บทที่ 39“ตกลง...ฉันจะถือว่านี่คือคำสัญญาของเธอ และถ้าเธอคิดจะฆ่าผัวหรือทำร้ายผัวตัวเองอีกเมื่อไหร่ ฉันลงโทษเธอหนักแน่” เขาคาดโทษทั้งปากทั้งตา มือที่ยังวางประกบอยู่บนสองเต้าทรวงอวบอิ่มแกล้งฟอนเฟ้นเบาๆ แต่ก็ทำเอาใบหน้าสวยซึ้งแดงซ่านมากกว่าเดิม เรียวปากอิ่มรีบเม้มเข้าหากันแน่น เพราะกลัวตัวเองจะหลุดเสียงครางรับสัมผัสของเขา มือเล็กทั้งสองยกขึ้นผลักเขาออกห่าง ทว่าร่างสูงก็ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน จนธรินดาต้องเอ่ยปากขอร้องอีกครา“ไหนว่าจะมาช่วยเล็กทำอาหารไงคะ ปล่อยเล็กสิ เล็กจะได้ไปทำอาหารต่อให้เสร็จ”“ก็ได้ แต่ตอนนี้เธอต้องให้ฉันช่วยอย่างอื่นก่อน”“ช่วยอะไรคะ”“ก็ช่วยทำนี่ให้เธอไง”พูดเสร็จมืออีกข้างที่ประคองท้ายทอยอยู่ก่อนหน้านี้ก็สอดลอดเข้าใต้ชายเสื้อยืดที่เธอสวมอยู่ กลายเป็นว่าตอนนี้มือทั้งสองข้างของเขาอยู่ใต้เสื้อของเธอ และพร้อมใจกันอ้อมไปด้านหลัง จับขอบบราเซียร์ที่ดีดเด้งออกจากกันก่อนหน้านี้เข้ามาแนบประกบแล้วจัดการทำให้ตะขอสองข้างเกาะเกี่ยวกันดังเดิมแต่เป็นไปด้วยความเชื่องช้า“อาจจะช้าหน่อยนะ เพราะฉันถนัดแต่ถอด ไม่เคยใส่ให้ใครมาก่อน” เสียงทุ้มดังขึ้นเหมือนกับอารมณ์ดีนักหนา ราวกับเมื่
บทที่ 40“ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าชาตินี้แม่จะมีวาสนาได้กินอาหารฝีมือลูกชายคนเล็กของตัวเอง ไม่รู้ว่าต้องทำบุญอีกเท่าไหร่ถึงจะได้มีโอกาสกินอีก”แม่เลี้ยงลักษิกาเปรยขึ้นเหมือนกับค่อนแขวะลูกชายหลังจากอาหารมื้อนั้นผ่านไปด้วยความอิ่มเอมใจ แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่ข้างในกลับสุขทั้งกายและใจซึ่งเกิดจากรสชาติของอาหารและความสุขจากการถูกรายล้อมด้วยบรรดาลูกๆ กับว่าที่ลูกสะใภ้ของบ้าน“แม่เลี้ยงก็รีบแบ่งสมบัติให้ผมสิ ผมอาจจะเลี้ยงฉลองด้วยการทำอาหารให้แม่เลี้ยงกินอีกสักมื้อก็ได้” ปรัชญ์พูดกวนยวนยั่วอารมณ์คนเป็นแม่อีกเช่นเคย“ไม่มีทางเสียหรอกย่ะ สมบัติส่วนที่เป็นของแกฉันจะเก็บไว้ให้ลูกสะใภ้ฉัน ถ้าแกอยากได้แกก็ต้องรีบแต่งงานแล้วจดทะเบียนสมรสซะให้เรียบร้อย เพราะสมบัติเมียก็เหมือนสมบัติผัว” แม่เลี้ยงลักษิกายื่นข้อเสนอแบบกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง“ผมน่ะอยากแต่งอยู่แล้ว รอแค่ให้ลูกสาวของแม่เลี้ยงเรียนจบเท่านั้น”คำพูดนั้นทำให้คนเป็นแม่แปร่งหูชอบกล ส่วนคนที่ถูกพาดพิงเต็มๆ อย่างธรินดาถึงกับนั่งตัวแข็งทื่อคล้ายโดนสาปให้กลายเป็นหินไปชั่วขณะ กลัวใจปรัชญ์เหลือเกินว่าเขาจะพูดอะไรที่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ตามมา“แกจะแต่งงานแล้วมันเ
บทที่ 41กว่าห้านาทีธรินดาจึงค่อยกลับเข้าไปหาผู้เป็นแม่ซึ่งตอนนี้ไปนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น แต่ในนั้นไม่มีปราณต์อยู่ด้วย“พี่ปราณต์ไปไหนคะแม่ใหญ่”“ขอขึ้นไปงีบที่ห้องน่ะ แล้วเล็กล่ะทำไมไปนานจังลูก แม่ได้ยินเสียงรถของตาปรัชญ์แล่นออกไปสักพักใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ”“เล็กยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ที่หน้าบ้านน่ะค่ะแม่ใหญ่ ก็เลยยังไม่ได้กลับเข้ามา”ความจริงไม่ได้คิดเรื่อยเปื่อย เธอมัวแต่ขบคิดว่าจะหาทางเอาตัวรอดต่างหากจึงเข้าบ้านช้า แม้ที่ผ่านมาเธอมักจะปรึกษาแม่ใหญ่ยามเจอกับปัญหาที่คิดไม่ตก ทว่าเรื่องนี้เธอกลับไม่กล้าแม้แต่จะปริปากบอกแม่ใหญ่“คิดอะไรหือลูก หรือว่าตาปรัชญ์ก่อกวนอะไรอีก” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไปพิศมองหน้าลูกสาวอย่างสำรวจความผิดปกติ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบศีรษะ“เปล่าหรอกค่ะ” ธรินดาจำต้องยิ้มออกมาเพื่อปกปิดความวุ่นวายใจของตัวเอง ก่อนจะขยับไปนั่งชิดแม่บุญธรรมมากกว่าเดิม สอดมือเข้ากอดเอวหนา แล้วเงยหน้าขึ้นพูดด้วยเสียงอ้อนๆ “แม่ใหญ่ขา คืนนี้เล็กขอนอนกับแม่ใหญ่นะคะ”“ทำไมล่ะลูก แม่นอนกรนเสียงดังจะตาย หนูเล็กจะหนวกหูเอาน่ะสิ”“ไม่หรอกค่ะ เล็กอยากนอนกับแม่ใหญ่ นานๆ เจอกันที จะได้กอดให้
บทที่ 42ธรินดาพาตัวเองขึ้นไปนอนข้างๆ ในจังหวะที่แม่เลี้ยงลักษิกานอนหันหลัง จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงเอวและค่อยๆ หลับไปในที่สุด“อุ๊ย!”เสียงหวานอุทานขึ้นกลางดึกพร้อมกับสะดุ้งตื่น เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรหนักๆ สะบัดมาฟาดโดนที่ใบหน้าเข้าอย่างจัง ทำให้แม่เลี้ยงลักษิกาพลอยสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วย“หนูเล็กเป็นอะไรลูก” แม่บุญธรรมเอ่ยถามพร้อมกับวาดมือไปเปิดไฟหัวเตียง และก็ได้คำตอบว่าคนที่ทำให้ลูกสาวต้องร้องอุทานด้วยความเจ็บยามดึกก็คือตัวเองที่นอนดิ้นและฟาดแขนไปโดนหน้าธรินดาเข้า“เล็กไม่เป็นไรค่ะแม่ใหญ่”“เจ็บมากมั้ยลูก แม่ขอโทษนะ ไม่เอาละแม่นอนดิ้นและฟาดแขนฟาดขาไปเรื่อยแบบนี้ หนูเล็กจะเจ็บตัวเอาอีกเปล่าๆ แม่ว่าหนูเล็กกลับไปนอนที่ห้องหนูเถอะนะลูก แม่ไม่อยากให้เล็กเจ็บตัวเพราะแม่อีก”“โธ่...แม่ใหญ่ขา เล็กไม่เจ็บมากหรอกค่ะ”“ถึงไม่เจ็บมากก็เถอะลูก แต่แม่ก็ไม่สบายใจอยู่ดี นะลูกนะกลับไปนอนห้องหนู อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะสว่าง เดี๋ยวจะนอนไม่เต็มอิ่มเอา”ธรินดาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ใจหนึ่งก็กลัวแม่จะนอนไม่สบาย อีกใจก็กลัวว่าปรัชญ์จะมาหาเหมือนที่เขาขู่เอาไว้ แต่น้ำหนักข้อแรกเหมือนจะเยอะกว่า จึงต้องกลับ
บทที่ 43ความสนใจของธรินดาถูกหันเหจากต้นไม้ใบหญ้าไปครู่หนึ่งพร้อมกับที่คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน เมื่อมีแท็กซี่สีเขียวเหลืองกำลังแล่นตรงเข้ามาจอดที่ลานใต้มุขหน้าบ้าน ทันทีที่เห็นว่าคนที่ก้าวลงมาจากรถคันนั้นเป็นใคร ธรินดาก็รีบก้าวยาวๆ เพื่อหนีหน้า แต่เพียงแค่สองก้าวก็ต้องหยุดอีกครั้งเพราะถูกมือใหญ่รั้งต้นแขนเอาไว้“เดี๋ยวสิธรินดา เธอจะรีบไปไหน”“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์ เล็กจะเข้าบ้าน”“อะไรกันเห็นหน้าผัวก็จะรีบหนีหน้าเลยเหรอ”ถ้อยคำที่พร่างพรูออกมาแบบโต้งๆ เถื่อนๆ อย่างไม่กลัวใครจะได้ยินทำเอาธรินดาหน้าร้อนเห่อไปหมด ได้แต่มองซ้ายมองขวาเพราะเกรงว่าคำพูดเหล่านั้นจะถึงหูคนอื่น“อย่าหาเรื่องเล็กได้ไหมคะ เล็กขอร้อง”“งั้นก็อยู่คุยกับฉันก่อนสิ ถ้าเธอไม่หนี ฉันก็จะไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่”“ก็ได้ค่ะ คุณปรัชญ์มีอะไรจะพูดกับเล็กก็พูดมาสิคะ”เธอตอบตกลงด้วยดี พลางแอบมองผู้ชายตรงหน้าอย่างสำรวจหลังจากที่เขายอมปล่อยต้นแขนของเธอ ตอนนี้ปรัชญ์อยู่ในชุดลำลอง เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนสีน้ำเงิน ช่วงบนสวมทับด้วยเสื้อหนังสีดำ ผมที่ยาวเลยบ่านั้นถูกรวบไว้ด้านหลัง หนวดเครายังคงรกรุงรังแบบผู้ชายเซอร์ๆ ดังเดิม แต่ก็เต็ม
บทที่ 44เวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดสารนิพนธ์ของธรินดาและชนิศาก็เสร็จสมบูรณ์ วันนี้ธรินดาตื่นเช้าเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นวันสำคัญสองอย่างนั่นคือ วันนี้จะเป็นวันที่เธอกับชนิศาต้องพรีเซ็นต์สารนิพนธ์ต่อหน้ากรรมการสอบซึ่งเป็นอาจารย์ของภาควิชาจำนวนสามท่าน และยังเป็นวันคล้ายวันเกิดของเธอเอง หญิงสาวออกไปรอใส่บาตรพระที่บิณฑบาตผ่านหน้าหอพักในทุกๆ เช้า เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและเผื่อแผ่บุญกุศลให้แก่เทวดาประจำตัวพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด พลโทปภพผู้ล่วงลับ เทวดาประจำตัวแม่ใหญ่ เทวดาประจำตัวปราณต์ และเทวดาประจำตัวปรัชญ์ เพราะทุกๆ คนคือคนที่เธอเคารพรัก แม้ว่าคนหลังเธอไม่ควรจะรักและไม่มีสิทธิ์รักก็ตามหลังจากใส่บาตรเสร็จ ธรินดาจึงกลับเข้าหอพัก เห็นรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ และมีคนกำลังช่วยกันขนของขึ้นรถคันนั้น เห็นแบบนั้นก็พอทราบว่าคงมีใครสักคนย้ายหอพัก“ไปใส่บาตรมาเหรอน้องเล็ก” วิชญานีซึ่งเป็นผู้ดูแลหอพักทักทายหญิงสาวที่มักจะออกไปใส่บาตรตอนเช้าอยู่เป็นประจำ“ค่ะพี่นี”“น้องเล็กนี่ทั้งสวยทั้งใจบุญเนอะ ถึงว่าสิมีหนุ่มๆ มาคอยป้วนเปี้ยนแถวหอบ่อยๆ”“มีที่ไหนกันคะพี่นี”“อ้าว...ก็หนุ่มหล่อวิศว
บทที่ 45เย็นนั้นธรินดาแต่งตัวออกไปเที่ยวผับกับเพื่อนๆ ตามที่ได้ตกลงกัน โดยเธอนั่งรถแท็กซี่ไปกับชนิศา เมื่อไปถึงก็เห็นว่าเพื่อนๆ จองโต๊ะและสั่งเครื่องดื่มไว้รอแล้ว ซึ่งเครื่องดื่มส่วนใหญ่ล้วนแต่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์แทบทั้งสิ้น“เจ้าของงานวันเกิดมาถึงแล้ว พวกเราเอาเค้กมาให้เล็กเป่าเลยดีกว่า” คนพูดคือศิระศักดิ์ซึ่งเป็นคนจัดเตรียมเค้กมาไว้ให้ธรินดาด้วยตัวเองเค้กสีขาวเขียนว่าสุขสันต์วันเกิด มีเทียนปักอยู่รอบๆ สว่างขึ้นจากแสงเทียนท่ามกลางความมืดสลัวของผับหรูแห่งนั้น ทุกคนต่างพร้อมใจกันร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้แก่ธรินดา ทำให้ธรินดาตื้นตันเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าเพื่อนๆ จะใส่ใจเธอขนาดนี้“สุขสันต์วันเกิดนะเล็ก” ศิระศักดิ์เป็นตัวแทนกล่าวอวยพรแทนเพื่อน“ขอบใจศักดิ์และเพื่อนๆ ทุกคนมากเลยนะ ขอบใจจริงๆ” ธรินดาหันไปมองหน้าและยิ้มให้กับเพื่อนๆ ทุกคนจนครบและทุกคนก็ยิ้มตอบเธอ เป็นรอยยิ้มที่เพื่อนมีไว้ให้เพื่อน แม้บางคนจะไม่ค่อยสนิทสนมเท่าใดนัก แต่ธรินดาก็เห็นแววตาที่เป็นมิตรอย่างแท้จริง“อย่าเพิ่งดราม่านะเล็ก ยังไงก็ตัดเค้กให้พวกเรากินก่อน หิวจะแย่แล้ว” ชนิศาเอ่ยสัพยอกเมื่อเห็นท่าทีสุดซาบซึ้งของธริ
บทที่ 46คนที่เมาไม่ได้สติไม่รู้ตัวสักนิดว่าตอนนี้ตัวเองถูกอุ้มมายังรถที่จอดอยู่ด้านหน้าของผับเรียบร้อยแล้ว อากาศจากเครื่องปรับอากาศในรถบวกกับเสียงที่เงียบเชียบไม่อึกทึกเหมือนตอนอยู่ข้างในผับ ทำให้ธรินดารู้สึกสบายตัวมากขึ้นกว่าเดิม เธอจึงหลับสนิทไปในทันทีที่อยู่ในสภาพอากาศเช่นนั้น จึงไม่มีโอกาสได้ทักท้วงใดๆ เมื่อปรัชญ์ขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังคอนโดฯ ของเขา ร่างบางถูกวางลงบนเตียงกว้าง จากนั้นคนพามาก็ลงมือจัดการกับเสื้อผ้าของเธอจนเกลี้ยง แล้วไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองมาใส่ให้ เพราะกลัวว่าเธอจะนอนไม่สบาย ขณะที่กำลังจะติดกระดุม มือใหญ่ก็ชะงัก ความโมโหที่ยังกรุ่นๆ อยู่จากตอนที่เห็นเธอเมามายไม่ได้สติครั้งแรก บวกกับความงดงามเย้ายวนของร่างบางที่หลับอยู่บนเตียงกว้างนั้นดึงดูดสายตาและปลุกเร้าอารมณ์บางอย่างจนทำให้ปรัชญ์เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน“ธรินดา ธรินดา” มือใหญ่เอื้อมไปเขย่าแขนของคนเมาพร้อมกับก้มลงส่งเสียงเรียกธรินดารู้สึกคุ้นเสียงนั้นเป็นอย่างมาก พยายามจะลืมตาขึ้นมามองแต่ก็ลืมไม่ขึ้น จึงได้แต่ขานอืออาอยู่ในลำคอ“คะ...ใครเหรอคะ” คนเมาถามเสียงยานคาง ตายังคงหลับพริ้ม