้วนี่เป็นอะไร ร้านไม่ยอมเปิดแต่มาสิงอยู่ร้านกูเนี่ย” กิตติภพถามต่อแล้วก็มีใครบางคนเปิดประตูห้องเข้ามาพอดี เป็นสาวสวยสองคน ซึ่งไม่ต้องเดาก็ว่าใครเป็นคนเรียกมา “กูบอกแล้วไงไอ้ตี๋ว่าไม่ต้องเรียกเด็ก” “เอาน่า เผื่อจะทำให้มึงหายหงุดหงิดได้บ้าง” “กูไม่เอา” เขาตอบกลับน้ำเสียงจริงจังแล้วหันไปสั่งให้สองสาวนั่งดื่มอยู่ที่โซฟาอีกฟากหนึ่ง ส่วนตัวเองก็เขยิบไปนั่งเบียดกับเพื่อนซี้แทน “อะไรของมึงวะไอ้ธีร์ สรุปมึงเป็นอะไร เหล้าก็ไม่แดก ผู้หญิงก็ไม่เอา” เสียงผ่อนลมหายใจหนัก ๆ ดังออกมา กิตติภพเห็นแบบนั้นก็โบกให้หญิงสาวที่ตนเรียกมาออกไปจากห้องก่อน แล้วก็หันมาหาเพื่อนซี้ที่ยังนั่งทำหน้าเป็นหมาป่วย “
เกือบบ่ายสอง มีรถไม่คุ้นตาคันหนึ่งมาจอดหน้าประตูรั้วบ้าน ทำให้คนงานที่กำลังทำสวนอยู่นั้นได้แต่ชะเง้อคอมองอย่างสงสัย พอประตูรถเปิดออกพร้อมกับใครบางคนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคู่กับกางเกงยาวและแว่นกันแดดก้าวลงมา ก็ยิ่งทำให้สงสัยหนักเข้าไปอีก “มาหาใครครับ” คนงานชายถามออกไปด้วยสำเนียงภาษาใต้ และก็ยังมองหน้าผู้มาเยือนอยู่แบบนั้น “มาหาแม่ครับ เปิดประตูให้ผมหน่อย” แว่นกันแดดถูกถอดออกแล้วเอามาเหน็บไว้ตรงคอเสื้อ แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ผู้ชายที่อยู่ด้านในรั้วก็ยังมองหน้าเขาอย่างสงสัยอยู่เช่นเดิม “จำผมไม่ได้เหรอครับ” ธีร์ธวัชชี้นิ้วเข้าหาตัวเองพร้อมเอ่ยถาม อีกฝ่ายก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาเพื่อเป็นคำตอบ หรือว่า...เขาจะไม่ได้กลับบ้านนานไปหน่อยเลยทำให้คนงานลืมหน้าหมดแล้ว “ผมธีร์ครับ ลูกคุณแม่” พอได้ยินคำตอบ คนงานชายก็เบิกตากว้างก่อนที่จะรีบร้อนไปเปิดประตูรั้วให้ลูกชายของผู้เป็นเจ้านาย “ขอโทษนะครับคุณธีร์ ไม่เจอกันนานผมจำหน้าแทบไม่ได้เลยครับ” “จำแทบไม่ได้อะไรล่ะครับ จำไม่ได้เลยต่างหากล่ะ” พูดหยอกคนตรงหน้าเสร็จ เขาก็
เช้าวันต่อมา ในรถยนต์คันใหญ่ที่มีธีร์ธวัชเป็นคนขับ เบาะนั่งข้าง ๆ ไม่ใช่ยัยตัวเล็กของเขาที่นั่งอยู่ แต่เป็นคเชน ลูกนายหัวชัยที่แม่ขอร้องกึ่งบังคับให้เขาพาไปเที่ยวที่วัดด้วย ส่วนสายขิมนั้นนั่งอยู่เบาะหลังเพียงคนเดียว ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะนั่งข้างไอ้ผู้ชายคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าจะให้สายขิมมานั่งข้างหน้าคู่กันแล้วให้คเชนไปนั่งเบาะหลัง ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนขับรถอย่างไรไม่รู้ สุดท้ายจึงได้บอกให้เด็กดื้อไปนั่งด้านหลังแทน บ้านของเขากับวัดไม่ไกลกันมากนัก ขับรถเพียงสิบนาทีก็ถึง หลังจากลงจากรถ สายขิมก็มองหาเต็นท์โรงทานที่คุณแม่ของเขามาจัดไว้ “เฮียธีร์ พี่เชน เดี๋ยวไปที่เต็นท์โรงทานก่อนนะคะ ขิมอยากจะไปช่วยตรงนั้นก่อนค่ะ แล้วเดี๋ยวค่อยเดินดูรอบ ๆ วัด” เธอเอ่ยบอกชายหนุ่มทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า และในทันทีธีร์ธวัชก็พาตัวเองมายืนอยู่ข้างเธอ ฝ่ามือหนาจับมือเล็กเอาไว้โดยไม่ต้องขอ ทั้งยังยักคิ้วใส่ผู้ชายอีกคนอย่างเป็นต่อ แต่กระหยิ่มยิ้มได้ใจไม่ถึงห้าวินาที สายขิมก็ดึงมือของเธอให้หลุดจากการถูกเกาะกุม “เฮียธีร์ ที่นี่ในวัดค่ะ” จากที่เป็
การมาบาร์วันนี้ต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย เนื่องจากคนเป็นเจ้าของต้องมาที่นี่เพียงคนเดียว ใจหนึ่งก็อยากจะหยุดอยู่คอนโดเพราะว่าสายขิมดันป่วยขึ้นมาเฉย ๆ ด้วยอาการแพ้อากาศ อยากจะดูแลอยู่ข้าง ๆ แต่ทางภรรยากลับไล่ให้ออกมาที่บาร์ เธอไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นภาระขนาดนั้น และบอกว่าให้เขามองงานสำคัญเป็นที่หนึ่งเสมอ...ห้ามเกเร ห้ามดื้ออีก อาจเพราะสภาพอากาศในช่วงนี้ที่ช่างน่าเบื่อหน่าย การที่ผู้คนเลือกจะหาสถานที่ดื่มด่ำผ่อนคลายจึงกลายเป็นเรื่องที่นิยมขึ้นมา ยูนิคอร์นบาร์จึงแทบไม่เหลือที่ว่าง มันประสบความสำเร็จมากกว่าที่คิด แต่ก็รองลงมาจากการประสบความสำเร็จเรื่องราวความรักอยู่ดี... ธีร์ธวัชดินตรวจดูรอบ ๆ ร้าน พูดคุยกับลูกค้าสอบถามความเห็นและปัญหาอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการ สิ่งนี้คืออีกเสน่ห์หนึ่งที่ทำให้บาร์ของธีร์ธวัชประสบความสำเร็จได้และติดลมบนอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเขาเดินตรงไปยังบาร์เครื่องดื่ม ที่เวลานี้บาร์เทนเดอร์กำลังโชว์ลวดลายลีลาเชคผสมรังสรรค์เมนูเลิศรสให้กับลูกค้าชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว มองจากข้างหลังก็ยังรู้ว่าเป็นใคร
เธอยังคงสดในเหมือนกับวันแรกที่ได้เจอ... ธีร์ธวัชลอบมองใบหน้าจิ้มลิ้มยามหลับใหลของหญิงสาวอันเป็นที่รักเงียบ ๆ เธอยังไม่ตื่น อาจเพราะเมื่อคืนบทรักที่ร่วมบรรเลงคงยาวนานไปหน่อยสำหรับเด็กดื้อเสียงลมหายใจดังขึ้นแผ่วเบา แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ลอดผ่านม่านพลิ้วไสวสาดทับใบหน้าเนียนยิ่งทำให้ความน่าเสน่หาของสายขิมเปล่งประกาย ปลายนิ้วละเลียดสัมผัสปอยผมด้วยความรักใคร่ ทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ธีร์ธวัชไม่เคยนึกฝันว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะได้ลงเอยกับใครสักคนแบบนี้หนึ่งเดือนพ้นผ่านหลังจากงานวิวาห์ จะว่าตนเองคือรางวัลของพยายามที่สายขิมตามจีบตามตื๊ออย่างไม่ว่างเว้นก็คงไม่ผิด แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ไม่เคยอยากจะมีเมียกลับรู้สึกอบอุ่นและโชคดีที่ได้เธอคนนี้มานอนกอดไม่ต่างกัน รัก...รัก...รัก...รักที่สุด ขิมของเฮีย! ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกริ่มขึ้นมาในความเงียบงัน เป็นเวลาเดียวกับที่แพขนตาสวยขยับเปิดขึ้น สายขิมลืมตาขึ้นมาอย่างแช่มช้า ขยับตัวไปมาในวงแขนของสามี ก่อนที่จะได้เห็นว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่ก่อนแล้ว “เฮียธีร์...ตื่นนานหรือยังคะ” เสียงใสเอ่ยถาม พอสายตาได
“เฮียธีร์...เป็นอะไรคะ” สายขิมเอ่ยถามพร้อมกับใช้สายตามองดูสามีที่นอนคว่ำอยู่บนที่นอน ทั้งยังใช้กำปั้นทุบบริเวณไหล่ตัวเองไม่หยุด “ปวดไหล่เหรอคะ”“อืม...” ธีร์ธวัชพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ“ถ้าอย่างนั้นขิมช่วยนวดให้นะ” มือนุ่มวางสัมผัสลงไปบนแผ่นหลังกว้าง เปลือกตาคมปิดลงให้ภรรยาตัวน้อยช่วยนวดคลายความปวดเมื่อย “ไปทำอะไรมาคะ ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ปวดหลัง ปวดไหล่ได้ หรือว่าเฮียไปยกอะไรหนัก ๆ มา” “เมื่อคืนช่วยเด็กยกลังใส่โซดาน่ะ เดินผ่านเห็นคนไม่พอ น่าจะผิดท่าไปหน่อย” มือนุ่มเริ่มขยับออกแรงกดลงไปหนัก ๆ ใบหน้าคมเอียงซบลงไปบนหมอนนิ่ม เอียงข้างหันมาด้านหนึ่ง เมื่อเส้นตึงได้รับการบีบนวดถูกอกถูกใจ จึงเผลอครางออกมาผ่านลำคอ เหมือนต้องการอยากบอกกับหมอนวดส่วนตัวว่าตนพออกพอใจเพียงใด “อืม...ขิมนวดเก่งจัง ตรงนั้นแหละ” “ตรงนี้เหรอคะ” คนตัวเล็กขยับตัวขึ้นมาอีกนิดเพื่อจะได้กดน้ำหนักลงบนไหล่แกร่งได้สะดวก ทำให้ตอนนี้ลำตัวของเธออยู่ระดับสายตาของคนที่นอนอยู่อย่างพอดิบพอดี “อืม...”เจ้าของไหล่กว้างปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้สายตา
โห่...ฮี้โห่...ฮี้โห่...ฮี้โห่...ฮิ้ว.... จบเสียงโห่นำก็ตามมาด้วยเสียงกลองยาว ฉิ่ง ฉาบ ที่เริ่มบรรเลงดนตรีเป็นจังหวะสนุกสนาน พร้อมกับคนที่เดินอยู่ในขบวนขันหมากต่างยกไม้ยกมือขึ้นฟ้อนรำมาตามถนน ธีร์ธวัชในชุดเจ้าบ่าวสีขาวสะอาดพาดบ่าด้วยสไบสีทองเดินอยู่หน้าสุด ข้าง ๆ กันเยื้องไปด้านหลังนิดหน่อยมีเพื่อนสนิทสองคนที่เดินถือพานสินสอดตามมาด้วย “หน้าบานเหมือนจานข้าวหมา” เป็นเสียงของกิตติภพพูดขึ้นปนหมั่นไส้ เนื่องจากสีหน้าของคนเป็นเจ้าบ่าววันนี้ดูจะเบิกบานเกินหน้าเกินตา ไม่เหมือนกับไอ้คนที่ประกาศปาว ๆ ว่าจะไม่แต่งงานเมื่อหลายเดือนก่อนเลยสักนิดเดียว “เรื่องของกู” คนโดนแขวะตอบกลับทั้งที่สายตายังจ้องมองไปยังถนนที่ตรงไปยังบ้านของเขา รอยยิ้มกว้างที่อยู่บนใบหน้าไม่ได้หุบลงแม้แต่วินาทีเดียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ยับเยินให้กับเด็กดื้อที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่แต่งงานด้วยเด็ดขาด แต่ใครใช้ให้เธอน่ารัก น่ามอง แถมยั่วเก่ง นาทีนี้อดใจไหวก็คงไม่ใช่ผู้ชาย แต่ที่มากกว่านั้น ก็คงเป็นความจริงใจที่สายขิมมีให้ หากคิดทบทวนกลับไปให้ดี
สายขิมจ้องมองโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของธีร์ธวัช ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมองหน้ากัน แล้วก้มมองรายชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจออีกครั้ง “เฮียธีร์แน่ใจแล้วนะ” “แน่ใจแล้วสิ ถ้าไม่แน่ใจเฮียไม่ทำแบบนี้หรอก” เขาตอบแล้ววาดวงแขนรั้งคนตัวเล็กให้มาอยู่ในอ้อมกอด ก่อนที่ปลายนิ้วจะกดโทรออกหาคนที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ไม่นานนักก็มีเสียงทักทายมาจากปลายสาย //โทรมาแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่าตาธีร์ หรือว่าน้องไม่สบายแกถึงได้โทรมาหาแม่// แม่ของเขานี่ยังไงกัน นึกถึงแต่ลูกสาวสุดที่รักตลอด ไม่ถามไถ่ลูกตัวเองสักคำว่าสุขสบายดีไหม “นี่แม่คิดแต่ว่าผมจะรังแกลูกสาวแม่หรือไงครับ ถึงได้ถามแบบนี้” น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจกรอกไปตามสาย ทำเอาคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนได้แต่แอบหัวเราะอยู่คนเดียว ก็เวลาเฮียธีร์คุยกับคุณแม่ เหมือนว่าจะทำตัวเป็นเด็กมากกว่าตอนอยู่กับเธอเสียอีก //แล้วแกโทรมาทำไมแต่เช้า// “ผมมีข่าวดีจะบอกแม่ด้วยล่ะ” //ข่าวดีอะไรของแก// แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของคุณหญิงแม่ดูจะไม่ค่อยตื่นเต้นสักเท่าไหร่กับคำว่า ‘ข่าว
แสงแดดในยามบ่ายตกกระทบน้ำทะเลจนเป็นประกายระยิบระยับราวกับเพชรที่กำลังต้องแสง สายลมพัดโชยพาเอาไอเค็มของทะเลมาแตะต้องผิวหนัง ธีร์ธวัชเอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดสีขาว สายตาคมกวาดมองไปทั่วบริเวณจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ร่างบางของเด็กดื้อที่กำลังเล่นน้ำทะเลอยู่ไม่ไกล สายขิมในชุดบิกินี่สีชมพูอ่อนตัดกับผิวสีน้ำผึ้งดูโดดเด่น ขณะที่คลื่นลูกเล็กๆ ซัดเข้าใส่ร่างอรชร ทำให้ชุดว่ายน้ำแนบชิดไปกับเรือนร่างยิ่งขึ้น นัยน์ตาคมเข้มไล่มองคนตัวเล็กที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่เส้นผมสีดำสนิทที่ปลิวไปตามลม ใบหน้าหวานที่เปื้อนยิ้ม แก้มนุ่มที่แดงระเรื่อจากแสงแดด ไปจนถึงเรือนร่างที่ดูสมส่วนในชุดบิกินี่ตัวจิ๋ว แล้วก้อนเนื้อใต้หน้าอกข้างซ้ายก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นเอามากแล้วจริง ๆ ยิ่งเขามองยัยตัวเล็กนานมากเท่าไหร่ รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็กว้างขึ้นมากเท่านั้น และมันก็กว้างเสียจนกิตติภพที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดข้าง ๆ กันพูดขึ้น “อาการมันเป็นยังไงบอกกูมาดิ๊ ต้องกินยา หรือว่าต้องไปหาหมอไหมไอ้ธีร์” ได้ยินคำถามของเพื่อนซี้ ธีร์ธวัชก็ค่อย ๆ เบนสายต
“ทำไมจู่ ๆ มึงอยากไปเที่ยวทะเล” ธีร์ธวัชยืนพ่นควันบุหรี่อยู่ที่ระเบียงคอนโด ในมือถือโทรศัพท์กำลังคุยกับกิตติภพ เขาถามออกไปอย่างนั้น เพราะเมื่อครู่เพื่อนสนิทบอกว่า สุดสัปดาห์นี้จะไปเที่ยวทะเลกันและเป็นการชวนกึ่งบังคับที่เขาจะต้องไปด้วย //ก็หมวยเพิ่งกลับจากจีนไง กว่ามหา’ลัยจะเปิดเทอม กูก็อยากพาน้องไปเที่ยวก่อน// “มึงอยากพาน้องไปเที่ยว หรือว่าอยากจะไปแดกเพื่อนน้องที่ริมทะเลกันแน่วะ” //ไอ้เหี้ยธีร์ กูไม่นิยมกินเด็กมึงก็รู้// คำตอบของเพื่อนทำเอาธีร์ธวัชได้แต่หัวเราะเบา ๆ อยู่ในลำคอ คนอย่างเสี่ยตี๋ไม่นิยมกินเด็กก็จริง แต่ว่า...หากเด็กมันยั่วมาก ๆ ก็ไม่น่าจะทนไหว ขนาดเขาที่ว่าอดทนเก่งแล้ว ก็ยังทนที่สายขิมยั่วไม่ไหวเลย “เออ ๆ เดี๋ยวกูบอกขิมก่อน” //เจอกันวันเสาร์ แค่นี้แหละ// จบคำว่า แค่นี้แหละ สายก็ตัดไปทันที ร่างสูงหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องก็เห็นว่าเด็กดื้อกำลังนั่งกินขนมสบายใจ จะว่าไปแล้ว เขาเองก็ไม่เคยพาสายขิมไปเที่ยวที่ไหนเลยตั้งแต่ตกลงคบกัน ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีแล้วกันจะได้พาเธอไปเปิดหูเปิดตา “ขิม...
“ขิมจะกลับพร้อมตาธีร์จริง ๆ เหรอลูก” คุณหญิงเธียรธาราเอ่ยถาม เมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนเช้าแล้วเห็นว่าที่ลูกสะใภ้ลากกระเป๋าเดินทางออกมาด้วย ตามหลังสายขิมก็มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดิมตามอยู่ไม่ห่าง “ค่ะคุณแม่ ขิมจะไปช่วยงานเฮียธีร์น่ะค่ะ เห็นว่าไม่อยู่แค่คืนเดียว ระบบในร้านรวนไปหมด” ธีร์ธวัชยืนเอามือล้วงกระเป๋า ไม่หือ ไม่อือ กับเหตุผลที่ยัยตัวเล็กเอ่ยบอกผู้เป็นแม่ ในตอนนี้ถึงเธอจะบอกว่าถูกตามให้กลับกรุงเทพฯ เพราะเขาทนความคิดถึงไม่ไหว ก็จะไม่เถียง ไม่ปฏิเสธแม้แต่คำเดียว แต่เป็นสายขิมเสียเองที่ตัดสินใจยังไม่อยากบอกเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แม่ได้รับรู้ “ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัยนะลูก ว่างแล้วก็กลับมาเที่ยวบ้านกันบ่อย ๆ ล่ะ แม่คิดถึง” “ค่ะคุณแม่” สองมือยกขึ้นไหว้คนตรงหน้าอย่างนอบน้อม แล้วก็เดินไปยังรถที่จอดรออยู่ ในขณะที่ธีร์ธวัชกำลังจะเดินตามเด็กดื้อออกไป แม่ของเขาก็คว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน “ถ้าแกดูแลน้องไม่ดี รอบนี้แม่จะเอาน้องคืนแบบไม่ให้กลับไปหาแกอีกเลย” คุณหญิงเธียรธาราเอ่ยบอกลูกชายพร้อมกับระบายรอยยิ้มกว้างจนเกือ
ก๊อก ก๊อก! เสียงเคาะประตูที่ดังอยู่ด้านนอก ทำให้คนที่กำลังจะล้มตัวลงนอนต้องดีดตัวลุกขึ้นมาเปิดไฟจนสว่างอีกครั้ง สายขิมเดินไปเปิดประตูเพื่อดูว่าเป็นใคร แล้วก็เห็นผู้ชายตัวโตกำลังยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่ ทั้งในมือยังหอบหมอนกับผ้าห่มมาด้วยอีกต่างหาก “เฮียธีร์มาห้องขิมทำไมคะ”เธอเอ่ยถามถึงแม้จะพอรู้คำตอบอยู่บ้างแล้ว คนเจ้าเล่ห์แบบเขาก็คงมีเป้าหมายเดียวเท่านั้น“อยากนอนด้วย แล้วก็มาทวงรางวัลปลอบใจที่ขอเอาไว้เมื่อตอนบ่าย”ยังไม่ทันได้ตอบหรือเอ่ยอนุญาต ธีร์ธวัชก็แทรกตัวเข้ามาในห้องนอนของเธอแล้วเรียบร้อย แถมยังวางหมอนกับผ้าห่มของตัวเองไว้บนเตียงโดยไม่ขอความเห็นจากเจ้าของห้องแม้แต่คำเดียว“ขิมยังไม่ทันได้บอกเลยว่าจะให้เฮียธีร์นอนด้วย”“แต่เฮียอุตส่าห์มาแล้ว ขิมจะใจร้ายไล่เฮียได้ลงคอเหรอ” กำลังสลับบทบาทกันอยู่หรือเปล่านะ เมื่อก่อนเป็นเธอไม่ใช่เหรอที่พยายามเอาตัวไปอยู่ใกล้ ๆ เขา คอยทำทุกอย่างให้ผู้ชายตรงหน้าตกหลุมรัก แล้วดูตอนนี้สิ ทำตัวเหมือนแมวที่กำลังอ้อนขอความรักอยู่อย่างนั้นแหละ คนตัวเล็กส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วก็เดินกลับไปนั่งบนเตียงนอนของตัวเอง ที่ต