เมื่อเดินทางมาถึงจวนแม่ทัพ เขาก็ได้รับจดหมายด่วนจากฮ่องเต้ เนื้อความในจดหมายแจ้งว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เกาเฟยฉีเข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานรางวัล พร้อมกับจดหมายอีกฉบับที่แนบมาข้างกัน
เกาเฟยฉีเปิดอ่านจดหมายอีกฉบับด้วยความประหลาดใจ เมื่อพบว่าเป็นลายมือของไป๋หลี่เมิ่ง หญิงสาวที่เคยช่วยชีวิตเขาและกองทัพไว้เมื่อครั้งอดีต เนื้อความในจดหมายเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาเกือบลืมเลือนไปแล้ว เมื่อครั้งกองทัพของเขาขาดแคลนเสบียงอย่างหนัก ไป๋หลี่เมิ่งได้รวบรวมเงินทองจากเหล่าสตรีชั้นสูงมาซื้ออาหารช่วยเหลือเหล่าทหารจนสามารถผ่านพ้นวิกฤตมาได้
แต่ท้ายจดหมายกลับมีข้อความที่ทำให้เกาเฟยฉีตกตะลึง "โปรดช่วยข้ากำจัดองค์หญิงสาม"
หัวใจของเกาเฟยฉีเต้นระรัวด้วยความสับสน องค์หญิงสามที่ไป๋หลี่เมิ่งกล่าวถึงคือโจวฟางเซียน องค์หญิงผู้สูงศักดิ์และเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เหตุใดไป๋หลี่เมิ่งจึงต้องการให้เขากำจัดองค์หญิงผู้นี้?
เกาเฟยฉีขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าไป๋หลี่เมิ่งมีความแค้นเคืองกับองค์หญิงสามถึงเพียงนี้ แต่เมื่อนึกถึงบุญคุณที่ไป๋หลี่เมิ่งเคยช่วยชีวิตเขาและเหล่าทหารไว้ หัวใจของเขาก็เอียงไปทางหญิงสาว
เกาเฟยฉีและกองกำลังทหารคู่ใจเดินทางมาถึงเมืองหลวงภายในเวลาไม่นานนัก ทันทีที่ถึงเมืองหลวง เขาตรงไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ตามพระราชโองการ เมื่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเกาเฟยฉี ก็ทรงนึกถึงเกาเทียนฉี สหายเก่าผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นบิดาของเกาเฟยฉี
"เจ้าคือบุตรของเกาเทียนฉีสินะ" ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "พ่อของเจ้าเป็นวีรบุรุษของแผ่นดิน เราจะไม่มีวันลืมความดีของเขา"
เกาเฟยฉีก้มลงคำนับด้วยความเคารพ "ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงระลึกถึงบิดาของกระหม่อม"
"เจ้าต้องการสิ่งใดหรือไม่" ฮ่องเต้ตรัสถาม "เราจะประทานให้เจ้าทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้"
เกาเฟยฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก "ฝ่าบาท กระหม่อมขอพระราชทานสมรสกับองค์หญิงสาม"
คำขอของเกาเฟยฉีทำให้ฮ่องเต้ถึงกับตะลึงงัน พระองค์ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสถาม "เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์หญิงสามมีข่าวลือเสียหายมากมาย"
"กระหม่อมทราบฝ่าบาท" เกาเฟยฉีตอบอย่างหนักแน่น "แต่กระหม่อมเชื่อว่าองค์หญิงสามไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือกล่าวอ้าง"
ฮ่องเต้ทรงมองเกาเฟยฉีด้วยสายตาพิจารณา พระองค์ทรงรู้ดีว่าเกาเฟยฉีเป็นคนซื่อสัตย์และมีความสามารถ หากเขาแต่งงานกับองค์หญิงสาม ก็อาจจะช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของราชวงศ์ได้
"ก็ได้" ฮ่องเต้ตรัสในที่สุด "เราจะประทานสมรสให้องค์หญิงสามกับเจ้า"
เกาเฟยฉีก้มลงคำนับ "ขอบพระทัยฝ่าบาท"
"เราจะจัดงานมงคลให้เจ้าในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า" ฮ่องเต้ตรัสต่อ "เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม"
"พ่ะย่ะค่ะ" เกาเฟยฉีรับพระราชโองการ
หลังจากออกจากพระราชวัง เกาเฟยฉีก็ตรงไปยังจวนรับรองของเขาที่อยู่ในเมืองหลวง
ทันทีที่เกาเฟยฉีกลับมาถึงจวนของตน เขาเรียกคนสนิทเข้ามาพบและสั่งให้เขียนจดหมายถึงไป๋หลี่เมิ่งทันที เนื้อความในจดหมายระบุว่าเขาตกลงรับข้อเสนอของนางแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่นางเคยช่วยเหลือเขาและกองทัพเอาไว้
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและความเครียดจากการตัดสินใจทำให้เขาผล็อยหลับไปในที่สุด
โจวฟางเซียนนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ภายในตำหนักของนาง สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาปะทะผิวกาย แต่มิอาจดับไฟร้อนรุ่มที่ลุกโชนอยู่ในใจได้ ภาพความทรงจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง นางนึกถึงวันแรกที่ได้พบกับเย่ซีเฉิน...ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ในงานเทศกาลชมดอกไม้ประจำปีของวังหลวง โจวฟางเซียนในวัยสิบห้ายังคงเป็นเด็กสาวไร้เดียงสา นางวิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้อย่างสนุกสนาน ก่อนจะสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น"โอ๊ย!" นางร้องเสียงหลง พร้อมกับยกมือขึ้นลูบข้อเท้าที่แพลง"เป็นอะไรมากหรือเปล่า" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากด้านหลังโจวฟางเซียนเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบกับชายหนุ่มรูปงามในชุดขุนนาง เขาคุกเข่าลงข้างๆ นาง พร้อมกับยื่นมือมาช่วยพยุง"ข้าชื่อเย่ซีเฉิน" เขาแนะนำตัว "แล้วเจ้าน่ะ?""ชื่อของข้าคือองค์หญิงสาม โจวฟางเซียน" นางตอบเสียงเบาเย่ซีเฉินยิ้มให้โจวฟางเซียนอย่างอ่อนโยน "ไม่ต้องกลัวนะองค์หญิงน้อย ข้าจะพาเจ้าไปทำแผล"เขาประคองโจวฟางเซียนไปยังศาลาที่อยู่ใกล้ๆ แล้วทำแผลให้ที่ข้อเท้าอย่างเบามือ"เจ็บไหม?" เขาถามด้วยความเป็นห่วงโจวฟางเซียนส่ายหน้า "ไม่เจ็บแล้ว ขอบคุณท่านมาก"นับตั้งแต่วันนั้น โจวฟางเซียนและเย
หลังจากที่ก้าวพ้นประตูห้องทรงอักษรออกมา โจวฟางเซียนก็หันไปถามมารดาของตนด้วยความน้อยใจ "เสด็จแม่ เหตุใดพระองค์จึงไม่ช่วยหม่อมฉันปฏิเสธการแต่งงานนี้เล่าเพคะ"ฮองเฮาเสิ่นอวี้มองลูกสาวด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "ลูกแม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าแม่ของเกาเฟยฉีคือฮูหยินเกา เพื่อนรักของแม่เอง"โจวฟางเซียนเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ "หมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ""เมื่อก่อน ตอนที่เจ้ายังเล็ก แม่กับฮูหยินเกาเคยพูดคุยกันเรื่องที่จะให้เจ้ากับเกาเฟยฉีหมั้นหมายกัน แต่ตอนนั้นมันเป็นเพียงแค่ความคิดของพวกเราเท่านั้น" ฮองเฮาอธิบายโจวฟางเซียนรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตนเองเคยถูกหมั้นหมายกับเกาเฟยฉี"แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว" ฮองเฮาพูดต่อ "เจ้ามีข่าวเสียหายมากมาย การแต่งงานกับเกาเฟยฉีจะช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของเจ้าได้"โจวฟางเซียนได้แต่ยืนนิ่งเงียบ นางไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ความรู้สึกของนางสับสนวุ่นวายไปหมด"แม่รู้ว่าเจ้าไม่ได้รักเกาเฟยฉี" ฮองเฮากล่าว "แต่เชื่อแม่เถอะ การแต่งงานครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อเจ้าและราชวงศ์"โจวฟางเซียนมองหน้ามารดาของตน นางเห็นแววตาที่เปี
โจวฟางหรูและไป๋หลี่เมิ่งมองหน้ากัน แล้วหัวเราะออกมาอย่างสะใจ"พี่สาม ท่านอย่าโมโหไปเลย" โจวฟางหรูพูด "พวกข้าก็แค่หวังดี อยากเตือนสติท่านเท่านั้น""ใช่เพคะ องค์หญิงสาม" ไป๋หลี่เมิ่งเสริม "ท่านควรจะยอมรับความจริงเสียทีว่าท่านไม่มีทางได้ครอบครองหัวใจของใครได้ ทั้งเสนาบดีเย่และแม่ทัพเกา ไม่มีใครยอมมอบใจให้ท่านหรอก""ออกไป!" โจวฟางเซียนตะโกนเสียงดังโจวฟางหรูและไป๋หลี่เมิ่งยิ้มเยาะอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโจวฟางเซียนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ รู้สึกเสียใจและผิดหวังอย่างมาก นางไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงต้องทำร้ายจิตใจของนางขนาดนี้ในขณะที่นางกำลังร้องไห้อยู่นั้น สาวใช้ประจำตัวก็เดินเข้ามาหา"องค์หญิง ท่านไม่เป็นไรนะเพคะ" สาวใช้ถามด้วยความเป็นห่วงโจวฟางเซียนส่ายหน้า "ข้าไม่เป็นไร" นางตอบเสียงแผ่วสาวใช้ประจำตัวเช็ดน้ำตาให้นาง "องค์หญิง ท่านอย่าร้องไห้เลยเพคะ วันนี้เป็นวันมงคลของท่าน"โจวฟางเซียนพยักหน้า นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลุกขึ้นยืน"เจ้าช่วยข้าแต่งตัวต่อเถอะ" นางพูดสาวใช้ประจำตัวยิ้มออกมา "เพคะ องค์หญิง"นางเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกบานใหญ่ตรงหน้า ดวงตาที่แดงก่ำจากการร้
หลังจากควบม้ามาหลายชั่วยาม เกาเฟยฉีเริ่มสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของโจวฟางเซียน เขาเป็นห่วงว่าการเดินทางที่ยาวนานบนหลังม้าอาจจะทำให้นางอ่อนเพลียเกินไป จึงตัดสินใจหยุดพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งริมทางเกาเฟยฉีเดินเข้าไปในโรงเตี้ยมและพบกับเสี่ยวเอ้อร์ เขาจองห้องพักหนึ่งห้องและสั่งอาหารง่ายๆ มาเมื่อเดินกลับมาที่ม้า เขาพบว่าโจวฟางเซียนยังคงนั่งอยู่บนหลังม้า ไม่ยอมลงมาสักที เกาเฟยฉีจึงเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง "องค์หญิง ท่านเป็นอะไรหรือไม่"โจวฟางเซียนเบ้ปากเล็กน้อย "ตอนท่านพาข้ามา ท่านอุ้มข้าขึ้นม้า ตอนนี้ใยไม่อุ้มข้าลง! ข้าเป็นองค์หญิง เกิดมาไม่เคยแม้แต่จะสัมผัสม้า.."โจวฟางเซียนได้แต่บ่นพึมพำในใจ ตอนนี้นางรู้สึกเหมือนคนพิการ ขาของนางแทบไม่มีแรงจะก้าวเดินเกาเฟยฉีหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางของโจวฟางเซียนที่ทำทีเป็นไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขาอุ้มไปยังห้องพักเขาค่อยๆ วางร่างบางของนางลงบนตั่งไม้ตัวยาวภายในห้อง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ นาง โจวฟางเซียนยังคงทำหน้าบึ้งตึง แต่แววตาของนางกลับมีความขบขันซ่อนอยู่ไม่นานนัก เสี่ยวเอ้อร์ก็ยกสำรับอาหารมาให้ โจวฟางเ
หลังจากผ่านการเดินทางอันยาวนานและเหน็ดเหนื่อยหลายวัน ในที่สุดเกาเฟยฉีและโจวฟางเซียนก็มาถึงชายแดนอันเป็นที่ตั้งของจวนแม่ทัพ จวนหลังใหญ่ที่เคยดูเรียบง่าย บัดนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าสีแดงสดสะดุดตา ตัดกับสีเขียวขจีของต้นไม้โดยรอบ ราวกับกำลังเฉลิมฉลองการมาถึงของนายหญิงคนใหม่ทันทีที่เกาเฟยฉีควบม้าเข้าไปในเขตจวน สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี"อาฉี เจ้ากลับมาแล้ว!" สตรีผู้นั้นคือเกาฮูหยิน มารดาของเกาเฟยฉี นางมองไปที่โจวฟางเซียนที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยสายตาเป็นห่วง "องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ เหนื่อยหรือไม่ เจ้าลูกชายตัวดี เหตุใดจึงบ้าบิ่นพาองค์หญิงควบม้ามาเช่นนี้" เกาฮูหยินพูดจบก็ฟาดแขนลูกชายเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยวโจวฟางเซียนหัวเราะคิกคักก่อนจะพูดขึ้น "ท่านแม่ ต่อไปนี้ท่านเป็นท่านแม่ของข้าแล้ว ไม่ต้องเรียกข้าว่าองค์หญิงหรอกเจ้าค่ะ เรียกข้าว่าเซียนเอ๋อร์ก็พอ ข้าไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ" นางพูดจบก็รีบลงจากหลังม้าแล้วเข้าไปกอดแขนเกาฮูหยินอย่างออดอ้อนเกาฮูหยินยิ้มรับอย่างเอ็นดู นางลูบหัวโจวฟางเซียนเบาๆ "เซียนเอ๋อร์ เจ้าช่างน่า
เกาเฟยฉีค่อยๆ บรรจงสำรวจเรือนร่างของโจวฟางเซียนด้วยความทะนุถนอม เขาจูบไล้ไปทั่วทั้งตัวของนาง ทำให้นางครางออกมาด้วยความสุข สัมผัสของเขาช่างอ่อนโยนและเร่าร้อนในเวลาเดียวกัน ทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังละลายอยู่ในอ้อมกอดของเขาโจวฟางเซียนเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าร่างกายของนางจะตอบสนองต่อสัมผัสของชายหนุ่มได้มากมายขนาดนี้ นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงแห่งความสุข ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนกำลังเอ่อล้นในใจของนางเกาเฟยฉีค่อยๆ เข้าหานางอย่างแผ่วเบา เขาเป็นห่วงว่านี่เป็นครั้งแรกของนาง เขาจึงพยายามเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้โจวฟางเซียนรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในตอนแรก แต่ความเจ็บปวดนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความสุขอย่างรวดเร็ว นางโอบกอดเกาเฟยฉีแน่นขึ้นเรื่อยๆ นางไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป นางปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมาเกาเฟยฉีเองก็รู้สึกถึงความสุขอย่างท่วมท้น เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าการได้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้หญิงที่เขาแอบหลงรักจะเป็นความรู้สึกที่ดีได้ถึงเพียงนี้ เขารักโจวฟางเซียนมากขึ้นในทุกขณะที่ผ่านไปทั้งสองคนร่วมรักกันอย่างดูดดื่มตลอดทั้งคืน พวกเขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
"หลางเกอ..."เกาเฟยฉีชะงักไปครู่หนึ่ง "ยังจำข้าได้อยู่อีกหรือ" เขาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น "ข้านึกว่าเจ้าลืมข้าไปหมดสิ้นแล้ว"โจวฟางเซียนพยายามลืมตาขึ้นมองเกาเฟยฉี แต่สติของนางเลือนรางเต็มที นางจำได้เพียงรางๆ ว่าหลางเกอคือชื่อที่นางเคยเรียกเขาเมื่อตอนเด็กๆ"หลางเกอ..." นางพึมพำซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของเขาด้วยฤทธิ์ของยาเกาเฟยฉีมองใบหน้าซีดเซียวของโจวฟางเซียนด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาไม่เคยคิดว่านางจะยังจำเขาได้ เขาคิดว่าความทรงจำในวัยเด็กของพวกเขาคงเลือนหายไปตามกาลเวลาแล้วแต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าโจวฟางเซียนยังคงเก็บความทรงจำเกี่ยวกับเขาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ และนั่นทำให้เขามีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเกาเฟยฉีเฝ้ามองโจวฟางเซียนที่หลับใหลอยู่บนเตียง ภาพของนางในยามนี้ช่างแตกต่างจากองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่เขาได้พบในวันแต่งงาน ความอ่อนแอและบอบบางของนางปลุกเร้าความรู้สึกห่วงใยในใจเขาขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทันใดนั้น ภาพความทรงจำในวัยเด็กก็ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงของเขา...ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ครั้งที่เกาเฟยฉียังเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆ ตามบิดาผู้เป็นแม่ทัพมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวังห
หลายเดือนผ่านไป ชีวิตของโจวฟางเซียนในจวนแม่ทัพเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากองค์หญิงผู้เดียวดายและโดดเดี่ยว นางกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่อบอุ่นความสัมพันธ์ระหว่างโจวฟางเซียนและเกาเฟยฉีพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ทุกเช้าพวกเขาจะทานอาหารเช้าด้วยกัน เกาเฟยฉีมักจะคอยตักอาหารให้นางและถามไถ่อาการของนางด้วยความห่วงใยในตอนกลางคืน พวกเขาก็จะเข้านอนด้วยกัน เกาเฟยฉีจะโอบกอด โจวฟางเซียนไว้ในอ้อมแขน ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ความใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้ความรักของทั้งคู่เบ่งบานขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบทุกคืน พวกเขาจะร่วมรักกันอย่างเร่าร้อน เกาเฟยฉีเป็นคนที่เอาใจใส่เรื่องบนเตียงมาก เขาทำให้โจวฟางเซียนรู้สึกถึงความสุขและความพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนโจวฟางเซียนปรับตัวเข้ากับชีวิตในจวนแม่ทัพได้อย่างรวดเร็ว นางเป็นที่โปรดปรานของเกาฮูหยินไม่น้อย มารดาของเกาเฟยฉีมักจะหาโอกาสมาพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกับนางอยู่เสมอ ยิ่งได้รู้จักโจวฟางเซียนมากขึ้นเท่าไหร่ เกาฮูหยินก็ยิ่งมั่นใจว่าลูกชายของตนได้ภรรยาที่ดีมาครอง นางไม่เหมือนกับข่าวลือที่แพร่สะพัดในเมืองหลวงเลยแม้แต่น้อยอยู่มาวั
สิบปีผ่านไป ราวกับความฝันที่แสนหวาน โจวฟางเซียนยังคงงดงามราวกับเทพธิดาที่ไม่เคยแก่ลง ความรักของนางและเกาเฟยฉียิ่งทวีความลึกซึ้งขึ้นทุกวัน เหมือนดั่งต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกและแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปอย่างมั่นคงเสี่ยวสือและเสี่ยวเฟย บัดนี้เติบโตเป็นเด็กหนุ่มสาวที่เฉลียวฉลาดและมีน้ำใจ พวกเขาเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเกาเฟยฉีและโจวฟางเซียน สร้างความสุขและเสียงหัวเราะให้กับจวนแม่ทัพแห่งนี้อยู่เสมอในคืนหนึ่ง ขณะที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาทั่วบริเวณจวนแม่ทัพ พวกเขานั่งชมจันทร์อยู่ที่กลางศาลาริมน้ำ บรรยากาศเงียบสงบราวกับโลกนี้มีเพียงแค่เขาและนางเสี่ยวสือและเสี่ยวเฟยถูกฝากฝังให้เกาฮูหยินดูแลเป็นพิเศษในคืนนี้ เพื่อให้บิดามารดาได้มีเวลาส่วนตัวในการรำลึกถึงความรักที่งดงามของพวกเขาเกาเฟยฉีมองโจวฟางเซียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก "เซียนเอ๋อร์ เจ้ายังคงงดงามเหมือนวันแรกที่เราพบกัน"โจวฟางเซียนยิ้มเขิน "ท่านพี่ก็ยังคงทำให้หัวใจข้าเต้นแรงเหมือนเดิม""เซียนเอ๋อร์ เจ้าจำครั้งที่เราพบกันครั้งแรกได้หรือไม่" เกาเฟยฉีเอ่ยถามเสียงนุ่มโจวฟางเซียนพยักหน้า "ข้าจำได้ดีเจ้าค่ะ ท่านพี่ช่วยป้อนลูกอมน้ำผึ้งให้ข้า""ข้า
การรบดำเนินไปอย่างดุเดือด เลือดทหารทั้งสองฝ่ายไหลนองเต็มพื้นดิน เสียงร้องโหยหวนของผู้คนที่บาดเจ็บดังระงมไปทั่วเกาเฟยฉีควบม้าเข้าไปฟันแทงศัตรูอย่างบ้าคลั่ง ดาบของเขาเปื้อนไปด้วยเลือด เขาไม่สนใจว่าใครจะเป็นใคร เขาฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าในที่สุด กองทัพกบฏก็แตกพ่าย เหล่าทหารที่เหลือต่างพากันวิ่งหนีเอาชีวิตรอดเกาเฟยฉีมองดูสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกเสียใจกับการนองเลือดในครั้งนี้เลยสักนิด เขาต้องการเพียงแค่กลับไปหาครอบครัวของเขาหลังจากผ่านไปหลายเดือน เกาเฟยฉีก็สามารถปราบหัวหน้าของเหล่ากบฏได้สำเร็จ เขาได้รับการยกย่องจากฮ่องเต้และประชาชนเกาเฟยฉีรีบเดินทางกลับเขตชายแดนของเขาทันที เมื่อมาถึงจวนแม่ทัพ เกาเฟยฉีก็รีบตรงไปที่ห้องนอนของเขาและโจวฟางเซียนเขาเปิดประตูเข้าไป เห็นโจวฟางเซียนนั่งอยู่บนเตียง กำลังอ่านหนังสือให้เสี่ยวสือและเสี่ยวเฟยฟัง"ท่านพ่อ!" เสี่ยวสือและเสี่ยวเฟยร้องออกมาอย่างดีใจ พวกเขาวิ่งเข้าไปกอดเกาเฟยฉีเกาเฟยฉียิ้มออกมาอย่างมีความสุข เขากอดลูกๆ ของเขาไว้แนบอกจากนั้นเขาก็หันไปมองโจวฟางเซียน โจวฟางเซียนยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นเกาเฟยฉีเดินเข้าไปหานาง แล้วคุ
เช้าวันรุ่งขึ้น เกาเฟยฉีและโจวฟางเซียนตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น พวกเขาออกไปเดินเล่นที่ชายหาดด้วยกัน"ท่านพี่ ข้ามีความสุขมาก" โจวฟางเซียนพูดเกาเฟยฉียิ้มให้นาง "ข้าก็เช่นกัน"ทั้งสองคนเดินเล่นไปตามชายหาด จับมือกันไว้แน่น รู้สึกขอบคุณที่ได้มีกันและกันเกาเฟยฉีและโจวฟางเซียนใช้เวลาในแคว้นหนานอีกหลายวัน พวกเขาได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนในแคว้นนี้อย่างเต็มที่ก่อนกลับ โจวฟางจิงมอบของขวัญให้น้องสาวและน้องเขยเป็นผ้าไหมอย่างดีที่ทอด้วยมือจากชาวบ้านในแคว้นหนานเกาเฟยฉีและโจวฟางเซียนขอบคุณโจวฟางจิงและเจ้าเมืองแคว้นหนานสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น พวกเขาสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้งในเร็วๆ นี้การเดินทางกลับเป็นไปอย่างราบรื่น เกาเฟยฉีและโจวฟางเซียนกลับมาถึงจวนแม่ทัพเกาอย่างปลอดภัย พวกเขารู้สึกสดชื่นและมีความสุขกับการเดินทางครั้งนี้มากเมื่อกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวสือและเสี่ยวเฟยก็วิ่งเข้ามาหาพ่อแม่ด้วยความดีใจ"ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านกลับมาแล้ว" เสี่ยวสือร้องตะโกน"ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านซื้ออะไรมาฝากข้าบ้าง" เสี่ยวเฟยถามเกาเฟยฉีและโจวฟางเซียนยิ้มให้ลูกๆ ทั้งสองคนหยิบของฝากออกมาให้ลูกๆ
ห้าปีผ่านไป นับตั้งแต่เกาเฟยฉีและโจวฟางเซียนต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัว ทั้งสองคนยังคงรักและดูแลกันอย่างดีเสมอมา ชีวิตในจวนแม่ทัพเกาเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะของเสี่ยวสือและเสี่ยวเฟยดังก้องไปทั่วบริเวณวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอบอุ่นและดอกไม้บานสะพรั่ง เกาเฟยฉีเดินเข้ามาหาโจวฟางเซียนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในสวน"เซียนเอ๋อร์" เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนโจวฟางเซียนเงยหน้าขึ้นมอง "มีอะไรหรือเจ้าคะ ท่านพี่"เกาเฟยฉียื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้นาง "นี่เป็นจดหมายจากองค์หญิงใหญ่ โจวฟางจิง นางเชิญเราไปเยี่ยมนางที่เมืองใต้"โจวฟางเซียนรับจดหมายมาเปิดอ่าน ดวงตาของนางเป็นประกาย "จริงหรือเจ้าคะ ข้าไม่ได้เจอพี่หญิงมานานแล้ว""ใช่แล้ว เราไปเยี่ยมนางกันเถอะ" เกาเฟยฉีพูดโจวฟางเซียนพยักหน้าอย่างตื่นเต้น "ได้เจ้าค่ะ ข้าอยากไปมาก"เกาเฟยฉีและโจวฟางเซียนตัดสินใจเดินทางไปเมืองใต้ทันที พวกเขาฝากเสี่ยวสือและเสี่ยวเฟยไว้กับฮูหยินเกา แล้วออกเดินทางด้วยรถม้าการเดินทางสู่แคว้นหนานเป็นไปอย่างยาวนาน ทั้งสองต้องใช้เวลาหลายเดือนในการเดินทาง ทั้งโดยรถม้าเพื่อข้ามผ่านหุบเขาและที่ราบอันกว้างใหญ่ และโดยทางเรือ
"ท่านพี่ ท่านจะทำจริงๆ หรือ" โจวฟางเซียนถามเสียงเบาเกาเฟยฉีส่ายหน้าทันที "ไม่เด็ดขาด ข้าจำได้ดีว่าวันนั้นเจ้าทรมานเพียงใด เซียนเซียน"โจวฟางเซียนยิ้มเจ้าเล่ห์ "เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของภรรยาท่าน ท่านมีหน้าที่ทำก็พอ"กล่าวจบ นางก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหาเกาเฟยฉีที่นั่งอยู่เกาเฟยฉีมองภรรยาด้วยสายตาตกตะลึง "เซียนเซียน เจ้าจะทำอะไร"โจวฟางเซียนไม่ตอบ นางเพียงแค่ยื่นมือไปจับมือเขา แล้วออกแรงลากเขาให้ลุกขึ้นตามเกาเฟยฉีเดินตามโจวฟางเซียนไปอย่างงุนงง จนกระทั่งมาถึงห้องนอนของทั้งคู่ โจวฟางเซียนผลักเขาลงบนเตียงอย่างแรง"เซียนเซียน!" เกาเฟยฉีร้องออกมาด้วยความตกใจโจวฟางเซียนขึ้นคร่อมร่างของเขา นางโน้มตัวลงมาใกล้ จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา"ท่านพี่ ท่านลืมแล้วหรือว่าเราสัญญาอะไรกันไว้" นางกระซิบข้างหูเขาเกาเฟยฉีรู้สึกราวกับถูกไฟลวก เขาจำได้ทันทีถึงสัญญาที่ให้ไว้กับโจวฟางเซียนเมื่อห้าปีก่อน"ข้าจะให้เจ้ามีความสุขที่สุด" เขาเคยกล่าวไว้เช่นนั้นและคืนนี้ เขาจะทำตามสัญญานั้นเกาเฟยฉีโอบกอดโจวฟางเซียนไว้แนบอก จูบและเล้าโลมนางอย่างดูดดื่ม โจวฟางเซียนตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ ร่
นับแต่นั้นมา เกาเฟยฉีก็มีอาการแพ้ท้องแทนโจวฟางเซียนอย่างหนัก เขาคลื่นไส้ อาเจียน และเวียนหัวตลอดเวลาเกาเฟยฉียังพบว่าเขาไม่สามารถนอนหลับได้ถ้าไม่ได้กลิ่นกายของโจวฟางเซียน เขาจึงต้องนอนกอดนางทุกคืน"เซียนเอ๋อร์ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าลำบาก" เกาเฟยฉีเอ่ยเสียงเศร้าโจวฟางเซียนลูบผมเขาอย่างอ่อนโยน "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเต็มใจ"แม้แต่อยู่ที่ค่ายทหาร เกาเฟยฉีก็ยังคงมีอาการแพ้ท้องอยู่ เขาต้องพกผ้าเช็ดหน้าที่มีกลิ่นกายของโจวฟางเซียนติดตัวไปด้วยเสมอ เพราะถ้าไม่ได้กลิ่นนาง เขาจะเวียนหัวจนเป็นลมเหล่าทหารต่างพากันแปลกใจที่เห็นแม่ทัพใหญ่ของพวกเขาพกผ้าเช็ดหน้าผู้หญิงติดตัว แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามฤดูหนาวมาเยือน เมืองหลงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพเกาอบอุ่นเป็นพิเศษด้วยความคาดหวังของทุกคน โจวฟางเซียนใกล้ถึงกำหนดคลอดบุตร เกาเฟยฉีเฝ้าดูแลนางอย่างใกล้ชิดทั้งวันทั้งคืนเขาคอยประคองนางเดินเล่นในสวน ป้อนอาหารให้นาง และอ่านหนังสือให้นางฟังก่อนนอน ทุกครั้งที่โจวฟางเซียนรู้สึกไม่สบายตัว เกาเฟยฉีจะรีบเข้ามาดูแลนางทันที"เซียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เกาเฟยฉีถามด้วยความเป็นห่วง"ข้าไม่เป็นไ
“เจ้าเหนื่อยหรือไม่ เซียนเอ๋อร์?” เกาเฟยฉีเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน ขณะที่เขามองดูใบหน้าของนางท่ามกลางแสงของดวงจันทร์โจวฟางเซียนส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่เหนื่อยเลย ท่านอยู่กับข้า ข้ารู้สึกมีความสุขมาก”เกาเฟยฉียิ้มและกระชับกอดนางแน่นขึ้น “ข้าดีใจที่เจ้าอยู่กับข้า ข้ารักเจ้า เซียนเอ๋อร์ ข้าสัญญาว่าจะปกป้องเจ้าและลูกในครรภ์ของเจ้า ข้าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้อีก”เกาเฟยฉีโน้มตัวลงมาและจูบเบาๆ ที่หน้าผากของนาง เขามองดูนางด้วยความรักที่ล้นใจ “ข้าจะดูแลเจ้าและลูกด้วยสุดชีวิต ข้าสัญญา”หลังจากที่ทั้งสองนั่งมองดูดวงจันทร์และผลัดกันบอกรักกันแล้ว เกาเฟยฉีก็พาโจวฟางเซียนกลับเข้าไปในห้องพักเขาดูแลนางอย่างทะนุถนอม ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกด้วยความอ่อนโยน นางยอมรับความอบอุ่นและความรักที่เขามอบให้ด้วยความเต็มใจ แม้ว่านางจะมีครรภ์ แต่นางก็ไม่ปฏิเสธการร่วมรักกับเขาทั้งสองคนต่างมอบความรักให้กันอย่างลึกซึ้งและอ่อนโยน พวกเขาต่างรู้สึกถึงความสุขและความสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นจากความรักที่แท้จริง ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความหมายและความผูกพัน พวกเขาไม่ต้องการอะไรนอกจากการได้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกันในยามเช้า แสงแดดแรกของ
ในวันแต่งงานของเสนาบดีเย่ซีเฉินและไป๋หลี่เมิ่ง บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความหรูหรา แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างสวมชุดที่งดงาม และทุกสายตาต่างจับจ้องมายังสถานที่จัดงานแต่งงานอันยิ่งใหญ่เมื่อเกาเฟยฉีจูงมือโจวฟางเซียนเข้ามาในงาน ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่นางในทันที มีความกังวลปรากฏในดวงตาของหลายคน เพราะต่างรู้กันดีว่าโจวฟางเซียนเคยมีความสัมพันธ์กับเย่ซีเฉินมาก่อน ผู้คนในงานต่างกระซิบกระซาบกันด้วยความสงสัยและความหวาดกลัวว่าการปรากฏตัวของนางจะนำมาซึ่งความวุ่นวายแต่ในวันนี้ โจวฟางเซียนได้ตัดสินใจแล้ว นางเลือกที่จะทิ้งความหลังไว้เบื้องหลัง และยึดมั่นในความรักที่นางมีต่อเกาเฟยฉีเพียงคนเดียว นางก้าวเดินอย่างมั่นใจข้างสามีของนางแม้จะมีสายตาจับจ้องและเสียงกระซิบที่ตามหลังมา แต่นางไม่ได้สนใจ นางรู้ว่าความรักและความสุขที่แท้จริงอยู่กับผู้ชายคนนี้ และนางจะไม่ปล่อยให้ความทรงจำเก่าๆ มาบั่นทอนความสุขของนางในปัจจุบันในระหว่างที่รอบ่าวสาวทำพิธีแต่งงาน โจวฟางเซียนได้ขอตัวไปหาไป๋หลี่เมิ่งในห้องแต่งตัวของเจ้าสาว บ่าวไพร่ที่เฝ้าห้องต่างพากันกันท่าด้วยความระมัดระวัง พวกเขากลัวว่าองค์หญิงสามจะมารังแกคุณหนูของพวกเ
ในที่สุด รถม้าก็มาถึงเมืองหลวง โจวฟางเซียนมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นผู้คนมากมายกำลังเตรียมตัวสำหรับงานมงคลสมรสของเสนาบดีเย่ซีเฉินและไป๋หลี่เมิ่งเกาเฟยฉีโอบไหล่โจวฟางเซียนไว้ "พร้อมหรือยัง" เขาถามโจวฟางเซียนพยักหน้า "พร้อมแล้วเจ้าค่ะ" นางตอบเมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงเมืองหลวง กระแสข่าวลือเกี่ยวกับโจวฟางเซียนก็เริ่มจางหายไป ผู้คนในเมืองหลวงดูเหมือนจะสนใจเรื่องอื่นมากกว่าเรื่องราวขององค์หญิงสามที่เคยเป็นข่าวใหญ่โตโจวฟางเซียนและเกาเฟยฉีเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาด้วยกัน ฮองเฮามองทั้งสองด้วยสายตาอบอุ่น พระนางเห็นได้ชัดว่าทั้งคู่รักกันอย่างลึกซึ้งเกาเฟยฉีดูแลโจวฟางเซียนอย่างดีในจวนของเขาที่ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองหลวง คืนแรกที่ทั้งสองกลับมาถึงจวน เกาเฟยฉีก็ไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้ เขาโอบกอดโจวฟางเซียนไว้แนบอก จูบและเล้าโลมนางอย่างดูดดื่ม ทั้งสองร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนราวกับจะชดเชยเวลาที่ห่างหายกิจกามกันไปวันเวลาผ่านไปหลายวัน โจวฟางเซียนเริ่มมีอาการผิดปกติ นางรู้สึกคลื่นไส้และหน้ามืดบ่อยครั้ง เกาเฟยฉีเป็นห่วงนางมาก เขาจึงรีบเรียกหมอหลวงมาตรวจอาการหลังจากตรวจอย่างละเอียด หมอหลวงก็แจ้งข่าวดีว่าโ