บทที่ 30“เออ...เล็ก เมื่อกี้เราเจอจิระที่หน้าหอพักด้วย ไม่รู้มาทำอะไร” ชนิศาหันไปคุยกับธรินดาที่ยืนเงียบอยู่นานพอสมควร และเอ่ยถึงคนที่ตัวเองเพิ่งเจอที่หน้าหอพักเมื่อครู่นี้ ซึ่งก็น่าจะคลาดกันกับธรินดาไม่เท่าไหร่“งั้นเหรอ มากับใคร”“ไม่รู้เหมือนกันไม่ทันได้ถาม แต่จิระถามถึงเล็กด้วย”การสนทนาหยุดอยู่แค่นั้น เมื่อลิฟต์เลื่อนมาถึงชั้นห้า ปรัชญ์กับธรินดาจึงก้าวออกจากประตูก่อน ส่วนชนิศาขึ้นไปต่ออีกหนึ่งชั้น“เอาไว้เจอกันใหม่นะคะพี่ปรัชญ์”“ครับ เอาไว้เจอกันใหม่” ปรัชญ์ยิ้มให้ผู้หญิงที่เป็นเพื่อนสนิทกับคนของเขา เมื่ออีกฝ่ายบอกลาพร้อมกับโบกมือและยิ้มให้อย่างน่ารัก ก่อนประตูลิฟต์จะปิดลงอีกครั้งใบหน้าที่เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่นี้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ตาคมดุดันขึ้นขณะจ้องมองใบหน้าหวานของคนที่ก้าวตามออกมา“นายจิระคือใคร” เสียงดุๆ ถามขึ้นแบบคนที่กำลังจะต้อนลูกไก่น้อยให้จนมุมในทันทีที่อยู่กันตามลำพัง“เป็นเพื่อนต่างคณะค่ะ” แม้จะไม่ชอบน้ำเสียงและสายตาของเขา แต่ธรินดาก็ตอบเพราะคร้านจะมีเรื่องด้วย“สนิทกันแค่ไหน”“ไม่สนิทค่ะ”“แล้วทำไมนายนั่นต้องถามถึงเธอ”“ก็คงจะถามตามประสาคนรู้จักมั้งคะ”“รู
บทที่ 31“คนเจ้าเล่ห์ ปล่อยเล็กนะ”เสียงหวานห้วนจนเกือบจะเป็นตวาด มือก็ยังทุบตีเขาไปด้วยเพราะถูกความโมโหครอบงำ ปรัชญ์ไม่ได้รู้สึกเจ็บจากแรงมือเล็กๆ นั้นสักนิด เพียงแค่รำคาญ บวกกับอยากรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มอันยวนใจและอยากให้เธอรู้สึกถึงเขามากกว่าเดิม จึงตวัดกอดเอวกิ่วคอดแน่นยิ่งขึ้น ก่อนจะพลิกให้ร่างเล็กลงไปนอนหงาย ส่วนเขาเป็นฝ่ายขึ้นมานอนคร่อมทับอยู่ด้านบนแทน ธรินดาจะตอบโต้เขาด้วยการทุบอีก แต่คราวนี้ปรัชญ์ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เพราะเขารวบมือเล็กทั้งสองของเธอตรึงไว้เหนือศีรษะ และตรึงร่างกายส่วนอื่นๆ ของเธอด้วยสัดส่วนอันแข็งแกร่งของเขาปรัชญ์มองลงมา ส่วนธรินดาก็มองตอบ ทำให้ตาสองคู่สบประสานกันอีกครั้ง ปรัชญ์เป็นฝ่ายยิ้มยั่วอย่างผู้ชนะ ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงไปจนใกล้กับเรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อ“อย่าค่ะ...” ธรินดาเอ่ยห้ามพร้อมกับเบือนหน้าหนี“อย่าอะไรหืม...”“อย่ารังแกเล็ก”“ฉันรังแกเธอตอนไหน เมื่อกี้มีแต่เธอไม่ใช่เหรอที่เป็นฝ่ายรังแกฉัน ทุบเอาๆ เหมือนกับฉันเป็นกระท้อนที่ต้องทุบให้ได้ที่ก่อนจะกิน”“ก็คุณปรัชญ์แกล้งเล็กก่อนนี่คะ”“เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยยอมเสียเปรียบใคร เมื่อถูกทำร้ายฉันก็ต้องเ
บทที่ 32ชีวิตการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเข้าสู่ภาวะปกติในยามเช้าของวันรุ่งขึ้น ธรินดาตื่นมาและแต่งตัวออกไปเรียน โดยพยายามจะลืมไปว่าเมื่อวานเคยมีใครมาที่ห้องและเขาก็โกรธเธอก่อนจะกลับไป เมื่อถึงห้องเลกเชอร์ ธรินดาเลือกที่นั่งด้านหน้าเช่นเคย หลังจากนั้นอีกสิบนาทีชนิศาซึ่งมาสายกว่าทุกวันก็กระหืดกระหอบมานั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆวันนี้ทั้งคู่ต่างมีเรียนแค่วิชานี้วิชาเดียว เช่นเดียวกับนักศึกษาปีสุดท้ายหลายๆ คนที่วิชาเรียนจะเหลือน้อยลง เพราะต้องเอาเวลาไปทุ่มให้กับการทำสารนิพนธ์ซึ่งจะต้องออกมาเป็นรูปเล่มก่อนจบ“โหย...โชคดีเป็นบ้าเลยเล็กที่อาจารย์ยังไม่มา ไม่งั้นเราคงเข้าห้องเลตกว่าอาจารย์แน่ๆ” ชนิศาหันไปคุยกับธรินดาพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก“เห็นพี่เจ้าหน้าที่เข้ามาบอกว่าอาจารย์จะมาช้าหน่อยเพราะติดธุระ ว่าแต่ศาทำไมวันนี้มาสาย”“พอดีเมื่อคืนเราคุยกับพี่ปรัชญ์เพลินไปหน่อย”“คุณปรัชญ์?” ธรินดาค่อนข้างแปลกใจที่ได้ยินเช่นนั้น เมื่อคืนเขาบอกว่าจะไปหาคนที่เต็มใจ…คนคนนั้นก็คือชนิศาหรอกหรือ เธอแทบไม่กล้าคิดต่อว่าปรัชญ์ทำอะไรกับชนิศาบ้าง ทำเหมือนที่ทำกับเธอหรือจะแค่โปรยเสน่ห์ใส่ตามประสาผู้ชายเจ้าชู
บทที่ 33สายตาของสองสาวต่างหันไปยังลานจอดรถที่ตอนนี้เฟอร์รารี่สีแดงกำลังแล่นเข้ามาจอด ซึ่งธรินดาจำได้แม่นทีเดียวว่ารถคันนั้นคือรถของใคร“คุณปรัชญ์...” เสียงหวานหลุดชื่อนั้นออกมาเบาๆ“ใช่...พอดีพี่ปรัชญ์โทร.มาชวนไปทานข้าว ตอนแรกนึกว่าชวนเล็กด้วยซะอีก”“เปล่า...ไม่ได้ชวน เขาคงอยากไปกับศาสองคนมากกว่าน่ะ” ธรินดาฉีกยิ้มให้เพื่อนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าตอนนี้ภายในของเธอกำลังถูกกวนให้ปั่นป่วนด้วยเรื่องที่คาดไม่ถึง“งั้นเราขอตัวก่อนนะ ว่าแต่เล็กจะไม่ไปทักทายพี่ชายหน่อยเหรอ”“ไม่ละ ศาไปเถอะ...เราเองก็จะขึ้นห้องแล้วพอดีพิมพ์งานค้างไว้” ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะออกไปซื้อข้าวและก่อนหน้านี้หิวจนกระเพาะประท้วง แต่ตอนนี้กลับอิ่มตื้อไปหมดจนไม่นึกอยากจะกินอะไรชนิศาลุกขึ้นจากโซฟาและเดินตรงไปยังรถสีแดงสะดุดตาที่ตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครเพราะความสวยและราคาอันแพงลิบลิ่วที่มีอยู่ไม่กี่คันในประเทศ โดยคนข้างในตอนนี้เปิดประตูลงมายืนข้างๆ รถพร้อมกับมองผ่านเข้าไปยังกระจกใสเมื่อคนที่ตัวเองนัดก้าวตรงออกมา ส่วนอีกคนรีบหลบฉากไปยืนที่บันไดข้างลิฟต์ร่างบางแอบมองอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งเห็นว่าเขาเปิดประตูให้ชนิศา ก่อน
บทที่ 34“คุณปรัชญ์ไม่ควรจะยุ่งกับศา” คนถูกยั่วให้โกรธบอกเสียงขุ่นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่“ทำไมล่ะ”“ก็เพราะคุณปรัชญ์มีคู่หมั้นอยู่แล้วน่ะสิคะ จะมายุ่งกับเพื่อนเล็กพร่ำเพรื่อทำไม”“สบายใจได้น่า ฉันไม่ได้ยุ่งกับเพื่อนเธอเหมือนกับที่ ‘ยุ่ง’ กับเธอหรอก อีกอย่างฉันก็แค่หมั้น ยังไม่ได้แต่งเสียหน่อย ยังมีสิทธิ์เลือกไม่ใช่เหรอ”“แล้วคุณไม่ห่วงความรู้สึกของพี่นัสบ้างเหรอคะ ไหนจะศาอีก ศาจะเสียใจแค่ไหนถ้ารู้ว่าคุณปรัชญ์มีคู่หมั้นแล้ว ศาเป็นเพื่อนเล็กนะคะ ไม่ใช่ของเล่นที่คุณปรัชญ์นึกอยากจะเล่นสนุกๆ ด้วย พอเบื่อก็เขี่ยทิ้งได้”“เหตุผลที่เธอพูดกับฉันแบบนี้นี่เพราะอะไร” เขาเอียงคอมอง มีประกายขำๆ ปรากฏอยู่ในดวงตา“ก็เพราะเล็กเป็นห่วงความรู้สึกของผู้หญิงด้วยกันน่ะสิคะ”“ฉันนึกว่าเธอพูดในฐานะเมียที่กำลังหึงผัวซะอีก”“เล็กไม่ใช่เมียคุณปรัชญ์” เธอรีบโต้ทันควัน พร้อมๆ กับใบหน้าที่ร้อนวูบวาบเมื่อถูกเอ่ยถึงสถานะเช่นนั้น“ถ้าไม่ใช่ แล้วเป็นอะไร”“นางบำเรอ ที่ระบายอารมณ์ชั่วคราว หรืออะไรก็ได้ สุดแล้วแต่คุณปรัชญ์อยากจะเรียก”“ฉันอยากเรียกเมีย มีอะไรมั้ย ไม่ได้เจอหน้ากันเป็นเดือน เธอไม่คิดถึงฉันบ้างหรือไง ถึง
บทที่ 35“แม่ใหญ่...”“มาแล้วเหรอหนูเล็ก” “คิดถึงแม่ใหญ่จังค่ะ”“แม่ก็คิดถึงหนูเล็ก ไม่งั้นคงไม่ให้พี่ปราณต์พามาหาหนูเล็กหรอก”“คิดถึงลูกสาวหรืออยากมีเพื่อนไปวัดครับแม่” ปราณต์เอ่ยสัพยอกมารดาที่ตอนนี้ทั้งกอดทั้งหอมลูกสาวบุญธรรมด้วยความคิดถึง“พี่ปราณต์...สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้“ไงเรา ทำไมตอนแรกหน้าบึ้งมาเชียว”“เปล่าค่ะ เพียงแต่เล็กนึกว่าคนที่มาหาเล็กจะเป็น...” ธรินดาเกือบจะหลุดชื่อนั้นออกไปแต่ยั้งเอาไว้ได้ทัน“เป็นใครเหรอ?” ปราณต์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ที่จู่ๆ น้องสาวบุญธรรมก็หยุดชะงักทั้งที่ประโยคดังกล่าวยังไม่ทันจะพูดจบ“พวกชอบป่วนน่ะค่ะพี่ปราณต์”“พวกชอบป่วนที่ว่านี่เป็นหนุ่มๆ ใช่มั้ย”“พวกนิสัยไม่ดีต่างหากค่ะ ว่าแต่พี่ปราณต์กับแม่ใหญ่มาได้ไงคะ” หญิงสาวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพราะไม่อยากเอ่ยถึงปรัชญ์และไม่อยากให้ปราณต์และแม่เลี้ยงลักษิการู้ว่าเขามาที่นี่“พี่มาประชุมที่กรุงเทพฯ แล้วก็เลยชวนแม่ใหญ่ของหนูเล็กมาด้วย เห็นแม่ใหญ่ของหนูเล็กบ่นว่าคิดถึงลูกสาวมาก เล็กไม่กลับบ้านมาเกือบสองเดือนแล้วนี่”“ค่ะ...ช่วงนี้เล็กติดทำวิจัยน่ะค่ะ ก็เลยไม่มีโอกาสได้กลับเลย”“งั
บทที่ 36หลังจากที่สำอางกับลุงเล็กไปแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาก็เดินนำลูกๆ เข้าบ้าน ภายในบ้านยังคงสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นเดิม นำมาซึ่งความพอใจแก่ผู้เป็นเจ้าของบ้านเป็นอย่างมาก เพราะสำอางกับลูกสาวคอยดูแลทำความสะอาดอยู่ไม่เคยขาดตกบกพร่องนั่นเอง ธรินดาเดินเลยไปในครัว เปิดตู้เย็นหยิบเอาขวดน้ำออกมาเทใส่แก้วเปล่าสองใบ แล้วจัดใส่ถาดเดินออกมาเสิร์ฟให้กับแม่เลี้ยงลักษิกาและปราณต์คนละแก้ว“แล้วหนูเล็กจะทำอะไรกินลูก แม่คิดว่าสำอางคงไม่ได้ซื้อของเตรียมเอาไว้หรอก เพราะแม่ไม่ได้บอกก่อนว่าจะมา”“เมื่อกี้เล็กดูในตู้เย็นแล้ว ไม่มีของสดอะไรเลยค่ะ นอกจากน้ำเปล่า”“เอางี้มั้ยเดี๋ยวแม่โทร.สั่งอาหารที่โรงแรมมา หนูเล็กจะได้ไม่เหนื่อย”“โธ่...แม่ใหญ่ขา เล็กไม่เหนื่อยหรอกค่ะ เดี๋ยวสักพักเล็กว่าจะออกไปซื้อของ”“งั้นก็ให้พี่ปราณต์พาไป หนูเล็กจะได้มีเพื่อนและมีคนช่วยถือของ ความจริงวันหยุดยาวๆ แบบนี้ครอบครัวเราน่าจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนะ แต่พ่อตัวดีนี่สิไม่รู้หายหัวไปไหน ไม่งั้นจะชวนมาหาหนูเล็กด้วยกันเสียหน่อย” แม่เลี้ยงลักษิกาบ่นถึงลูกชายคนเล็กหลังจากนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น โดย
บทที่ 37ปราณต์กับธรินดาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้านานเกือบสองชั่วโมงก็กลับมาพร้อมกับวัตถุดิบในการประกอบอาหาร และเครื่องดื่มหลายอย่าง“เล็กขอเวลาสักหนึ่งชั่วโมงนะคะ เดี๋ยวจะจัดการหุงข้าวและทำกับข้าวให้แม่ใหญ่กับทุกๆ คนทานค่ะ” ธรินดาเอ่ยกับแม่เลี้ยงลักษิกาหลังจากขนของเข้าไปในครัวเรียบร้อยแล้ว“พี่ไปช่วยนะน้องเล็ก” นัสรินเอ่ยอาสาแม้จะไม่ค่อยเก่งเรื่องการบ้านการเรือนนัก แต่ก็ไม่อยากนั่งรอกินเฉยๆ อีกทั้งอยากคุยกับธรินดาตามประสาผู้หญิงและอยากทำความรู้จักให้มากขึ้น เพราะวันนั้นได้คุยกันแค่ไม่กี่ประโยค“ค่ะพี่นัส”หญิงสาววัยไล่เลี่ยสองคนเดินตามกันเข้าไปในครัว ธรินดาจัดการหุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวขนาดสำหรับครอบครัวใหญ่ จากนั้นก็จัดการแกะผักและเนื้อออกจากถุง“เล็กจะให้พี่ช่วยอะไร”“พี่นัสหั่นหอมใหญ่กับมะเขือเทศให้เล็กก็แล้วกันนะคะ เล็กว่าจะทำสลัดด้วย เดี๋ยวเล็กล้างให้ก่อนเลย”ธรินดาจัดการปอกหอมใหญ่ นำไปล้างพร้อมกับมะเขือเทศสีแดงลูกโต จากนั้นจึงส่งให้กับหญิงสาวรุ่นพี่ นัสรินรับมาและหยิบมีดกับเขียงไปวางที่โต๊ะหินอ่อน จากนั้นก็เริ่มหั่นพร้อมกับชวนคุย“น้องเล็กดูคล่องจัง คงเข้าครัวบ่อยเลยใช่มั้ย”“ค่ะ