นางจันคิดใคร่ครวญถึงข้อเสนอของชายหนุ่ม พินิจดวงตาคมกล้าสีดำสนิทไร้แววล้อเล่นและความเจ้าเล่ห์เฉกเช่นผู้นำท้องถิ่นอย่างกำนันเทพ แล้วจึงหันไปหาหลานสาวตกอยู่ในสภาพมอมแมมอีกทั้งรอยขีดข่วนจนช้ำตามลำตัว
‘ช่างน่าละอายใจเหลือเกิน’
ความผิดจากการกระทำที่เห็นแก่ตัวกระแทกหัวใจคนเป็นป้าจนจุกในอก เปรมยุดาเป็นหลานสาวแท้ ๆ แต่ตนกลับปกป้องอะไรไม่ได้ เพราะความขลาดกลัวต่ออำนาจบวกกับความละโมบในทรัพย์สินของน้องชาย จึงทำให้หลงหน้ามืดตามัวเอาเงินทองมากมายมาเป็นของตนเอง ปล่อยให้เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดด้วยตัวเอง
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นจากดวงตาเล็ก...
“ป้าผิดไปแล้วจริง ๆ เปรมเอ๊ย...เอ็งไม่ควรตกอยู่ในสภาพนี้ ควรจะมีโอกาสที่ดีเหมือนลูกหลานคนอื่นเขา ฮึก ๆ ป้าขอโทษนะลูก ป้ามันเห็นแก่ตัว ตายไปจะสู้หน้าพ่อกับแม่เอ็งได้ยังไง ฮือ...”
หน้าผากเหี่ยวย่นแตะหลังมือแดงก่ำของหลานสาว กว่าจะคิดได้ก็เกือบทำให้เด็กน้อยผู้อาภัพคนนี้ตายทั้งเป็น
อาทิตย์ต่อมา...
เขตสัตหีบเข้าสู่ช่วงเวลาบ่ายคล้อย การันต์เดินทางกลับมาถึงบ้านพร้อมกับเปรมยุดา
“ห้องอาอยู่ชั้นสองฝั่งซ้ายมือ ส่วนของเราอยู่อีกฝั่งมีระเบียงด้านนอกเปิดออกไปจะมองเห็นทะเลแล้วก็ทิวทัศน์สวย ๆ คิดว่าเราน่าจะชอบ”
เจ้าของบ้านอธิบายเมื่อพาเธอเข้ามาข้างใน วางกระเป๋าใบย่อมลงที่พื้นลายไม้อย่างเบามือ เดินลับไปในห้องครัวก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับแก้วใสบรรจุน้ำดื่มสองใบ
“ขอบคุณค่ะ” ยกมือไหว้นอบน้อม
ตั้งแต่เดินทางจากสมุทรปราการ จวบจนกระทั่งถึงชลบุรีคุณอาดูแลเธอเป็นอย่างดีมาโดยตลอด แม้จะบอกว่าไม่เป็นไรเธอสามารถดูแลตัวเองได้ก็ตาม
“ถ้านับคำว่าขอบคุณของเราเป็นทองคำป่านนี้อาคงมีทองสะสมหลายร้อยบาทแล้วนะว่าไหม” ชายหนุ่มเอ่ยล้อต่อความเกรงอกเกรงใจของเธอ
เปรมยุดาพอได้ยินก็เผยยิ้มหวาน คิดว่านอกจากคำนี้ก็ไม่รู้จะตอบแทนหนี้น้ำใจครั้งใหญ่แก่ผู้มีพระคุณยังไง
“ถ้าเป็นอย่างที่อากานพูดจริงหนูจะขอบคุณทุก ๆ นาทีเลยค่ะ”
“เด็กน้อยเอ๊ย!” ว่าพลางขยี้เส้นผมกลางกระหม่อมเล็กวนไปมากับความไร้เดียงสา หากว่าต้องการสิ่งใดจากเธอจริงละก็ขอเป็นรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้มนี้ก็พอ!
สัมผัสบนเส้นผมกับดวงตาทอประกายห่วงใยจากคนร่างสูงทำให้หัวใจดวงน้อยบนหน้าอกข้างซ้ายของเปรมยุดาคล้ายกับมีเตาผิงติดไฟโอบล้อมก้อนเนื้อไว้ มันอุ่นอยู่ข้างในจนอยากจะยึดรอยยิ้มของคุณอาไว้แต่เพียงผู้เดียว!
ศีรษะเล็กขับไล่ความคิดแปลกประหลาดแทรกเข้ามาในหัว
“เป็นอะไร? หรือเหนื่อยที่นั่งรถนานเหรอ งั้นก็ขึ้นไปพักเถอะอาให้คนทำความสะอาดไว้ให้แล้ว”
จะตอบว่าไม่ใช่แต่เป็นเพราะคิดฟุ้งซ่านก็ใช่ที ประเดี๋ยวก็โดนไล่ออกไปจากบ้านตั้งแต่วันแรกที่มาอาศัย งานนี้ได้กลายเป็นคนเร่ร่อนของจริง
“ค่ะ หนูเอาของไปเก็บก่อนนะคะ ฝั่งขวาใช่ไหมห้องของหนู” คว้ากระเป๋าเก็บของส่วนตัวพลางถามย้ำ
“ใช่ ห้องสุดท้ายนั่นแหละ แล้วก็ของพวกนี้เดี๋ยวอาถือไปให้เราถือแค่กระเป๋าใบนั้นก็พอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ กระเป๋าแค่สามใบเองหนูขนขึ้นไปได้ค่ะ”
“เป็นเด็กดีนะเปรมยุดา อาบอกว่าจะถือไปให้ก็ฟังกันหน่อย โอเคไหมคะ”
“...ค่ะ”
เปรมยุดาย้ายมาอยู่สัตหีบได้หนึ่งอาทิตย์แล้วเป็นช่วงเวลาต้องปรับตัวหลายอย่าง อีกทั้งผู้ร่วมอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันยังเป็นผู้ชายในวัยทำงาน เท่าที่พินิจพิจารณาน่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูง แต่งตัวภูมิฐานตั้งแต่ช่วงบนด้วยสูทเนื้อดีกับกางเกงสแลคสีเดียวกัน เสริมให้คุณอามีบุคลิกโดดเด่นให้ยิ่งน่ามองและน่าเกรงขามเพิ่มมากขึ้นไปอีก
“อาต้องไปทำงานอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้ ระหว่างนี้ก็คิดไว้ว่าขาดเหลือหรืออยากได้อะไร หลังเลิกงานอาจะพาออกไปเดินซื้อในห้าง”
การันต์วางแก้วกาแฟดำลงแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
“ไม่มีค่ะ” ส่ายหน้าจนผมปลิว “เท่าที่มีก็ยังใช้ได้อยู่ อากานไม่ต้องพาหนูไปหรอกค่ะ”
คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเมื่ออีกคนรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“อาเห็นเราหน้ามัน ปากซีดมาตั้งแต่วันก่อนแล้วนะ ยังจะเสื้อผ้าที่เอามาไม่กี่ชุด ถึงอาจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่เลี้ยงคนคนหนึ่งไหว เชื่ออาสิ!”
เปรมยุดายกมือขึ้นคลำผิวหน้าของตนเองตามที่คุณอาบอก แม้จะไร้เครื่องสำอางแต่ผิวก็ยังเนียนละเอียด ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองทว่าเป็นเช่นนั้นจริง สุขภาพผิวของเธออิ่มเอิบนวลเนียน
ถึงอย่างนั้นก็ยังไล้ฝ่ามือลงไปยังเสื้อตัวเก่าและกางเกงขาสั้นเสมอเข่า ข้อนี้ไม่กล้าเถียงด้วยว่าเป็นคนไม่ค่อยซื้อชุดใหม่ ดังนั้นที่นับได้ก็มีไม่กี่ตัวที่หยิบมาใส่จนสีซีด
“งั้นก็เอาตามที่อาว่าก็แล้วกัน” พอเปรมยุดาไม่แย้งเขาจึงสรุปแผนการในช่วงเย็นด้วยตัวเองเสร็จสรรพ
“อากานจะไม่เหนื่อยเหรอคะ ตั้งแต่กลับมาก็ไม่ได้หยุดเลย”
“รู้ได้ยังไงว่าอาไม่ได้หยุด?” คิ้วเข้มยกขึ้นสูงเชิงถาม
“หนู...” บอกยังไงดีว่านอนไม่หลับก็เลยได้ยินเสียงประตูอีกฝั่งเปิดเข้าออกอยู่หลายครั้ง
“หื้ม?”
“หนูแค่เดาเอาน่ะค่ะ”
“หึ! อาไม่เหนื่อยปกติกิจวัตรประจำวันก็เป็นแบบนี้”
“ก็ได้ค่ะ ตกลงตามที่อาว่าก็ได้”
“อืม...อาต้องไปแล้ว ปิดบ้านให้ดีหิวมีของสดในตู้เย็น ถ้าจะสั่งก็บอกอาหน่อยจะได้ช่วยดูว่าสายไหนเป็นคนรับออเดอร์”
“ค่ะ” ดันตัวขึ้นแล้วเดินตามเจ้าของร่างสูงเดินนำออกไปที่ประตู พลางย่นคิ้วแล้วคิดไปว่าเหมือนผู้ปกครองกำลังกำชับเด็กน้อยให้ระวังทั้งที่ตนเองก็โตพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว
ปึก!
“เป็นอะไรหรือเปล่า” การันต์หันขวับกลับมาด้านหลังทันทีเมื่อรู้สึกถึงหน้าผากเล็กชนเข้ากลางหลัง
“มะ...ไม่ค่ะ หนูไม่คิดว่าอาจะหยุดก็เลยไม่ทันระวัง” สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนจากกายสูงโชยกระทบโสตประสาททำให้ติดอ่างขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“เรานี่นะระวังหน่อยสิ อาลืมบอกเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง อาทิตย์หน้าจะพาไปสมัครเรียนเตรียมตัวให้พร้อมอยากลงคณะไหนก็ตัดสินใจให้ดี ๆ เท่านี้แหละอาไปล่ะนะ”
“...สมัครเรียนงั้นเหรอคะ” เสียงแผ่วไล่ตามแผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไปทีละนิด ไม่คิดว่าสิ่งที่ใฝ่ฝันมานานจะเป็นจริงได้เร็วขนาดนี้ ยังคิดว่าต้องรอไปอีกสักระยะเสียอีก
บริษัทเอเจกรุ๊ป
“เป็นยังไงบ้าง?” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามปลายสายหลังจากคุยธุระเสร็จแล้ว
[ใช้งานกูไม่เลิก คราวหน้าก็ให้กูทำเองไปเลยดีกว่าจะได้จบ ๆ]
ดลธีกรอกเสียงประชดประชันเพื่อนสนิทพร้อมกับยื่นข้อเสนอซึ่งตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย แต่เกี่ยวหน่อยก็ได้ในฐานะรุ่นน้องคนหนึ่ง ทว่าก็ไม่ได้เป็นคนต้นคิดเรื่องวางแผนรับเลี้ยงเปรมยุดาเสียหน่อย ทำไมถึงกลายเป็นเขาออกหน้าแทบทุกเรื่องเลย
“ได้สมใจแล้วนี่ไงตกลงว่าไงเอาดี ๆ อย่ากวนได้ไหม”
[เออ...เรียบร้อยแล้วครับท่านประธาน แค่พาน้องเปรมไปยื่นเอกสารแล้วก็รายงานตัวก็พอ ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้หลังจากชื่อน้องเข้าไปอยู่ในคณะแล้วก็ได้]
“ขอบใจ เอาไว้เลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ตอบแทนก็แล้วกัน”
[รุ่นนี้เลี้ยงข้าวได้ที่ไหน ต้องเป็นน้ำแก้กระหายคอเท่านั้นถึงจะเหมาะสมเว้ย]
“ตามใจมึงแล้วกัน แต่คงจะทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้หรอกนะ”
[อะไรวะ! อย่าทำเป็นพ่อลูกอ่อนจะได้ไหม น้องไม่ใช่เด็กสองสามขวบนะเว้ย]
“รู้ แต่มึงจะให้กูทิ้งคนที่พึ่งห่างบ้าน พักอยู่คนเดียวดึก ๆ ดื่น ๆ ได้ยังไง ตั้งใจพามาดูแลแล้วจะทิ้งขว้าง ใช่เรื่องที่ไหน”
[กูเป็นน้องเปรมคงเทิดทูนมึงขึ้นหัวแล้วนะเว้ย ดูแลขนาดนี้ยิ่งกว่าหลานคนหนึ่งอีกนะ]
“ปากมึงนะดล ไม่คุยเรื่องไร้สาระกับมึงแล้วยังไงก็นัดวันมาละกัน”
[เออ ๆ ทีงี้ว่ากูไร้สาระ...]
ตู๊ด ๆ ๆ
ยังไม่ทันที่ดลธีจะพูดจนจบประโยคก็ถูกการันต์ตัดสายทิ้งก่อน CEO หนุ่มทอดกายไปด้านหลังพิงพนักตัวใหญ่ เพราะณรงค์คือคนที่ส่งเสริมเขามาตั้งแต่ยังเป็นเพียงนักศึกษาจน ๆ คนหนึ่ง กระทั่งได้เข้าสู่วงการธุรกิจด้านการเงินและลงทุน ซึ่งในวันนี้เลือดเนื้อเชื้อไขของผู้มีพระคุณกำลังตกที่นั่งลำบาก เขาอยู่ในจุดสามารถช่วยเหลือได้จะเพิกเฉยไม่ทำอะไรก็ดูเหมือนจะเป็นคนอกตัญญูเท่านั้นนะสิ!
ห้างสรรพสินค้า
หลังจากคุณอาพาเดินซื้อของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าอีกหลายชุดรวมถึงเครื่องสำอางที่จำเป็นหมดแล้ว นึกว่าเขาจะกลับเลยแต่ที่ไหนได้...
“เอ่อ...เอาไว้หนูไปซื้อในตลาดนัดแถวบ้านก็ได้ค่ะ” หันมาพูดกับคนตัวสูงถือถุงใบใหญ่เต็มทั้งสองข้างอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“ไหน ๆ ก็มาแล้วจะเสียเวลาไปซื้อที่อื่นอีกทำไม” ให้เหตุผลกับคนขี้เกรงใจ ปกติผู้หญิงต้องเลือกใช้ของที่ดีไม่ใช่เหรอ ไม่ได้จะดูแคลนของตลาดนัดเพียงแต่ว่าเขาต้องการให้เปรมยุดาใช้ของแบรนด์นี้มากกว่า “หนูไม่เสียเวลาค่ะ เดินไปไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงแล้ว” อุตส่าห์หาเหตุผลมาเลี่ยง ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องราคาแต่ระหว่างที่เลือกชุดชั้นในด้วยนี่สิ ครั้นจะบอกให้เขายืนรออยู่หน้าร้านก็จะกระไรอยู่ในเมื่อข้างในมีที่ให้นั่งรอ!“แต่อาอยากให้ซื้อที่นี่!” “แต่ว่ามันแพง”“แพงแล้วอาให้เราจ่ายเหรอ”“ก็นั่นแหละค่ะ เพราะเป็นเงินของอาไง ลองคิดดูซื้อร้านนี้ชุดละตั้งเกือบพัน สู้เอาไปซื้อที่ตลาดนัดพันหนึ่งได้ตั้งหลายชุด”การันต์เส้นขมับเต้นตุบ ๆ กรามแกร่งขบเข้าหากันเมื่อได้ฟังคำพูดของคนกำลังอธิบายคอเป็นเอ็น ปกติพูดน้อยทว่าคราวนี้พูดจนหน้าดำหน้าแดงแค่เพราะเรื่องราคาเนี่ยนะ“.....”“เปรมยุดา!”ผู้รับอุปการะเอ่ยเสียงเข้ม เมื่อเธอยังเอาแต่เงียบเพราะอยากให้ใช้ของที่ดีถึงได้พามาทั้งที่ไม่เคยทำให้ใครมาก่อน กลับถูกปฏิเสธในความหวังดี นัยน์ตาสีดำสนิทกดลงต่ำในระดับใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าเรียบนิ่ง ทำยังไงดี! เธอกำลังทำให้คุณอาไม่พอใจ
กำลังคิดอะไรของแกการันต์! สิ่งที่อยู่ในหัวถูกสลัดออกไปหลังจากปล่อยให้ตนเองเผลอไผลกับภาพน่าหลงใหลของเปรมยุดา นึกตำหนิอารมณ์วาบหวามของตนเมื่อใกล้ชิดกับคนในอุปการะทั้งที่ไม่ควรเลยสักนิด หรือเป็นเพราะขาดเรื่องบนเตียงมานานถึงได้มีความรู้สึกพวกนี้ขึ้นมา!ลำแขนใหญ่คลายออกจากเอวคอดเมื่อปรับอารมณ์ของตนให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม“คราวหน้าก็ระวังกว่านี้หน่อยเกิดไปชนคนอื่นเข้าจะเป็นอันตราย” ปากก็เตือนด้วยความเป็นห่วง ในหัวกลับคิดว่าหากเป็นคนอื่นที่ประคองโอบเจ้าของร่างเล็กนี้...“หนูจะระวังให้มากกว่านี้ค่ะอากาน”สิ้นคำนั้นการันต์ก็ยื่นมือออกไปจับข้อแขนเรียวแล้วก้าวไปยังอาคารของผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเซนต์เจมส์วันเปิดเทอม...ข้างอาคารคณะบริหารธุรกิจมีนักศึกษาทั้งหญิงและชายนั่งเกาะกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน หลังจากไปพักผ่อนตลอดช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นลูกคุณหนูถูกครอบครัวสปอยล์เอาใจมาตั้งแต่เด็ก ความเป็นอยู่ไม่ได้ลำบากอย่างเช่นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งปลีกตัวออกมานั่งห่างจากคนอื่น ๆ หลายโต๊ะกั้นเอาไว้แม้ตอนนี้เธอจะถูกชุบเลี้ยงอย่างดีจากผู้มีพระคุณทว่าเปรมยุดาก็ไม่เคยลืมว่าแท้จริงแล้วตนเองม
CEO หนุ่มผู้สุขุมลุ่มลึกหลุดมาดเพียงเพราะเรื่องแค่นี้? เหมือนไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด‘ช่างเป็นคนไม่แยกแยะเอาเสียเลยนะไอ้กาน!’ ฉุกคิดได้ว่าตนทำไม่ถูก เปรมยุดาอยู่ในวัยเรียนแล้วพึ่งจะเริ่มกับสังคมใหม่ ๆ ควรจะปล่อยให้เธอได้อยู่กับเพื่อนบ้าง! “ไม่ต้องหรอกนัดกันแล้วก็ไปทานให้อร่อย เงินพอหรือเปล่าต้องการเพิ่มไหม” กลับมาอยู่ในโทนเสียงเดิมหลังจากตำหนิตนเองไป[ขอบคุณค่ะอากาน เงินหนูยังมีอยู่ค่ะไม่ได้ใช้อะไร]“จำเป็นก็ใช้บ้าง” [ค่ะ หนูจะใช้ถ้าจำเป็น]“ดื้อ”หากอยู่ตรงหน้าเมื่อเอ่ยคำนี้การันต์คงได้เห็นดวงหน้าจิ้มลิ้มงอเง้าเพราะคำนี้เป็นแน่ ทว่าตอนนี้ต่างอยู่กันคนละที่จึงพบเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาลอดผ่านเข้ามาให้ได้ยินเปรมยุดาขบเรียวปากเมื่อถูกดุเสียงทุ้มดวงตาประกายวูบไหวมองหน้าจอที่พึ่งดับไป..“เปรมเสร็จยังไปกัน” “อืม ไปกัน” หย่อนมือถือเข้ากระเป๋าตามเดิมแล้วก้าวไปหาเพื่อนทั้งสองที่ยืนรออยู่ทางเดินร้านย่างเนื้ออยู่ห่างจากมหา’ลัยเพียงสองซอยนับว่าไม่ได้ไกลมากนัก ใช้เวลาเดินทางไม่กี่นาทีก็ถึง เปรมยุดาให้ขุนพลเป็นคนเลือกเมนูโดยต้องใจคอยกำกับอยู่ข้าง ๆ “เธอจะกินทำไมไม่เลือกเองเมนูก็อยู่ตรงหน้านั่
“ไม่บอกหนูล่ะคะ ทำไมถึงอดทนเพื่อหนูขนาดนี้ด้วย” เสียงอู้อี้ลอดผ่านช่องว่างอันน้อยนิดก่อนจะซุกใบหน้าเข้าหาความอบอุ่น การันต์กำมือแน่นตั้งตัวไม่ทันกับเปรมยุดาแบบนี้ ที่ผ่านมาแม้จะทำดีด้วยแค่ไหนอย่างมากก็ไหว้ขอบคุณ แต่สวมกอดเต็มตัวอย่างนี้ไม่เคยเลยสักครั้ง เธอจะรู้ไหมว่าการกระทำนี้กำลังทำร้ายเขาอย่างรุนแรง! “เปรมยุดา!”เสียงทุ้มกดลงต่ำเอ่ยหลังจากปล่อยให้ความเผลอไผลอยู่เหนือความเป็นจริง สาวน้อยคนนั้นที่เคยเอ็นดูบัดนี้โตเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัวแล้ว สัมผัสได้จากความนุ่มเบียดเสียดเหนือหน้าท้องมีขนาดใหญ่เพียงใด! ดวงตาหลับพริ้มเปิดขึ้นเมื่อคำที่คุณอาเคยใช้ไม่เป็นอย่างเคย แม้น้ำเสียงจะไม่ดุดันทว่าจับได้ถึงความเคร่งขรึมดันตัวออกห่างจากร่างใหญ่กำยำช้อนดวงตาคู่สวยไล่ตั้งแต่สันกรามคมกริบผ่านเส้นโค้งสวยได้รูปของเรียวปากหยัก ไปจนถึงสันจมูกโด่งคมกริบก่อนจะหยุดที่นัยน์ตาสีดำขลับหลุบลงมาพอดี วินาทีนั้นหัวใจก็เจ็บแปลบเมื่อความอบอุ่นไม่ได้มีอยู่ในนั้นเหมือนเช่นเคย เธอล้ำเส้นเกินไปใช่หรือเปล่า! “หนู...ขอโทษค่ะต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีก อากานอย่าโกรธหนูได้ไหมคะ” วิงวอนเสียงอ่อนเจือไปด้วยความกังวล ไม่อยากให้เ
“ใจจริงก็อยากอยู่เที่ยวกับเธอที่นี่แหละ แต่แม่โทรตามให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน”ต้องใจเบะปากทำหน้ามุ่ยเมื่อนึกถึงสายที่พึ่งโทรมาให้กลับเขาใหญ่เพื่อไปช่วยงานที่รีสอร์ต ราวกับผู้เป็นแม่จะรู้ว่าหากไม่ทำอย่างนี้ตนก็จะไม่กลับในช่วงปิดเทอม “แย่จัง! แบบนี้ฉันก็เหงาแย่สิ”เห็นเพื่อนหน้าละห้อยก็อดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ “ก็ใช่ไง หรือเธอจะไปเที่ยวกับฉันแทน เอาไหม ๆ”เขย่าแขนเปรมยุดาด้วยความตื่นเต้นครั้นมีความคิดใหม่ ๆ หากว่าเพื่อนกลับไปด้วยก็คงดี “อ่าาา แขนฉันจะหักแล้วต้อง จะไปได้ยังไง ฉันยังต้องช่วยงานคุณอาอีกนะ”บอกปัดคำชวนของเพื่อน เธอไม่ได้เป็นอย่างต้องใจที่มีครอบครัวคอยให้กลับไปหา มีแค่คุณอาที่คอยส่งเสียฉะนั้นช่วงปิดเทอมนี้จะเอาแต่เล่นไม่ได้ “ว้า! อดพาเธอไปดูดอกไม้สวย ๆ เลยอะ”“เอาน่า ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหน้าซะหน่อย ไว้มีเวลาฉันจะไปเที่ยวกับเธอนะ” “รับปากแล้วนะ”“อืม”เปรมยุดาให้คำมั่นกับเพื่อนสาวก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกัน ส่วนทางด้านขุนพลได้แยกกลับไปก่อนแล้ว เนื่องจากว่าต้องไปทำธุระให้กับทางบ้าน ซึ่งชายหนุ่มนั้นสุดแสนเสียดายไม่ได้อยู่กับเพื่อนสนิทให้นานกว่านี้บ้านของคุณอาดูคึกคักขึ้นมาท
หัวใจดวงน้อยเจ็บเหลือเกินกับคำพูดห่างเหินออกมาจากปากของคุณอาที่เธอเทิดทูน แค่คิดว่าต่อไปอาจจะถูกรังเกียจร่างกายก็สั่นสะท้านดังต้องลมหนาว “อย่าโกรธหนูเลยนะคะอากาน”เสียงสั่นเอื้อนเอ่ยผะแผ่ว ปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างรวดเร็ว สูดหายใจเรียกสติของตนเองกลับมาแล้วหันหลังเดินเข้าห้องน้ำ ในเมื่อคุณอาทำให้กระจ่างแล้วว่าไม่มีวันมองเธออย่างเช่นผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นได้เพียงลูกสาวของรุ่นพี่เท่านั้นก็จะไม่เอาตัวเองเข้าไปเป็นความลำบากใจของผู้มีพระคุณอีกสองอาทิตย์ให้หลัง เพราะยังอยู่ในช่วงปิดเทอมเปรมยุดาจึงว่างพอที่จะวุ่นกับการทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่ได้ตลอดทั้งวัน เธอเริ่มจากพื้นที่ของตัวเองแล้วไล่ไปทีละห้องของชั้นบน ไม้ขนไก่กับผ้าหนึ่งผืนกลายเป็นอุปกรณ์ติดกายของแม่บ้านจำเป็น จากปีกทางขวาสู่ปีกทางซ้ายกระทั่งหยุดอยู่หน้าห้องของเจ้าของบ้าน เธอลังเลว่าจะเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของคุณอาดีไหม จะเป็นการละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่า แม่บ้านจำเป็นหันซ้ายแลขวาราวกับว่าเป็นผู้ร้ายที่ปีนเข้าบ้านผู้อื่นเสียอย่างนั้น หลังจากยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าประตูสีน้ำตาลพักใหญ่จึงตัดสินใจได้ว่าจะลองเสี่ยงหมุนลูกบิดห้องดู ถ้าไม
“อยู่เฉย ๆ อย่าดิ้น” ครั้งนี้เขากดเสียงต่ำลงจนเหมือนพูดอยู่ในลำคอ ยิ่งเธอขยับแรงสัมผัสเสียดสีระหว่างกันก็มีมากขึ้น แล้วมันก็กำลังก่อกวนสิ่งที่หลับใหลมานานให้รู้สึกตัวขึ้นมา“อาก็ปล่อยหนูก่อนสิ” เธอยังดิ้นอยู่บนตัวของคุณอา ท่อนแขนกำยำโอบเอวไว้ยิ่งกระชับจนเราทั้งสองแนบชิด ทำให้รู้สึกว่าหายใจติดขัด แล้วยังใบหน้าของเราที่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ “อาปวดหัว” ไม่เพียงไม่ทำอย่างที่เปรมยุดาบอกยังวางหน้าผากอิงแอบไหล่จนเธอสะดุ้ง มุมปากกระตุกกับปฏิกิริยาของเธอแค่นี้ก็ตกใจแล้วเด็กน้อย“อะ...อากาน” มือที่ดันไหล่กว้างพลันหยุดลง “แบบนี้จะยิ่งปวดหัว” “อืม” “อืมก็ลุกไปจากตัวหนูสิคะ”“ลุกยังไงเราอยู่บนตัวอา”หน้าเธอร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม ก็จริง! แต่ไม่ใช่เพราะเขากอดไว้หรอกเหรอถึงอยู่กันในสภาพนี้ “งั้นอาก็ปล่อย หนูจะได้ลุกขึ้นไปหายามาให้อาทาน” บอกเขาเสียงเบา ผิดกับหัวใจที่เต้นแรงจนมันจะหลุดออกมาอยู่ด้านนอก “อีกแป๊บหนึ่ง เราอยู่กันแบบนี้อีกหน่อยได้ไหม” มึนหัวจนไม่อยากขยับตัว แต่ที่ต้องการมากกว่าคือได้อยู่กับเปรมยุดาอย่างนี้ กลิ่นหอมอ่อน ๆ คุ้นเคยทำให้เขาผ่อนคลาย ใบหน้าคมคายเลื่อนเข้าซอกคอหอ
วันต่อมา...เสียงคลื่นทะเลยามเช้ายังให้รู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ได้ฟังดั่งเช่นทุกวัน ทว่าบรรยากาศภายในบ้านโมเดิร์นหลังใหญ่กลับไม่เหมือนเดิม บนโต๊ะอาหารเมื่อก่อนสองอาหลานจะนั่งฝั่งตรงข้ามกันแต่เช้านี้การันต์กลับเลือกนั่งเก้าอี้ติดกับเปรมยุดาแทน “ที่ของอาอยู่ฝั่งนู้นไม่ใช่เหรอคะ” เอียงหน้าถามคนตัวโตกว่าด้วยดวงตาใสซื่อ “ก็ใช่ แต่ต่อไปนี้อาจะนั่งตรงนี้ ไม่ได้เหรอ” ยกคิ้วเข้มขึ้นพลางถามเสียงนุ่ม ดวงตาวาววับราวกับลูกแก้วกวาดมองใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของคนนั่งข้างกันอย่างลึกซึ้ง“ทำไมจะไม่ได้ละคะก็ที่นี่เป็นบ้านของอา อาจะนั่งหรือจะทำอะไรก็ต้องได้อยู่แล้ว” แปลกใจที่ตัวเองกล้าต่อปากต่อคำกับเขา ซ้ำยังสบตาคมกล้าอย่างไม่หลบหลีก ช่างไม่มีความเกรงกลัวเอาเสียเลยเปรมยุดา“นั่นสินะ บ้านก็เป็นบ้านของอางั้น ‘ทุกอย่าง’ ในนี้ก็ต้องเป็น ‘ของอา’ ทั้งหมดด้วยนะสิ ว่าไหม?” คำพูดของคุณอาไม่ได้กล่าวเพียงข้าวของเครื่องใช้ภายในตัวบ้าน คำว่าทุกอย่างที่ว่านั้นรวมถึง‘ตัวเธอด้วย?’“ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ” ตอบไปอย่างที่เขาต้องการจะให้เป็น แล้วเธอยังคงใช้สายตาท้าทายมองกลับนับว่าเป็นคนที่ขวัญกล้าไม่น้อยทีเด
การันต์ดีดตัวจากเก้าอี้ตัวยาวเร่งรุดไปหยุดตรงหน้าคุณหมออย่างรวดเร็ว “ภรรยากับลูกผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” ความตื่นเต้นระคนกังวลทำเสียงที่เอ่ยถามนายแพทย์ออกมาสั่นไหว “ยินดีกับคุณพ่อด้วย คุณแม่และ ‘ลูกชาย’ ปลอดภัยและแข็งแรงทั้งคู่ครับ อีกเดี๋ยวเราจะย้ายพวกเขาไปห้องพักฟื้น ถ้ามีอะไรต้องการเพิ่มก็แจ้งพยาบาลได้เลยครับ” นายแพทย์กล่าวเสียงละมุน เห็นสีหน้าของสามีคนไข้แล้วคงกระวนกระวายใจไม่น้อย “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริง ๆ” การันต์ไม่อาจกลั้นความปรีติยินดีเอาไว้ได้ น้ำตาแห่งความดีใจหล่นออกมาอย่างไม่นึกอายพอได้ยินกับหูตัวเองแล้วว่าคนที่ตนเองรักสุดชีวิตทั้งสองปลอดภัย “กูบอกแล้ว สองคนนั้นเก่งจะตาย” ดลธีตบไหล่ปลอบเพื่อน “ต้องอยากเจอหน้าหลานจังเลยค่ะ งั้นขอไปรอหน้าห้องเด็กนะคะ” “ไปด้วย ผมกับต้องไปทางนู้นนะครับ” ขุนพลหันมาบอกคุณอาทั้งสองก่อนจะวิ่งตามต้องใจไป ดลธีมองกระทั่งภาพหลังหนุ่มสาวทั้งสองลับสายตาจึงหันกลับมาหาเพื่อนรักที่เช็ดน้ำตาตัวเองออกอย่างรวดเร็ว “ยินดีด้วย ต่อไปก็เป็นพ่อเต็มตัวแล้วนะ ดีที่ไม่ต้องไว้หนวดตั้งแต่ตอนนี้” คุณพ่อป้ายแดงหันมาทางเพื่อนยืนอยู่ข้างกัน ดวงตาแดง ๆ ของเขาจ้
เดือนต่อมา...รถเมอร์เซเดสสีขาวของการันต์มุ่งหน้าไปยังหมูบ้านกลางน้ำอีกครั้ง ความตั้งใจของเขาในวันนี้ก็เพื่อจะพาคนรักนั่งข้างกันมีสีหน้าราบเรียบทว่าดวงตากลมโตมีแววสั่นไหวอย่างคนเป็นกังวล “อาจะพาหนูไปวัดแล้วกลับเลย ไม่ต้องกลัว” อุ้งมือใหญ่วางทาบมือเล็ก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงความกังวลของเธอ ถึงจะผ่านไปแล้วหลายปี หากแต่ว่าความทรงจำของเปรมยุดาก็อยู่ที่นี่ไม่น้อย “ขอบคุณนะคะ” ยิ้มอ่อน ๆ พลางหันมาทางคุณอา สายตาอบอุ่นของเขาทำให้ใจว้าวุ่นตลอดทางผ่อนคลายลงไปมาก คราแรกที่รู้ว่าเขาจะพากลับมาไหว้พ่อกับแม่น้ำตาเธอนองเต็มหน้า คิดถึงพวกท่านจับหัวใจ ต่อให้ไม่ได้พบหน้ากันอีกแค่ได้ไหว้กระดูกคนเป็นลูกอย่างเธอก็ซาบซึ้งใจ“ไม่ต้องขอบคุณ อาตั้งใจจะมาพบพ่อกับแม่หนูอยู่แล้ว”เปรมยุดายิ้มกว้าง คนรักทำราวกับจะได้พบหน้ากัน...คงไม่ต่างจากเธอ!ทั้งสองใช้เวลาชั่วโมงเศษ ๆ ก็มาถึงที่หมาย ฝ่ายลูกสาวของผู้ลาลับหอบช่อดอกไม้สีสันสดใสกับผ้าหนึ่งผืนเดินนำเจ้าของเรือนกายภูมิฐานไปยังเจดีย์บรรจุอัฐิของพ่อและแม่ “หนูกลับมาหาพ่อกับแม่แล้วนะคะ” วางช่อดอกไม้ตรงฐานกว้าง เช็ดฝุ่นออกจากกรอบรูปที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใค
กว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ใช้เวลาไปหลายนาที ดีที่ไม่มีใครแซวหรือพูดอะไร จึงทำให้พวกเรากลับมาสนุกกันต่อ เวลา 00.41 น.“รอกันตรงนี้เรียกรถให้แล้ว” ดลธีบอกขุนพลและต้องใจหลังจากงานเลี้ยงจบลง เขาดูแลทั้งสองเปรียบเสมือนน้องนั่นก็เพราะเปรมยุดาได้กำชับไว้ก่อนที่เธอจะแยกไปกับเพื่อนเขาดีจริง ๆ เลยทั้งหลานทั้งเพื่อน!“ขอบคุณนะครับ” ขุนพลไหว้ผู้ใหญ่ใจดี มื้อนี้เจ้ามือหมดไปไม่น้อย “ไม่เป็นไร ต่อไปถ้ามีงานทำก็กลับมาเลี้ยงฉันบ้างก็แล้วกัน” ดลธีหันไปตอบเพื่อนหลานด้วยใบหน้าทะเล้น“ต้องคิดเป็นบุญคุณด้วยเหรอคะ?” คนที่แม้แต่จะทรงตัวก็ลำบากยังอุตส่าห์หันมาถามเสียงอ่อน “ต้อง! เงียบบ้างก็ได้” ขุนพลห้ามเพื่อนพลางประคองไหล่เล็กให้ยืนได้ตรงเสียก่อนจะปากดี ไม่ดูตัวเองบ้างเลย! ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัว“แค่บอกว่าให้เลี้ยงคืน? เป็นบุญคุณเหรอ ถ้าบอกให้เอาเงินมาคืนก็ว่าไปอย่าง หรือเธอจะคืนฉันล่ะยัยขี้เมา” “ก็เอาบัญชีมาสิ เดี๋ยวโอนให้ตอนนี้เลย ชิ!” “มือถือ?”“เอาไป”“ต้อง!”“นายเงียบเลยขุน” จะว่าเหมือนเด็กก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ทว่าคนทั้งสองต่างไม่มีใครยอมกัน คนกลางอย่างขุนพลจึงได้แต่ยิ้มแห้งให้คุณอาขอ
ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาของเปรมยุดาและเพื่อน ๆ ต่างก็ดีอกดีใจเมื่อเดินทางมาถึงจุดสำเร็จสาขาบัญชีรวมตัวถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก เปรมยุดา ต้องใจและขุนพลฉีกยิ้มให้กับกล้อง เสียงกดชัตเตอร์รัวติดต่อกัน พร้อมกับช่างภาพยกนิ้วขึ้นโอเค ทุกคนก็ร้องเฮ คละเคล้าเสียงโห่ร้องตะโกนด้วยความดีใจต่างโอบกอดลากันด้วยน้ำตานองหน้า สี่ปีที่เรียนด้วยกันมาความผูกพันแน่นแฟ้นจนอดใจหายไม่ได้เมื่อต้องแยกจากเพื่อไปเติบโตใช้ชีวิตวัยทำงานไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาจะไม่มีวันลืมมิตรภาพที่ดีเหล่านี้เลย“เร็วนะว่าไหม? ไม่อยากจากพวกแกไปเลย”ต้องใจนั่งจับมือเปรมยุดา และมองเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งห่างออกไป เธอเห็นสายตาอาวรณ์ที่ขุนพลใช้มองเปรมยุดา ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือกระทั่งตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่ก็คงทำได้แค่นั้นเพราะตอนนี้เพื่อนรักของเธอมีเจ้าของแล้ว และไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นคุณอาสุดหล่อที่กำลังถือช่อดอกไม่ช่อใหญ่เดินเคียงคู่มากับอิตาคุณอาขี้เก๊กนั่นเอง“เรายังเจอกันได้ แค่เรียนจบไม่ได้จากไปไหนไกลนี่น่า จริงไหมขุน” “ใช่ทำอย่างกับจะจากกันไปไหนไกลเว่อร์จริง ๆ เลยเธอเนี่ย”“โดนรุมอีกละ!”“เรียนจบแทนที่จะดีใจกลับทำหน้าบูด
กายโชกไปด้วยเหงื่อทรุดลงทาบทับร่างเปลือยเปล่าหอบหายใจโยนป้อก⁓“อะ” เปรมยุดารู้สึกกึ่งกลางกายวูบโหวงเมื่อคุณอาถอดถอนตัวตนลำใหญ่ออกไปจากตัวเธอ การันต์หายใจหอบใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ ดึงผ้าห่มคลุมกายเปลือยเปล่าทั้งสองจนถึงอก “มีคำหนึ่งใช่ไหมที่อายังไม่ได้บอกหนู” เกลี่ยปอยผมปกใบหน้ารูปไข่เล่น “อะไรเหรอคะ” ตะแคงตัวโอบกอดกายใหญ่ ซุกหน้าเข้าซอกคอแกร่ง ทำให้คุณอาหัวเราะในลำคอพลอยให้เธอยิ้มตามไปด้วย“อารักหนูเปรม รักมาก รักเกินกว่าใคร ๆ ฉะนั้น...อย่าพูดว่าจะให้อามีคนอื่นหรือคิดว่าอาจะไปมีใคร เพราะแค่มีหนูเปรมคนเดียวก็พอแล้ว” “อาบอกว่ารักหนูเหรอคะ” แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคาย วางฝ่ามือบนใบหน้าเริ่มมีตอหนวดขึ้นบาง ๆ มิน่าเมื่อครู่ถึงได้รู้สึกระคาย “อารักหนูเปรม” ทาบฝ่ามือใหญ่บนหลังมือเล็ก ย้ำให้คนจ้องหน้าด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความสดใสสุขล้นฉายชัด เขาชอบเปรมยุดาเป็นแบบนี้มากกว่า ต้องโทษที่ตนไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกจนทำให้เธอเข้าใจผิด“หนูก็รักอา รักมาก ๆ รักที่สุด รักกว่าใครในโลกเลย” ปีนขึ้นไปอยู่เหนือกายใหญ่ อกฟูบดเบียดหน้าอกเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนใต้ร่าง สอดแขนไปใต้ไหล่กว้างก่อนจะซุกหน้าลงหาควา
“อื๊อ” ห้ามยังไงทันเมื่อปลายนิ้วก้านยาวไล้กลีบดอกไม้ผ่านเนื้อผ้า ซ้ำยังคลึงจนเธอสะท้านเฮือกสยิวเสียวซ่านต้องยกสะโพกขึ้นรับความดุดันทันที“หนูเปรมของอาแฉะเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ‘อยาก’ เหมือนกันใช่ไหมเด็กน้อย”ลมร้อนพ่นผ่านซอกคอหอม กดเรียวปากร้อนแนบชิดผิวละมุน ดอมดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย“อ๊าส์...” ครางกระเส่าเสียงหวิวเมื่อคุณอาสอดนิ้วเข้ามาในร่องคับแคบและมันตอบรับเขาอย่างดี ตอดรัดทักทายความแข็งแกร่งราวกับว่ารอคอยในสัมผัสเร่าร้อนนี้มานานเสียงครางผะผ่าวกระตุ้นข้อมือใหญ่สอดใส่ท่อนนิ้วเพิ่ม เขาเกร็งกระแทกเข้าใส่ดุดันจนเส้นเลือดรายล้อมข้อแขนขึ้นปูดบวม ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงพิศวาสมองเรือนร่างส่ายเร้า เขาถอนก้านนิ้วออกหลังจากทนความปรารถนากำลังเผาไหม้ตนเองไม่ไหว ต้องการให้ความอึดอัดเบื้องล่างเข้าไปแทนที่ท่อนนิ้วแกร่งของตัวเองชุดนักศึกษาถูกถอดออกด้วยชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเตียง ไม่นานกายเปลือยเปล่าสวยงามก็ปรากฏแก่สายตา ผิวเนียนละเอียดอมชมพูสวยกระแทกใจการันต์ “หนูเปรมของอาสวยเหลือเกิน” “อาอย่ามองนานนักได้ไหม”“มากกว่ามองก็ทำมาแล้ว”มุมปากหยักกระตุกให้กับเจ้าของมือที่ยกขึ้นปิดส่วนสวยงามเอาไว้ ทั้งขาเร
คนที่บอกว่าจะไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก บัดนี้รถได้จอดอยู่โรงเก็บแล้วเรียบร้อย ทำเปรมยุดากลั้นยิ้มไม่อยู่แทบอยากหายตัวเข้าไปหาผู้เป็นเจ้าของมันเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยท่อนขาเรียวก้าวฉับ ๆ เข้ามาข้างใน นัยน์ตาหวานกวาดมองตั้งแต่ห้องรับรองจนถึงห้องครัวทว่าก็ไร้วี่แววคนที่คะนึงหา “ไม่อยู่!” หน้าม่อยทันทีเพราะคิดว่าคุณอาคงจะรอเธออยู่ชั้นล่าง“ไม่สิแกตั้งใจจะขอโทษอานี่น่า” เชิดหน้าขึ้นหันไปทางฝั่งห้องของคุณอา ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้วเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเคาะประตูบานสีน้ำตาลเบา ๆ “อากาน” ครั้งที่หนึ่งยังคงไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ “อาอยู่ข้างในหรือเปล่าคะ” มั่นใจว่าคุณอาจะไม่ออกไปไหนหลังจากกลับเข้ามาแล้ว ครั้งนี้จะไม่ละความพยายามต่อให้ยืนรอคุณอาตรงนี้ทั้งคืนก็จะทำคนตัวเล็กรอจังหวะอีกนิดหนึ่งแล้วจึงง้างมือขึ้นเตรียมจะเคาะประตูของผู้เป็นอาอีกครั้ง...แกร๊ก~ “จะทำอะไร?” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามคนตัวเล็กยกมือค้างกลางอากาศ ดวงหน้าหวานตกใจทันทีเมื่อเห็นเขา“คะ เคาะประตูค่ะ” ดวงตาวูบไหวสั่นระริกกวาดมองคนตัวสูง ผมเคยถูกจัดอย่างเป็นระเบียบยุ่งเหยิงกับ
ด้านในห้อง CEO ความอึมครึมยังปกคลุมโดยรอบเมื่อผู้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ อารมณ์มาคุยังวนเวียนอยู่รอบกาย เปลือกตาปิดสนิททว่าภายในหัวกลับทำงานอย่างหนัก ขบคิดวกวนแค่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปรมยุดากันแน่ ทั้งที่ตนก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอคือคนสำคัญสำหรับเขามากแค่ไหน แล้วทำไมถึงไม่เชื่อในการกระทำทั้งหมดนั้นมีแค่เธอคนเดียว!เสียงพ่นลมหายใจยาวยืดครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ทำให้การันต์รู้สึกดีขึ้นมาเลย ทั้งสายตาและน้ำเสียงไร้เยื่อใยของเปรมยุดาบาดลึกลงในหัวใจ ปวดร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ♪ Life is sweet as honey Yeah this beat cha-ching like money ⁓........♪ Life is sweet as honey Yeah this beat cha-ching like money ⁓สุดท้ายต้องพ่ายให้กับความพยายามของคนที่โทรเข้ามา“มีอะไร?” [ไม่ดีขึ้นเหรอวะ]เข้าใจความหมายของคำถามดลธี เพียงแต่การันต์ไม่รู้ว่าจะตอบเพื่อนยังไง ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเปรมยุดาตอนนี้เกินกว่าคำว่า ‘ไม่ดี’ ไปมาก“อืม”[มึงไปทำอิท่าไหนถึงได้โกรธนานขนาดนี้ ปกติเชื่อฟังมึงจะตาย]“หลายท่า”[จะสมน้ำหน้าหรือสงสารมึงดีไอ้กาน ข่มขืนเหรอ?] หากไม่ใช่เพื่อนรักคงไม่ถามแบบนี้
อาทิตย์ต่อมา...อาศัยบ้านหลังเดียวกัน ทานข้าวหม้อเดียวกัน แต่การันต์และเปรมยุดากลับพูดกันนับครั้งได้ ไม่ใช่สิ! ต้องบอกว่าเธอไม่ยอมคุยดี ๆ กับการันต์ต่างหาก มันเลวร้ายยิ่งกว่าตอนอยู่ที่สมุทรปราการเสียอีก เธอมักจะขังตัวเองอยู่ในห้อง พูดคุยกับเพื่อนผ่านทางโทรศัพท์แต่ไม่ยอมออกไปเผชิญหน้ากับคนที่อาศัยร่วมชายคาเดียวกัน ถึงอย่างนั้นการันต์ก็ไม่ละความพยายามจะตามง้อเปรมยุดาให้สำเร็จ เขาไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในระยะที่ทำให้เธออึดอัดใจ แต่ไม่ถึงกับปล่อยให้คลาดสายตา สิ่งที่เธอเคยใช้ก็ยังมีวางเติมไว้อยู่เสมอ ของชอบก็เตรียมไว้ให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ดังนั้นนอกจากข้างกายไม่ได้มีเขาให้ขัดลูกหูลูกตาทุกอย่างรอบตัวของเธอก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงกระทั่งถึงวันที่เปรมยุดาต้องกลับไปเรียน ซึ่งเป็นช่วงเวลาทั้งสองต้องห่างกัน หากว่ายังเป็นอยู่อย่างนี้ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่เคยมีให้กันจะกลับมาเป็นดังเดิมได้อีกไหม?การันต์นั่งจิบกาแฟดำพลางกางหนังสือพิมพ์อ่านฆ่าเวลาไปด้วยในระหว่างรอใครอีกคนลงมาจากชั้นบนเพื่อไปมหาลัยเปรมยุดาชะงักฝีเท้ากลางคันเมื่อทอดสายตามองลงมา“ทานอะไรหน่อย มื้อเช้าสำคัญสำหรับนักศึกษา” ข