"ต่อไปเป็นการประลองเพลงกระบี่ ครั้งนี้คุณหนูทั้งสองจะต้องประลองฝีมือด้านการต่อสู้ ใครทำกระบี่หลุดมือเสียก่อนนับว่าพ่ายแพ้แก่คนที่สามารถถือกระบี่ไว้ในมือ เตรียมพร้อม"
เสี่ยวหลินหันหน้าหันหลังหลายปีมานี้แม้จะได้ร่ำเรียนเพลงกระบี่หลังจากที่เจี้ยนหลิงขอร้องให้เสี่ยวหลินออกมาฝึกวิชากระบี่ไว้เพื่อป้องกันตัวแต่หาได้คืบหน้าไม่ ไม่เกินสามกระบวนท่าต้องพ่ายแพ้ให้กับเจี้ยนหลิงอย่างแน่นอน
"ฝ่าบาท เจี้ยนหลิงรู้ดีว่าน้องสาวเสี่ยวหลินไม่อาจเอาชนะเจี้ยนหลิงได้ ซึ่งการประลองเพลงกระบี่ครั้งนี้จึงไม่เป็นการยุติธรรม น้องเดิมปักผ้าเย็บถุงหอมไม่เคยได้ออกไปไหน ผิดกับเจี้ยนหลิงที่พอจะเคยมีโอกาสได้ถือกระบี่บ้างเป็นครั้งคราวอีกอย่างเสี่ยวหลินอ่อนแอตั้งแต่เด็กๆ นางแค่ถือกระบี่ยังไม่มีแรงเช่นนั้นการประลองครั้งนี้ขอเป็นเจี้ยนหลิงที่ต้องประลองกับ.กับ....ไท่จือ"ฮ่องเต้เลิกคิ้วสูง
หันไปกระซิบกระซาบกับขันที่ข้างกาย
“ได้ ตามไท่จือที่ลานประลอง”
องครักษ์ประสานมือออกจากลานประลองไปในทันที เสี่ยวหลินยืนก้มหน้าอยากจะคัดค้านแต่อีกใจกับคิดว่าเป็นการดี หากเสี่ยวหลินแพ้ถึงสองครั้งทั้งเพลงกระบี่และารปักผ้า ก็คงหน้าอายไม่น้อยแต่หากว่าเจี้ยนหลิงแพ้ไท่จือนั่นก็เท่ากับยังพอมีโอกาส อยู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนสับปลับในเมื่อพูดกับเจี้ยนหลิงว่าไม่ต้องการแต่งกับไท่จือตั้งแต่ต้นแต่ทำไมเมื่อถึงคราวต้องประลองกับรู้สึกว่าหลายอย่างไม่ยุติธรรม ใครกันเป็นคนเสนอให้มีการประลองหากไม่มีคนเสนอ คาดว่าป่านนี้เสี่ยวหลินคงได้แต่งกับไท่จือไปแล้ว“เพลงกระบี่ของไท่จือร่ำเรียนมาจากท่านปรมาจารย์ของแคว้นเหวิ่น เจ้าคิดว่าจะประมือกับไท่จือได้สักกี่กระบวนท่า ข้าจะได้กำหนดกติกาขึ้นเสียใหม่เพื่อจะได้ไม่ต้องมีการบาดเจ็บ เพราะการประลองครั้งนี้แค่เพียงอยากให้เจ้าทั้งสองได้แสดงความสามารถ ให้เหล่าขุนนางและราษฎรได้เห็นว่าไท่จือเฟยมิได้ได้มาเพราะเป็นแค่เพียงบุตรีของขุนนางใหญ่เท่านั้น ล้วนต้องอาศัยความสามารถเช่นกัน”
“เจี้ยนหลิง เดิมเคยร่ำเรียนเพลงกระบี่เช่นกัน ทว่ายังไม่เชี่ยวชาญในเพลงกระบี่เท่าที่ควร จึงขอประมือกับไท่จือเพียงสามกระบวนท่าแพ้ชนะในสามกระบวนท่านั้นตัดสินกันไป”
น้ำเสียงอ่อนหวานถ่อมตน ทว่าแววตามุ่งมั่น อย่างที่เพ่ยตงเคยเห็นอยู่เป็นประจำ หลินเจี้ยนหลิงจับกระบี่ตั้งแต่ห้าขวบ ร่ายรำเพลงกระบี่ได้แคล่วคล่อตั้งแต่แปดขวบ นางเพียงแค่ถ่อมตน เพื่อ...เพื่อสิ่งใดกัน
ไท่จือก้าวขายาวๆ เข้ามาในลานประลอง รูปร่างองอาจ ใบหน้าหล่อเหลาหาใครเทียบได้ยาก สายตาคมกริบจ้องที่หลินเจี้ยนหลิง รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่ริมฝีปาก
หลินเสี่ยวหลิน เบิกตากว้างด้วยไท่จือมีใบหน้าหล่อเหลาท่าทีองอาจอย่างที่สุดหญิงร้อยคน หากพบหน้าไท่จือก็คงมีอาการไม่ต่างจากเสี่ยวหลิน จะมีเพียงหนึ่งทในร้อยที่มีอาการเช่นเดียวกับเจี้ยนหลิงนั่นคือนิ่งเฉยไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับใบหน้าหล่อเหลานั้น
“ไท่จือ เจ้าเตรียมตัวมาหรือยัง หลินเจี้ยนหลิงนางไม่อยากประลองกับน้องสาวของตนเองจึงอยากให้ไท่จือช่วยมาร่วมประลองกับนางสักสามกระบวนท่า”ยิ้มมุมปาก
“ลูกยินดีอย่างยิ่ง”
ในใจรู้ดีว่าหากเป็นเสี่ยวหลิน คงต้องพ่ายแพ้ย่อยยับก็นางอ่อนหวานเพียงนั้น เมื่อเขาพบนางครั้งแรกถึงกับไม่อาจละสายตาจากท่าทีเยื้องย่างที่แสนจะอ่อนหวานชดช้อย
เจี้ยนหลิง ดึงกระบี่ออกจากฝัก ตั้งท่าคอยรับมือเพลงกระบี่ของไท่จือหยางฟงฉี ดึงกระบี่ออกจากฝักด้วยท่าทีงดงาม ราวภาพวาดกวักมือเรียกให้หลินเจี้ยนหลิง ที่ทะยานเข้าใส่ดั่งคนขี้โมโห เสียงคมกระบี่ในมือคนทั้งสองปะทะกันเกิดประกายไฟแล่บแปล็บปลาบ ร่างสูงของไท่จือดันร่างเล็กของ เจี้ยนหลิงไถลไปกับพื้นแต่ทว่า หาได้ล้มลุกคลุกคลานอย่างที่หยางฟงฉีคิดไว้แต่แรกว่าเพียงกระบวนท่าเดียวนางจะต้องแพ้ไม่เป็นท่าแต่ด้วยการรับมือของนางในตอนนี้นับว่าเขาคาดผิดไป กระบี่ในมือพลิกสะบัด พัวพันหลบหลีกจนหลุดออกจาการกลางกั้นของอีกฝ่าย
กระบวนท่าแรกผ่านไปง่ายดาย ไม่ได้หนักหนาอย่างที่หยางฟงฉีคิดว่านางจะต้องแทบกระอักเลือด
กระบวนท่าที่สอง ถูกร่ายรำขึ้นอีกครั้งคราวนี้ หลบหลีกราวกับสายลมแต่ก็แข็งแกร่งดุจหินผาตวัดรัดล้อมเข้าหาศัตรูจนจนมุม แต่เจี้ยนหลิงกลับพลิกตัวหลบทะยานออกจากกับดักเพลงกระบี่ เจี้ยนหลิงยังมีสีหน้าเรียบเฉย หยางฟงฉีรู้สึกใจเสียอย่างเห็นได้ชัด
ท่าร่ายรำกระบี่ที่ขาดความมั่นใจมีหรือเจี้ยนหลิงจะมองไม่ออก กระบวนท่าที่สามถูกโถมเข้าใส่ อย่างบ้าคลั่งรุนแรงคลายจะให้อีกฝ่ายแดดิ้นด้วยอารมณ์คุกรุ่น รู้สึกว่าถูกดูถูกฝีมือจากสาวงามรูปร่างบอบบางเช่นเจี้ยนหลิง ฮ่องเต้ถึงกับขมวดคิ้ว
เพ่ยตงเลิกคิ้วสูงด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าไท่จือเป็นรองเจี้ยนหลิง เขาอดที่จะคิดไม่ได้ว่ายังคิดว่าจะชนะเจี้ยนหลิงได้อีกหรือในเมื่อเห็นได้ชัดว่าเป็นรองขนาดนี้
หยางฟงฉีทะยานขึ้นด้านบนจ่อคมกระบี่ตวัดเข้าหา อยู่ๆเจี้ยนหลิงก็ปล่อยกระบี่หลุดทรุดกายลงคุกเข่ายอมให้คมกระบี่จ่อที่คอหอยพอดี
ขันทีรีบขานโดยเร็ว
“ไท่จือเป็นฝ่ายชนะ”
กลัวว่าเจี้ยนหลิงจะเปลี่ยนใจ คนไม่รู้ก็ไม่มีทางมองออกทว่าเพ่ยตงรู้ดีว่าเจี้ยนหลิงแค่ยอมอ่อนข้อให้ เหมือนดังหงส์ในลายปักไม่มีผิด หยางฟงฉีเหลือบตามองเจี้ยนหลิงด้วยความรู้สึกประหลาดใจเพียงแค่นางไม่ปล่อยกระบี่หากจะรับมือเขามีหรือจะทำไม่ได้ เพียงแต่นางแสร้งทิ้งกระบี่ในมือเสียหลินเจี้ยนหลิงคนนี้ ทำเอาเขาแปลกใจไม่น้อย
“การประลองจบสิ้นลงแล้วการแต่งตั้งไท่จือเฟยจะมีขึ้นอีกในสองวัน”ขันทีรีบขานขึ้นดังๆ หลินเจี้ยนหลิงโยนกระบี่ในมือให้กับเพ่ยตง ก้าวขาย่อกายลงเบื้องหน้าฮ่องเต้ ไท่จือที่จ้องมองท่าทีองอาจของเจี้ยนหลิงคิดไม่ถึงว่า หญิงงามอย่างเจี้ยนหลิงที่เขาประเมินนางไว้เพียงแค่ไม้ประดับ แต่บัดนี้กับต้องคิดเสียใหม่
หลินเสี่ยวหลินเหลือบตามอง ไท่จือด้วยท่าทีอ่อนหวาน รอยยิ้มหวานหยดถูกส่งไปยังหยางฟงฉีไท่จือ ที่ก้าวเดินมาหยุดตรงหน้าของเสี่ยวหลิน
“ข้าเลือกเจ้า”
แววตาปีติบังเกิดขึ้นในดวงตาของเสี่ยวหลินในทันที เสียงราษฎรและขุนนางที่มาชมการประลองต่างอื้ออึงด้วย ทั้งสองช่างหล่อเหลาและงดงามสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก“ช่างเป็นคู่สวรรค์สร้างเสียจริง นางอ่อนหวานน่าเอ็นดูต่างจากหลินเจี้ยนหลิงคนนั้น ที่นางช่างร้ายกาจ ในสายตาพวกเรา”เสียงพูดนี้มีหรือเจี้ยนหลิงจะไม่ได้ยิน ในเมื่อเจี้ยนหลิงสร้างผลงานไว้มากมาย ที่ทำให้ผู้คนเกลียดชัง หากเป็นที่ตระกูลหลิน เจี้ยนหลิงคงสั่งตบปากคนพูดไปแล้ว แต่นี่แค่เพียงเดินหนีเสียการประลองครั้งนี้ เจี้ยนหลิงชนะสองในสามทั้งงานฝีมือและการประลองปัญญาในแบบที่ไม่ใช้กลโกง บิดากับเพ่ยตงรู้ดีแก่ใจว่าเจี้ยนหลิงมักใช้เล่ห์เหลี่ยมและกลโกง ในทุกครั้งที่บิดาออกรบและทำให้ ใต้เท้าหลินรบชนะทุกครั้งไปเจี้ยนหลิง ก้าวขาออกจากวังหลวงแทบจะทันทีเมื่อการประลองเสร็จสิ้นลง“คุณหนูเช่นไรท่านจึงยอมอ่อนข้อให้กับไท่จือเห็นได้ชัดว่าท่านรับมือเขาได้สบาย”“เจ้าคิดหรือว่าหากข้าชนะแล้วจะได้เป็นไท่จือเฟย มีใครบ้างจะชอบใจหากไท่จือเฟยจะเก่งกว่าไท่จือที่มีโอกาสนั่งบนบัลลังก์มังกรนั่น”เพ่ยตงพยักหน้ายิ้มๆ“แต่ถึงกระนั้นคุณหนูก็ยังชนะการประลองอยู่ดี การแต่งตั้งไท่จื
ทางเดินทอดยาว กลางตลาดที่คราคล่ำไปด้วยผู้คนเสี่ยวหลิน ถือไม้เสียบผลซานซาเชื่อมสีแดงน่ากิน แต่เจี้ยนหลิงกับยกมือข้นลูบคลำมีดสั้นที่เพิ่งจะจ่ายเงินซื้อมา“พี่สาวเราสองคนหากมีใครสักคนที่ จะต้องแต่งออกไป”“ก็ต้องเป็นเจ้าที่แต่งออกไปก่อนข้าแน่นอน น้องสาวของข้างดงามอ่อนหวาน”เสี่ยวหลินเหลือบตามองเพ่ยตง ยิ้มเศร้าๆ“เพ่ยตงท่านเล่าคิดเห็นอย่างไร”เจี้ยนหลิงหันไปถามความเห็นของเพ่ยตงที่กอดอกนิ่ง“เพ่ยตงไร้ความเห็น คุณหนูของเพ่ยตงแม้จะไม่อ่อนหวานแต่ทว่ามีความเป็นตัวของตัวเองมิได้สิ่งใดเคลือบแฝงไว้ด้วยบางอย่าง”เสี่ยวหลินหน้าเง้ารู้ดีว่าเพ่ยตงพูดถึงตัวเอง“เพ่ยตงท่านว่ากล่าวข้าหรือไร”“คนเราล้วนมีอุปนิสัยต่างกัน บางคนมีเรื่องราวภายในใจมากมายแต่เก็บงำไว้ ยิ่งน่ากลัว แต่บางคนเปิดเผยชัดเจน ต่างคนต่างใจต่างความคิด”“แล้วเจ้าชอบแบบไหนเพ่ยตง”เจี้ยนหลิงถามยิ้มๆ“เพ่ยตรงก็ย่อมต้องชอบคนที่เปิดเผยชัดเจน”เจี้ยนหลิงอมยิ้มเสี่ยวหลินหน้าเง้า อิจฉา ชในสิ่งที่เจี้ยนหลิงเป็น พยายามจะทำให้ได้เช่นเดียวกับเจี้ยนหลิงแต่ด้วยถูกสั่งสอนให้งดงามอ่อนหวานจึง ไม่มีทางที่เสี่ยวหลินจะเหมือนกันกับเจี้ยนหลิงได้ เจี้ยนหลิงหลิงคว้
รอบกายพร่ามัวแม้กระทั่งสายตาผิดหวังอย่างยิ่งของหลินซูหลานองค์หญิงสามของฮ่องเต้องค์ก่อนมีเพียงจุดที่หยางฟงฉีกับเสี่ยวหลินยืนอยู่เท่านั้นที่เจี้ยนหลิงเห็นมันเด่นชัด หยางฟงฉียิ้มสุขสมกับเสี่ยวหลินที่มีท่าทีเอียงอาย ผู้คนล้วนแซ่ซ้องกับความเหมาะสมกันดังสุริยันเคียงคู่จันทราในวันที่จันทร์ค้างฟ้าสดใส"เจี้ยนหลิง หลิงเจี้ยนหลิง"ร่างดั่งหุ่นไม้ สะบัดผ้าคลุมหน้าปาลงกับพื้นสุรามงคลถูกแจกจ่าย ไท่จือกับไท่จือเฟยคล้องแขนแลกกันดื่มสุราในมือชื่นมื่น"คุณหนู….หลินเจี้ยนหลิง"เพ่ยตงดึงสติเจี้ยนหลิงมิใช่แค่เพียงดึงสติเขายังดึงร่างบางให้ออกจากความอัปยศตรงหน้าไม่แม้แต่จะหลุดคำกล่าวใดออกมาไม่มีน้ำตาแต่ใจก็แหลกสลายด้วยความผิดหวังได้ไม่ยาก"ไปร่ำสุราที่โรงเตี๊ยมเดียวดายของเยว่ฉีจะดีไหม"เพ่ยตงชักชวน คิดถึงโรงเตี๊ยมเดียวดายร้างไร้ผู้คนที่ล้วนมีสุรารสเลิศหมักบ่มด้วยมือของแม่นางเยว่ฉี เจี้ยนหลิงเหมือนหุ่นไม้ที่ไร้ความรู้สึกนึกคิด อนาคตข้างหน้าไม่อาจคาดเดา ทว่ากับต้องพบกับเรื่องใดบ้างเจี้ยนหลิงก็ต้องรับมันให้ได้สายตาผิดหวังจากมารดา เป็นสิ่งที่เจี้ยนหลิงไม่อยากเห็นมัน ต่อจากนั่นมารดาจะปฏิบัติอย่างไรกับเจี้ยนหล
"เสี่ยวหลินรู้ดีว่าตำแหน่งไท่จือเฟยสำคัญกับพี่สาวเพียงใด ท่านแม่บอกข้าว่า ท่านแม่...ของพี่สาวลงโทษพี่สาว ข้าเสี่ยวหลินรู้สึกผิดยิ่งนัก แต่ไม่ใช่ข้าที่เป็นผู้กะเกณฑ์เรื่องนี้ หากไม่ใช่ประสงค์ของไท่จือแต่ก็อีกนั่นแหละ ข้าเป็นไท่จือเฟยแล้วเป็นคนของไท่จือแล้ว ข้ารู้ว่าพี่สาวไม่ยอมรามือแน่ ข้ารู้จักท่านดี หากว่าท่านจะแค้นเคืองโปรดให้เป็นเสี่ยวหลินเถิด"ถอนหายใจเบือนหน้าหนีเจี้ยนหลิงลุกขึ้นยืนกอดอก ความจริงเมื่อฝ่าบาทมอบตำแหน่งองครักษ์หญิงให้กับเจี้ยนหลิง ความบาดหมางเบาบางลงไป หากเสี่ยวหลินไม่มาพูดอะไรทำนองนี้อีก ตำแหน่งสำคัญนี้คงพอกู้หน้าให้กับมารดาของเจี้ยนหลิงได้"ข้าไม่รับปาก"ด้วยนิสัยของเจี้ยนหลิงจะยอมง่ายๆ ไม่ใช่เจี้ยนหลิงแต่น้องสาวไม่ได้ผิดอะไรหันมาจับไหล่บางของเสี่ยวหลินให้ลุกขึ้นแม้จากปากแข็งเพียงใดแต่เมื่อเป็นเสี่ยวหลินเจี้ยนหลิงมักจะยอมใจอ่อนเสมอ"ข้าไม่ลุก จนกว่าท่านจะยอมรับปากว่าจะไม่แค้นเคืองไท่จือ"เหมือนเข้ามานั่งในใจ หรือต้องการอวดความภักดีที่มีต่อไท่จือ"ความจริงเป็นเจ้าที่สับปลับในตอนนั้น เป็นเจ้าที่บอกข้าว่าไม่อยากรับตำแหน่งไท่จือเฟย ข้าจึงคาดหวังและทุ่มเท หากเจ้าไม่พ
“ฝ่าบาทคิดอะไรข้าไม่อาจคาดเดาได้ ตำแหน่งของเจี้ยนหลิงไม่ธรรมดา นางสามารถใช้คำพูดของตัวเองต่างคำบัญชาฝ่าบาทได้ อำนาจนี้แม้แต่ไท่จือกับฮองเฮายังไม่อาจเอื้อม” หลินลี่หลินซ่อนความรู้สึกริษยา แกล้งยิ้มหวานกลบเกลื่อน“นางเป็นหญิงแม้จะมีอำนาจแต่หากเหล่าขุนนางไม่ให้ความย้ำเกรงก็ ไม่อาจคลุมคนได้”“เกรงว่าเป็นฝ่าบาทที่จะสั่งสอนเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์โดยการยกย่องเจี้ยนหลิงและจะต้องมีใครสักคนเป็นตัวอย่างให้ขุนนางคร่ำครึเหล่านั้นรู้ว่า เจี้ยนหลิงมีอำนาจในมือจริงไม่ควรค่อนแคะนินทานาง”"ท่านพี่เสี่ยวหลินจำเป็นต้องมีสาวใช้ติดตามที่รู้ใจคอยรับใช้ใกล้ชิดอยู่ที่ตำหนักบูรพาจะต้องไม่ให้ใครค่อนแคะได้ว่าไท่จือเฟยเป็นเพียงลูกอนุ""ส่งสาวใช้ในบ้านให้นางเสียสองคน คัดเอาคนที่สนิทชิดเชื้อกับ เสี่ยวหลินจึงดี"หลินลี่หลินยิ้มพราวเพ่ยตงเดินกอดกระบี่ตามเจี้ยนหลิงในตลาดที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน"นั่นอย่างไรเล่า บุตรีคนโตของบ้านหลิน ท่าดีทีเหลว ในครั้งแรกที่เห็นยิ่งใหญ่เหนือใครแต่สุดท้ายน้องสาวจากเมียอนุของใต้เท้าหลินก็รั้งตำแหน่งไท่จือเฟย"เจี้ยนหลิงยิ้มก้าวเข้าหาคนพูด"เจ้าพูดถึงข้าใช้ไหม""ชะชะใช้ เจ้าจะทำไม"ยัยป้าร
หยุดเดินแต่ไม่ยอมหันมาเผชิญหน้าเจี้ยนหลิง"อย่าเรียกข้าแบบนั้น สิ่งนี่เป็นความอัปยศที่สุดในชีวิตข้า""ไม่จริงหรอก เช่นนั้นองค์ชายจะอ้างความเป็นองค์ชายห้าทำไมกัน""เจ้าเคยเห็นคนขลาดเขลา เวลาเอาตัวรอดหรือไม่ คิดเรื่องใดไม่ออกมักจะอ้างสิ่งที่คิดว่าจะทำให้คนอื่นกลัว"เจี้ยนหลิงยิ้ม รู้ดีว่าคนผู้นี้มิได้ขลาดเขลา"เชิญองค์ชาย เจี้ยนหลิงหวังว่าโอกาสหน้าจะได้พบกันอีก"หยางฟงเกาก้าวขาจากไป"ไม่น่าต้องชักกระบี่ ปกติเพ่ยตงไม่ชักกระบี่ง่ายๆ ""กลัวว่าคุณหนูจะเป็นอันตราย ข้าประเมินพวกมันสูงไปหน่อย"กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เจี้ยนหลิงอมยิ้มส่ายหน้าไปมาตำหนักบูรพาเสี่ยวหลินขยำเทียบเชิญในมือปาลงกับพื้น"ไท่จือเฟย เพ่ยตงส่งเทียบเชิญ"สาวใช้ที่ฮ่องเต้ประทานมาเอ่ยออกมาอย่างนอบน้อม เสี่ยวหลินหันมายิ้มอ่อนหวาน"เตรียมของฝากให้พี่สาว ข้าจะเลือกของที่ดีหน่อย เจ้ายกหีบเครื่องบรรณาการของไท่จือที่ต่างแคว้นนำมาถวายให้ข้าเลือกที คงต้องใช้เวลาเลือกเสียนานหน่อย สำหรับพี่สาวเจี้ยนหลิงจะต้องเป็นของที่คู่ควร"สาวใช้จากไปเสี่ยวหลินเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวลใจยิ่งนัก"นางตั้งใจเอาคืน"เกี้ยวของตำหนักบูรพาหยุดนิ่งหน้าตระ
ใต้เท้าหลินตัดบท เจี้ยนหลิงย่อกาย นี่แค่เพียงตักเตือนรู้ดีว่าจากนี้ไปต่างหาก คือของจริง"ท่านพ่อ แม่ใหญ่ท่านแม่แล้วก็พี่สาวข้าเตรียมของกำนัลให้พวกท่านมากมาย" สาวใช้ยื่นส่งของกำนัลใส่ในมือให้เสึ่ยวหลินแจกจ่ายแก่ทุกคน“พี่สาวนี่ของท่านข้าเสี่ยวหลินเลือกเองกับมือ เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของเราหวังว่าพี่สาวจะรับมันไว้”เจี้ยนหลิงรับกล่องโลหะมาคลี่ออกดูข้างในนั้นเป็นน้ำตาลก้อน กับเก้าห่วงปริศนา (เก้าห่วงปริศนา (九连环) ถือเป็นของเล่นที่ได้รับความนิยมและมีความซับซ้อนมากกว่า โดยผู้เล่นต้องขบคิดหาวิธีนำห่วงทั้งเก้าที่คล้องเกี่ยวกันอยู่นั้นย้ายขึ้นและปลดลงให้ได้ ดังนั้น การเล่นและแก้เกมเก้าห่วงปริศนานี้จึงถือว่าช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับเด็กได้เป็นอย่างดี)“พี่สาวถูกใจหรือไม่ จำได้ไหมครั้งนั้นข้าเคยแอบหยิบของเล่นของท่านไปด้วยความอยากลองเล่นตามประสาเด็กๆ ท่านกลับสั่งให้ข้ายืนคาบเก้าห่วงอันนั้นจนถึงยามเช้าข้าเพียงแค่ระลึกถึงความหลัง ของชิ้นนี้เป็นหนึ่งใบบรรณาการของไท่จือจากต่างแคว้น ข้าจึงเลือกหยิบมาให้พี่สาว”เจี้ยนหลิงยิ้ม“ของของข้า ก็คือของข้าของชิ้นไหนที่ไม่ใช่ของข้า ข้าไม่เคยคิดแย่งชิงมันจากผู
ร้องโอดโอ๊ย ก่อนจะหมดสติไปในอ้อมแขนของหยางฟงฉี“องครักษ์ ส่งคนไปจับตัว เจี้ยนหลิงนางวางยาไท่จือเฟย”วังหลวง สามวันต่อมาหลังจากที่ เสี่ยวหลิน เพิ่งจะฟื้นคืนสติด้วยการรักษาอย่างสุดกำลังของหมอหลวง“ตรวจไม่พบพิษ ไม่มีหลักฐาน ไท่จือเจ้ายังกล้ากล่าวหานาง”“ท่านพ่อ เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ….”“ในเมื่ออะไรกัน ครั้งนั้นเจ้าเองก็ให้ขันทีตรวจสอบพิษแล้ว”หยางฟงฉี ถอนหายใจ ในเมื่อเขาเองสับเปลี่ยนจานขนมและยังให้สั่งให้เสี่ยวหลินทำแบบเดียวกับเขา จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมเขาหากเป็นเช่นนั้นนางก็ต้องจงใจใส่พิษไว้ในจานถัดมาเสมออย่างนั้นหรือ นับว่านางอ่านใจเขาได้แต่แทบจะไม่มีทางจะเป็นไปได้ใครกันจะคิดได้แบบนั้น“เสด็จพ่อลูกไร้คำแก้ตัว”พิษชนิดนั้นคือพิษใดกันแน่แม้แต่ขันทียังตรวจสอบพิษไม่ได้ ทั้งๆที่หมอหลวงบอกว่าเสี่ยวหลินต้องพิษอย่างแน่นอน พิษนั้นทำร้ายช่องท้องของนางจะเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่อาจตรวจสอบพิษได้ มีพิษชนิดนั้นอยู่ด้วยหรือ แต่เมื่อไร้ซึ่งหลักฐานเขาแค่เพียงต้องประเมินหลินเจี้ยนหลิงคนนี้ให้สูงขึ้นกว่าเดิม คนเช่นไรจึงจะ สามารถปรุงยาพิษชนิดที่ไม่อาจตรวจสอบพิษได้“เจ้าส่งคนจับตัวนาง
ฟงเกาฝืนยิ้มทั้งๆ ที่เจ็บปวดไปทั่วสรรพร่าง“นั่นอย่างไรเล่าข้าจึงต้องตายอย่างน้อยก็รู้ว่า เจี้ยนหลิงเจ็บปวดต่อการจากไปของข้า”เจี้ยนหลิงหลับตาไล่หยาดน้ำตา กลืนมันลงในอก“ท่านห้า ข้าไม่ให้ท่านไปไหน เราสองคนจะต้องอยู่ด้วยกันไม่มีใครไปไหน”เพ่ยตงกลืนน้ำลายลงคอยากเย็น“ข้าก็อยากจะอยู่กับเจ้าอยากยืนเคียงข้างเจ้าในวันเสกสมรส อยากเปิดผ้าคลุมหน้าอยากยิ้มกับเจ้าแต่.. คงไม่มีวันนั้นแล้ว”“องค์ชายหยุดพูดหยุดพูดเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น…”เจี้ยนหลิงกลืนก้อนแข็งๆ ลงในลำคอสะกดกลั้นอาการสะอื้นไห้“ 555ข้าชอบเจ้าเวลาโกรธชอบเจ้าเวลาทำท่าทางขึงขัง เจ้ารองแม่ทัพเพ่ยตงปราบพยศคุณหนูของเจ้าแทนข้า แต่ข้าว่าเจ้าจะโดนเจี้ยนหลิงปราบเสียมากกว่า เอาอย่างนี้ดูแลนาง ปกป้องนาง ตามใจนางเหมือนที่ข้าอยากทำ”เพ่ยตงแหงนหน้ามองฟ้า สะกดกลั้นหยาดน้ำตาที่ไหลรินเช่นกัน“ข้าไม่รับปากท่านจะต้องไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไรสำคัญเท่าการที่ท่านจะอยู่กับพวกเราที่นี่ไม่มีใครต้องจากไป” ฟงเกายิ้มเศร้าๆ เอื้อมมือสั่นเทาคว้ามือของเจี้ยนหลิงวางบนมือเพ่ยตง“ข้าพยายามแล้วแต่คิดว่าคงไม่อาจกระทำข้าเจ็บเหลือเกินตอนนี้”“ท่านห้าท่านเก่งเกินใครเรื่องเล็
"บัดนี้ การสถาปนาฮ่องเต้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว หยางฟงฉีฮ่องเต้ทรงพระเจริญ"ขันทีอัญเชิญตราประทับหยก ตรงหน้าหยางฟงฉีเอื้อมมือคว้าตราประทับเสี่ยวหลินยิ้มสุขสม ทว่าเพ่ยตงทะยานผ่านหน้าคว้าตราประทับไว้ในมือ"องครักษ์มีผู้ชิงตราประทับ"ขันทีตะโกนก้อง ท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าขุนนาง ฟงฉีและเสี่ยวหลิน เพ่ยตงดึงเกราะออกเปิดเผยใบหน้า"เพ่ยตงบังอาจนัก องครักษ์ฆ่าเขาเสีย"เพ่ยตงกระโจนทะยานไปบนศีรษะของเหล่าองครักษ์ที่กรูกันเข้ามา ข้ามไปยังเบื้องหน้าลานกว้างที่บัดนี้ หยางฟงหยางยืนอยู่ เพ่ยตงย่อกายส่งมอบตราประทับให้กับหยางฟงหยางทั้งขุนนางและคนที่มาร่วมงานต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็นหยางฟงหยางชูตราประทับขึ้นสูงสุด"เสด็จพ่อ"หยางฟงฉีพึมพำเบาๆ"ฟงฉี เจ้าลูกชั่ววางยาทำร้ายข้าแล้วยังใส่ร้ายผู้อื่นทหารจับตัวฟงฉีไว้เดี๋ยวนี้"องครักษ์หันหน้าหันหลัง"ทหารจับตัวกบฏหยางฟงฉี"เสียงใต้เท้าหลิน ที่นำกำลังทหารฝ่ายใต้การนำของใต้เท้ากุ้ยและใต้เท้าหลินในตำแหน่งแม่ทัพ เข้ามาล้อมลานพิธีไว้"ท่านพ่อ ทำไมทำแบบนี้ทั้งๆ ที่ลูกกับท่านพี่กำลังจะได้นั่งบนบัลลังก์แล้วแท้ๆ "เสี่ยวหลินตัดพ้อใต้เท้าหลิน"ข้าไม่เคยมีลูกเช่นเจ้า ลูกของ
ฟงเกา ตวัดคมกระบี่เข้าห้ำหั่นเหล่าองครักษ์และมือสังหารล้มตายเหมือนใบไม้ร่วงแต่กลับเหมือนยิ่งล้มตายยิ่งเพิ่มเข้ามาไม่หยุดหย่อน ฟงเกาแทบจะทรงกายไว้ไม่ไหว มือสังหารได้ใจไม่ยอมให้ได้หยุดพัก ใช้กระบี่คมกริบในมือฟาดฟัน แผ่นหลังเป็นแผลยาวเลือดไหลซึมออกมา ฟงเกาทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นแต่ทว่ามือยังกำกระบี่ไว้แน่น มือสังหารอีกคนพุ่งตรงเข้าใส่ จ้วงกระบี่ เข้าใส่แผ่นหลังหมายปลิดชีพเสีย จวนตัวจนไม่อาจจะหนีพ้น ฟงฉานถลาเข้าเอาตัวบังร่างของฟงเกาไว้เสียงคมกระบี่เสียบเข้าที่ยอดอกของฟงฉานชัดเจนเลือดสดสดไหลออกจากปากดวงตาเหลือกถลนล้มลงกับพื้น ฟงเกาอ้าปากค้างหันมากอดรวบเอาร่างโชกเลือดของฟงฉานไว้ในอ้อมแขน“พี่ใหญ่”ฟงฉานยิ้มน้อยๆ เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด“พี่ใหญ่ไม่ ไม่ไม่ ท่านจะต้องไม่เป็นอะไร”“หนีไป เจ้าห้าหนีไปเสีย”“ข้าจะต้องช่วยท่านออกไปให้ได้”ผุดลุกขึ้นกวัดแกว่งกระบี่ในมือย่างบ้าคลั่งแม้จะบาดเจ็บ องครักษ์กับมือสังหารล้มตายดาษดื่นด้วยแรงโทสะสามารถทำให้องครักษ์และมือสังหารมากมายพ่ายแพ้ย่อยยับ หันกลับมาที่ร่างอ่อนแรงเสียงหายใจรวยริน“พี่ใหญ่..พี่ใหญ่ออกไปไปหาจูจิวนางรอเราอยู่ที่นั่นข้างนอกนั่น”พยุงร่า
“องค์ชายเรื่องราวมากมายวกวน ล้วนมีทั้งสุขและทุกข์องค์ชายอย่าได้กังวล คิดเสียว่าทุกอย่าง มาถึงเวลาอันควรแล้ว”“พี่รองนับวันยิ่งเหิมเกริมอาศัยอำนาจทำเรื่องชั่วช้า ไม่เกรงกลัวบาปกรรม”“คนเช่นนี้จะต้องจัดการให้เข็ดหลาบ ไม่เปิดโอกาสให้ได้มีทางแก้ตัวได้”“เจี้ยนหลิง ตอนนี้ทุกอย่างกำลังบีบรัดข้าอยากได้กำลังใจจากเจ้าเสียจริง”“กำลังใจแบบไหนกัน” ขยับเข้าหาเจี้ยนหลิงมือไวเท่าความคิดคว้าร่างบางมากอดแนบแน่น“องค์ชาย หาใช่เวลาที่จะ..จะ อุ๊ป”แก้มเนียนถูกขโมยดอมดมกลิ่นหอม จมูกโด่งเป็นสันกดเข้าที่พวงแก้ม สุดแรง“องค์ชาย”“ต่อจากนี้ไม่รู้ว่าจะต้องพบเจอสิ่งใดบ้าง ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้ใกล้เจ้าแบบนี้เจี้ยนหลิง อย่าใจร้ายกับข้านักเลย” เจี้ยนหลิงหลบตาเขินอาย“องค์ชาย ไปที่แห่งใดเจี้ยนหลิงไปที่นั่น ต่อไปก็จะต้องใกล้ชิดกัน ข้าหาได้คิดที่จะปล่อยให้องค์ชายต้องเผชิญเรื่องราวทุกข์เข็ญเพียงลำพังในเมื่อเรามีชะตากรรมเดียวกันถือว่าเป็นวสรรค์ที่ ให้เราทั้งหมดได้พานพบ”กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น สูดดมความหอมจากเรือนผม“ขอบใจเจ้าจริงๆ ขอบใจที่ทำให้รู้ว่าเจ้าจะอยู่ข้างข้าแบบนี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย ต่อไปไม่ว่าจะเกิด
“จูจิว”เจี้ยนหลิงกล่าวทักทายด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าคนที่พบจะเป็นจูจิว ทั้งๆ ที่ส่งข่าวให้สาวใช้ที่เป็นคนของเจี้ยนหลิงไปบอกกล่าวคำพูดปริศนากับองค์ชายใหญ่ เพื่อส่งข่าว“พี่สาวเจี้ยนหลิง ท่านปลอดภัยดีไหม ข้าเพิ่งจะเข้าใจเมื่อพบหน้าท่าน องค์ชายใหญ่รอบคอบยิ่งนักไม่ยอมมาด้วยตัวเอง คนของไท่จือจับตามององค์ชายใหญ่ตลอดเวลาข้ายินดีส่งข่าวให้พวกท่านกับองค์ชายใหญ่เอง”“ขอบคุณแม่นางจูจิว” ฟงเกาเอ่ยออกมาบ้าง“องค์ชายตอนนี้ ไท่จือทรงกริ้วอย่างมาก การที่ท่านหนีออกมาแบบนี้ ส่งมือสังหารไล่ล่า”“ไม่หนีก็ไม่ควรจะอยู่ ลมเปลี่ยนทิศอำนาจเปลี่ยนมือ”“ฝ่าบาทตอนนี้ถูกรับมาดูแลที่ตำหนักปลายฟ้า”“แปลกจริงทำไมถึงยอมให้องค์ชายใหญ่รับเอาฝ่าบาทไปดูแลง่ายดาย ไม่ได้การแล้ว”เจี้ยนหลิงลุกขึ้นจากท่านั่ง“คุณหนูท่านหมายความว่าอย่างไร”เพ่ยตงผู้ที่รู้ใจเจี้ยนหลิงที่สุด“หากต้องการอำนาจไว้ในมือไท่จือ จะต้องรับเอาฝ่าบาทไว้ดูแลเองไม่ต้องการให้ใครไปยุ่งเกี่ยว ที่ทำแบบนี้เพราะๆ ..ได้ทุกอย่างไว้ในกำมือแล้วหรือต้องการ... ให้ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ในมือขององค์ชายใหญ่เพื่อจะป้ายความผิดให้กับองค์ชายใหญ่”จูจิว ถอยหลังกรูด“เราจะทำ
"เพ่ยตง เจ้าจะทิ้งข้าไปไหนอีก เพราะไม่มีเจ้าไม่อยู่ท่านแม่จึงต้องมาพบจุดจบเช่นนี้" เพ่ยตงประสานมือตรงหน้าสีหน้าเศร้าหมองไม่ต่างกัน"ไม่ได้ ข้าว่าข้าเคยห้ามเจ้าแล้วนะเพ่ยตรง"ฟงเกาช่วยห้ามอีกแรง"องค์ชายไม่ได้เป็นเพ่ยตงองค์ชายไม่มีทางเข้าใจหรอก ว่าท่านน้าสำคัญกับข้าเพ่ยตงแค่ไหน""จะบอกว่าเจ้าเจ็บแค้นคนเดียวหรือไร ฝ่าบาทตอนนี้ก็อยู่ในมือของพี่รองเป็นตายเท่ากัน คิดว่าข้าไม่ร้อนใจหรือไร""แล้วจะปล่อยคนชั่วไว้ทำไมกัน"“เจี้ยนหลิงเจ้าว่าอย่างไร”"ข้าตอนนี้แทบกระอักเลือด เสี่ยวหลินจะต้องชดใช้เรื่องที่นางทำกับท่านแม่ข้าไม่มีทางอภัยให้นาง แต่ไม่ใช่ตอนนี้หากทำการวู่วามไปนอกจากจะไม่ได้แก้แค้นบางทีกลัวว่าจะไม่อาจรักษาชีวิตไว้”“เราทั้งสามเข้าตาจน ตอนนี้คงต้องเร้นกายที่นี่แต่กลัวเหลือเกินว่าจะทำให้เยว่เหนียงได้รับความเดือดร้อน” เพ่ยตงกล่าวขึ้น“ท่านรองแม่ทัพไม่ต้องกังวล ที่นี่มีห้องลับมากมาย อีกอย่างโรงเตี๊ยมของเยว่เหนียงห่างไกลจากวังหลวง คงไม่มีใครให้ความสนใจหรือหากจะมีใครมาค่ายกลที่สร้างไว้ก็พร้อมที่จะเปิดใช้งาน”“รบกวนแม่นางเยว่เหนียงแล้ว”ฟงเกาประสานมือตรงหน้าเยว่เหนียง“ไม่อาจรับไว้ได้ เยว่เหน
ชักกระบี่ออกจากอก เลือดสีแดงพุ่งดั่งเขื่อนแตก ซูหลานกำอาภรณ์ไว้แน่น เสี่ยวหลิน สะบัดตัวปล่อยร่างของซูหลานฟุบลงกับพื้น ใต้เท้าหลินถลาเข้าหอบร่างของซูหลานไว้แนบอกน้ำตาไหลริน“ข้าขอโทษข้าขอโทษ ซูหลานข้าขอโทษ”“ท่านพี่ ปกป้องเจี้ยนหลิงให้ข้าด้วย ปกป้องลูกของเราด้วย” กระอักเลือดสดสดออกมาก่อนที่จะสิ้นลมไปต่อหน้าต่อตาใต้เท้าหลินตำหนักม่านฟ้า องครักษ์กรูกันเข้ามาล้อมฟงเกาที่นั่งไขว่ห้างแสร้งจิบชาสบายอารมณ์ทั้งๆที่รู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น“พวกเจ้ารับบัญชาไท่จือ จงใจเป็นศัตรูกับข้าใช่หรือไม่”“องค์ชาย ไท่จือให้กักบริเวณองค์ชายให้อยู่แต่ในตำหนักม่านฟ้า”“คิดว่าจะกักขังข้าได้หรือ” ลุกขึ้นยืนคว้ากระบี่ที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะเครื่องเสวย ชักมันออกจากฝักง่ายดาย องค์รักษ์ต่างตกตะลึงเพราะไม่มีใครรู้ว่าฟงเกาเชี่ยวชาญวรยุทธ์มาก่อน“เข้ามา พร้อมกันข้าจะได้เลือกว่าจะฆ่าใครก่อน”องครักษ์มองหน้ากันเลิกลักก่อนจะ พุ่งทะยานเข้าใส่ ฟงเกาด้วยคิดว่าเป็นต่อ กระบี่ในมือถูกสะบัดไปในอากาศ เพียงพริบตาเดียวเหล่าองครักษ์ต่างล้มลงกับพื้นโอดโอยบ้างก็หนีตายบ้างก็ทรุดกายลงด้วยยอมจำนน“คิดจะกักขังข้า ไม่มีทางเจ้าคิดผิดแล
"ฝ่าบาททรงพระประชวรอย่างหนัก เพียงชั่วข้ามคืน"ซูหลานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด"ท่านแม่ คงเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก""ระหว่างนี้เจ้าต้องระวังตัวเมื่อเข้าไปในวังหลวง พวกเรายังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด”"ลูกทราบแล้ว ขอบคุณท่านแม่ที่ห่วงใยองค์ชายรองรีบรุดอาสาดูแลฝ่าบาท ลูกกลัวเหลือเกินว่านี่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนมือ""เพ่ยตงมาลา"ลอบมองสีหน้าของเจี้ยนหลิง"ลา ในยามนี้เขาทิ้งเรา ร่ำลาไปที่แห่งใดกัน"ใต้เท้าหลินสาวเท้าเข้ามาในห้อง"ฝ่าบาทมีบัญชาแต่งตั้งองค์ชายรองในตำแหน่งไท่จือทันที"ใต้เท้าหลินเองก็มีสีหน้ากังวลไม่น้อยไปกว่าสองคนแม่ลูกในเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือฝ่าบาทประชวรคนที่มีอำนาจสั่งการทั้งหมดจะต้องเป็นไท่จือ"ท่านพี่ฝ่าบาททรงพระประชวร เช่นไรจึงเร่งรีบแต่งตั้งเพียงนี้""อ้างว่า ไร้คนบัญชาการเรื่องราวต่างๆ ในวังหลวง จึงต้องมีการตัดสินใจในทันที มีทั้งตราประทับ และร่างอักษรในการแต่งตั้งไท่จือที่เป็นลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทนัยว่าร่างไว้นานแล้วแต่ยังไม่ได้บัญชาออกไป"ซูหลานสบตากับเจี้ยนหลิง"เจ้าไปเสียก่อน เจี้ยนหลิงออกไปจากเขตวังหลวงเรื่องราวสงบลงเมื่อไหร่ค่อยกลับมา"ดึงตัวเจี้ยนหลิงให้ลุกขึ้น"เจ้ากังวลเก
เสี่ยวหลินยิ้มหยัน อยู่ตรงหน้า"ทานรองแม่ทัพ ยอมจำนนแล้วหรือเจี้ยนหลิง คนที่หมายปองนางสูงศักดิ์อีกทั้งยังเหนือกว่าไม่ยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้ เกรงว่าจะต้องเป็นท่านที่ต้องยอมแพ้เสียก่อน ""ข้าไม่เคยยอมจำนนที่จะภักดีกับคุณหนูตลอดไป"เสี่ยวหลินสีหน้าสลดลงลงทันทีสิ่งที่ไม่อาจตัดทิ้งไปได้คือความรู้สึกที่มีต่อเพ่ยตง"เสี่ยวหลินเอาใจช่วย ให้ท่านสมหวังแม้ข้าจะไม่ชอบพี่สาวเท่าไหร่ก็ตาม"เพ่ยตงสาวเท้าจากไปไม่อยากมองภาพบาดตาตรงหน้า"ปล่อยข้านะ"เจี้ยนหลิงผลักร่างสูงออกห่างแต่กลับถูกแขนอุ่นดึงรั้งร่างบางเข้าหาตัว เจี้ยนหลิงเบือนหน้าหนีอีกคนเชยคางมนให้สบตาคม"เจ้า ถึงจะบอกว่าไม่ชอบข้ารังเกียจข้า แต่ให้รู้ไว้ว่าฟงเกาคนนี้ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายดาย”“องค์ชาย เร่งรัดเจี้ยนหลิงมากไป”“เสด็จพ่อมีพระประสงค์ประทานงานแต่งงานให้เราสองคน แต่ข้าขอเวลากับเสด็จพ่อว่าไม่อยากหักหาญน้ำใจเจ้าให้เจ้ามายินยอมด้วยตัวเอง ในการที่จะแต่งกับข้า”เจี้ยนหลิงถอนหายใจยาว“อย่างที่บอกข้าไม่มีทางยอม แม้เจ้าจะบอกว่าไม่ชอบข้าก็ตามสักวันข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่า ข้าปรารถนาดีกับเจ้าที่สุด”ปล่อยมืออกช้าๆ เจี้ยนหลิงก้มหน้าด้วยภายในใจ ไม่อาจบรรยายออ