ช่วงนี้ภาวินท์มักจะโทรศัพท์มาหาพิมพ์พริมาเป็นประจำในช่วงเวลาเย็น บางวันเขาก็โทรศัพท์มาหาเธอในเวลาสามทุ่มเพื่อชวนหญิงสาวลงไปทานก๋วยเตี๋ยวถึงแม้ว่าพิมพ์พริมาจะทานข้าวแล้วแต่หญิงสาวก็ลงไปนั่งเป็นเพื่อนเขา พอทานเสร็จเขาก็เดินมาส่งที่หอแต่หญิงสาวก็ไม่เคยชวนเขาขึ้นไปข้างบนและเขาเองก็ไม่เคยขอขึ้นไปบนนั้น เพราะชายหนุ่มเป็นแบบนี้พิมพ์พริมาเลยไม่รู้สึกอึดอัดที่จะคุยกับภาวินท์เลย ในทางตรงกันข้ามหญิงสาวกลับรู้สึกสบายใจมากเธอรู้สึกว่าการได้คุยกับเขาทุกวันมันทำให้เธอนั้นหายเหงาไปได้มากทีเดียว
“คืนนี้พี่อาจจะไม่โทรหาว่านะ” ภาวินท์บอกกับหญิงสาวเมื่อเดินมาถึงหน้าหอพักของเธอหลังจากที่เขาทานก๋วยเตี๋ยวอิ่มแล้ว
“ค่ะ” พิมพ์พริมาตอบรับสั้นๆ
“ว่านจะไม่ถามเหรอครับว่าทำไม”
“พี่วินคะ คนเราก็ต้องมีธุระส่วนตัวกันบ้าง” หญิงสาวรู้ว่าบางครั้งก็ไม่จำเป็นจะต้องบอกกับคนอื่นทุกเรื่อง
“ที่ไม่ถามเพราะว่ารำคาญที่พี่โทรมาทุกวันใช่ไหม”
“พี่วินก็ขี้น้อยใจเหมือนกันนะคะ ว่านไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกค่ะ”
“ไม่รำคาญจริงๆ ใช่ไหม” ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง
“ทำไมถึงคิดว่าว่านจะรำคาญเหรอคะ”
“ก็พี่โทรหาว่านก็ถามแต่คำถามเดิมๆ กินข้าวหรือยังทำงานเป็นยังไงบ้าง พี่เป็นคนคุยไม่ค่อยเก่งและไม่รู้จะชวนว่านคุยเรื่องอะไร แต่ก็อยากโทรหา” ปกติแล้วภาวินท์เป็นคนคุยไม่เก่งและไม่เคยจะชวนใครคุยนานๆ มาก่อนที่เขาโทรศัพท์หาพิมพ์พริมาทุกวันก็เพราะอยากจะได้ยินเสียงและอยากรู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง
“อันที่จริงว่านเป็นคนคุยเก่งนะคะ แต่เรายังไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ก็เลยไม่รู้จะชวนพี่วินคุยเรื่องอะไร” หญิงสาวพูดแล้วยิ้มซึ่งรอยยิ้มของพิมพ์พริมาก็คือสิ่งที่เขาประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ
“สงสัยเราต้องทำความรู้จักกันให้มากขึ้นแล้วล่ะ จะได้สนิทกัน เริ่มจากพรุ่งนี้เลยนะ ว่านยังไม่ลืมใช่ไหมว่ามีนัดไปดูหนังกับพี่”
“ว่านนึกว่าพี่วินลืมไปแล้วนะคะ”
“จะลืมได้ยังไงล่ะพี่รอมาอาทิตย์หนึ่งเลยนะ พรุ่งนี้ว่านจะให้พี่มารับกี่โมงดีล่ะ”
“แล้ววันเสาร์พี่วินจะตื่นกี่โมงคะ”
“ก็ตื่นเช้าอยู่นะ แต่คืนนี้พี่ว่าจะไปกินเหล้ากับเพื่อนอาจจะตื่นสายกว่าทุกวันหน่อย พี่มารับว่านสักเที่ยงดีมั้ยจะได้หาอะไรกินก่อนไปดูหนัง”
“ได้ค่ะตอนเช้าว่านจะได้มีเวลาทำความสะอาดหอและเอาผ้าส่งซักด้วย”
“ถ้างั้นพี่ไปก่อนนะป่านนี้เพื่อนคงรอกันแล้ว พี่อาจจะกลับดึกถ้าถึงคอนโดแล้วพี่จะไลน์มาบอกนะแต่ว่านไม่ต้องอ่านก็ได้”
“ถ้าไม่ให้ว่านอ่านแล้วพี่วินจะไลน์มาทำไมคะ”
“พี่ก็แค่อยากบอกว่าพี่ถึงห้องแล้ว”
คำตอบของเขาทำให้พิมพ์พริมายิ้มอีกครั้งเพราะมันเหมือนกับการรายงานตัวว่าตอนนี้เขากำลังจะทำอะไรอยู่ที่ไหน
เมื่อส่งพิมพ์พริมาที่หอพักแล้วภาวินท์ก็เดินกลับมายังรถของตนเองที่จอดอยู่บริเวณตรงกันข้ามร้านก๋วยเตี๋ยวก่อนจะขับไปยังผับแห่งหนึ่งซึ่งนัดกับเพื่อนไว้ว่าจะออกมาดื่มด้วยกัน
เพื่อนสนิทของภาวินท์มีด้วยกันสองคนคือเพลิงหรือโฆษิตคนที่เป็นวิศวกรคุมโครงการหมู่บ้านจัดสรร ส่วนอีกคนหนึ่งคือณัฐดนัยทำธุรกิจส่วนตัวกับครอบครัวทั้งสามคนมักจะนัดมาดื่มกันเป็นประจำ
เมื่อมาถึงร้านภาวินท์ก็เดินขึ้นไปยังบริเวณชั้นสองซึ่งเป็นโต๊ะที่พวกเขานั่งดื่มกันเป็นประจำ พวกเขามาดื่มกันที่นี่จนรู้จักกันดีกับเจ้าของร้านที่ชื่ออาณัติหรือที่พวกเขาเรียกว่าพี่อ้น
“ทำไมมาช้าล่ะ คอนโดก็อยู่ใกล้แค่นี้เองนะ” ณัฐดนัยทักทายเพื่อนที่มาช้ากว่าทุกคนในกลุ่มไปเกือบครึ่งชั่วโมง
“อย่าว่าไอ้วินมันเลยนะตอนนี้มันทำงานแทนฉันอยู่ กลางวันก็ทำงานออฟฟิศตอนเย็นก็ไปดูไซต์งานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตแล้วมั้ง”
“แล้วนายไปไหนล่ะเพลิงถึงไม่เข้าไปคุมงานด้วยตัวเอง”
“อาทิตย์ที่ผ่านมาแม่ฉันไม่ค่อยสบายน่ะ ก็เลยต้องไปเฝ้าที่โรงพยาบาล”
“แล้วออกมากินเหล้าแบบนี้ใครเป็นคนดูแลแม่ล่ะ”
“พี่สาวฉันเขาลางานมาได้น่ะ”
“อาการของแม่เป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วแหละ พรุ่งนี้ก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ก็คงต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาคอยดูแล ขอบใจนายมากนะวินที่ช่วงนี้ทำงานแทนฉันมาตลอด” เขาเกรงใจคนที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายเป็นอย่างมากแต่เขาก็จะทิ้งมารดาให้อยู่โรงพยาบาลคนเดียวไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก”
“มีเพื่อนเป็นเจ้านายมันก็ดีอย่างนี้นี่เองนะ” โฆษิตพูดแล้วยิ้มชายหนุ่มคบกับภาวินท์มาตั้งแต่สมัยเรียนพอเขาเปิดบริษัทก็เลยชวนทั้งเพื่อนและรุ่นพี่มาช่วยกันทำงานเริ่มต้นจากบริษัทเล็กๆ จนตอนนี้รับผิดชอบโครงการใหญ่ระดับหลายร้อยล้านซึ่งถือว่าเพื่อนเป็นคนที่ก้าวหน้ามากที่สุดในกลุ่มเลยก็ว่าได้
ทั้งสามคนนั่งดื่มและมองไปรอบๆ บริเวณร้านคืนวันหยุดแบบนี้แบบนี้คนมาใช้บริการค่อนข้างมากรวมถึงสาวๆ ก็เข้ามาใช้บริการมากด้วยเช่นกัน ณัฐดนัยมองผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่อยู่ทางด้านล่างด้วยในตาเป็นประกาย เขาคิดว่าจะต้องลงไปทำความรู้จักกับพวกเธอถ้าถูกใจก็จะชวนกันไปต่อแต่ถ้าไม่ถูกใจต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้าย
“ฉันจะลงไปหาสาวๆ กลุ่มนั้นนะใครจะลงไปกับฉันบ้าง” ณัฐดนัยหันมาถามเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งดื่มอยู่
“ไม่ดีกว่า” ภาวินท์ปฏิเสธ
“ทำไมล่ะปกตินายไม่เคยพลาดเลย” เขาหันมาถามภาวินท์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“เบื่อที่จะเจ้าชู้แล้ว”
“อะไรนะ” คำตอบของเขาทำให้เพื่อนทั้งสองคนวางแก้วเหล้าตรงหน้าลงและมองหน้าด้วยความสงสัยที่ได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากของเพื่อน
“คนอย่างภาวินท์เนี่ยนะบอกว่าเบื่อ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าหรือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศไปแล้วว่ะ” ณัฐดนัยถามพลางหัวเราะ
“ไม่ใช่หรอกฉันคิดว่าตอนนี้อายุก็มากขึ้นแล้วอยากจะสร้างครอบครัว”
“นี่ได้กินเหล้าไปไม่กี่แก้วเมาถึงขนาดเพ้อจะสร้างครอบครัวแล้วเหรอ” โฆษิตมองหน้าเพื่อนแล้วส่ายศีรษะเพราะไม่คิดว่าภาวินท์จะพูดจาแบบนี้ออกมา ที่ผ่านมาชายหนุ่มบอกมาตลอดว่าไม่อยากมีภาระไม่อยากสร้างครอบครัวอยากใช้ชีวิตเป็นโสดแบบนี้เพราะสนุกและไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก
“ฉันพูดจริงนะตอนนี้เราก็อายุสามสิบสองแล้ว ถ้ายังไม่แต่งงานมีครอบครัวฉันก็กลัวว่าจะไม่ได้ยืนถ่ายรูปคู่กับลูกในวันรับปริญญาหรือไม่ได้ร่วมแสดงความยินดีในวันแต่งงานของลูก”
“เฮ้ย!...ผีเข้าหรือเปล่าวิน นายคิดอะไรไปไกลมากเลยนะ” โฆษิตตกใจกับคำพูดของเพื่อนมาก
“ฉันพูดจริงฉันจะเลิกเจ้าชู้แล้ว”
“มันเกิดอะไรขึ้นวะ ฉันไม่ไปทำงานแค่หนึ่งอาทิตย์นายทำงานหนักแทนฉันจนเพ้อเลยเหรอ” คนพูดหัวเราะอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ภาวินท์พูด
“มันตลกมากหรือไงคนอย่างฉันอยากจะจริงจังและสร้างครอบครัว” ภาวินท์เขาถามเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจัง
“มันก็ไม่ตลกหรอกนะวิน แต่ก่อนหน้านี้นายเองก็เคยพูดไว้ว่าไม่อยากมีครอบครัวแล้วนึกยังไงถึงอยากจะมีครอบครัวล่ะ หรือถูกแม่บังคับให้แต่งงาน”
“ไม่ใช่หรอก”
“แล้วมันเพราะอะไร”
“พอดีฉันไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งน่ะ คุยกับเธอแล้วรู้สึกดีก็เลยอยากจะลองจีบและคบอย่างจริงจัง”
“นายพูดว่าจะลองจีบแสดงว่ายังไม่ได้จีบใช่ไหม”
“กำลังพยายามอยู่”
“คนอย่างภาวินท์เจ้าของบริษัทรับออกแบบบ้านเนี่ยนะพยายามจีบอยู่ ฉันว่าผู้หญิงที่ไหนก็ต้องวิ่งเข้าหานายกันทั้งนั้นแหละ”
“แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น”
“ไม่เหมือนตรงไหนล่ะ”
“เธอไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร”
“นี่ไปหลอกผู้หญิงมาใช่ไหม”
“ฉันไม่ได้หรอกเธอนะเพียงแต่ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นใคร”
“แล้วคุยกันยังไงเธอไม่เคยถามเหรอว่านายทำงานอะไร อยู่ที่ไหน”
“ถามสิฉันบอกเธอว่าฉันเป็นวิศวกรที่มาคุมไซต์งานก่อสร้าง”
“ทำไมไม่บอกไปให้หมดล่ะการจีบจะได้ง่ายขึ้น”
“ก็เหมือนที่นายพูดไง ถ้าผู้หญิงเขารู้ว่าฉันเป็นใครก็คงจะวิ่งเข้าหาเพราะฉะนั้นฉันอยากจะให้เธอชอบฉันในตัวตนของฉันจริงๆ ไม่ใช่เพราะเงินหรือหน้าที่การงาน”
“นายน่าจะดูละครทีวีมากไปหรือเปล่าวิน ประเภทพระเอกปลอมตัวเป็นคนจนพิสูจน์รักแท้กับนางเอกน่ะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเพลิง เพียงแต่การเจอกันของฉันกับเธอมันไม่เหมือนคนอื่นบางที่ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้”
แล้วภาวินท์ก็เล่าเรื่องของตนเองกับพิมพ์พริมาให้กับเพื่อนสนิททั้งสองคนฟัง
แม้ว่าเมื่อคืนจะออกไปดื่มกับเพื่อนจนดึกแต่วันนี้ภาวินท์ก็ตื่นแต่เช้าเขารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปดูหนังกับพิมพ์พริมาชายหนุ่มลงไปออกกำลังกายจากนั้นก็ขึ้นมาบนห้องแล้วเอาอาหารแช่แข็งที่อยู่ในตู้อุ่นเพื่อรับประทานก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวรอเวลาที่จะไปรับหญิงสาวที่หอพักเขานัดเธอไว้ประมาณเที่ยงซึ่งตอนนี้ก็เพิ่งจะสิบโมงเช้า ชายหนุ่มหยิบแท็บเล็ตตรงหน้าขึ้นมาทำงานเพื่อฆ่าเวลาแต่ยังอ่านรายงานการประชุมไปไม่ถึงไหนเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาเสียก่อนเมื่อเห็นว่าคนที่โทรศัพท์มาคือพิมพ์พริมาเขาก็กดรับสายทันที“สวัสดีครับว่านจะเปลี่ยนเวลาให้พี่ไปรับตอนนี้ใช่หรือเปล่า”“เปล่าค่ะพี่วิน ว่านจะโทรมาขอโทษพี่วิน” น้ำเสียงของเธอฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ทำให้คนฟังก็ใจเสีย“ขอโทษพี่เรื่องอะไร”“ว่านคงไปดูหนังกับพี่วินไม่ได้แล้วค่ะ”“อ้าวทำไมล่ะ เป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่าครับ”“น้าสาวของว่านโทรมาหาเมื่อกี้บอกว่าตอนนี้แม่เข้าห้องผ่าตัดอยู่ค่ะ”“แล้วแม่เป็นอะไรมากหรือเปล่า”“น้าบอกว่าว่าเป็นไส้ติ่งค่ะ หมอกำลังผ่าตัดอยู่ว่านคงต้องกลับไปหาแม่”“แล้วว่านจะไปยังไงครับ” เขาถามอย่างร้อนใจ“ขับรถไปเองค่ะ ขอโทษพี่วินด้วยนะคะเรื่
หลังจากรับประทานอาหารแล้วพิมพ์พริมาก็ซื้อผลไม้และขนมอีกหลายอย่างขึ้นไปให้มารดากับคุณป้าและคุณน้าบนห้อง ส่วนภาวินท์หลังจากส่งหญิงสาวที่โรงพยาบาลแล้วเขาก็ขับรถหาโรงแรมเพื่อเข้าพัก เสร็จเรียบร้อยก็อาบน้ำแต่งตัวก่อนจะกลับไปเยี่ยมมารดาของพิมพ์พริมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง“ว่านนึกว่าพี่วินจะพักผ่อนอยู่ห้องเสียอีกค่ะ” หญิงสาวถามเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในห้องพักซึ่งตอนนี้เหลือแค่เธอกับมารดากำลังคุยกันเนื่องจากคุณป้าและคุณน้ากลับไปพักผ่อนที่บ้านแล้ว“อยู่ห้องก็ไม่รู้จะทำอะไรครับ คุณแม่กับว่านอยากได้อะไรเพิ่มไหมหรือจะทานอะไรไหม ผมจะได้ไปซื้อให้”“ขอบใจจ้ะ แต่แม่มีอาหารของโรงพยาบาลแล้วนะ ว่านล่ะเย็นนี้หนูจะกินอะไร”“ว่านยังไม่หิวเลยค่ะ เพิ่งกินข้าวเที่ยวไปเมื่อกี้นี้เอง”“ของใช้ส่วนตัวล่ะลูกเอามาครบไหม”“คิดว่าครบค่ะ แล้วของแม่ล่ะคะมีอะไรอยากได้เพิ่มไหม”“ทางโรงพยาบาลเตรียมให้หมดแล้วจ้ะ แต่ว่าจะไม่หิวตอนดึกใช่ไหมลูก” คุณพิมพ์พรถามเพราะรู้ว่าลูกสาวชอบทานเวลาดึก“ก็ไม่แน่เหมือนกันค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นว่านไปซื้อมาไว้ก่อนดีไหม แม่กลัวว่าดึกๆ ร้านจะปิดกันหมด”“ถ้าว่านไม่อยากไปเดี๋ยวพี่ไปซื้อพวกแซนด์วิชกับขนม
พิมพ์พริมาซื้อราดหน้าจากร้านหน้าโรงพยาบาลขึ้นมาจากนั้นหญิงสาวก็รับประทานกับภาวินท์จนอิ่มก็คุยกันต่อจนกระทั่งสองทุ่ม ชายหนุ่มก็ขอตัวกลับเพราะอยากจะให้มารดาของหญิงสาวได้พักผ่อน“ผมไปก่อนนะครับแม่แล้วพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมแต่เช้า”“ไม่ต้องรีบมาแต่เช้าก็ได้วันนี้ก็ขับรถเหนื่อยแล้วพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ พรุ่งนี้จะต้องขับรถกลับอีก”“ใช่ค่ะพี่วินว่านไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หมอจะให้คุณแม่กลับบ้านตอนกี่โมง”“ถ้าหมออนุญาตให้กลับบ้านแล้วพี่ยังไม่มาว่านก็โทรศัพท์ตามพี่นะ พี่จะได้พาไปส่งที่บ้านได้”“ค่ะพี่วิน”“ผมไปก่อนนะครับแม่พักผ่อนเยอะๆ นะครับ”“จ้ะ ขอบใจมากนะวิน”“ว่านลงไปส่งไหมคะ”“ไม่เป็นไรครับว่านอยู่กับแม่เถอะพี่ไปคนเดียวได้ พี่ไปก่อนมีอะไรก็โทรหาพี่นะ”“ค่ะขอบคุณมากค่ะพี่วิน”เมื่อภาวินท์กลับออกไปแล้วพิมพ์พริมาก็อาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดเป็นกางเกงวอร์มกับเสื้อยืดก่อนจะขึ้นมานั่งบนเตียงกับมารดาซึ่งกำลังดูทีวีอยู่“แม่ยังเจ็บแผลอยู่ไหม”“ไม่เลยจ้ะไม่บอกแล้วว่าแผลมันเล็กมากๆ ว่านจะไปนอนพักผ่อนก็ได้นะวันนี้เดินทางมาก็น่าจะเหนื่อย”“ไม่เหนื่อยเลยค่ะแม่ว่านแอบงีบหลับมาบนรถด้วยซ้ำ”“ได้ยังไงล่ะว่าน ปล่อยให้พ
เช้าวันต่อมาภาวินท์ก็ขับรถไปหาพิมพ์พริมาและมารดาของเธอที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้า เมื่อมาถึงคุณหมอก็ตรวจเสร็จพอดี ท่านอนุญาตให้คุณพิมพ์พรกลับบ้านได้เพราะไม่มีอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนอะไรระหว่างที่กำลังเก็บของและเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้นน้าประภาพรก็โทรศัพท์เข้าถาม“สวัสดีค่ะน้าพร”“หมอเข้ามาตรวจแม่หรือยัง แล้วหมอว่ายังไงบ้าง”“หมอบอกแม่ไม่หายเป็นปกติแล้วค่ะ ตอนนี้แม่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เดี๋ยวก็คงจะกลับไปที่บ้าน”“รอน้าหน่อยนะเดี๋ยวน้าจะเข้าไปรับ”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะน้าพรเดี๋ยวพี่วินจะไปส่งว่านกับแม่ที่บ้าน”“ถ้าอย่างนั้นน้ารออยู่ที่บ้านนะก็แล้วกันนะ ว่านกับแม่กินอะไรกันหรือยังล่ะ”“แม่กินอาหารของโรงพยาบาลแล้วค่ะ ว่านกับพี่วินยังไม่ได้กินอะไรเลย”“น้าจะทำกับข้าวไว้รอว่านอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”“ว่านกินอะไรก็ได้ กับข้าวฝีมือน้าพรอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ ว่านหวานขอตัวไปช่วยแม่เก็บของก่อนนะคะ ไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านค่ะ”“ได้จ้ะน้าจะทำกับข้าวไว้รอนะ”เมื่อวางสายจากน้าประภาพรแล้วมารดาของหญิงสาวก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี“แม่คะเมื่อกี้น้าพรบอกว่าจะเข้ามารับแม่ที่นี่ ว่านก็เลยบอกว่
ภาวินท์ขับรถออกจากจังหวัดพิจิตรมาได้ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าทั้งสองก็ตกลงกันว่าจะแวะเข้าไปทานอาหารที่จังหวัดชัยนาท ซึ่งมีอยู่ร้านหนึ่งที่ภาวินท์เคยมาทานแล้วรู้สึกว่าถูกใจกับรสชาติอาหารที่นั่นมากๆหลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็ขับผ่านถนนสองเลนเส้นหนึ่งไปเพื่อออกไปยังถนนเส้นหลักเพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงเทพ ลักษณะถนนสองเลนค่อนข้างแคบและยังมีรถบรรทุกวิ่งค่อนข้างมาก ทำให้ภาวินท์ใช้ความเร็วไม่ได้มากเท่าไหร่ระหว่างที่เขากำลังขับรถอยู่ก็มีรถอีกคันหนึ่งแซงรถบรรทุกคันข้างหน้าสวนเลนมาอย่างกระชั้นชิดชายหนุ่มหักพวงมาลัยหลบจนรถแฉลบลงข้างทางและชนเข้ากับต้นไม้บริเวณนั้นดังโครม“ว่านเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาตกใจรีบหันมาถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ“ว่านไม่เป็นอะไรค่ะ พี่วินล่ะเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”“ไม่เจ็บเลยพี่ว่าเรารีบลงจากรถก่อนเถอะนะ”เพราะรถโดนกระแทกอย่างแรงทำให้ประตูเปิดไม่ออก ยังโชคดีว่ามีพลเมืองดีขับรถผ่านมาและโทรศัพท์ตามกู้ภัยให้เข้ามาช่วยเหลือเมื่อกู้ภัยมาถึงรีบงัดประตูและให้ทั้งสองออกมานอกรถได้อย่างปลอดภัยก่อนจะคนเจ็บส่งโรงพยาบาลเพราะภาวินท์มีบาดแผลบริเวณแขนส่วนพิมพ์พริมานั้นไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนเมื่อมาถึงโรง
“ว่านไม่ต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นหรอกพี่แค่ล้อเล่นน่ะ พี่รู้ว่าเราสองคนยังไม่ได้คบหากันพี่จะขึ้นไปบนห้องกับว่านคนอื่นคงได้นินทากันแย่เดี๋ยวพี่นั่งรถแท็กซี่กลับเอง”“แต่พี่วินไม่สบายอยู่ถ้าจะขึ้นไปนอนห้องว่านก็คงไม่น่าเกลียดหรอกมั้งคะ”“ขอบใจมากนะว่านที่ไม่รังเกียจและยอมให้พี่ขึ้นไปข้างบนห้องแต่พี่ว่าเรียกแท็กซี่ไปส่งที่คอนโดดีกว่า”“แล้วพี่พรุ่งนี้พี่วินจะไปทำงานยังไงคะ ว่านว่ารถของพี่วินคงต้องซ่อมอีกนานแน่เลยค่ะ ค่าซ่อมว่านขอรับผิดชอบให้พี่ได้ไหม” หญิงสาวคิดว่าตนเองต้องรับผิดชอบเพราะถ้าภาวินท์ไม่ไปส่งเธออุบัติเหตุก็คงไม่เกิด“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลยรถพี่มีประกันชั้นหนึ่งน่ะ ส่วนเรื่องไปทำงานพี่นั่งรถเมล์ไปก็ได้”“แต่พี่วินต้องไปดูไซต์งานจะสะดวกเหรอคะ”“นั่นสินะ” ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นใช้ความคิดเพราะอยากจะรู้ว่าพิมพ์พริมาจะทำยังไงต่อถ้าเขาไม่มีรถใช้“เอาอย่างนี้ดีมั๊ย พี่วินเอารถว่านไปใช้นะเพราะรถของว่านก็จอดอยู่เฉยๆ ไม่ได้ขับไปไหนเลย”“ว่านไม่กลัวพี่แอบเอารถไปขายเหรอ”“มูลค่ารถของว่านกับรถของพี่วินที่ต้องซ่อมมันเทียบกันไม่ได้เลย ว่าแต่พี่วินจะขับรถว่านได้หรือเปล่าคะ”“ทำไมถึงคิดว่าจะขับไม
เมื่อนึกถึงมารดาชายหนุ่มก็รีบกดโทรศัพท์หาเพราะกลัวว่าจะมีคนเอาข่าวที่ตัวเองเกิดอุบัติเหตุไปบอกท่านและตกใจ“สวัสดีครับแม่ เช้านี้กินข้าวกับอะไรครับ” ภาวินท์ทักทายมารดาตั้งแต่เช้า“โทรมาหาแม่เวลาวินมีอะไรหรือเปล่าลูก”“ผมจะโทรมาบอกอะไรแม่นิดหน่อยตอนนี้แม่อยู่ที่ไหนครับ”“แม่อยู่ในห้องทำงานจ้ะ อีกสักพักก็จะไปคุมเด็กนักเรียนเข้าแถวแล้ววินมีอะไรเหรอลูก” คุณภาวิณีถามลูกชายเพราะปกติแล้วชายหนุ่มไม่เคยโทรศัพท์มาในเวลาเช้าแบบนี้“ยังไม่มีใครโทรบอกแม่เรื่องผมใช่ไหมครับ”“วินไปสร้างเรื่องอะไรมาล่ะลูกถึงกลัวว่าจะมีคนมาฟ้องแม่” คุณภาวิณีถามอย่างรู้ทัน“ผมจะโทรมาบอกแม่ก่อนที่จะมีคนอื่นรายงานครับว่าเมื่อวานผมขับรถแล้วมีอุบัติเหตุนิดหน่อย”“อะไรนะวิน แล้วนิดหน่อยน่ะเจ็บมากแค่ไหนตอนนี้อยู่ที่ไหนอยู่โรงพยาบาลหรือเปล่าเดี๋ยวแม่จะไปเยี่ยม”“แม่ครับผมบอกว่านิดหน่อยก็คือนิดหน่อยจริงๆ ผมมีแผลกระจกบาดเล็กนิดเดียวเอง”“แม่ขอวิดีโอคอลได้ไหมล่ะ แม่อยากจะเห็นว่าวินของแม่สบายดีจริงๆ”“ได้ครับ” ชายหนุ่มก็วางสายจากนั้นก็วิดีโอคอลหามารดาเพื่อให้ท่านเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ“ไหนหันให้แม่ดูหน่อยซิว่ามีแผลตรงไหน
“พี่เกรงใจว่านน่ะ”“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ พี่วินอยากกินอะไรเดี๋ยวว่านซื้อไปให้ก็ได้”“แล้วว่านจะมายังไงล่ะ ตอนนี้ว่าไม่มีรถใช้นะ”“รถเมล์ก็มีแท็กซี่ก็มีว่านไปหาพี่ได้สบายมาก นอกเสียจากว่าพี่วินไม่อยากให้ว่านไปที่คอนโดเพราะซ่อนใครไว้หรือเปล่านะ”“เปล่านะว่านไม่ใช่เป็นอย่างนั้นที่พี่ไม่อยากให้ว่านมาเพราะกลัวว่าจะเดินทางลำบากแต่ถ้าว่านมาหาพี่ได้พี่ก็จะดีใจมาก” ชายหนุ่มรีบบอกพิมพ์พริมาอย่างรวดเร็วเพราะกลัวเธอจะเข้าใจผิดว่าตนเองแอบซ่อนใครไว้ที่คอนโด“แล้วตกลงพี่วินอยากกินอะไรคะเอาเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวดีคะ”“พี่อยากกินหมี่เหลืองเกี๊ยวต้มยำร้านที่อยู่หน้าหอว่านครับซื้อมาให้หน่อยได้ไหมล่ะ”“แต่ว่านเคยอ่านในอินเตอร์เน็ตเจอว่าเวลาเป็นแผลเขาไม่ให้กินอาหารรสจัดนะคะ เปลี่ยนเป็นเกี๊ยวต้มจืดได้ไหมล่ะ”“แต่ต้มจืดมันไม่อร่อยนะ ถ้าอย่างงั้นขอเปลี่ยนเป็นข้าวผัดกุ้งก็ได้ พี่ไม่เรื่องมากจนเกินไปใช่ไหม”“ไม่หรอกค่ะเดี๋ยวว่านซื้อข้าวผัดกุ้งกับต้มจืดไปให้พี่นะจะได้ซดร้อนๆ แล้วพรุ่งนี้เช้าอยากกินอะไรล่ะว่านจะซื้อไปให้แล้วตอนเช้าพี่วินจะได้อุ่นกินก่อนไปทำงาน”“เอาอะไรก็ได้ที่ว่านไม่ต้องไปซื้อไกล”“เอาข้าวต้มไห
เรื่องที่พิมพ์พริมากับภาวินท์คบหาเป็นแฟนกันมีคนรู้ไม่มากเท่าไหร่ แม้ว่าทั้งสองจะมาทำงานตั้งแต่เช้าและกลับคอนโดมิเนียมพร้อมกันในตอนเย็น แต่เรื่องมันก็ยังคงเป็นความลับเนื่องจากพิมพ์พริมาไม่เคยแสดงตัวว่าตนเองเป็นแฟนของเจ้าของบริษัทและขณะอยู่ที่บริษัทภาวินท์ก็พยายามวางตัวไม่เดินมาหาคนรักในช่วงเวลากลางวัน เนื่องจากกลัวว่าหญิงสาวจะอึดอัดแต่หลังจากกำหนดการแต่งงานและการ์ดแต่งงานถูกแจกออกไปตามแผนกต่างๆ ทุกคนก็รู้ความจริงสายตาที่มองพิมพ์พริมาของบางคนเปลี่ยนไปแต่บางคนก็ยังคงมองเธออย่างเดิม หญิงสาวเองก็วางตัวดีเคยพูดคุยทักทายหรือไหว้ใครก็ทำแบบนั้นตลอดมัน เลยทำให้คนอื่นยอมรับมากขึ้นหลังจากหญิงสาวเข้าทำงานในบริษัทได้ครบหนึ่งปีทั้งสองก็แต่งงานกันงานแต่งงานถูกจัดขึ้นที่จังหวัดพิจิตรภาวินท์และเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวรวมถึงญาติสนิทไปร่วมงานกันที่นั่นก่อนจะกลับมาฉลองพิธีมงคลสมรสที่กรุงเทพซึ่งจัดค่อนข้างใหญ่เพราะภาวินท์อยากให้พนักงานทุกคนได้เข้าร่วมและถือโอกาสเลี้ยงทุกคนไปในตัว“เหนื่อยไหมว่าน” เขาถามหลังจากที่อยู่กันตามลำพังในห้องสวีทของโรงแรม“เหนื่อยมากค่ะ แต่ก็มีความสุขมากๆ ด้วย”“พี่ก็มีความสุขมากเห
เมื่อได้คุยกับหัวหน้าแล้วพิมพ์พริมาก็รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ยังมีอีกสองด่านที่เธอจะต้องผ่านให้ได้ก็คือการบอกกับนารีรัตน์และพี่กิ่งแก้ว สำหรับพี่กิ่งแก้วหญิงสาวคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาส่วนนารีรัตน์นั้นต้องค่อยๆ พูด แต่เท่าที่ได้รู้จักกันมาประมาณสามเดือนก็พอจะรู้ว่านารีรัตน์เป็นคนที่พูดเยอะ แต่จิตใจค่อนข้างดี ถ้าหากมีเหตุผลที่ดีพอเธอเชื่อเหลือเกินว่านารีรัตน์จะต้องไม่โกรธที่เธอปิดบังแบบนี้ในบ่ายวันหนึ่งพิมพ์พริมาได้มีโอกาสออกไปวางบิลกับพี่กิ่งแก้วเลยถือโอกาสนี้บอกพี่กิ่งแก้วว่าตนเองกำลังคบหาอยู่กับภาวินท์ เธอตกใจมากเพราะไม่คิดว่าคนใกล้ตัวของตัวเองคือผู้หญิงผู้โชคดีที่ทุกคนพูดถึงมาตลอดหลายวันนี้“พี่กิ่งไม่โกรธว่านใช่ไหมคะ ที่ว่านปิดบังความจริงมานานหลายเดือน”“พี่ไม่โกรธหรอกจ้ะ พี่เข้าใจดีเพราะถ้าหากเป็นพี่ก็ไม่กล้าบอกทุกคนตอนที่ตัวเองยังไม่ผ่านการทดลองงานหรอกเพราะถ้าเป็นแบบนั้นคนที่ลำบากใจน่าจะเป็นพี่สุมากกว่า”“ขอบคุณนะคะที่ไม่โกรธและยังเข้าใจว่าน ที่ว่านบอกพี่แบบนี้ไม่ใช่อยากจะอวดว่าตัวเองเป็นแฟนเจ้าของบริษัทแต่ที่บอกเพราะไม่อยากจะปิดบังค่ะ ว่านอยากให้พี่มองว่าว่านเป็นน้องสาวและเพื่อนร่วม
เมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้วพิมพ์พริมาก็เดินมาหาสุกัญญาที่โต๊ะทำงาน“หาเก้าอี้มานั่งก่อนสิว่าน”พิมพ์พริมาลากเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดมาข้างโต๊ะทำงานของสุกัญญาก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นพูดเรื่องนี้ยังไง“มีอะไรจะพูดกับพี่ ท่าทางเครียดเลยนะ”“พี่สุคะ ที่นี่มีกฎว่าถ้าจะคบใครก็ต้องเปิดเผยใช่ไหมคะห้ามแอบคบหากันใช่ไหมคะ”“ใช่จ้ะ ว่านถามแบบนี้หมายถึงว่านกำลังคบใครในบริษัทอยู่หรือเปล่า”“ใช่ค่ะ แต่ว่านไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะบอกคนอื่นดีไหม”“ทำไมล่ะหรือคนที่คบอยู่เขาไม่อยากให้ว่านบอกคนอื่น”“เขาให้บอกได้ค่ะแต่ว่านกลัวว่าบอกไปแล้วมันจะไม่เป็นผลดีเท่าไหร่ ว่านกลัวมันจะกระทบกับการทำงานและเพื่อนร่วมงานแต่ถ้าว่านไม่บอกแล้วมีคนมารู้ทีหลังก็กลัวจะเกิดปัญหา อีกอย่างว่านก็ไม่ค่อยอยากจะปิดบังเพื่อนร่วมงานเท่าไหร่แต่ จ่ๆ จะให้พูดออกไปตรงมันก็ดูไม่ดี”“ว่านกำลังจะพูดอะไรเหรอ พี่ตามไม่ทันเลย”“ก่อนที่ว่าจะบอกว่ากำลังคบกับใครว่านขอถามพี่สุหน่อยได้ไหม”“ได้สิ”“เรื่องการประเมินงานของว่านที่สุพิจารณาจากอะไรคะ”“ก็พิจารณาจากการทำงานไงล่ะ แล้วก็การทำงานเป็นทีมรวมถึงการมาทำงานตรงเวลา ทำไมว่านถามพี่แ
“ดีใจด้วยนะว่านดีใจเรื่องอะไรคะพี่สุ” พิมพ์พริมาหันไปถามหัวหน้าที่เดินยิ้มเข้ามาแต่ไกล“ลืมไปหรือเปล่าว่าวันนี้ว่านทำงานที่นี่สามเดือนแล้วนะ และผลการประเมินมันก็ออกมาแล้ว”“ว่านผ่านใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามด้วยความดีใจเพราะเห็นสีหน้าของพี่สุกัญญาก็พอจะเดาออก“ใช่จ้ะผ่านแล้วเดี๋ยวเคลียร์งานข้างหน้าเสร็จ ก็ไปเปลี่ยนบัตรพนักงานที่แผนกบุคคลนะอาจจะต้องเซ็นสัญญาบางอย่างเพิ่มเติมก่อนเซ็นก็ดูให้ดีๆ ล่ะ”“ค่ะพี่สุ” เมื่อได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็รีบทำงานตรงหน้า ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย“พี่สุคะว่านขอไปแผนกบุคคลก่อนนะคะ”พิมพ์พริมาเดินไปที่แผนกบุคคลอย่างมีความสุขเพราะเธอเองก็ลุ้นมาหลายวันแล้วว่าตนเองจะผ่านการทดลองงานไหม“สวัสดีค่ะพี่จิตรา”“สวัสดีจ้ะว่านพี่ดีใจด้วยนะผ่านการทดลองงานแล้ว นี่ก็เป็นรายละเอียดและสัญญาของพนักงานประจำจ้ะว่านอ่านก่อนเซ็นนะ”“ค่ะพี่จิตรา” หญิงสาวนั่งอ่านสัญญาการทำงานซึ่งไม่ได้แตกต่างจากบริษัทเดิมมากนักเมื่ออ่านอย่างละเอียดและทำความเข้าใจและดูว่าไม่มีตรงไหนที่ตัวเองจะถูกเอาเปรียบก็รีบเซ็นชื่อลงไปในนั้น“เรียบร้อยแล้วค่ะพี่จิตรา ถ้ายังงั้นว่านขอไปทำงานที่แผนกนะคะ”“ได้จ้ะ
การเจรจากับมารดาของพิมพ์พริมาและญาติของเธอผ่านไปได้ด้วยดี มารดาของหญิงสาวยอมให้ภาวินท์หมั้นหมายกับพิมพ์พริมาไว้ก่อน ส่วนงานแต่งงานนั้นจะตามมาหลังจากครบหนึ่งปีหลังจากทั้งสองได้คบหากันอย่างจริงจังคุณพิมพ์พรมารดาของพิมพ์พริมารู้สึกดีใจมากที่ได้เจอรุ่นพี่อีกครั้ง เธอยังจำคำพูดของคุณวสันต์บิดาของภาวินท์ในอดีตได้ดี ว่าถ้าหากพิมพ์พริมาโตขึ้นก็อยากให้หมั้นหมายกับลูกชายของตนเพื่อจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ซึ่งไม่คิดเลยว่าเรื่องนั้นมันจะเป็นจริงได้แต่สิ่งที่พิมพ์พริมายังกังวลอยู่ตอนนี้ก็คือสถานะของตนเองในบริษัทเพราะยังต้องคอยหลบซ่อนสายตาของคนอื่นๆ และปกปิดเรื่องที่ตนเองกับภาวินท์คบหากันไว้ให้ได้นานที่สุด ช่วงนี้ชายหนุ่มมักจะแวะมาแผนกบัญชีบ่อยๆ บางครั้งก็มักจะสั่งอาหารมาให้พนักงานทุกคนในบริษัทซึ่งพิมพ์พริมารู้ดีว่าที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะเธออยากให้เธอได้ทานของอร่อยๆ“พี่วินคะว่านว่าพี่วินไม่ต้องเลี้ยงอาหารพนักงานทุกคนในบริษัทก็ได้นะคะว่านเกรงใจพี่วิน”“พี่ก็ไม่ได้เลี้ยงทุกวันสักหน่อย”“แต่พี่วินเลี้ยงทุกอาทิตย์เลยนะคะ ว่านถามพี่สุแล้วแต่ก่อนพี่วินไม่ได้เลี้ยงบ่อยแบบนี้ แล้วอาหารแต่ละอย่างก็ไม่ใช่ถู
พิมพ์พริมาหอบเหนื่อยอย่างหนักช่องทางรักของหญิงสาวบีบรัดแท่งร้อนแรงและถี่ไปตามสัญชาตญาณที่ไม่อาจคุมได้ภาวินท์เองก็ปวดร้าวไปทั่วท่อนเอ็นแต่ต้องพยายามข่มอารมณ์ของตนเองไว้ให้นานที่สุดเพราะอยากมอบความสุขให้กับคนรักอย่างเต็มที่“อ่าห์....ว่านจ๋าครั้งนี้เสร็จแรงมากรัดพี่จะขาดอยู่แล้ว”“พี่วินขา...”“ดีไหมว่าน ชอบไหม”“พี่วิน....เสียวอีกแล้วว่านเสียวอีกแล้ว...อ่ะ...อื้อ...”เสียงหวานเรียกอย่างคนละเมอความเสียวพุ่งสูงอีกครั้ง ภาวินท์จับขาข้างหนึ่งพาดไปบนบ่าและตอกสะโพกเข้าหาอย่างหนักหน่วงจนเกิดเสียงเนื้อกระทบกันดังลั่นห้อง“สุดยอดมากว่าน เอามันที่สุดเลยที่รัก ใกล้แล้วใช่ไหม ตอดพี่แรงแบบนี้ พี่ชอบจัง อ่าห์เสียวมากที่รัก....อ่าห์....พี่เสียวมาก”เสียงภาวินท์แหบพร่าแรงตอดรัดกำลังทำให้เขาเสียวมากขึ้นและอีกไม่นานก็คงจะถึงขอบสวรรค์“อื้อ....พี่วินขา....ว่านจะไม่ไหวแล้วนะคะ ว่านเสียว....”เสียงเธอหอบกระชั้นชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองก็กำลังจะแตะขอบสวรรค์ ความเป็นสาวของเธอบีบรัดจนเขาแทบจะขาดใจ ไม่คิดเลยว่าความสุขจะมากมายถึงเพียงนี้สะโพกสอบถาโถมแรงขึ้นเร็วขึ้นจนคนรักเกร็งสะท้านกรีดร้องอีกครั้งชายหนุ่มกระแทกกร
เมื่อกลับถึงคอนโดมิเนียมทั้งสองคนก็รีบรับประทานอาหารด้วยความหิวก่อนจะอาบน้ำและมานั่งดูทีวีด้วยกันในห้องรับแขก“พี่วินคะพรุ่งนี้เราจะไปบ้านว่านกันจริงๆ ใช่ไหม”“จริงสิพี่จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วนะ”การเดินทางไปพิจิตรครั้งนี้ชายหนุ่มจะไปกับบิดามารดาเขาเลยเลือกที่จะนั่งเครื่องบินไปลงที่จังหวัดพิษณุโลกจากนั้นก็เช่ารถจากที่นั่นขับรถไปพิจิตรเพราะจะใช้เวลาน้อยกว่าการขับรถไปจากกรุงเทพ อีกอย่างเขาก็ไม่อยากให้บิดามารดาของตนเองนั่งรถนาน“เราจะไปกันกี่โมงคะพี่วิน” เพราะเขาเป็นคนจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินทั้งหมดหญิงสาวเลยไม่แน่ว่าจะออกเดินทางกี่โมง“ไปเที่ยวบ่ายโมงครับ ไปถึงพิษณุโลกพ่อกับแม่พี่จะแวะไหว้พระก่อนแล้วค่อยเดินทางไปพิจิตร”“พ่อกับแม่พี่จะค้างที่นั่นกี่คืนคะ”“หนึ่งคืนครับ ท่านจะเดินทางกลับบ่ายวันอาทิตย์ส่วนว่านกับพี่จะกลับวันจันทร์ตอนบ่าย ว่านจะได้อยู่กับแม่สองคืนดีไหม”“ดีค่ะขอบคุณพี่วินมากเลยนะคะ ว่านคืนนี้เรารีบนอนกันเถอะค่ะพรุ่งนี้จะได้รีบเดินทาง”“พี่ก็บอกแล้วว่าเดินทางบ่ายโมงเราตื่นสายหน่อยก็ได้จากนั้นก็ไปเอากระเป๋าที่หอพักว่านแล้วก็ไปรับพ่อกับแม่เหลือเวลาอีกเยอะเพราะฉะนั้นคืนนี้ไ
วันนี้เป็นช่วงวันศุกร์ปลายเดือนพนักงานแผนกอื่นๆ ก็เลิกงานกลับบ้านกันไปแล้วยังเหลือแค่แผนกบัญชีที่กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้นเพราะจะต้องรีบเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนระหว่างที่ทำงานกันอยู่ภาวินท์ที่เลิกงานช้ากว่าทุกวันก็เดินมายังแผนกบัญชีเพื่อทักทายกับพนักงานทุกคน“คุณภาวินท์ยังไม่กลับเหรอคะ” กิ่งแก้วที่เห็นเจ้านายหนุ่มก็รีบทักทาย“ผมเห็นว่ายังเปิดไฟอยู่ก็เลยเดินมาดูน่ะ สิ้นเดือนแบบนี้ทำงานหนักกันหน่อยนะ”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพวกเราอยากเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จเพราะรู้ว่าพนักงานทุกคนก็อยากจะได้เงินเดือนตรงเวลา” สุกัญญาตอบเจ้านายส่วนพิมพ์พริมาและนารีรัตน์นั่งก้มหน้าทำงานอยู่“ว่านมานี่หน่อยสิ” เธอเรียกให้หญิงสาวที่ยังไม่เคยเจอกับเจ้านายให้ลุกมา“ค่ะพี่สุ”“พี่จะแนะนำให้รู้จักนี่คุณภาวินท์เจ้าของบริษัทของเรา”“สวัสดีค่ะคุณภาวินท์” หญิงสาวยกมือไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าแต่ไม่กล้าสบตาเพราะกลัวจะผิดสังเกต“มาทำงานที่นี่นานแล้วเหรอ”เขาถามแล้วแอบยิ้มที่มุมปาก“เกือบจะหนึ่งเดือนแล้วค่ะคุณภาวินท์”“เป็นไงบ้างล่ะได้ข่าวว่าเคยทำงานที่บริษัทใหญ่มาก่อนมาทำงานบริษัทเล็กแบบนี้ปรับตัวได้มั๊ย”“ได้ค่ะ ไม
การกลับมาทำงานอีกครั้งในเช้าวันอังคารทำให้พิมพ์พริมารู้สึกตื่นเต้นและระแวงเป็นอย่างมากเธอกลัวจะเจอกับภาวินท์ในที่ทำงานและจะแสดงพิรุธออกมาทำให้คนอื่นรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอและซีอีโอหนุ่มพิมพ์พริมารู้ว่าการเก็บความลับในเรื่องนี้มันค่อนข้างยากแต่ก็จะพยายามทำให้ได้เพราะไม่อยากให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับภาวินท์ หญิงสาวกลัวว่ามันอาจจะมีผลกับการประเมินในช่วงทดลองงานอีกทั้งคนอื่นก็คงจะคิดว่าที่เธอได้เข้ามาทำงานที่นี่เพราะใช้เส้นสายของภาวินท์แม้จะรู้ดีว่าความจริงคืออะไรแต่บางครั้งก็ยากที่จะห้ามเสียงนินทาของคนอื่น“สาวๆ จ๊ะ วันนี้ตอนกลางวันไม่ต้องลงไปกินข้าวข้างล่างนะ” สุกัญญาหัวหน้าแผนกเดินมาบอกกับลูกน้องอีกสามคนที่กำลังนั่งทำงานอยู่“ทำไมล่ะคะพี่สุหรือว่าวันนี้พี่สุใจดีซื้ออาหารมาเลี้ยงพวกเราคะ” นารีรัตน์ถามหัวหน้าด้วยความสงสัยเพราะปกติแล้วตอนกลางวันแบบนี้ทุกคนจะแยกย้ายกันลงไปรับประทานอาหารก่อนจะกลับขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถึงเวลาทำงานในช่วงบ่าย“มีคนใจดีเลี้ยงอาหารพวกเราน่ะ แต่ไม่ใช่พี่หรอกนะ”“ใครเหรอคะพี่สุ” พิมพ์พริมาถามบ้างเพราะตั้งแต่มาทำงานที่นี่ก็ไม่เห็นจะมีการเลี้ยงอาหารกลางวันแบบ