นางสนมที่เพิ่งเข้าวังได้เพียงเดือนเศษ แค่เพิ่งได้ร่วมหอไม่กี่ครั้ง กลับถูกแต่งตั้งเป็นพระสนมขั้นเฟยนำหน้าตัวเองไปแล้ว แล้วจะให้นางทนได้อย่างไรแน่นอนว่าคนที่รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลไม่ได้มีแค่ไม่กี่คนนี้เท่านั้นเพียงแต่เรื่องดังกล่าวเป็นการตัดสินใจของฮ่องเต้ต้าฉู่ จึงย่อมไม่มีใครกล้าโต้แย้งณ ขณะนี้คนของศาลต้าหลี่และกรมสอบสวน ก็จัดเรียงคำสารภาพของอ๋องหรงเสร็จเรียบร้อยและนำมาถวายให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ต้าฉู่รู้เรื่องการสมคบคิดกบฏของอ๋องหรงมาจากหวานหว่าน แต่รายละเอียดยังไม่ทราบชัดเจนตอนนี้พอได้มาเห็นบันทึกนี้แล้วก็ก็ต้องโกรธจนเลือดขึ้นหน้าน้องชายแท้ ๆ ของตัวเองไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเลยจริง ๆ หมายจะเอาชีวิตตนนั้นยังไม่เท่าไร แต่ไม่สนใจความปลอดภัยของประชาชนต้าฉู่เลยสักนิดนี่สิจึงสั่งให้เสนาบดีหลินที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่เขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปยังแคว้นเยว่เฟิงในจดหมายบอกเพียงว่าตอนนี้เรื่องที่อ๋องหรงสมคบคิดกับองค์รัชทายาทแคว้นเยว่เฟิงก่อกบฏถูกเปิดเผยแล้ว ให้ฮ่องเต้แคว้นเยว่เฟิงให้คําอธิบายด้วยในขณะนี้ติ้งกั๋วโหวได้มาถึงชายแดนแคว้นเยว่เฟิงนานแล้ว
เรื่องสงครามภายในของแคว้นเยว่เฟิงปล่อยไว้อย่างนั้นก่อน ตอนนี้คดีที่หรงหวังก่อกบฏได้รับการจัดการเกือบเรียบร้อยดีแล้ว วันนี้หลังจากว่าราชการช่วงเช้าเสร็จ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เสด็จไปที่ตำหนักชิงอวิ๋น"ข้าไม่ได้เจอหวานหว่านนานแล้ว" ฮ่องเต้ต้าฉู่กล่าวด้วยอารมณ์ปลงๆพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับยิ้มตอบเขาว่า "ในบรรดาองค์หญิงทั้งหมด หวานหว่านได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้มากที่สุดแล้ว"[ช่วงนี้เสด็จพ่อคงเหนื่อยแย่! ตอนนี้ก็จัดการเรื่องอ๋องหรงเสร็จแล้ว เรื่องเสนาบดีชุยก็สืบรู้แล้ว ตอนนี้ราชสำนักก็สะอาดสดใจขึ้นเยอะ ][แต่ในหัวข้อนี้ไม่มีในหนังสือนิทาน หรือว่าเป็นเพราะข้าและท่านแม่รอดชีวิตจึงเป็นตัวแปรให้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้?]ในใจของฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินกุ้ยเฟยต่างคิดว่า ใช่ เป็นเพราะเจ้าฮ่องเต้ต้าฉู่เผลอกล่าวถึงเรื่องในราชสำนักต่อหน้าลู่ซิงหว่านอีกแล้วตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเองก็ชินแล้ว จึงไม่พูดอะไรอีกแล้ว เพียงแต่รับฟังอย่างเงียบๆ"แคว้นเยว่เฟิงเกิดเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง" ฮ่องเต้ต้าฉู่เล่าเรื่องความวุ่นวายภายในของแคว้นเยว่เฟิงให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยฟังพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่
การประชุมราชสำนักในเช้าวันต่อมา ย่อมต้องตกลงกันว่าจะจัดการกับเหอเหลียนเหรินซินและเหอเหลียนจูลี่อย่างไรและแน่นอนมีเสนาบดีกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่าแผนการที่เหอเหลียนเหิงซินเสนอมานั้นเยี่ยมยอด ประหารเหอแหลียนจูลี่เพื่อแสดงบารมีของแคว้นต้าฉู่ และเพื่อรับประกันว่าแคว้นเยว่เฟิงจะยอมจำนนอยู่ใต้แคว้นต้าฉู่ตลอดไป ให้เก็บอดีตรัชทายาทเหอเหลียนเหรินซินไว้เป็นเชลยในแคว้นต้าฉู่เพื่อยึดต่อรองกับเหอเหลียนเหิงซินส่วนอีกกลุ่มหนึ่งกลับเห็นว่า เหอเหลียนเหิงซินนั้นโหดร้ายมาก ตอนนี้เพียงแต่แกล้งจงรักภักดีอย่างจอมปลอมเท่านั้น ที่เขาเสนอข้อเรียกร้องดังกล่าวก็เพื่อต้องการให้แคว้นต้าฉู่จัดการเหอเหลียนจูลี่และเหอเหลียนเหรินซินแทนเขา เขาประหารอดีตไทเฮาแม่ผู้ให้กำเนิดของสองคนนี้ เขาก็กลัวว่าถ้าสองคนนี้กลับไปจะก่อให้เกิดกระแสได้สู้ส่งสองคนนี้กลับไปที่แคว้นเยว่เฟิงและปล่อยให้พวกเขากัดกันเองดีกว่าหลังจากฟังเสียงความคิดของลู่ซิงหว่านแล้ว แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะไม่เห็นด้วยกับแผนแรกแน่นอนแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือแผนการที่สองถูกเสนอโดยองค์รัชทายาทตอนนี้องค์รัชทายาทมีอุปนิสัยที่กษัตริย์พึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อนึกถึงสิ่งที่สัญญากับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไว้ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงให้หัวหน้าฝ่ายพิธีการจัดงานขี้ม้าตีคลีอย่างจริงจังเดิมทีไทเฮาไม่อยากเข้าร่วม แต่ก็แพ้ลูกตื้อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่ไปเชิญหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายจึงตกลงความตั้งใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็คือให้ไทเฮาเข้าร่วมงานที่คึกคัก เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของร่างกายให้ดีขึ้นแต่ว่าพระสนมหนิงเฟยไม่ใช่คนที่ชอบกีฬาขี้ม้าตีคลีและไม่ชอบงานที่คึกคักครื้นเครงด้วย นางบอกว่าสู้อยู่อ่านตำราแพทย์ในวังสักสองสามเล่มจะดีกว่าดังนั้นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงไม่ได้บังคับ เพียงแต่กำชับให้นางกำนัลดูแลพระสนมหนิงเฟยให้ดีเท่านั้นงานขี้ม้าตีคลีครั้งนี้ ฝ่ายพิธีการได้เลือกให้สนามขี้ม้าตีคลีส่วนพระองค์ แน่นอนว่าได้รับอนุญาติจากฮ่องเต้ต้าฉู่แล้ว และได้เชิญบรรดาครอบครัวของขุนนางตั้งแต่ระดับสามขึ้นไปมาเข้าร่วมเพราะกลัวว่าทุกคนจะรู้สึกเบื่อ ในงานขี้ม้าตีคลีจึงไม่เพียงแต่จัดให้มีมีการแข่งขันขี้ม้าตีคลีเท่านั้น แต่ยังมีงานประชันโคลงกลอนอีกด้วย และในงานก็ไม่แยกชายหญิงเป็นอันคึกคักมากทีเดียวเมื่อคณะของไทเฮามาถึง เป็นธรรมดาว่าเหล่าบบรรดาขุนนางต่างๆ และครอบคร
[ทําไมข้าถึงรู้ชัดเจนขนาดนี้น่ะหรือ? เพราะข้าอ่านหนังสือนิทานมาแล้ว มุมมองของพระเจ้าไงล่ะ!][แล้วเหออวิ๋นเหยาก็มักจะรังแกเหออวี่เหยาเสมอ ตอนนี้ไม่ต้องดูและรู้ว่านางกําลังร่วมมือกับพี่ชายของนางรังแกเหออวี่เหยาอยู่อย่างแน่นอน][ส่วนคุณชายตระกูลหรงนั้น แน่นอนเขามีความรักอย่างลึกซึ้งต่อคุณหนูใหญ่ตระกูลเหอ][เหออวี่เหยาเป็นเพื่อนสนิทของนางเอก และก็คุ้นเคยกันดีกับพี่ชายของนางตามธรรมดา คุณชายตระกูลหรงเดิมเห็นว่านางไม่มีแม่เลยสงสารนาง ทำไปทำมาก็หลงรักนางเข้า][ตระกูลที่ดีเช่นตระกูลหรง ภรรยาใหม่ของใต้เท้าเหอก็อยากให้ลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองได้แต่งเข้า เหมือนว่าเหออวิ๋นเหยาก็ชอบคุณชายหรงมากด้วย][ต่อจากนั้นข้าก็จําไม่ค่อยได้แล้ว แต่ยังไงเหออวี่เหยาก็ได้แต่งงานกับคุณชายหรง แล้วสองคนก็เคียงคู่กันไปตลอดชีวิต ทำเอาทุกคนต่างพากันอิจฉา]ลู่ซิงหว่านพึมพำในใจไปเรื่อย และก็ค่อยๆ ลืมตาไม่ขึ้น คอพับและหลับไปทับตัวพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่อยู่ข้างๆทำให้เอาไทเฮาและคนอื่นหัวเราะกันทั่วพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดในใจว่า ลูกสาวของข้านี่ดีจริงๆ เล่าเรื่องให้แม่ฟังยังรู้ว่ามีบทนำบทสรุปพูดจบแล้วก็มองไปที่คนในสนาม ยิ่ง
ชายในชุดธรรมดาคนนี้ เป็นลูกชายคนโตของกวงฉินโหว กวนหลางสือ ตอนนี้มีตําแหน่งเป็นจางวางกรมหรมสอบสวนเรื่องนี้จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเรื่องของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยตั้งแต่สมัยวัยสาวแล้วซ่งชิงเหยียนเกิดในจวนติ้งกั๋วโหว ในเวลานั้นพี่สาวของนางได้แต่งงานกับฮ่องเต้ต้าฉู่ซึ่งตอนนั้นยังเป็นองค์รัชทายาทอยู่ แน่นอนว่านี่เป็นสถานะที่ดีที่สุดในเมืองหลวงแล้วซ่งชิงเหยียนกับลูกชายคนโตของกว่างฉินโหวโตมาด้วยกันเป็นคู่หมายกันมาตั้งแต่เด็ก ชาวเมืองหลวงต่างก็รู้กันดีแต่ในเวลานั้นกว่างฉินโหวไม่มีตําแหน่งขุนนางแล้ว ดังนั้นแล้วจะว่าไปก็ไม่เหมาะสมกับตระกูลติ้งกั๋วโหวเท่าไหร่ แต่ครอบครัวติ้งกั๋วโหวกลับไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก ทั้งสองครอบครัวก็เข้ากันได้ดีมากซ่งชิงเหยียนตามพ่อและพี่ชายไปสนามรบตั้งแต่เล็ก ตอนนั้นเพราะไปออกรบอยู่ข้างนอกหลายปี เลยทำให้เรื่องความรักของทั้งสองต้องล่าช้าพอกลับเมืองหลวงซ่งชิงเหยียนอายุ 20 ปีแล้วตอนนั้นกวนหลางสือก็อายุ 23 ปีแล้วแม้ว่าจะอายุจะไม่น้อยแล้ว แต่นางก็ยังปฏิเสธที่เชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลอื่น และเฝ้ารอให้ซ่งชิงเหยียนกลับมาเมืองหลวงเพื่อจะได้แต่งงานกันเพียงแต่ในปีนั้นซ่งชิงหย่
พูดจบก็ไม่รอให้กวนหลางสือตอบ แต่พาสาวใช้ขึ้นไปบนที่นั่งผู้ชมที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอยู่เลยตอนนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงคนรับใช้ที่ใกล้ชิดไม่กี่คน จิ่นซินกําลังประคบยาให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมีคนส่งสารมาจากข้างล่างว่า แม่นางต้วนจากจวนจางวางกรมกรมสอบสวนมาขอพบพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแม้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะประหลาดใจในใจ นางก็ไม่รู้จักจางวางกรมกรมสอบสวนและไม่เคยเจอแม่นางต้วนที่ไหนด้วย แต่ก็ยังเชิญให้เข้ามาตามมารยาทแม่นางต้วนทำความเคารพฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเสร็จแล้วก็เอ่ยปากว่า "สามีของข้าน้อยคือจางวางกรมกรมสอบสวนกวนหลางสือ ข้าน้อยพื้นเพเป็นคนหยุนโจว เห็นว่าพระสนมได้รับบาดเจ็บจึงนำยาสมานแผลมาถวายเพคะ"แวบแรกที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยฟังชื่อกวนหลางสือ นางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าต่อมาจะรู้ว่าเหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด แต่ชีวิตมันก็กลับย้อนไปไม่ได้อีกแล้วตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่ค่อยสืบข่าวเกี่ยวกับตระกูลกว่างฉินโหวแล้วจึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้กวนหลางสือได้เป็นจางวางกรมกรมสอบสวนแล้วแต่แค่ไม่กี่อึดใจนางก็ได้สติกลับมาและตอบด้วยรอยยิ้
เมื่อต้วนหยุนอี้กลับไปที่กวนหลางสือ กลับเห็นกวนหลางสือนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์นางจึงรีบเดินเข้าไปหา "ท่านพี่ ข้าว่า..."แต่กลับถูกกวนหลางสือขัดจังหวะ "ข้าไมรู้เลยนะว่าเจ้าพูดจาเก่งขนาดนี้ ถึงขนาดกล้าเล่นลิ้นกับฮ่องเต้"ต้วนหยุนอี้ได้ยินกวนหลางสือพูดแบบนี้ แสดงว่าเขารู้เรื่องเมื่อกี้แล้วจึงรีบเอ่ยปากอธิบายว่า "ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แค่อยากให้พระสนมรู้ว่าท่านยังคงคำนึงถึงนางอยู่""ทําไมข้าต้องคำนึงนางด้วย " กวนหลางสือเงยหน้ามองต้วนหยุนอี เหมือนกําลังถามนางอยู่ และก็เหมือนกําลังถามตัวเองด้วยหลังจากนั้นไม่นานกวนหลางสือก็พาภรรยาต้วนหยุนอีออกจากสนามขี้ม้าตีคลีไปส่วนทางด้านพระสนมเฉินกุ้ยเฟย แม้ว่าเมื่อกี้จะถูกรบกวนจิตใจอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมาสงบดังเดิมตอนไปออกรบอยู่ในค่ายทหาร ท่านพ่อก็เคยกล่าวไว้ว่า ตั้งแต่โบราณมาในสนามรบมีทั้งแพ้ทั้งชนะ ถ้าแพ้ก็แค่สรุปมาเป้นประสบการณ์ก็พอแล้ว อย่าติดอยู่กับอารมณ์จากความล้มเหลว ทุกอย่างต้องมองไปข้างหน้าเมื่อพิจารณาดูแล้วว่าไทเฮาเพิ่งจะหายเป็นปกติ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงบอกฮ่องเต้ต้าฉู่แล้วมาหาไทเฮา"ไทเฮา ฝ่าบาททรงเป็น