หลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่ชี้ไปรอบๆ แล้ว ในที่สุดใต้เท้าเหอ ราชเลขากรมแรงงานก็เอ่ยปากขึ้น “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเข้าวังมาหลายปีแล้ว เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทอย่างมาก กระหม่อมเห็นว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเหมาะสมที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”องค์ชายสามเห็นว่าในที่สุดก็มีคนเอ่ยถึงชื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟย จึงรีบก้าวออกมาหนึ่งก้าว “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”แต่ครั้งนี้ กลับไม่มีใครเห็นด้วยอีก ท้องพระโรงจึงเงียบกริบทันทีฮ่องเต้ต้าฉู่อดกลอกตาอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ ทำให้องค์ชายสามรู้สึกใจหายวาบซิ่นเทียนบอกข้าจริงๆ ว่าให้ข้าเป็นคนแรกที่ออกมาเสนอชื่อพระสนมหนิงเฟย เช่นนั้นจะต้องได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทแน่นอน แต่ข้าคิดว่า ข้ากับพระสนมหนิงเฟยไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน หากเสนอชื่อนางอย่างโจ่งแจ้ง จะไม่ยิ่งทำให้ฝ่าบาททรงระแวงหรอกหรือ?สู้เอาใจฝ่าบาทดีกว่า อย่างไรเสียฝ่าบาทก็รักพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมาก เสนอชื่อนางสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรเมื่อซิ่นเทียนรู้เรื่องนี้ ช่วยเหลือคนโง่เช่นนี้ ข้าคงสมองไม่ค่อยดีจริงๆ สู้เลือกขันทีมายังฉลาดกว่าและเชื่อฟังกว่าเขาเสียอีกฮ่องเต้ต้าฉู่ก็แอบด่าในใจ โชคดีที่ข้ายังมีรัชทายาท หากแผ่นดินของ
แต่บัดนี้ฝ่าบาทกลับผลักดันบุตรสาวของเขาขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งเช่นนี้ จะเป็นเรื่องดีจริงๆ หรือ?ทางด้านเมิ่งฉวนเต๋อออกจากตำหนักจิ่งเจิ้งแล้ว ก็มุ่งหน้าไปประกาศพระบรมราชโองการที่ฝ่ายใน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะไปถึง ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว มีนางสนมหลายคนที่ได้รับข่าว ต่างพากันไปที่ตำหนักหนิงเหอของพระสนมหนิงเฟย หรือควรจะเรียกว่าฮองเฮาแล้ว“หม่อมฉันขอแสดงความยินดีกับฮองเฮาเพคะ ขอแสดงความยินดีกับฮองเฮาที่ได้ขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮาแห่งวังหลวง”“หม่อมฉันคิดว่าที่ฝ่าบาทไม่ทรงตั้งฮองเฮามาหลายปีนี้ เป็นเพราะทรงคำนึงถึงฮองเฮาองค์ก่อน แต่ไม่คิดว่าเป็นเพราะไม่มีผู้ที่เหมาะสม ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับท่านเช่นนี้”“ใช่แล้ว ไม่ว่าฝ่าบาทจะโปรดปรานพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพียงใด นางก็เป็นเพียงกุ้ยเฟยเท่านั้น ตำแหน่งฮองเฮาก็ยังคงเป็นของท่านอยู่ดี”......คำยกยอดังขึ้นไม่ขาดสาย เสิ่นหนิงแม้จะแสดงท่าทีถ่อมตนภายนอก แต่ในใจกลับดีใจจนแทบไม่ไหวแม้จะได้รับข่าวมาก่อนแล้วว่าฝ่าบาทอาจจะเลือกตน แต่เมื่อเรื่องเป็นจริงขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจ“น้องๆ ทั้งหลายเกรงใจแล้ว” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจส่วนทางด้
แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตาของเขารูปทรงดอกบัวนั้นเหมือนกับดอกบัวบนแขนของหวานหว่านไม่มีผิด และยังเหมือนกับดอกบัวที่ลอยขึ้นบนท้องฟ้าเหนือตำหนักชิงอวิ๋นในวันที่หวานหว่านเกิดด้วยนี่หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าการตัดสินใจของเขาครั้งนี้ถูกใจหวานหว่านจริงๆ นางจึงเป็นเช่นนี้?ลู่ซิงหว่านไม่รู้เรื่องนี้แน่นอน นางยังคงชมเชยฮ่องเต้ต้าฉู่อย่างไม่หยุด[ช่างคิดไม่ถึงจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเสด็จพ่อจะรักท่านแม่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ถึงกับปกป้องนางเช่นนี้][ตำแหน่งเทียบเท่ารองฮองเฮา และให้นั่งเสมอกับฮองเฮา แค่สองประโยคนี้ก็พอจะทำให้พระสนมหนิงเฟย...ไม่สิ ฮองเฮาโกรธจนตายได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทยังให้เมิ่งฉวนเต๋อมาประกาศที่ตำหนักชิงอวิ๋นก่อน นี่ทั้งหน้าตาและเกียรติยศให้ท่านแม่ทั้งหมดแล้ว ข้าแทบจะนึกภาพฮองเฮาที่โกรธจนหน้าแดงได้เลย]คำพูดเหล่านี้ตกเข้าหูฮ่องเต้ต้าฉู่ เขารู้สึกพอใจอย่างยิ่งทันใดนั้นเขาก็อุ้มลู่ซิงหว่านขึ้นมา แล้วจูงมือซ่งชิงเหยียนเดินเข้าไปข้างใน แต่ซ่งชิงเหยียนกลับเอ่ยปาก “ฝ่าบาทเพคะ นี่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม ทางฝ่ายฮองเฮา เกรงว่า...”“ไม่เป็นไร” ฮ่องเต้ต้าฉู่ก
หลังจากพยุงพระสนมหลานเฟยและพระสนมเหวินเฟยให้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว ซ่งชิงเหยียนก็เอ่ยต่อไปว่า “หากพูดถึงอาวุโส พี่ทั้งสองเข้าวังก่อนข้าหลายปี ที่ข้าได้รับแต่งตั้งเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็เพราะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ข้าหวังว่าพี่ทั้งสองจะไม่ถือสาและยังปฏิบัติต่อข้าเหมือนเดิม”พูดจบก็หันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่ “ฝ่าบาทว่าดีหรือไม่เพคะ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่กำลังวุ่นอยู่กับการเล่นกับลู่ซิงหว่าน เมื่อได้ยินซ่งชิงเหยียนพูดเช่นนั้นก็เพียงแต่หันมายิ้มตอบว่า “พวกเจ้าอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขก็เป็นสิ่งที่ข้าอยากเห็นที่สุด ส่วนพิธีการต่างๆ พวกเจ้าตกลงกันเองก็แล้วกัน”ซ่งชิงเหยียนจึงหันกลับไปมองพระสนมหลานเฟยและพระสนมเหวินเฟย แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนเนื่องจากฮ่องเต้ต้าฉู่อยู่ด้วย พระสนมหลานเฟยและพระสนมเหวินเฟยจึงไม่กล้าถามคำถามที่อยู่ในใจ ได้แต่พูดคุยเรื่องทั่วไปอย่างสุภาพพวกนางคิดว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะไปเยี่ยมตำหนักหนิงเหอ แต่กลับเห็นว่าฮ่องเต้นั่งอย่างสบายใจ คงจะอยู่ที่ตำหนักชิงอวิ๋นเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน จึงขอตัวกลับไปมีอะไรก็ค่อยถามตอนที่ฝ่าบาทไม่อยู่ก็ได้ ไม่เร่งด่วนอะไรทันใดนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่ก็นึกอะไรข
หลังจากเมิ่งฉวนเต๋อประกาศพระบรมราชโองการเสร็จ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างนอบน้อมและส่งมอบพระบรมราชโองการให้เสิ่นหนิง “ขอแสดงความยินดีกับฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”จากนั้นก็สั่งให้ขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ ส่งมอบสมุดทองและตราประทับหงส์ให้กับนางกำนัลข้างๆ ฮองเฮาบรรดาพระสนมด้านหลังต่างก็ก้มกราบลงอีกครั้งเพื่อแสดงความยินดีกับฮองเฮา “พวกหม่อมฉันขอถวายพระพรฮองเฮา ขอแสดงความยินดีที่ฮองเฮาได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในวังหลังเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหนิงก็รู้สึกยินดีในใจ ความพยายามของนางในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่สูญเปล่า และได้รับผลตอบแทนแล้วนางสงสัยว่าตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่ตำหนักชิงอวิ๋นกำลังโมโหจนขว้างข้าวของอยู่หรือเปล่าจากนั้นนางก็หันมายิ้มและพูดว่า “ทุกคนลุกขึ้นเถิด”“ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”เมิ่งฉวนเต๋อที่อยู่ด้านหลังรอจนฮองเฮาวางท่าเสร็จแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ฮองเฮาเตรียมตัวก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเสด็จไปยังตำหนักของพระสนมหวงกุ้ยเฟยแล้ว คงไม่เสด็จมาตำหนักจิ่นซิ่วในเร็วๆ นี้”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหนิงก็ขมวดคิ้ว พระสนมหวงกุ้ยเฟย? หรือว่าฝ่าบาทเพิ่งเลื่อนตำแหน่งให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอีก?เห็นความสงสัยของนาง
เสิ่นหนิงเงียบไปอยู่นาน จนในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า "บัดนี้ข้าคือฮองเฮา พวกเจ้าอยู่ข้างกายข้าก็ต้องมีมารยาทหน่อย"ชุนหลานและอวิ๋นจูรีบคุกเข่าลงอย่างรีบร้อน "บ่าวรับคำสั่งเพคะ"เสิ่นหนิงโบกมือ "ชุนหลานเปลี่ยนชื่อเป็นอวิ๋นหลาน วันหลังก็อยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายข้า"ได้จัดการเอาอวิ๋นจูมาเสียบในตำแหน่งคนหนึ่งแล้ว ถ้าหากว่าเอาอีกคนเข้ามาเสียบอีก เกรงว่าจะทําให้คนสงสัยได้ สู้ดึงชุนหลานมาเป็นพวกโดยตรงเลยดีกว่า เด็กคนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความทะเยอทะยานมากไปหน่อยก็เท่านั้น แต่ควบคุมได้ง่ายอวิ๋นหลานรีบคุกเข่าขอบพระมหากรุณาธิคุณ "ขอขอบพระคุณฮองเฮาที่ประทานชื่อเพคะ ต่อไปบ่าวจะปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาอย่างสุดจิตสุดใจ"แน่นอนเสิ่นหนิงรู้ความไม่ลงรอยกันระหว่างอวิ๋นจูกับอวิ๋นหลานทั้งสองคนดี แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงแต่กําชับแค่ประโยคหนึ่งว่า "ต่อไปเรื่องทุกอย่างทำตามคำสั่งของอวิ๋นจูก็พอ พวกเจ้าทั้งสองคนจะต้องสามัคคีร่วมใจกัน ถึงจะรับประกันความเจริญรุ่งเรืองของตำหนักจิ่นซิ่วได้"อวิ๋นจูและอวิ๋นหลานตอบรับอีกครั้งเพียงแค่พวกนางสองคน ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง ในสายตาของอวิ๋นหลาน อวิ๋นจูก็แค่คนท
อวิ๋นหลานกำลังมองอยู่นอกวัง แต่ทว่าเกิดความไม่พอใจขึ้นมานิดหน่อย ตอนนี้ฮองเฮากลับคงให้ความสําคัญกับอวิ๋นจูนั่นมากกว่า จากนั้นไล่ตนออกมาเพื่อจะแอบสั่งอวิ๋นจูอย่างเงียบๆเมื่อเห็นอวิ๋นจูออกจากตำหนักจิ่นซิ่วไป ตอนนั้นนางก็สั่งสาวใช้ข้างกายไปปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาให้ดี ส่วนตัวนางจะตามอวิ๋นจูไปเดินตามอวิ๋นจูไปรอบๆ พระราชวังอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งมาถึงเรือนแห่งหนึ่งที่อวิ๋นหลานไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเห็นอวิ๋นจูเข้าไปในเรือน อวิ๋นหลานที่เห็นบริเวณรอบข้างถูกทิ้งร้าง ลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็กัดฟันและตามไปแต่หลังจากเดินไปได้หนึ่งก้าว ก็ถูกคนตบที่คอด้านหลังและสลบลงกับพื้นทันทีคนที่ลงมือ เป็นแค่เพียงขันทีหนุ่มในชุดวังหลวง ส่วนคนที่อยู่ข้างกายเขา คนที่ยืนด้วยความประหลาดใจก็คืออวิ๋นจูนั่นเองเมื่อเห็นขันทีหนุ่มนั้นกำลังจะลงมือหักคออวิ๋นหลาน แต่กลับถูกอวิ๋นจูขวางเอาไว้ว่า "นายท่านเจ้าคะ บัดนี้ฮองเฮาได้รับตำแหน่งเป็นฮองเฮา อวิ๋นหลานเป็นคนที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายนาง ถ้าหากนางหายตัวไป มันจะไม่สร้างปัญหาให้กับฮองเฮาอย่างนั้นหรือ?"เมื่อขันทีหนุ่มได้ยินดังนั้น จึงเก็บมือลงและเอ่ยอย่า
ตอนที่พระสนมของตนเองยังมีชีวิตอยู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างมากขนาดนั้นกว่าจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แต่ภายในห้าปีหลังจากที่อดีตฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ก็ไม่ถูกฝ่าบาทแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาทว่ากลับคิดไม่ถึง กลับถูกตระกูลเสิ่นที่เข้าวังในภายหลังมาคว้าพุงปลาไปกิน ตระกูลเสิ่นนั่น ก็แค่เข้าวังได้ไม่ถึงครึ่งปีเท่านั้น คนที่เคยต้องคุกเข่าโขกหัวต่อหน้าพระสนมของตัวเอง เหตุใดนางจะทําได้ไร้คุณธรรมเช่นนี้?ส่วนซ่งชิงเหยียนที่ไม่เคยสู้รบตบมือกับพระสนมของตน บัดนี้ก็ได้แต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระสนมของตนเองไม่เคยได้รับ แล้วพระสนมของตนเองล่ะ? ในวันแรกของการแต่งตั้งเป็นพระสนมกุ้ยเฟย ก็ถูกแย่งชิงพระนามภายหลังก็ถูกฝ่าบาทลดตําแหน่งเข้ามาในวังเย็น ถูกคนฆ่าตายในวังเย็นนี้ที่หนาวเหน็บเช่นนี้ แล้วนางจะไม่เกลียดได้อย่างไร!เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ นางจ้องมองอย่างตั้งใจ คนที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะเป็นสาวใช้ที่อยู่ข้างกายตระกูลเสิ่นชุนหลานเป็นคนโอ้อวดมาโดยตลอด บัดนี้ในวังหลังที่โออ่าขนาดนี้ ใครบ้างที่จะไม่รู้จักชุนหลานผู้นี้ล่ะ!ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองของไป๋จื่ออย่างรวดเร็ว
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต