บทที่ 34“คุณปรัชญ์ไม่ควรจะยุ่งกับศา” คนถูกยั่วให้โกรธบอกเสียงขุ่นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่“ทำไมล่ะ”“ก็เพราะคุณปรัชญ์มีคู่หมั้นอยู่แล้วน่ะสิคะ จะมายุ่งกับเพื่อนเล็กพร่ำเพรื่อทำไม”“สบายใจได้น่า ฉันไม่ได้ยุ่งกับเพื่อนเธอเหมือนกับที่ ‘ยุ่ง’ กับเธอหรอก อีกอย่างฉันก็แค่หมั้น ยังไม่ได้แต่งเสียหน่อย ยังมีสิทธิ์เลือกไม่ใช่เหรอ”“แล้วคุณไม่ห่วงความรู้สึกของพี่นัสบ้างเหรอคะ ไหนจะศาอีก ศาจะเสียใจแค่ไหนถ้ารู้ว่าคุณปรัชญ์มีคู่หมั้นแล้ว ศาเป็นเพื่อนเล็กนะคะ ไม่ใช่ของเล่นที่คุณปรัชญ์นึกอยากจะเล่นสนุกๆ ด้วย พอเบื่อก็เขี่ยทิ้งได้”“เหตุผลที่เธอพูดกับฉันแบบนี้นี่เพราะอะไร” เขาเอียงคอมอง มีประกายขำๆ ปรากฏอยู่ในดวงตา“ก็เพราะเล็กเป็นห่วงความรู้สึกของผู้หญิงด้วยกันน่ะสิคะ”“ฉันนึกว่าเธอพูดในฐานะเมียที่กำลังหึงผัวซะอีก”“เล็กไม่ใช่เมียคุณปรัชญ์” เธอรีบโต้ทันควัน พร้อมๆ กับใบหน้าที่ร้อนวูบวาบเมื่อถูกเอ่ยถึงสถานะเช่นนั้น“ถ้าไม่ใช่ แล้วเป็นอะไร”“นางบำเรอ ที่ระบายอารมณ์ชั่วคราว หรืออะไรก็ได้ สุดแล้วแต่คุณปรัชญ์อยากจะเรียก”“ฉันอยากเรียกเมีย มีอะไรมั้ย ไม่ได้เจอหน้ากันเป็นเดือน เธอไม่คิดถึงฉันบ้างหรือไง ถึง
บทที่ 35“แม่ใหญ่...”“มาแล้วเหรอหนูเล็ก” “คิดถึงแม่ใหญ่จังค่ะ”“แม่ก็คิดถึงหนูเล็ก ไม่งั้นคงไม่ให้พี่ปราณต์พามาหาหนูเล็กหรอก”“คิดถึงลูกสาวหรืออยากมีเพื่อนไปวัดครับแม่” ปราณต์เอ่ยสัพยอกมารดาที่ตอนนี้ทั้งกอดทั้งหอมลูกสาวบุญธรรมด้วยความคิดถึง“พี่ปราณต์...สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้“ไงเรา ทำไมตอนแรกหน้าบึ้งมาเชียว”“เปล่าค่ะ เพียงแต่เล็กนึกว่าคนที่มาหาเล็กจะเป็น...” ธรินดาเกือบจะหลุดชื่อนั้นออกไปแต่ยั้งเอาไว้ได้ทัน“เป็นใครเหรอ?” ปราณต์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ที่จู่ๆ น้องสาวบุญธรรมก็หยุดชะงักทั้งที่ประโยคดังกล่าวยังไม่ทันจะพูดจบ“พวกชอบป่วนน่ะค่ะพี่ปราณต์”“พวกชอบป่วนที่ว่านี่เป็นหนุ่มๆ ใช่มั้ย”“พวกนิสัยไม่ดีต่างหากค่ะ ว่าแต่พี่ปราณต์กับแม่ใหญ่มาได้ไงคะ” หญิงสาวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพราะไม่อยากเอ่ยถึงปรัชญ์และไม่อยากให้ปราณต์และแม่เลี้ยงลักษิการู้ว่าเขามาที่นี่“พี่มาประชุมที่กรุงเทพฯ แล้วก็เลยชวนแม่ใหญ่ของหนูเล็กมาด้วย เห็นแม่ใหญ่ของหนูเล็กบ่นว่าคิดถึงลูกสาวมาก เล็กไม่กลับบ้านมาเกือบสองเดือนแล้วนี่”“ค่ะ...ช่วงนี้เล็กติดทำวิจัยน่ะค่ะ ก็เลยไม่มีโอกาสได้กลับเลย”“งั
บทที่ 36หลังจากที่สำอางกับลุงเล็กไปแล้ว แม่เลี้ยงลักษิกาก็เดินนำลูกๆ เข้าบ้าน ภายในบ้านยังคงสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นเดิม นำมาซึ่งความพอใจแก่ผู้เป็นเจ้าของบ้านเป็นอย่างมาก เพราะสำอางกับลูกสาวคอยดูแลทำความสะอาดอยู่ไม่เคยขาดตกบกพร่องนั่นเอง ธรินดาเดินเลยไปในครัว เปิดตู้เย็นหยิบเอาขวดน้ำออกมาเทใส่แก้วเปล่าสองใบ แล้วจัดใส่ถาดเดินออกมาเสิร์ฟให้กับแม่เลี้ยงลักษิกาและปราณต์คนละแก้ว“แล้วหนูเล็กจะทำอะไรกินลูก แม่คิดว่าสำอางคงไม่ได้ซื้อของเตรียมเอาไว้หรอก เพราะแม่ไม่ได้บอกก่อนว่าจะมา”“เมื่อกี้เล็กดูในตู้เย็นแล้ว ไม่มีของสดอะไรเลยค่ะ นอกจากน้ำเปล่า”“เอางี้มั้ยเดี๋ยวแม่โทร.สั่งอาหารที่โรงแรมมา หนูเล็กจะได้ไม่เหนื่อย”“โธ่...แม่ใหญ่ขา เล็กไม่เหนื่อยหรอกค่ะ เดี๋ยวสักพักเล็กว่าจะออกไปซื้อของ”“งั้นก็ให้พี่ปราณต์พาไป หนูเล็กจะได้มีเพื่อนและมีคนช่วยถือของ ความจริงวันหยุดยาวๆ แบบนี้ครอบครัวเราน่าจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนะ แต่พ่อตัวดีนี่สิไม่รู้หายหัวไปไหน ไม่งั้นจะชวนมาหาหนูเล็กด้วยกันเสียหน่อย” แม่เลี้ยงลักษิกาบ่นถึงลูกชายคนเล็กหลังจากนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น โดย
บทที่ 37ปราณต์กับธรินดาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้านานเกือบสองชั่วโมงก็กลับมาพร้อมกับวัตถุดิบในการประกอบอาหาร และเครื่องดื่มหลายอย่าง“เล็กขอเวลาสักหนึ่งชั่วโมงนะคะ เดี๋ยวจะจัดการหุงข้าวและทำกับข้าวให้แม่ใหญ่กับทุกๆ คนทานค่ะ” ธรินดาเอ่ยกับแม่เลี้ยงลักษิกาหลังจากขนของเข้าไปในครัวเรียบร้อยแล้ว“พี่ไปช่วยนะน้องเล็ก” นัสรินเอ่ยอาสาแม้จะไม่ค่อยเก่งเรื่องการบ้านการเรือนนัก แต่ก็ไม่อยากนั่งรอกินเฉยๆ อีกทั้งอยากคุยกับธรินดาตามประสาผู้หญิงและอยากทำความรู้จักให้มากขึ้น เพราะวันนั้นได้คุยกันแค่ไม่กี่ประโยค“ค่ะพี่นัส”หญิงสาววัยไล่เลี่ยสองคนเดินตามกันเข้าไปในครัว ธรินดาจัดการหุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวขนาดสำหรับครอบครัวใหญ่ จากนั้นก็จัดการแกะผักและเนื้อออกจากถุง“เล็กจะให้พี่ช่วยอะไร”“พี่นัสหั่นหอมใหญ่กับมะเขือเทศให้เล็กก็แล้วกันนะคะ เล็กว่าจะทำสลัดด้วย เดี๋ยวเล็กล้างให้ก่อนเลย”ธรินดาจัดการปอกหอมใหญ่ นำไปล้างพร้อมกับมะเขือเทศสีแดงลูกโต จากนั้นจึงส่งให้กับหญิงสาวรุ่นพี่ นัสรินรับมาและหยิบมีดกับเขียงไปวางที่โต๊ะหินอ่อน จากนั้นก็เริ่มหั่นพร้อมกับชวนคุย“น้องเล็กดูคล่องจัง คงเข้าครัวบ่อยเลยใช่มั้ย”“ค่ะ
บทที่ 38ร่างบางทรุดตัวนั่งลงแทนตำแหน่งเดิมที่นัสรินนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ แล้วจัดการลงมือหั่นหอมใหญ่และมะเขือเทศส่วนที่เหลือต่อ เสียงกระทบระหว่างมีดกับเขียงตามจังหวะการลงแรงของมือเล็กถูกแทรกด้วยเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เดินกลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง ธรินดาที่ก้มหน้าหั่นผักอยู่คิดว่าเป็นนัสรินเพราะเมื่อครู่นี้นัสรินทำท่าเหมือนยังไม่อยากออกไปจากห้องครัว เสียงหวานจึงพูดกับอีกฝ่ายโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง“เล็กบอกแล้วไงคะว่า...” พูดยังไม่ทันจบประโยคมือเล็กก็ชะงักงัน เมื่อจมูกรับรู้ถึงกลิ่นเฉพาะตัวพร้อมกับไออุ่นของคนที่มายืนขนาบอยู่ทางด้านหลังในตอนนี้“บอกว่าไงล่ะ”คนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังเอ่ยถามเมื่อเธอพูดไม่จบประโยคเช่นนั้น แต่เขาไม่ทำแค่ถามเปล่าๆ หากยังโน้มตัวลงมาวางมือซ้ายขวาคร่อมร่างบางกักขังเอาไว้ ส่วนใบหน้าของเขาตอนนี้อยู่ห่างจากซีกแก้มด้านขวาของธรินดาแค่ไม่กี่เซนติเมตร“คุณปรัชญ์เข้ามาทำอะไรคะ” ธรินดาตัวเกร็งขึ้นเมื่อถูกปรัชญ์ประชิดตัวแบบนั้น“มาทำหน้าที่แทนคู่หมั้นฉันไง”“เล็กบอกแล้วไงคะว่าเล็กทำคนเดียวได้”“บางอย่างทำคนเดียวไม่สนุกหรอก ต้องมีคนช่วย...” เขากระซิบด้วยถ้อยคำที่ชวนให้คิดลึ
บทที่ 39“ตกลง...ฉันจะถือว่านี่คือคำสัญญาของเธอ และถ้าเธอคิดจะฆ่าผัวหรือทำร้ายผัวตัวเองอีกเมื่อไหร่ ฉันลงโทษเธอหนักแน่” เขาคาดโทษทั้งปากทั้งตา มือที่ยังวางประกบอยู่บนสองเต้าทรวงอวบอิ่มแกล้งฟอนเฟ้นเบาๆ แต่ก็ทำเอาใบหน้าสวยซึ้งแดงซ่านมากกว่าเดิม เรียวปากอิ่มรีบเม้มเข้าหากันแน่น เพราะกลัวตัวเองจะหลุดเสียงครางรับสัมผัสของเขา มือเล็กทั้งสองยกขึ้นผลักเขาออกห่าง ทว่าร่างสูงก็ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน จนธรินดาต้องเอ่ยปากขอร้องอีกครา“ไหนว่าจะมาช่วยเล็กทำอาหารไงคะ ปล่อยเล็กสิ เล็กจะได้ไปทำอาหารต่อให้เสร็จ”“ก็ได้ แต่ตอนนี้เธอต้องให้ฉันช่วยอย่างอื่นก่อน”“ช่วยอะไรคะ”“ก็ช่วยทำนี่ให้เธอไง”พูดเสร็จมืออีกข้างที่ประคองท้ายทอยอยู่ก่อนหน้านี้ก็สอดลอดเข้าใต้ชายเสื้อยืดที่เธอสวมอยู่ กลายเป็นว่าตอนนี้มือทั้งสองข้างของเขาอยู่ใต้เสื้อของเธอ และพร้อมใจกันอ้อมไปด้านหลัง จับขอบบราเซียร์ที่ดีดเด้งออกจากกันก่อนหน้านี้เข้ามาแนบประกบแล้วจัดการทำให้ตะขอสองข้างเกาะเกี่ยวกันดังเดิมแต่เป็นไปด้วยความเชื่องช้า“อาจจะช้าหน่อยนะ เพราะฉันถนัดแต่ถอด ไม่เคยใส่ให้ใครมาก่อน” เสียงทุ้มดังขึ้นเหมือนกับอารมณ์ดีนักหนา ราวกับเมื่
บทที่ 40“ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าชาตินี้แม่จะมีวาสนาได้กินอาหารฝีมือลูกชายคนเล็กของตัวเอง ไม่รู้ว่าต้องทำบุญอีกเท่าไหร่ถึงจะได้มีโอกาสกินอีก”แม่เลี้ยงลักษิกาเปรยขึ้นเหมือนกับค่อนแขวะลูกชายหลังจากอาหารมื้อนั้นผ่านไปด้วยความอิ่มเอมใจ แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่ข้างในกลับสุขทั้งกายและใจซึ่งเกิดจากรสชาติของอาหารและความสุขจากการถูกรายล้อมด้วยบรรดาลูกๆ กับว่าที่ลูกสะใภ้ของบ้าน“แม่เลี้ยงก็รีบแบ่งสมบัติให้ผมสิ ผมอาจจะเลี้ยงฉลองด้วยการทำอาหารให้แม่เลี้ยงกินอีกสักมื้อก็ได้” ปรัชญ์พูดกวนยวนยั่วอารมณ์คนเป็นแม่อีกเช่นเคย“ไม่มีทางเสียหรอกย่ะ สมบัติส่วนที่เป็นของแกฉันจะเก็บไว้ให้ลูกสะใภ้ฉัน ถ้าแกอยากได้แกก็ต้องรีบแต่งงานแล้วจดทะเบียนสมรสซะให้เรียบร้อย เพราะสมบัติเมียก็เหมือนสมบัติผัว” แม่เลี้ยงลักษิกายื่นข้อเสนอแบบกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง“ผมน่ะอยากแต่งอยู่แล้ว รอแค่ให้ลูกสาวของแม่เลี้ยงเรียนจบเท่านั้น”คำพูดนั้นทำให้คนเป็นแม่แปร่งหูชอบกล ส่วนคนที่ถูกพาดพิงเต็มๆ อย่างธรินดาถึงกับนั่งตัวแข็งทื่อคล้ายโดนสาปให้กลายเป็นหินไปชั่วขณะ กลัวใจปรัชญ์เหลือเกินว่าเขาจะพูดอะไรที่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ตามมา“แกจะแต่งงานแล้วมันเ
บทที่ 41กว่าห้านาทีธรินดาจึงค่อยกลับเข้าไปหาผู้เป็นแม่ซึ่งตอนนี้ไปนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น แต่ในนั้นไม่มีปราณต์อยู่ด้วย“พี่ปราณต์ไปไหนคะแม่ใหญ่”“ขอขึ้นไปงีบที่ห้องน่ะ แล้วเล็กล่ะทำไมไปนานจังลูก แม่ได้ยินเสียงรถของตาปรัชญ์แล่นออกไปสักพักใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ”“เล็กยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ที่หน้าบ้านน่ะค่ะแม่ใหญ่ ก็เลยยังไม่ได้กลับเข้ามา”ความจริงไม่ได้คิดเรื่อยเปื่อย เธอมัวแต่ขบคิดว่าจะหาทางเอาตัวรอดต่างหากจึงเข้าบ้านช้า แม้ที่ผ่านมาเธอมักจะปรึกษาแม่ใหญ่ยามเจอกับปัญหาที่คิดไม่ตก ทว่าเรื่องนี้เธอกลับไม่กล้าแม้แต่จะปริปากบอกแม่ใหญ่“คิดอะไรหือลูก หรือว่าตาปรัชญ์ก่อกวนอะไรอีก” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไปพิศมองหน้าลูกสาวอย่างสำรวจความผิดปกติ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบศีรษะ“เปล่าหรอกค่ะ” ธรินดาจำต้องยิ้มออกมาเพื่อปกปิดความวุ่นวายใจของตัวเอง ก่อนจะขยับไปนั่งชิดแม่บุญธรรมมากกว่าเดิม สอดมือเข้ากอดเอวหนา แล้วเงยหน้าขึ้นพูดด้วยเสียงอ้อนๆ “แม่ใหญ่ขา คืนนี้เล็กขอนอนกับแม่ใหญ่นะคะ”“ทำไมล่ะลูก แม่นอนกรนเสียงดังจะตาย หนูเล็กจะหนวกหูเอาน่ะสิ”“ไม่หรอกค่ะ เล็กอยากนอนกับแม่ใหญ่ นานๆ เจอกันที จะได้กอดให้